วิธีพิสูจน์ชีวิตหลังความตาย ตายแล้วเกิด

วิธีพิสูจน์ชีวิตหลังความตาย ตายแล้วเกิด

การพิสูจน์เกี่ยวกับชีวิตภายหลังความตาย ตายแล้วเกิดนี้ เป็นเรื่องที่เป็นอุปสรรคปัญหามาช้านานแล้ว ซึ่งอุปสรรคปัญหาของผู้ที่ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ได้อยู่ที่ว่าชีวิตภายหลังความตายมีอยู่จริงหรือไม่ คนเราตายแล้วเกิดได้อีกจริงหรือไม่ แต่อุปสรรคปัญหาที่ว่าก็คือ การหาพยานหลักฐานที่เป็นรูปธรรม ที่จะนำมาแสดงให้สาธารณชนได้ประจักษ์ และยอมรับว่ามันมีอยู่จริงต่างหาก

จากอุปสรรคและปัญหาดังกล่าว ผู้เขียนได้ย้อนกลับมาถามตัวเองว่า เพราะเหตุใดตัวของผู้เขียนเองจึงเชื่อและยอมรับว่ามีชีวิตภายหลังความตายและมีการสืบเกิดในชาติหน้าได้จริง คำตอบก็คือ เพราะผู้เขียนได้ทำการพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยตัวเอง ทำการพิสูจน์ด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่โน้มเอียงไปด้วยความเชื่อส่วนตัว ด้วยคำพูดของผู้อื่น หรือจากในตำราใดๆ ได้เป็นผู้ออกแบบวิธีการพิสูจน์ทดลองด้วยตัวเองอย่างรอบคอบ และได้วิเคราะห์เหตุผลและหลักฐานความสัมพันธ์ต่างๆ ที่เป็นรูปธรรมอย่างรอบคอบแล้ว จึงทำให้ผู้เขียนเชื่อว่ามันมีอยู่จริง สรุปก็คือ ควรจะต้องพิสูจน์เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ประจักษ์ด้วยตัวเองจึงจะปลงใจเชื่อได้ ดังนั้นในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนจึงพยายามที่นำเสนอข้อเท็จจริงโดยละเอียด และได้นำเสนอแนวทางวิธีการพิสูจน์ในรูปแบบต่างๆ ให้กับท่านผู้อ่าน ที่สนใจจะทำการพิสูจน์เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อจะได้มีแนวทางในการศึกษาค้นคว้าและพิสูจน์เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ประจักษ์ด้วยตัวของพวกท่านเอง ดีกว่ามานั่งถกเถียงกันให้เสียเวลา ผู้เขียนมีตัวอย่างแนวทางที่บุคคลทั่วไปก็สามารถทำการพิสูจน์เชิงประจักษ์ด้วยตัวเองได้หลายวิธี ตัวอย่างเช่น

