สำหรับข้อสังเกตความเป็นไปได้ในแง่มุมต่างๆหรือสมมุติฐานเบื้องต้น ที่ผู้เขียนใช้เป็นหลักในการพิจารณาวิเคราะห์และตรวจสอบกรณีศึกษาผู้จำอดีตชาติได้ในที่นี้ มีทั้งหมด ๘ ข้อ คือ
๑. เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ กุเรื่องขึ้นมาเอง เพื่อประโยชน์บางอย่าง
๒. เป็นไปได้หรือไม่ที่ครอบครัวผู้ใกล้ชิดหรือผู้อื่นสอนให้ผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้พูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติที่กุขึ้นมา
เพื่อประโยชน์บางอย่าง
๓. เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของผู้เสียชีวิตหรือผู้อื่น แล้วทึกทักเอาว่าเป็นตัวเอง
๔. เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ คิดเพ้อฝันไปเอง หรือมีความผิดปกติทางจิตประสาท
๕. เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้เคยได้รับรู้เรื่องราวของผู้เสียชีวิต จากความคิดหรือคำพูดของผู้เป็นแม่
หรือบุคคลอื่น ขณะอยู่ในครรภ์
๖. เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ มีความสามารถพิเศษ เป็นอัจฉริยะ มีส่วนของสมองหรือประสาทสัม-
ผัสที่พิเศษ แตกต่างจากบุคคลทั่วๆไป
๗. เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ ถูกวิญญาณของผู้เสียชีวิตเข้าสิง
๘. เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ จำอดีตชาติได้จริง
ผู้เขียนได้นำสมมุติฐานเบื้องต้นทั้ง ๘ ข้อนี้ มาใช้พิจารณาวิเคราะห์และตรวจสอบกรณีศึกษาผู้จำอดีตชาติได้ ทั้ง ๑๖ รายในที่นี้ และมีข้อสังเกตที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
สมมุติฐานข้อที่ ๑ ที่ว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้กุเรื่องขึ้นมาเอง เพื่อประโยชน์บางอย่าง สำหรับสมมุติฐานข้อนี้ ผู้เขียนมีข้อสังเกตที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
- การที่เด็กที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ เริ่มพูดถึงความทรงจำในอดีตชาติตั้งแต่เริ่มหัดพูด ถ้าหากสมมุติฐานข้อนี้เป็น
ความจริง คงจะเป็นสิ่งที่ผิดปกติอย่างมากที่เด็กน้อยวัย ๑-๓ ขวบที่กำลังหัดพูดหรือเพิ่งพูดได้เป็นคำจะคิดกุเรื่อง
ขึ้นมาเอง เพื่อหวังประโยชน์บางอย่าง เช่น อยากดัง อยากเป็นคนสำคัญ หรืออยากมีฐานะที่ดีขึ้น และคงเป็นเรื่อง
อัศจรรย์ที่บังเอิญเรื่องที่เขากุขึ้นมาเอง มีรายละเอียดตรงกันกับเรื่องราวชีวิตของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วคนหนึ่งอย่าง
ลงตัว สามารถพิสูจน์คำพูดและการแสดงออกของเขา กับข้อเท็จจริงที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตทราบดีได้อย่างถูก
ต้อง ทั้งๆที่ ทั้งสองครอบครัวไม่เคยพบหรือรู้จักกันมาก่อน แถมบางกรณีเด็กยังมีแผลเป็นติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิด
ตรงกันกับรอยบาดแผลที่ทำให้บุคคลผู้นั้นเสียชีวิต อีกด้วย
- การที่เด็กที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ พูดถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะระหว่างบุคคล ๒ คน คือ
ระหว่างบุคคลที่เสียชีวิตในอดีตชาติกับบุคคลที่เขาเคยมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ซึ่งเป็นเหตุการณ์เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็น
การเฉพาะไม่มีบุคคลอื่นทราบหรือพูดถึงมาก่อน จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เด็กอายุประมาณ ๑-๓ ขวบ จะสามารถกุ
เรื่องที่รู้ได้เฉพาะบุคคล ๒ คนเหล่านี้ขึ้นมาได้อย่างถูกต้อง และบรรยายถึงเหตุการณ์บุคคลและสถานที่นั้นๆ
เหมือนกับว่าเขาได้ประสบกับเหตุการณ์หรือได้ไปยังสถานที่นั้นๆมาด้วยตัวของเขาเองจริงๆ เขาพูดพร้อมกับ
แสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึก และขณะที่พูดเขาจะใช้คำพูดแทนตัวเองว่าเป็นบุคคลผู้นั้นโดยตลอด