พิสูจน์โดยกระบวนการและเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เช่น การสะกดจิตย้อนอดีตชาติ ในปัจจุบันการสะกดจิตเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่มีความก้าวหน้าไปมาก ก้าวหน้าจนถึงขนาดที่สามารถสะกดจิตย้อนอดีตชาติได้ และสามารถใช้การสะกดจิตย้อนอดีตชาติรักษาคนไข้ที่มีอาการหวาดกลัว และวิตกกังวลอย่างเฉียบพลัน(Phobias) ซึ่งเป็นผลมาจากความทรงจำที่ฝังใจมาตั้งแต่อดีตชาติได้แล้ว โดยทางการแพทย์เรียกการรักษาแบบนี้ว่า การรักษาโดยการฟื้นความทรงจำย้อนกลับไปยังอดีตชาติหรือ Past Life Regression Therapy ในประเทศไทยมีผู้เชี่ยวชาญ ทางด้านการ สะกดจิตที่ผู้เขียนรู้จักสองท่านคือ ท่านนายแพทย์เชียร สิริยานนท์ อุปนายกสมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทย และ อาจารย์ชนาธิป ศิริปัญญาวงศ์ ประธานชมรมนักสะกดจิตแห่งประเทศไทย ในต่างประเทศ เช่นในประเทศอเมริกาก็มีจิตแพทย์หลายท่านสามารถทำการสะกดจิตย้อนอดีตชาติกับบุคคลได้แล้ว ถึงแม้จะยังมีข้อผิดพลาดให้เห็นบ้างในบางกรณีก็ตาม แต่บางกรณีก็มีความชัดเจนพิสูจน์ได้และมีพยานหลักฐานแน่นหนาจนน่าทึ่ง การใช้เครื่องตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งมีการนำมาใช้ในการพิสูจน์การมีอยู่ของวิญญาณบ้างแล้วในประเทศไทย เป็นเครื่องที่ส่งสัญญาณเสียงออกมาเมื่อมันตรวจพบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าคุณสมบัติหนึ่งของวิญญาณคือมีพลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่ด้วย แต่ทั้งนี้สิ่งที่สามารถทำให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ก็มีอยู่มากมาย เครื่องนี้จึงไม่อาจใช้แสดงผลได้อย่างชัดเจนจนเชื่อถือได้ เครื่องบันทึกเสียง มีนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มพยายามใช้เครื่องบันทึกเสียงที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ เพื่ออัดเสียงวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งก็มีผลงานก้าวหน้าไปอย่างน่าสนใจ เครื่องถ่ายภาพรังสีออร่า ซึ่งมีผู้นำเข้ามาใช้กันบ้างแล้วในประเทศไทย เป็นเครื่องที่สามารถถ่ายภาพรัศมีหรือแสงของพลังงานที่อยู่รอบๆตัวของคนเราได้ และจากการสังเกตรัศมีนั้นสามารถบอกถึงสุขภาพ อาการป่วยหรือความผิดปกติของบุคคลนั้นๆได้ด้วย เชื่อกันว่ารัศมีหรือแสงของพลังงานที่เครื่องถ่ายภาพรังสีออร่าถ่ายได้นั้นคือส่วนที่เรียกว่าวิญญาณของคนเรานั่นเอง แต่จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์ท่านใดออกมายืนยันชัดเจน จึงยังต้องศึกษากันต่อไปว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ กล้องถ่ายรูปทั่วไป มีกรณีภาพถ่ายประหลาดซึ่งเชื่อกันว่าเป็นภาพที่ถ่ายติดวิญญาณของผู้ที่ตายไปแล้วมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งภาพถ่ายที่ผู้เขียนเคยถ่ายเองก็มีภาพประหลาดๆเหมือนกับว่ามีวิญญาณติดมาเหมือนกัน(ดูกรณีของ สุรางคนา วันที) แต่ยังไม่เคยให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ ผู้เขียนเองก็เข้าใจว่ายังมีปัจจัยอีกมากที่สามารถทำให้เกิดภาพนั้นๆได้ ที่ผ่านมามีบางภาพที่ผู้เชี่ยวชาญสามารถหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายได้ หรือบางภาพก็มีผู้จงใจใช้เทคโนโลยีในการจัดแต่งภาพ แต่บางภาพก็ชัดเจนจนยากที่จะปฏิเสธได้ โดยเฉพาะตัวของผู้ถ่ายภาพเอง อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าในปัจจุบันกระบวนการและเครื่องมือเหล่านี้จะยังไม่สมบูรณ์พอ แต่อย่างน้อยมันก็นำพาให้นักวิทยาศาสตร์เข้าไปใกล้ความจริงในเรื่องนี้มากขึ้นทุกที และคงจะต้องมีการพัฒนาต่อไปอีกในอนาคตข้างหน้า

พิสูจน์โดยการปฏิบัติ สมถกัมมัฏฐาน วิปัสสนากัมมัฏฐาน จนได้องค์ฌาน หรือการฝึกสมาธิจิตรูปแบบอื่นๆ ในทางพุทธศาสนา มีวิธีการฝึกจิตที่เรียกว่าสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐานโดยละเอียด ซึ่งบุคคลทั่วไปก็สามารถฝึกปฏิบัติได้ มีพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายท่านบอกว่า ถ้าอยากเห็นผีหรือวิญญาณใช้เพียงสมาธิขั้นต้นๆคือขณิกสมาธิก็สามารถเห็นผีหรือวิญญาณได้ด้วยตัวเองแล้ว แต่ถ้าจะให้สามารถระลึกชาติได้ต้องเข้าถึงจตุตถฌาน และน้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณจึงจะทำให้สามารถหยั่งรู้อดีตชาติได้ หรือน้อมจิตไปเพื่อจุตูปปาตญาณ ทำให้มีตาทิพย์สามารถมองเห็นอดีต มองเห็นอนาคต เห็นความเกิดดับของสัตว์ มองเห็นกรรมของสัตว์ และเห็นนรกสวรรค์และภพภูมิอื่นๆนอกเหนือจากโลกมนุษย์ได้ ซึ่งมีตัวอย่างของผู้เข้าถึงแล้ว ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระอริยสาวก พระอริยสงฆ์ และพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่นับถือของคนไทยหลายรูป หรือแม้แต่นักพรต พราหมณ์ และผู้ฝึกสมาธิจิตในรูปแบบอื่นก็สามารถเข้าถึงได้เช่นกัน

พิสูจน์โดยการเชิญวิญญาณหรือโอปปาติกะเข้าทรง หรือศึกษาจากผู้ถูกผีเข้าสิง วิธีการเชิญวิญญาณหรือโอปปาติกะเข้าทรงนี้ก็สามารถพิสูจน์ได้ แต่จะต้องวางแผนการทดลองให้รัดกุมเป็นพิเศษ เนื่องจากมีคนทรงที่เป็นพวกหลอกลวงต้มตุ๋นอยู่จำนวนมากกว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์ มีตัวอย่างผลงานการศึกษาวิจัยที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ในประเทศไทย เช่น โครงการวิจัยประจักษ์พยานเกี่ยวกับปรโลกโดยการเชิญวิญญาณเข้าทรงของ รศ.ดร.บุณย์ นิลเกษ อดีตอาจารย์คณะมนุษย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่งจากผลการศึกษาวิจัยของท่านได้ยืนยันการมีอยู่ของวิญญาณและชีวิตหลังความตาย ส่วนการศึกษาจากผู้ถูกผีเข้าสิง(เข้าสิงเองไม่ใช่การเข้าทรง)นั้นยังไม่มีใครทำการศึกษา เนื่องจากกรณีที่จะศึกษานั้นหาได้ยากมากทั้งมีจำนวนน้อยไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ และเป็นเรื่องยากที่ผู้ทำการศึกษาจะได้ประสบเหตุการณ์ขณะมีคนถูกผีเข้าสิง แต่ถ้าหากท่านได้ประสบพบเห็นก็หาโอกาสพิสูจน์สักครั้ง พยายามหารูปแบบการทดลองและพิสูจน์ให้ดีมีความรัดกุมเท่าที่จะสามารถทำได้ ท่านอาจจะพบความจริงที่ทำให้ท่านหายสงสัยในเรื่องนี้ก็เป็นได้

พิสูจน์โดยให้ผู้ที่มีวิชาเรียกวิญญาณให้ปรากฏตัวให้เห็น ผู้มีวิชาเรียกผีของแท้ในประเทศไทยยังมีเหลืออยู่ไม่มากนักแต่นักหลอกลวงต้มตุ๋นมีมากกว่ามาก ดังนั้นการพิสูจน์โดยวิธีนี้จึงต้องระมัดระวังกันพอสมควร หากท่านพบกับผู้มีวิชาจริงๆก็หาโอกาสพิสูจน์สักครั้งจะได้หายสงสัย

พิสูจน์ตามสถานที่ซึ่งวิญญาณมักปรากฏให้เห็น หรือรอให้วิญญาณปรากฏให้เห็นให้ได้ประจักษ์ด้วยตัวเอง วิธีนี้ก็ต้องอาศัยความกล้าและการป้องกันอันตรายที่ดีพอ ไม่ใช่ไปพิสูจน์ได้ยินเสียงหรือเห็นอะไรนิดหน่อยก็วิ่งหนีไม่คิดชีวิตโดยไม่สังเกตให้รอบคอบ แล้วบอกว่าผีหลอกเห็นผีแล้วอย่างนี้ก็จะไม่ได้ความจริง ส่วนการรอคอยให้ผีหรือวิญญาณมาปรากฏตัวให้เห็นเองเห็นทีจะยากเพราะที่ผ่านมามีน้อยคนนักที่จะได้เห็น แต่สำหรับผู้ที่ได้ประสบพบเห็นมาด้วยตัวเองก็คงจะไม่ติดใจสงสัยในเรืองนี้อีก