- การที่เด็กที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ พูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรม เรื่องที่น่าละอาย การกระ
ทำที่ผิดกฎหมายหรือผิดศีลธรรม ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ไม่ได้ส่งผลให้เกิดประโยชน์หรือผลดีใดๆเลย ต่อตัวของเด็กที่
อ้างว่าจำอดีตชาติได้และครอบครัว ตรงกันข้ามกลับทำให้ตัวของพวกเขาเองและครอบครัว รู้สึกไม่สบายใจและ
รู้สึกกังวลใจกับคำพูดนั้นๆ จนนำมาซึ่งความพยายามที่จะทำให้เด็กลืมอดีตชาติและเลิกพูดถึงเรื่องราวและ
เหตุการณ์ต่างๆเหล่านั้น เพราะเหตุว่ากลัวจะเกิดผลร้าย เกิดการแก้แค้น หรือเกิดอันตรายกับเด็กได้ เพราะบาง
กรณีคดีความยังไม่หมดอายุความ และบางครั้งคำพูดของเด็กยังส่งผลกระทบในทางที่เสียหายต่อบุคคลอื่น ตัว
ของเด็กเอง และครอบครัวเป็นอย่างมากอีกด้วย
- การที่เด็กที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ อ้างถึงเรื่องราวชีวิตในอดีตชาติที่ลำบากยากจนกว่าชีวิตในชาติปัจจุบัน อ้างถึง
ชีวิตในอดีตชาติที่เป็นบุคคลธรรมดา ไม่ใช่บุคคลที่มีชื่อสียง ไม่ใช่บุคคลสำคัญ หรือไม่ใช่บุคคลที่เป็นที่รู้จักของ
บุคคลทั่วไป อีกทั้งในหมู่บ้านของผู้เขียนเรื่องการจำอดีตชาติได้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป และยังไม่เคยมีเด็กที่
อ้างว่าจำอดีตชาติได้คนใด ได้รับการยกย่อง มีชื่อเสียง หรือกลายเป็นคนสำคัญแต่อย่างใด จึงทำให้ประเด็นของ
ความพยายามกุเรื่องขึ้นมาเองของเด็กเพื่อหวังประโยชน์จากการสร้างเรื่องการจำอดีตชาติขึ้นมา ไม่น่าจะเป็นไป
ได้ จากข้อสังเกตที่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักของเหตุผลดังกล่าว ทำให้ความเป็นไปได้ของสมมุติฐานนี้ตกไป
สมมุติฐานข้อที่ ๒ ที่ว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ครอบครัวผู้ใกล้ชิดหรือผู้อื่นสอนให้ผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ พูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติที่กุขึ้นมา เพื่อประโยชน์บางอย่าง สำหรับสมมุติฐานข้อนี้ผู้เขียนมีข้อสังเกตและความเห็นเหมือนกับสมมุติฐานข้อที่ ๑ และมีข้อสังเกตเพิ่มเติม คือ
- การที่ครอบครัวพ่อแม่ของเด็กที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ พยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้เด็กหยุดพูดถึงอดีตชาติ
เนื่องจากเชื่อว่าเด็กจะอายุสั้น หรือกลัวว่าจะเกิดผลกระทบในทางไม่ดี อีกทั้งพวกเขาส่วนใหญ่จะมีความรู้สึกที่ไม่
ดีกับการที่เด็กไม่ยอมเรียกพวกเขาว่า "พ่อ..แม่" แถมพูด "กู..มึง" กับพวกเขา บอกว่าพวกเขา "ไม่ใช่พ่อแม่" และ
แสดงความไม่เคารพพวกเขา อย่างที่ลูกทั่วๆไปสมควรทำ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
- การที่เด็กถูกทดสอบ โดยการตั้งคำถามแบบสดๆ คำถามที่เด็กครอบครัวหรือคนใกล้ชิดของเด็กไม่น่าจะรู้ ในขณะ
ที่พ่อแม่และคนใกล้ชิดของเด็กถูกแยกออกไป เพื่อกันไม่ให้เด็กมีตัวช่วย แล้วเด็กสามารถตอบได้ทันทีโดยไม่ลังเล
แถมยังบรรยายถึงเหตุการณ์บุคคลและสถานที่นั้นๆได้อย่างถูกต้องเพิ่มเติมอีก เหมือนกับว่าเขาได้ประสบกับ
เหตุการณ์หรือได้ไปยังสถานที่นั้นๆมาด้วยตัวของเขาเองจริงๆ เขาพูดพร้อมกับแสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึก
และขณะที่พูดเขาจะใช้คำพูดแทนตัวเองว่าเป็นบุคคลผู้นั้นโดยตลอด ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าการพิสูจน์ของคนในครอบ
ครัวในอดีตชาติ มีความน่าเชื่อถือได้มาก เพราะพวกเขาต้องใช้ความรอบคอบและความระมัดระวังอย่างดีที่สุด ใน
การพิสูจน์ เพราะพวกเขากลัวว่าจะเป็นผู้ถูกหลอกลวง มากกว่า คนที่อ่านเรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของพวกเขา
แล้วเกิดสงสัย ว่าจะเป็นเรื่องที่กุขึ้นมาเพื่อหลอกลวงกันเสียอีก