พิสูจน์จากผู้ที่มีประสบการณ์ใกล้ตาย ตายแล้วฟื้น หรือวิญญาณออกจากร่างชั่วขณะหนึ่ง ที่ผ่านมามีตัวอย่างของผู้ที่มีประสบการณ์เชิงประจักษ์ในลักษณะนี้จำนวนมากทั่วโลก มีนักวิทยาศาสตร์หลายคณะกำลังศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง และได้พบกับข้อเท็จจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับจิตและสมองว่าเป็นคนละส่วนกัน กล่าวคือเมื่อตาปิดสนิทสมองหยุดทำงานโดยสิ้นเชิงผู้ป่วยบางรายสามารถรับรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งกับตัวเองและผู้อื่นในสถานที่ห่างออกไปได้ และเมื่อเขากลับฟื้นขึ้นมาสมองทำงานอีกครั้งเขาได้บอกเล่าประสบการณ์นั้นให้ฟัง ซึ่งบางเรื่องสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง บางเรื่องก็วิจิตรพิสดารเกินกว่าจะพิสูจน์ได้ แต่สำหรับผู้ที่ได้ประสบมากับตัวเองแล้วก็คงไม่ติดใจสงสัยอีก

พิสูจน์จากผู้ระลึกชาติได้และผู้จำอดีตชาติได้ การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ทำกันมาก อีกทั้งกรณีศึกษาก็มีมาก ในหลายประเทศมีผลงานการศึกษาวิจัยออกมามากมายและต่อเนื่อง เช่น ผลงานวิจัยของ ศาสตราจารย์นายแพทย์เอียน สตีเวนสัน(Ian Stevenson) แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียประเทศสหรัฐอเมริกา ผลงานวิจัยของ ดร.เอช เอ็น บาเนอร์จี(H.N. Banerjee) แห่งมหาวิทยาลัยราชฐานประเทศอินเดีย และคณะศึกษาวิจัยอีกจำนวนมากทั้งในประเทศอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เยอรมัน ออสเตรเลีย พม่า ไทย และประเทศอื่นๆ ซึ่งพบผู้จำอดีตชาติได้จำนวนมากในหลายประเทศทั่วโลก ไม่จำกัดชาติศาสนา และผลของการศึกษาที่ได้ก็ออกมาแนวทางเดียวกันทั้งหมด คือบรรดานักศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ามันไม่มีอยู่จริง เนื่องจากมีพยานหลักฐานที่เป็นรูปธรรมให้สามารถพิสูจน์ได้อยู่พอสมควร แต่ก็ยังมีเรื่องราวบางอย่างที่วิจิตรพิสดารจนไม่สามารถใช้เหตุผลทางการแพทย์หรือหลักเหตุผลทางฟิสิกส์มาอธิบายเรื่องราวเหตุการณ์เหล่านั้นได้

พิสูจน์โดยการศึกษาผู้ที่มีรอยแผลเป็น รอยตำหนิอื่นๆ หรือผู้ที่มีความผิดปกติพิการทางร่างกายตั้งแต่แรกเกิดอันสืบเนื่องจากอดีตชาติ จากการศึกษาวิจัยผู้ที่จำอดีตชาติได้พบว่า ลักษณะต่างๆดังกล่าวเหล่านี้มีความสัมพันธ์กันอย่างมีเหตุมีผล และเป็นหลักฐานที่เป็นรูปธรรมที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งที่ใช้ในการพิสูจน์การสืบชาติมาเกิดของบุคคล ซึ่งคณะที่ทำการศึกษาวิจัยผู้จำอดีตชาติได้ทุกคณะในหลายประเทศ พบและให้ความสนใจกันมากในขณะนี้ เช่น รอยบาดแผลที่ถูกยิงในอดีตชาติปรากฏเป็นรอยแผลเป็นในปัจจุบันชาติ เป็นต้น โดยปกติแล้วลักษณะต่างๆเหล่านี้จะพบในผู้ที่จำอดีตชาติได้ แต่ที่ผู้เขียนแยกออกจากการศึกษาผู้ที่ระลึกชาติได้และผู้จำอดีตชาติได้ก็เผื่อว่าจะได้มีผู้ทำการศึกษาเจาะลึกเฉพาะทางต่อไป ซึ่งในปัจจุบันนี้ผู้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้สามารถสังเกตและติดตามศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ตั้งแต่แรกเกิดแล้ว โดยการสังเกตและศึกษาจากเด็กที่เกิดมาแล้วมีรอยตำหนิหรือแผลเป็นมาตั้งแต่แรกเกิด เนื่องจากเราพบว่าผู้ที่มีแผลเป็นติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิดส่วนใหญ่จะจำอดีตชาติได้ด้วย ดังนั้นแทนที่เราจะศึกษาจากผู้ที่จำอดีตชาติได้จนกระทั่งไปพบว่าเด็กที่จำอดีตชาติได้มีรอยแผลเป็น ที่เกิดจากบาดแผลในอดีตชาติ เราก็เริ่มทำการศึกษาจากเด็กที่มีรอยแผลเป็นตั้งแต่แรกเกิด ไปจนกระทั่งเขาเริ่มพูดถึงความทรงจำในอดีตชาติ ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ผู้ที่ทำการศึกษาสามารถควบคุมการพิสูจน์ทดลองได้ตั้งแต่ต้น นับเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงการสืบชาติมาเกิดได้อย่างเป็นรูปธรรม และถูกต้องตามหลักการทางวิทยาศาสตร์