ดังนั้น "เหตุผล" ที่ทำให้ครอบครัวในอดีตชาติปลงใจเชื่ออย่างสนิทใจว่า เด็กคือคนในครอบครัวของพวกเขาที่เสียชีวิตสืบชาติมาเกิดนั้นจึง "น่าสนใจและน่าเชื่อถือได้มาก" ผู้เขียนเชื่อว่า คำถามแรกที่ผุดขึ้นในใจของครอบครัวในอดีตชาติส่วนใหญ่ เมื่อมีเด็กมาอ้างว่าเป็นคนในครอบครัวของพวกเขาที่เสียชีวิตไปแล้วสืบชาติมาเกิดใหม่นั้น ก็คือคำถามที่ว่า เด็กถูกสอนให้พูดถึงเรื่องราวของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว เพื่อประโยชน์บางอย่างหรือไม่ ? และเมื่อครอบครัวในอดีตชาติพิสูจน์ข้อข้องใจนี้จนหายสงสัยแล้ว พวกเขาจึงจะปลงใจเชื่อได้อย่างสนิทใจจริงๆ
จะเห็นได้ว่าการพูดถึงอดีตชาติของผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้หลายรายในที่นี้ ไม่ได้ส่งผลให้เกิดประโยชน์หรือผลดีใดๆเลย ต่อตัวของเด็กผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้และครอบครัว นอกจากนี้ในบางเรื่องราวบางเหตุการณ์ที่ผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้พูดถึง ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะบุคคลสองคนซึ่งไม่มีคนอื่นทราบ หรือเป็นเรื่องราวของบุคคลที่ครอบครัวหรือผู้ใกล้ชิดกับผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ไม่เคยรู้จักหรือคุ้นเคยมาก่อน จึงเป็นไปไม่ได้ที่ครอบครัวผู้ใกล้ชิดหรือบุคคลอื่น จะสอนให้เด็กที่มีอายุเพียง ๑-๓ ขวบ พูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติที่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะบุคคล สอนให้เด็กพูดถึงเรื่องราวของบุคคลที่ไม่เคยรู้จักคุ้นเคยตั้งแต่เด็กเพิ่งจะเริ่มพูดได้เป็นคำ สอนให้ร้องไห้ สอนให้แสดงอารมณ์ดีใจ เสียใจ แสดงความคุ้นเคย แสดงความชำนาญเฉพาะตัว หรือสอนให้แสดงออกให้เหมือนกับสิ่งที่ผู้เสียชีวิตเคยแสดงออก หรือสอนให้เด็กตอบคำถามสดๆเฉพาะหน้า ในขณะที่ผู้เป็นพ่อแม่ในปัจจุบันชาติถูกกันแยกออกไป ไม่ให้มีโอกาสเป็นตัวช่วยในการตอบคำถามสดนั้นๆได้ ดังนั้นความเป็นไปได้ของสมมุติฐานนี้จึงตกไป
สมมุติฐานข้อที่ ๓ ที่ว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของผู้เสียชีวิตหรือผู้อื่น แล้วทึกทักเอาว่าเป็นตัวเอง สำหรับสมมุติฐานข้อนี้ผู้เขียนมีความเห็นว่า เป็นไปได้ ที่ผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้จะเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวของผู้เสียชีวิตหรือเรื่องราวของบุคคลอื่น แต่เป็นไปไม่ได้ ที่ผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ จะรู้จักหน้าตาของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิตจากเรื่องราวที่เขาอาจจะเคยได้ยินได้ฟังมา จนถึงขนาดที่ว่าเมื่อได้พบกันครั้งแรกก็รู้จักและทักทายบุคคลผู้นั้นได้ ซึ่งในที่นี้มีหลายกรณีที่ผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ทักทายครอบครัวพ่อแม่ พี่น้อง ญาติๆ คนรู้จัก และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิต ทั้งๆที่เพิ่งพบกันครั้งแรก หรือถูกทดสอบโดยชี้และถามกันสดๆว่าเด็กรู้จักบุคคลนั้นๆหรือไม่ชื่ออะไร ซึ่งพ่อแม่พี่น้องของผู้เสียชีวิตทราบว่าผู้เสียชีวิตรู้จัก แต่เป็นไปไม่ได้ที่เด็กซึ่งอาจจะเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวของผู้เสียชีวิตมาก่อน จะชี้และบอกชื่อบุคคลเหล่านั้นได้อย่างถูกต้อง และการที่ผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้พูดถึงเรื่องราวของผู้เสียชีวิตที่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผู้อื่นรู้กันทั่วไป จึงไม่ใช่เรื่องที่เด็กจะได้ยินได้ฟังมาจากที่ใดๆได้ ดังนั้นความเป็นไปได้ของสมมุติฐานนี้จึงตกไปเช่นกัน