พิสูจน์โดยการทดลองตายด้วยตัวเอง นี่เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนและแน่นอนได้ประจักษ์ด้วยตัวเอง ไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องถามใคร แต่หวังว่าจะไม่มีใครลงทุนทำลายชีวิตของตัวเองเพื่อพิสูจน์ด้วยวิธีนี้ เพราะยังมีวิธีที่ดีกว่านี้ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้โดยไม่ต้องแลกด้วยชีวิต

สำหรับผู้เขียนเองเลือกที่จะทำการพิสูจน์ชีวิตภายหลังความตาย ตายแล้วเกิดของคนเราจากผที่จำอดีตชาติได้ เนื่องจากเคยได้ประสบเหตุการณ์เชิงประจักษ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยตัวเองตั้งแต่เมื่อครั้งยังเด็ก ซึ่งความตั้งใจในตอนแรกของผู้เขียนมีเจตนาเพียงแค่อยากพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ให้กับตัวเอง แล้วก็คิดที่จะเขียนหนังสือเพื่อเผยแพร่เรื่องราวความจริงนี้ออกไปเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจที่จะศึกษาวิจัยตามหลักวิชาการแต่อย่างใด แต่หลังจากที่ได้พบและสัมภาษณ์ผู้ที่จำอดีตชาติได้จำนวนมาก จึงทำให้เกิดความสนใจที่จะทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง และพยายามเสาะหาผที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ในประเทศไทย เพื่อจะได้ทราบข้อมูลการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่ามีความก้าวหน้าไปมากน้อยอย่างไรแล้ว

เมื่อประมาณ ปี พ.ศ.๒๕๔๓ ผู้เขียนมีโอกาสได้พบและรู้จักกับท่าน อาจารย์สุตทยา วัชราภัย วิทยากรบรรยายเกี่ยวกับการจำอดีตชาติได้ และอาจารย์พิเศษของสถาบันนิด้าซึ่งท่านเคยเป็นล่ามให้กับคณะศึกษาวิจัยผู้ที่จำอดีตชาติได้จากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียสหรัฐอเมริกา เมื่อได้แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน ท่านก็ได้ให้คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการสัมภาษณ์และวิธีการศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ ท่านเคยไปพักที่บ้านเกิดของผู้เขียนเพื่อสังเกตผู้ที่จำอดีตชาติได้ในหมู่บ้าน และได้ร่วมกันออกค้นหาผู้ที่จำอดีตชาติได้ในหมู่บ้านใกล้เคียง ซึ่งก็พบเบาะแสของผู้ที่จำอดีตชาติได้จำนวนหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นต่างคนต่างก็มีงานไม่ว่าง จึงไม่ได้ทำการติดตามศึกษาต่อไป