สมมุติฐานข้อที่ ๔ ที่ว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ คิดเพ้อฝันไปเอง หรือมีความผิดปกติทางจิตประสาท สำหรับสมมุติฐานข้อนี้ผู้เขียนเห็นว่า การพูดถึงเรื่องราวเหตุการณ์ในอดีตชาติของผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ รายนี้ ล้วนแต่เป็นเรื่องราวเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในอดีต ครอบครัวในอดีตชาติยังมีชีวิตอยู่ให้ตรวจสอบได้ และมีพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องรู้เห็นเรื่องราวเหตุการณ์นั้นๆ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้จะคิดเพ้อฝันไปเอง หรือมีความผิดปกติทางจิตประสาท จนสามารถพูดและแสดงออกถึงเรื่องราวชีวิตของผู้เสียชีวิตได้อย่างถูกต้อง พวกเขาผ่านด่านการพิสูจน์เปรียบเทียบกับข้อเท็จจริงจากครอบครัวญาติพี่น้องในอดีตชาติมาได้ และพวกเขาปกติดี ไม่มีความผิดปกติทางจิตประสาทปรากฏให้เห็นแต่อย่างใด ดังนั้นความเป็นไปได้ของสมมุติฐานนี้จึงตกไป
สมมุติฐานข้อที่ ๕ ที่ว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้เคยได้รับรู้เรื่องราวของผู้เสียชีวิต จากความคิดหรือคำพูดของผู้เป็นแม่หรือบุคคลอื่น ขณะอยู่ในครรภ์ สำหรับสมมุติฐานข้อนี้คล้ายกับสมมุติฐานข้อที่ ๓ ผู้เขียนเห็นว่า เป็นไปได้ ที่ทารกที่อยู่ในครรภ์จะสามารถรับรู้เรื่องราวได้ ซึ่งมีรายงานการศึกษาของ ดร.แคเธอลิจน์ แวน เฮาธเรน แพทย์จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ว่าทารกที่อยู่ในครรภ์สามารถรับรู้ เรียนรู้ มีปฏิกิริยาตอบสนองและรู้จักจำเสียงได้ อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีข้อมูลยืนยันว่าทารกในครรภ์สามารถรับรู้เรื่องราวได้ แต่เป็นไปไม่ได้ ที่ทารกในครรภ์จะรู้จักหน้าตาของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิต จากเรื่องราวที่อาจจะเคยได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่ยังเป็นทารกในครรภ์ จนถึงขนาดที่ว่าเมื่อได้พบกันครั้งแรกก็รู้จักและทักทายบุคคลผู้นั้นได้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะทราบเรื่องราวของผู้เสียชีวิต ที่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผู้อื่นรู้กันทั่วไปได้ ดังนั้นความเป็นไปได้ของสมมุติฐานนี้จึงตกไป
สมมุติฐานข้อที่ ๖ ที่ว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ มีความสามารถพิเศษ หรือมีส่วนของสมองและประสาทสัมผัสที่พิเศษเป็นอัจฉริยะ แตกต่างจากบุคคลทั่วๆไป สำหรับสมมุติฐานข้อนี้ผู้เขียนเห็นว่า มีความเป็นไปได้ ที่จะมีผู้ที่ความสามารถรับรู้พิเศษหรือเป็นอัจฉริยะ สามารถรับรู้เรื่องราวจดจำและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างดีเลิศ แต่มีคำถามว่า หากผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้มีความสามารถพิเศษจริง ทำไมพวกเขาจึงแสดงความสามารถพิเศษนั้นโดยมุ่งเน้นไปที่เรื่องราวชีวิตของผู้เสียชีวิตเพียงคนเดียว โดยไม่ใช้ความสามารถพิเศษไปในทางอื่นเลย ? ซึ่งจากข้อมูลของผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ รายในที่นี้ และในหลายๆกรณีทั่วโลก ไม่มีตัวเลขของผู้จำอดีตชาติได้ที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยม หรือแสดงถึงความทรงจำและการวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างดีเลิศในระดับที่เข้าข่ายเด็กอัจฉริยะอย่างมีนัยสำคัญเลย พวกเขาส่วนใหญ่มีไอคิวในระดับเดียวกันกับบุคคลทั่วๆไป มีสติปัญญาความสามารถในระดับเดียวกันกับบุคคลทั่วไป ดังนั้นความเป็นไปได้ของสมมุติฐานนี้จึงตกไป
สมมุติฐานข้อที่ ๗ ที่ว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ ถูกวิญญาณของผู้เสียชีวิตเข้าสิง สำหรับสมมุติฐานข้อนี้ผู้เขียนเห็นว่า มีความเป็นไปได้ ที่วิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตจะเข้าสิงร่างของเด็กได้เช่นเดียวกันกับการเข้าทรง ซึ่งมีผลงานการศึกษาวิจัยที่ชื่อว่า ข้อมูลประจักษ์ตายแล้วเกิด การเชิญวิญญาณเข้าทรง ของ ดร.บุณย์ นิลเกษ อดีตอาจารย์คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ทำการศึกษาทดลองโดยการเชิญวิญญาณผู้เสียชีวิตให้มาสิงร่างของ “ปู่ส่าง” ซึ่งเป็นร่างทรงที่มีชื่อเสียงของ ตำบลดอยสะเก็ด อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ แล้วให้ญาติของผู้เสียชีวิตเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ ที่เป็นของผู้เสียชีวิตและของผู้อื่นคละปนกันมาด้วย และจัดให้ญาติของผู้เสียชีวิตนั่งคละกันกับคนอื่นๆโดยที่ไม่ให้คนทรงทราบ ปรากฏว่าร่างทรงสามารถชี้และบอกชื่อของญาติๆของผู้เสียชีวิตได้ถูกต้อง เลือกสิ่งของที่เป็นของผู้เสียชีวิตได้ถูกต้อง และบอกถึงสาเหตุการเสียชีวิตรวมถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิตได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ร่างทรงจะทราบเรื่องราวหรือเหตุการณ์เหล่านั้นได้ เนื่องจากผู้ที่มาร่วมการทดลองมาจากหลายตำบล หลายอำเภอ ทั้งในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดอื่นๆ รวมทั้งหมด ๑๐๐ กรณีศึกษา ผลที่ได้คือทุกราย หรือ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็มของกรณีศึกษาที่มาร่วมการทดลอง ร่างทรงสามารถชี้และบอกชื่อของญาติๆของผู้เสียชีวิตได้ถูกต้อง เลือกสิ่งของที่เป็นของผู้เสียชีวิตได้ถูกต้อง บอกถึงสาเหตุการเสียชีวิตร่วมถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิตได้อย่างถูกต้อง และมีอากัปกริยาการแสดงออกคล้ายกับผู้เสียชีวิต ซึ่งจากผลงานการศึกษาวิจัยชิ้นนี้ทำให้ผู้เขียนเห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่วิญญาณของผู้เสียชีวิตจะสามารถเข้าสิงร่างของเด็กได้
นอกจากผลงานวิจัยดังกล่าวแล้ว ยังพบว่ามีการกล่าวถึงการที่วิญญาณที่ไปเกิดในภพอื่นแล้วได้มาเข้าสิงร่างของคนตายได้ชั่วขณะหนึ่ง ใน ปาฏิกสูตร ในพระไตรปิฎก (สุต.ที.ปา/ปาฏิกสูตร) ความว่า
“...โกรักขัตติยอเจลกได้ตายด้วยโรคอลสกะ ได้ถูกเขานำไปทิ้งไว้ที่ป่าช้าชื่อวีรณัตถัมภกะ ครั้นแล้วจึงเข้าไปหาศพโกรักขัตติยอเจลกที่ป่าช้าชื่อวีรณัตถัมภกะ แล้วจึงเอามือตบซากศพเขาถึง ๓ ครั้ง แล้วถามว่า ดูกรโกรักขัตติยะ ท่านทราบคติของตนหรือ ครั้งนั้นซากศพโกรักขัตติยอเจลกได้ลุกขึ้นยืนพลางเอามือลูบหลังตนเองตอบว่า ดูกรสุนักขัตตะผู้มีอายุ ข้าพเจ้าทราบคติของตนอยู่ คือข้าพเจ้าไปบังเกิดในเหล่าอสูรชื่อกาลกัญชิกา ซึ่งเลวกว่าอสุรกายทั้งปวง ดังนี้ แล้วล้มลงนอนหงายอยู่ ณ ที่นั้นเอง...”
มีข้อสังเกตบางประการที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างกัน ระหว่างการสิงร่างกับการเกิดใหม่ คือ กรณีของการสิงร่างนั้นบางครั้งผู้ที่ถูกสิงจะไม่รู้สึกตัวหรือจดจำเหตุการณ์ขณะที่วิญญาณเข้าสิงร่างได้เลย หรือบางครั้งรู้สึกตัวแต่ไม่สามารถบังคับตัวเองได้ แต่ในกรณีของเด็กที่จำอดีตชาติได้นั้น ในขณะที่เด็กพูดถึงความทรงจำในอดีตชาติ(เปรียบเทียบว่าเป็นช่วงที่เด็กกำลังถูกสิงร่าง) เด็กจะรู้สึกตัว ยังมีสติจำได้ สามารถจำคำพูดและการกระทำของเขาเองในขณะนั้นๆได้ และมีพัฒนาการในการเรียนรู้ได้ตามปกติ และในขณะที่เด็กลืมความทรงจำในอดีตชาติไปหมดแล้ว(เปรียบเทียบว่าเป็นช่วงที่วิญญาณ ไม่ได้สิงร่างของเด็กแล้ว) เด็กก็ยังมีความรู้สึกผูกพันกับครอบครัวในอดีตชาติเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าจะลืมเรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆในอดีตชาติไปแล้วก็ตาม
ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือ มีบางกรณีที่ผู้ที่จำอดีตชาติได้บอกว่า ตอนที่เขาเป็นวิญญาณเขาเคยเข้าสิงร่างของชาวบ้านหลายคนเพราะหิวไม่มีอะไรกิน จากนั้นเขาจึงได้มาเกิดกับแม่ในปัจจุบันชาติ หรือกรณีที่ผู้เสียชีวิตเข้าฝันบอกกับแม่ในอดีตชาติว่าตัวเขาจะไปเกิดใหม่กับใคร จากกรณีนี้จะเห็นได้ว่า วิญญาณผู้เสียชีวิตจะรู้สถานะหรือสภาวะของตนดี ว่าเป็นการเข้าสิงร่างหรือเป็นการเกิดใหม่