ต่อมาผู้เขียนได้พบกับท่าน รศ.ดร.นัยพินิจ คชภักดี หัวหน้าภาควิชาชีวประสาท (ตำแหน่งในขณะนั้น) มหาวิทยาลัยมหิดลและเลขาธิการสมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทย ท่านได้ให้ผู้เขียนไปบรรยายเกี่ยวกับการศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ ที่สมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทย และได้แนะนำให้ผู้เขียนได้รู้จักกับ คุณวิเชียร สิทธิประภาพร นักศึกษาปริญญาเอกลูกศิษย์ของท่านซึ่งเป็นล่ามให้กับคณะศึกษาวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบัน ต่อจากท่านอาจารย์สุตทยา

ผู้เขียนได้พบและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันกับคุณวิเชียรหลายครั้ง จนได้ทราบว่าคณะศึกษาวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียได้เข้ามาเก็บข้อมูลผู้ที่จำอดีตชาติได้ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๐๙ จนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า ๔๐ ปีแล้ว โดยจะเดินทางมาเก็บข้อมูลปีละ ๒ – ๓ ครั้ง เพื่อติดตามดูความเปลี่ยนแปลงของผู้ที่จำอดีตชาติได้รายเก่าที่เคยสัมภาษณ์ไว้แล้ว และสัมภาษณ์ผู้ที่จำอดีตชาติได้รายใหม่ โดยมีคนไทยทำหน้าที่เป็นล่ามช่วยแปลคำสัมภาษณ์ให้ และร่วมทำการศึกษาวิจัยมาแล้วหลายท่าน เช่น ศ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล , อาจารย์เต็ม สุวิกรม , นายแพทย์เชียร สิริยานนท์ , อาจารย์นาซิบ สิโรรส , อาจารย์สุตทยา วัชราภัย เป็นต้น

ในตอนนั้นผู้เขียนคิดว่าข้อมูลของผู้ที่จำอดีตชาติได้ในหมู่บ้านของผู้เขียน อาจจะมีประโยชน์ต่อการศึกษาวิจัยของคณะศึกษาวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียคณะนี้ จึงได้มอบข้อมูลและเบาะแสของผู้ที่จำอดีตชาติได้ในหมู่บ้านของผู้เขียนและหมู่บ้านใกล้เคียงให้กับคุณวิเชียรไปทั้งหมด ต่อมาทราบว่าคุณวิเชียรได้พาคณะศึกษาวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย เข้าไปเก็บข้อมูลจากผู้ที่จำอดีตชาติได้ในหมู่บ้านของผู้เขียนแล้วตั้งแต่เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๔๔ ซึ่งตอนนั้นผู้เขียนได้ย้ายมาทำงานที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีแล้ว จึงไม่ได้ติดต่อกับคุณวิเชียรอีกเลย เนื่องจากต่างคนต่างก็เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ใหม่ ได้ทราบข่าวจากครอบครัวของผู้ที่จำอดีตชาติได้ ว่าคุณวิเชียรและคณะได้เข้ามาสัมภาษณ์และเก็บข้อมูลบ้างแล้วเท่านั้น ผู้เขียนหวังว่าถึงตอนนี้คณะของคุณวิเชียรคงจะเก็บข้อมูลไปมากพอสมควรแล้ว และหวังว่าเรื่องราวของผู้ที่จำอดีตชาติได้ในหนังสือเล่มนี้จะไม่กระทบกับการศึกษาวิจัยของคณะศึกษาวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย เนื่องจากเวลาได้ล่วงเลยมาเกือบ ๑๐ ปีแล้ว

สำหรับการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผู้ที่จำอดีตชาติได้ของคณะศึกษาวิจัยจาก ภาควิชาปรจิตวิทยา(Parapsychology) คณะจิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียประเทศสหรัฐอเมริกา นั้นได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๐๔ จนถึงปัจจุบันนี้(พ.ศ.๒๕๔๙)เป็นเวลากว่า ๔๕ ปีแล้ว โดยมี ศาสตราจารย์นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน เป็นหัวหน้าคณะ แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ท่านได้ปลดเกษียณไปแล้ว แต่ท่านก็ยังคงทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไปโดยปักหลักอยู่ทางแถบประเทศอินเดีย และมี ดร.จิม ทักเกอร์(Jim Tucker) ซึ่งร่วมศึกษาวิจัยกับคณะนี้มานานกว่า 40 ปีเป็นหัวหน้าคณะคนใหม่ จากการศึกษาวิจัยผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศทั่วโลกของคณะศึกษาวิจัยคณะนี้ พวกเขาได้พบผู้ที่จำอดีตชาติได้มากกว่า ๓๐๐๐ ราย และพบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากหลายประเทศหลายศาสนาและหลายความเชื่อทั่วโลก ซึ่งพวกเขาได้นำผลที่ได้จากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางการแพทย์บ้างแล้ว เช่น ใช้ในการวิเคราะห์และรักษาอาการทางจิตของเด็กหรือของคนไข้ที่เป็นโรคกลัว(Phobias) เช่น กลัวน้ำ กลัวการนั่งเรือ กลัวที่จะอยู่ในที่แคบๆ เป็นต้น ซึ่งผลจากการศึกษาวิจัยพบว่าบางกรณีเกิดจากความทรงจำที่เลวร้ายในอดีตชาติที่ยังฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก เช่น ในอดีตชาติเคยตกน้ำตายหรือตายเพราะเรือล่ม เมื่อเกิดมาในชาตินี้จึงกลัวน้ำกลัวการนั่งเรือ เป็นต้น

สำหรับในประเทศไทยเราก็มีผู้ที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มากพอสมควร แต่ยังไม่มีใครทำการศึกษาวิจัยอย่างจริงจังในเชิงวิชาการ อาจเป็นเพราะไม่มีผู้สนับสนุนทุนให้ทำการศึกษาวิจัย เนื่องจากยังมองไม่เห็นประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมก็เป็นได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเราชอบเป็นผู้ตามมากกว่าที่จะเป็นผู้นำอยู่แล้ว เมื่อก่อนพวกฝรั่งเขาไม่เชื่อเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เลย ไม่มีแม้แต่คำศัพท์ที่จะใช้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ให้เข้าใจได้อย่างชัดเจน แต่ในปัจจุบันนี้ฝรั่งเขาสนใจเรื่องนี้มาก เขามีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวของจิตที่นอกเหนือจากจิตปกติกันมานาน เช่น โทรจิต(Telepathy) ,สัมผัสที่หก(Six Sense) , การรับรู้พิเศษ(Extra Sensory Perception) , การใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายสิ่งของ(Psycho Kinetic) , การกลับชาติมาเกิด(Reincanation) เป็นต้น ซึ่งอยู่ในสาขาวิชาปรจิตวิทยา(Parapsychology) จนถึงขั้นมีศาสตราจารย์และด็อกเตอร์ทางสาขานี้กันแล้ว แต่ในบ้านเรากลับตรงกันข้าม เมื่อก่อนนี้เรามีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเพราะพวกเราส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ และเราเชื่อถือในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่ในปัจจุบันนี้เรากลับมองเรื่องเหล่านี้ว่าเป็นเรื่องงมงาย ทุกครั้งที่มีการนำเสนอถึงเรื่องเหล่านี้ตามสื่อต่างๆโดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ก็จะได้เห็นคำว่า เป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการชม ซึ่งเข้าใจว่าเป็นการให้เกียรติผู้ที่มีความเชื่อเป็นอย่างอื่น แต่ก็อย่างที่ว่า

ความจริงก็คือความจริง ถ้าเราไม่เชื่อและศรัทธาในความเป็นจริงแล้ว เราจะเชื่อถือสิ่งใดได้อีก

หาเวลามาพิสูจน์กันเถอะครับจะได้หายสงสัยกันเสียที หาโอกาสทำการพิสูจน์ด้วยตัวเองสักครั้งโดยวิธีใดวิธีหนึ่งก็ได้ และไม่จำเป็นต้องพยายามทำให้ใครเขาเชื่อตาม ปล่อยให้ผู้ที่ไม่รู้ ไม่พิสูจน์ ไม่เชื่อ เขาสงสัยและถกเถียงกันต่อไปอย่าได้ใส่ใจ สิ่งที่น่าใส่ใจน่าสนใจคือ เมื่อเราทำการพิสูจน์จนรู้ได้ด้วยตัวเองว่าชีวิตภายหลังความตายและการสืบเกิดในชาติหน้ามีจริงแล้ว จะทำอย่างไรกันต่อไป ซึ่งเป็นแก่นสารสาระของหนังสือเล่มนี้