ถ้าสมมุติว่ากรณีของการจำอดีตชาติได้เป็นการเข้าสิงร่างของวิญญาณผู้เสียชีวิตจริง การที่เด็กมีรอยแผลเป็นตั้งแต่แรกเกิดที่ตรงกันกับบาดแผลที่ทำให้เสียชีวิตนั้น แสดงว่าวิญญาณของผู้เสียชีวิตจะต้องเข้าสิงร่างของทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และเมื่อเด็กคลอดออกมามีอวัยวะสมบูรณ์และเจริญเติบโตจนกระทั่งอายุได้ ๕-๗ ขวบ ร่างกายสมบูรณ์ดีแล้ววิญญาณที่มาเข้าสิงก็น่าจะใช้ประโยชน์จากร่างกายที่สมบูรณ์นี้ได้อย่างเต็มที่ ดีกว่าขณะที่สิงร่างในสภาพของทารก แต่ตรงกันข้ามเมื่อเด็กโตขึ้นจนอายุได้ประมาณ ๕-๗ ขวบ เด็กจะเริ่มลืมอดีตชาตินั่นหมายความว่าถ้าเป็นการสิงร่างจริง ช่วงเวลานั้นวิญญาณของผู้เสียชีวิตก็คงจะกำลังออกจากร่างที่สิงมาตั้งแต่ยังเป็นทารก ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ จะว่าเป็นการสิงเป็นบางเวลาหรือสิงชั่วครั้งชั่วคราวเมื่อเด็กโตขึ้นก็ออกจากร่างไปสิงคนอื่นต่อ จากการศึกษาก็ไม่เคยพบว่ามีกรณีที่มีการพูดถึงการเข้าสิงในลักษณะแบบนี้ แม้กระทั่งผู้ที่จำอดีตชาติได้มากกว่าหนึ่งชาติขึ้นไป ก็ไม่เคยมีการพูดถึงการสิงร่างทารกหรือสิงร่างชั่วครั้งชั่วคราวแล้วออกจากร่างไปเมื่อเด็กอายุได้ ๕-๗ ขวบ ในลักษณะแบบนี้เลย
ที่สำคัญคือ ถ้ากรณีของการจำอดีตชาติได้ เป็นการเข้าสิงร่างชั่วครั้งชั่วคราวของวิญญาณผู้เสียชีวิตจริง การจำอดีตชาติได้มากกว่าหนึ่งชาติก็จะไม่มีอยู่หรือเป็นไปไม่ได้ คือวิญญาณดวงนั้นจะต้องเป็นวิญญาณดวงเดิมดวงแรกที่ถือกำเนิดมาหรือมีตัวตนต้นแบบ ไม่ว่าจะไปสิงในร่างไหนๆความรู้สึกหรือความทรงจำว่าตัวเองเป็นตัวต้นแบบก็จะยังคงอยู่ตลอดไป เช่น ตัวต้นแบบเป็น "อาดัม" เมื่ออาดัมเสียชีวิต อาดัมเข้าสิงในร่างไหนๆเป็นแสนเป็นล้านร่างต่อมาหลายพันปีจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ อาดัมก็จะยังคงเป็นอาดัม เป็นวิญญาณดวงเดิม และคงจะจำอดีตหรือพูดถึงอดีตที่ผ่านมาได้ว่าตัวเองเป็นอาดัมที่เที่ยวสิงร่างทารกและเด็กไปเรื่อยๆชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อเด็กอายุได้ ๕-๗ ขวบก็ย้ายไปสิงร่างอื่นต่อไป แต่กรณีของเด็กที่จำอดีตชาติได้นั้น เด็กส่วนใหญ่จะจำได้เพียงชาติเดียว ว่าในชาติก่อนหน้านี้เขาคือใคร มีชื่อว่าอะไร ซึ่งบุคคลผู้นั้นก็เคยมีชีวิตอยู่จริง เมื่อเกิดใหม่เขาก็จะยึดถือเอาชื่อสกุลในชาติใหม่นี้เป็นตัวตนของตนต่อไป ไม่ได้ยึดถือเอาชื่อสกุลตัวตนของชาติก่อนหรือชาติก่อนๆโน้น หรือไม่ได้ยึดถือเอาวิญญาณต้นแบบดวงเก่าดวงเดิม ที่เที่ยวสิงร่างของใครต่อใครเรื่อยไป เหมือนกับการเปลี่ยนเสื้อผ้า มาเป็นตัวตนของตนแต่อย่างใด
อีกกรณีหนึ่งคือกรณีของบุคคลทั่วไปที่จำอดีตชาติไม่ได้ด้วยความทรงจำปกติ แต่เมื่อถูกสะกดจิตหรือฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐานจนสามารถระลึกชาติได้ ซึ่งบางรายสามารถระลึกชาติได้มากกว่าหนึ่งชาติ ว่าเคยเกิดเป็นใครมีครอบครัวและความเป็นอยู่ในชาตินั้นๆอย่างไรเช่นกรณีของ ครูประสิทธิ์ วังโคตรแก้ว ซึ่งมีการตายแล้วเกิดใหม่ถึง ๔ ชาติ แต่ไม่มีการพูดถึงการเข้าสิงแต่อย่างใด นี่เป็นอีกลักษณะหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เป็นการเข้าสิงร่าง เพราะถ้าเป็นการสิงร่าง เด็กที่เกิดมาและเริ่มพูดได้ก็จะพูดถึงว่าตัวเองเป็นใคร(ตัวต้นกำเนิด)ตั้งแต่เริ่มพูดได้
จากข้อสังเกตดังกล่าวจะเห็นได้ว่า กรณีของการเข้าสิงร่างกับกรณีของการสืบชาติมาเกิดใหม่นี้ มีความแตกต่าง กันอย่างชัดเจน คือ ลักษณะของการเข้าสิงร่างนั้นเป็นการที่จิตวิญญาณดวงหนึ่งเข้าไปครอบงำบุคคล ซึ่งมีจิตวิญญาณอีกดวงหนึ่ง และบังคับร่างกายของบุคคลผู้นั้นให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับร่างกายของบุคคลนั้นได้ตลอดเวลาหรือตลอดชั่วอายุขัย แต่การสืบชาติมาเกิดใหม่ของวิญญาณนั้นจิตวิญญาณกับร่างกายรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตลอดเวลาและตลอดชั่วอายุขัย อาจมีบางกรณีที่ขาดสติ ถูกจิตวิญญาณดวงอื่นครอบงำ หรือวิญญาณอาจจะออกจากร่างไปในบางขณะ ก็ไม่ได้เป็นการออกไปโดยสิ้นเชิงแต่ยังมีสายใยชีวิตเชื่อมอยู่ เปรียบเสมือนเส้นยางหนังสติ๊กที่สามารถยืดออกไปได้แต่ไม่ได้ขาดออกจากกัน พระพุทธเจ้าท่านเปรียบกรณีที่ผู้ฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐาน จนสามารถถอดวิญญาณออกจากร่างไปชั่วขณะหนึ่งได้ว่า เหมือนกับการเหยียดแขนออกไปและคู้แขนเข้ามา คือแขนสามารถยืดออกไปจากลำตัวได้ แต่ไม่ถึงกับหลุดขาดออกจากร่างกายโดยสิ้นเชิง ยังสามารถกลับมารวมกับร่างกายได้เหมือนเดิม
ซึ่งจากข้อมูลที่นำมาพิจารณาทั้งหมดนี้ผู้เขียนมีความเห็นว่า การที่เด็กที่จำอดีตชาติได้พูดถึงเหตุการณ์และเรื่องราวชีวิต ของผู้ที่เคยมีชีวิตอยู่ในอดีตและได้เสียชีวิตไปแล้วได้อย่างถูกต้องเหมือนกับเป็นตัวของเขาเองนั้น ไม่น่าจะเกิดจากวิญญาณของผู้เสียชีวิตเข้าสิงร่างของเด็ก ดังนั้นความเป็นไปได้ของสมมุติฐานนี้จึงตกไป
สมมุติฐานข้อที่ ๘ ที่ว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ จำอดีตชาติได้จริง สำหรับสมมุติฐานข้อนี้ผู้เขียนมีความเห็นว่า มีความเป็นไปได้มากกว่าสมมุติฐานในข้ออื่นๆ โดยพิจารณาจากหลักฐานแวดล้อมต่างๆดังนี้
พิจารณาจากคำพูดของเด็กผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ ที่พูดถึงเรื่องราวชีวิตในอดีตชาติ(Statements) ซึ่งจากการตรวจสอบเปรียบเทียบกับข้อเท็จจริงในส่วนอดีตชาติพบว่า คำพูดของเด็กที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้นั้น เป็นเรื่องราวชีวิตที่เคยเกิดขึ้นกับผู้เสียชีวิตจริง และบางเรื่องราวก็เป็นเรื่องที่ทราบกันเฉพาะบุคคลสองคนคือระหว่างผู้เสียชีวิตกับอีกบุคคลหนึ่งโดยที่ไม่มีใครอื่นทราบ เด็กมักจะเริ่มพูดเรื่องราวเหล่านี้ตั้งแต่พวกเขาเพิ่งจะเริ่มหัดพูด ซึ่งไม่น่าจะมีการสอนให้เด็กพูดและสอนให้เด็กแสดงสีหน้าอารมณ์ ให้คล้ายกันกับผู้เสียชีวิตได้ ที่สำคัญคือเรื่องราวเหล่านี้บางเรื่องไม่ได้เป็นการบอกเล่าขึ้นมาเองจากเด็กที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ แต่เกิดจากการสอบถามของครอบครัว ญาติ หรือคนรู้จักของผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นคำถามสดๆที่ไม่มีเวลาให้เด็กหรือผู้ที่เกี่ยวข้องไปค้นหาคำตอบ เมื่อถูกถามเด็กก็สามารถตอบได้อย่างถูกต้องทันทีโดยไม่ลังเล และยังมีพยานยืนยันชัดเจน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครสอนให้เด็กพูดหรือมีการกุเรื่องขึ้นมาเอง
พิจารณาจากคำพูดและการแสดงออกของเด็กผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ ว่าพวกเขารู้จัก บุคคล สัตว์เลี้ยง สิ่งของ และสถานที่ ที่เป็นของครอบครัวผู้เสียชีวิต หรือที่ผู้เสียชีวิตเคยรู้จักและคุ้นเคย(Recognition) การที่เด็กที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้พูดและแสดงออกว่าพวกเขารู้จักบุคคล ที่ตัวของพวกเขาเองและครอบครัวไม่เคยรู้จักหรือเคยพบเห็นบุคคลผู้นั้นมาก่อน พูดและแสดงออกว่ารู้จักสิ่งของหรือสัตว์เลี้ยงของผู้เสียชีวิต ที่ตัวของพวกเขาเองและครอบครัวไม่เคยรู้หรือเคยพบเห็นมาก่อน หรือพูดและแสดงออกว่ารู้จักคุ้นเคยกับสถานที่ ที่ผู้เสียชีวิตรู้จักและคุ้นเคย ซึ่งตัวของพวกเขาเองและครอบครัวไม่เคยรู้จัก หรือเคยไปยังสถานที่เหล่านั้นมาก่อน ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมีใครสอนให้เด็กพูดหรือแสดงออกถึงความรู้จักคุ้นเคยกับสิ่งต่างๆเหล่านั้นได้ ที่สำคัญคือการพูดและแสดงออกว่าพวกเขารู้จัก บุคคล สัตว์เลี้ยง สิ่งของต่างๆ หรือสถานที่ต่างๆเหล่านั้น บางเรื่องก็ไม่ได้เป็นการพูดและแสดงออกมาเองจากเด็กที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ แต่เกิดจากการสอบถามของครอบครัว ญาติ หรือคนรู้จักของผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นคำถามสดๆที่ไม่มีเวลาให้เด็กหรือผู้ที่เกี่ยวข้องไปค้นหาคำตอบ เมื่อถูกถามแล้วเด็กสามารถตอบได้อย่างถูกต้องทันทีโดยไม่ลังเล และบางครั้งยังแสดงความคุ้นเคยคล้ายกันกับที่ผู้เสียชีวิตเคยทำได้อีกด้วย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นการกุเรื่อง หลอกลวง หรือมีใครสอนให้เด็กพูดและสอนให้แสดงถึงความรู้จักคุ้นเคยกับสิ่งต่างๆเหล่านั้นออกมาได้
พิจารณาจากความฝันบอกเหตุที่บอกล่วงหน้าว่าจะมีการสืบชาติมาเกิดใหม่ของผู้เสียชีวิต(Announcing dreams) ซึ่งจากข้อมูลการศึกษาที่ได้พบว่า มีทั้งแม่ของผู้เสียชีวิตฝันว่าผู้เสียชีวิตมาบอกว่าจะไปเกิดกับใคร แม่ของเด็กผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ฝันว่าผู้เสียชีวิตมาขอเกิดด้วย ญาติหรือบุคคลอื่นฝันว่าผู้เสียชีวิตมาบอกว่าให้ช่วยไปบอกกับแม่ของเด็กผู้ที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ ว่าผู้เสียชีวิตได้สืบชาติมาเกิดเป็นลูกของเธอแล้ว และต่อมาพวกเด็กๆที่เกิดมาก็จำอดีตชาติได้ว่าเป็นผู้เสียชีวิตสืบชาติมาเกิด มีพยานยืนยันชัดเจน นับว่าเป็นความสัมพันธ์ตรงกันระหว่างความฝันและความเป็นจริง ซึ่งไม่น่าจะเป็นเพียงแค่เหตุบังเอิญตรงกัน ที่เลื่อนลอยไร้เหตุผล
พิจารณาจากรอยตำหนิและความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิดที่ตรงกันกับบาดแผล รอยฟกช้ำ รอยป้ายศพ รอยแผลเป็น อาการบาดเจ็บ หรืออาการป่วยของผู้เสียชีวิต(Birthmarks and birth defects) เช่น เด็กที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้มีแผลเป็นที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิดตรงกันกับบาดแผลของผู้เสียชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาดแผลที่ทำให้เสียชีวิต หรือเด็กที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้มีปานที่มีลักษณะและตำแหน่งตรงกันกับรอยตำหนิ ที่ญาติผู้เสียชีวิตทำไว้บนศพของผู้เสียชีวิต หรือเด็กที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้มีอาการคล้ายกับอาการป่วยหรืออาการบาดเจ็บของผู้เสียชีวิต เป็นต้น หลักฐานแวดล้อมลักษณะนี้นับว่าเป็นหลักฐานที่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากที่สุดอย่างหนึ่ง ที่สามารถใช้ในการพิสูจน์เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ตรงกันระหว่างอดีตชาติและปัจจุบันชาติ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ เป็นการกุเรื่องขึ้น หรือมีการเตรียมการสร้างฉากขึ้นมาเพื่อหลอกลวงกันอย่างแน่นอน
จากการพิจารณาจากหลักฐานแวดล้อมต่างๆทั้ง คำพูด การแสดงออก ความฝันบอกเหตุ และหลักฐานที่เป็นรูปธรรมพิสูจน์ได้อย่างรอยตำหนิและความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิด ที่ตรงกันกับบาดแผล รอยฟกช้ำ รอยป้ายศพ รอยแผลเป็น อาการบาดเจ็บ หรืออาการป่วยของผู้เสียชีวิต ที่เป็นเหตุเป็นผลสัมพันธ์กันดังกล่าว ทำให้ผู้เขียนไม่สามารถที่จะหาเหตุผลที่ดีพอมาสนับสนุนความเห็นที่ว่า การจำอดีตชาติได้นั้นเป็นเรื่องที่ถูกสร้างสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมา เป็นเรื่องของเด็กที่ถูกสอนให้พูด เป็นความคิดเพ้อฝันไปเองของเด็ก เป็นความผิดปกติทางจิตประสาทของเด็ก เป็นความสามารถพิเศษของเด็ก เป็นเรื่องของเด็กอัจฉริยะ เป็นเรื่องงมงายไม่มีเหตุผล หรือเป็นเรื่องอัศจรรย์เกินกว่าที่จะพิสูจน์ได้ จึงมีความเห็นว่า การสืบชาติมาเกิดใหม่และการจำอดีตชาติได้ของคนเรานั้นมีอยู่จริง และสามารถพิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม