นางเสงี่ยม นันกลาง

ข้อมูลเบื้องต้น

กรณีของนางเสงี่ยม นันกลาง

ปัจจุบันชาติ

ชื่อ-นามสกุล : นางเสงี่ยม นันกลาง ชื่อเล่น : เหงี่ยม

วันเดือนปีเกิด : ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๗

ความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิด : มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่ บริเวณต้นแขนทั้งสองข้าง หน้าอก

และรอยแผลเป็นคล้ายกับรอยเกลียวเชือกรอบลำคอ

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : ๑๔๓ หมู่ ๓ ตำบลตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์

พี่น้องร่วมบิดามารดา : มี ๘ คนคือ

๑. นางแดง มหิดุลย์ ๕. นายจัด มหิดุลย์

๒. นายฟัก มหิดุลย์ ๖. นายจี่ มหิดุลย์

๓. นายใจ มหิดุลย์ ๗. นายจ่อย มหิดุลย์

๔. นางสมจิตร มหิดุลย์ ๘. นางเสงี่ยม นันกลาง(มหิดุลย์)

อดีตชาติ

ชื่อ-นามสกุล : นางเสี้ยว อะวิสุ ชื่อเล่น : เสี้ยว

วันเดือนปีเกิด : -

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : -

พี่น้องร่วมบิดามารดา : มี ๕ คนคือ

๑. นางเสี้ยว อะวิสุ ๔. นายสนอง อะวิสุ

๒. นายปุ่น อะวิสุ ๕. นายเหนียม อะวิสุ

๓. นางเสงี่ยม อะวิสุ

วันเดือนปีที่เสียชีวิต : - พ.ศ.๒๕๐๖

สาเหตุที่เสียชีวิต : ถูกฆาตกรรม

สถานที่เสียชีวิต : ที่บ้านของนางเสี้ยวและสามี(ภายหลังได้ถูกรื้อ ปัจจุบันไม่มีแล้ว)

นางเสงี่ยม นันกลาง จำอดีตชาติได้

ผู้ที่จำอดีตชาติได้ในหมู่บ้านของผู้เขียนรายนี้ เธอมีชื่อว่า นางเสงี่ยม นันกลาง นามสกุลเดิม มหิดุลย์ เป็นบุตรสาวของ นายตัง และ นางปรง มหิดุลย์ ขณะที่ผู้เขียนไปสัมภาษณ์ครั้งแรก เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๒ เธออายุ ๓๕ ปี เธอแต่งงานมีสามีแล้วชื่อว่า นายพรศักดิ์ นันกลาง และมีบุตรด้วยกันหนึ่งคนชื่อ เด็กหญิงสุมาลี นันกลาง

นางเสงี่ยมจำอดีตชาติได้ว่า ชาติก่อนเธอชื่อว่า นางเสี้ยว อะวิสุ เธอถูกสามีฆ่าตายแล้วอำพรางคดีว่าเธอฆ่าตัวตายเอง เมื่อเธอสืบชาติมาเกิดใหม่ ร่องรอยบาดแผลที่เธอถูกสามีทำร้ายได้ติดตัวของเธอมาด้วย เธอมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่จำนวนมากที่บริเวณหน้าอก ต้นแขนและลำคอ โดยเฉพาะบริเวณรอบๆลำคอ เป็นรอยแผลเป็นลักษณะเป็นเกลียวเชือก คล้ายถูกเชือกรัดที่คอมองเห็นได้อย่างชัดเจน

สำหรับข้อมูลการจำอดีตชาติได้ของนางเสงี่ยมนี้ เป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม ซึ่งการนำเสนอข้อมูลบางส่วน อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้เกี่ยวข้องได้ ดังนั้นผู้เขียนจึงขอสงวนนามของผู้เกี่ยวข้องและข้อมูลบางส่วน เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด

เรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของนางเสงี่ยมเริ่มต้นขึ้น ขณะที่นางเสงี่ยมหรือเด็กหญิงเสงี่ยมในขณะนั้น อายุได้ประมาณ ๒ ขวบ เริ่มพูดได้ เธอบอกกับนางปรงแม่ของเธอว่า เธอคือนางเสี้ยวสืบชาติมาเกิด ในอดีตชาติคืนหนึ่ง เธอทะเลาะกับสามีเรื่องเงิน ๒ - ๓ บาท แล้วก็ต่อไปเรื่องอื่น ๆ อีกหลายเรื่องจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ สามีของเธอโมโหมากคว้าท่อนไม้ทุบตีอย่างบ้าคลั่งจนเธอสลบไป สามีของเธอยังไม่หายโมโห ได้ใช้เขียงไม้ทุ่มใส่หน้าอกของเธออีกหลายครั้ง สามีของเธอคิดว่าเธอเสียชีวิตแล้วจึงใช้เชือกผูกที่คอของเธอ แล้วอุ้มขึ้นไปผูกแขวนไว้กับขื่อบ้าน และนำที่นอน(ฟูก)มารองไว้ที่เท้าเพื่อให้ทุกคนคิดว่าเธอผูกคอตายเอง แล้วจัดการเช็ดเลือดที่ร่างของเธอและที่พื้นบ้านออก พอตอนเช้าก็จัดหาบข้าวเปลือกไว้ ทำทีว่าเธอกำลังจะตามไปทุ่งนา แล้วเขาก็ต้อนควายออกไปแต่เช้ามืด คำพูดของเด็กหญิงอายุเพียง ๒ ขวบ พร่างพรูออกมาชวนให้สลดใจยิ่งนัก เมื่อนางปรงผู้เป็นแม่ได้ฟังดังนั้นก็ห้ามไม่ให้บุตรสาวพูดถึงเรื่องนี้อีก เพราะเกรงว่าสามีของนางเสี้ยว ซึ่งขณะนั้นยังมีชีวิตอยู่จะมาทำร้ายบุตรสาวของเธอ และบังคับให้เด็กหญิงเสงี่ยมกินไข่แทบทุกวัน เพื่อให้เธอลืมเรื่องราวในอดีตชาติ แต่เธอก็ยังคงพูดถึงความทรงจำในอดีตชาติของเธอให้หลายๆคนได้ฟัง

ต่อว่าเพื่อนบ้านว่าไม่มาช่วยห้าม...มีครั้งหนึ่งเด็กหญิงเสงี่ยมได้ต่อว่า นางปาว ซึ่งบ้านอยู่คนละฝั่งคลองกับบ้านนางเสี้ยวว่า “ใจจืดใจดำจริงๆ ได้ยินผัวเมียเขาทะเลาะกัน ตีกัน ก็ไม่ไปดูไปห้าม จนเขาตีกูตาย”

ทวงข้าวสารที่เพื่อนบ้านขอยืมไป... นายฟัก มหิดุลย์ พี่ชายคนหนึ่งของนางเสงี่ยมเล่าให้ฟังว่า ขณะนั้นข่าวคราวการจำอดีตชาติได้ของเด็กหญิงเสงี่ยมแพร่ออกไป สามีของนางเสี้ยวซึ่งยังมีชีวิตอยู่ในขณะนั้นทราบเรื่อง ก็ได้มาพบกับเด็กหญิงเสงี่ยมน้องสาวตนที่บ้าน ตอนนั้นเธออายุประมาณ ๓ ขวบ สามีของนางเสี้ยวพยายามพูดจาหว่านล้อมเพื่อให้เด็กหญิงเสงี่ยมพูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติให้ฟัง แต่เธอไม่ยอมพูด สามีของนางเสี้ยวจึงบอกว่า “ถ้าหนูพูดจะยกควายให้ตัวหนึ่ง” เด็กหญิงเสงี่ยมไม่ยอมพูดและบอกว่า “เรื่องอะไรจะเอา สมบัติหามาด้วยกัน” ตอนนั้นเธอมีท่าทีรังเกียจสามีของนางเสี้ยวมาก ไม่ยอมพูดด้วยและไม่ยอมเข้าใกล้ ตอนเด็กๆนางเสงี่ยมพูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติของเธอบ่อยมาก

มีครั้งหนึ่งเธอชวนนางปรงแม่ของตนไปทวงข้าวสารจำนวน ๒ ถังจาก นางแหลม(เขียว แย้มสัจจา) โดยบอกว่านางแหลมยืมข้าวสารของเธอไปนานแล้ว แต่แม่ของตนไม่ได้พาไป เมื่อมีโอกาสได้พบกับนางแหลม แม่ของตนจึงสอบถามนางแหลมว่า "เคยยืมข้าวสารของนางเสี้ยวไปบ้างหรือเปล่า" นางแหลมรู้สึกแปลกใจที่จู่ๆแม่ของตนมาสอบถามเรื่องนี้ นางแหลมจึงถามว่า "รู้เรื่องนี้มาจากใคร" เมื่อแม่ของตนบอกว่าเด็กหญิงเสงี่ยมบุตรสาวเป็นคนพูดให้ฟัง นางแหลมรู้สึกประหลาดใจและบอกกับแม่ของตนว่า เธอไม่ได้ยืมแต่สามีของนางเสี้ยวเป็นคนให้ข้าวสารเธอมา ๒ ถังจริง ตั้งแต่เมื่อครั้งที่นางเสี้ยวยังมีชีวิตอยู่ เรื่องนี้ไม่มีใครทราบนอกจากเธอ สามีของนางเสี้ยวและนางเสี้ยวเท่านั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ผู้เขียนได้ไปสอบถาม นางแหลม(เขียว แย้มสัจจา) นางแหลมกล่าวว่า ความจริงแล้วในตอนนั้นเธอไม่ได้ขอยืมข้าวสารของนางเสี้ยว แต่สามีของนางเสี้ยวเป็นคนให้เธอมาเอง เรื่องนี้ไม่มีใครทราบนอกจากเธอ สามีของนางเสี้ยวและนางเสี้ยวเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าเด็กหญิงเสงี่ยมในขณะนั้นจะทราบเรื่องนี้ได้

นายฟักมหิดุลย์ กล่าวว่า เมื่อนางปรงแม่ของตนทราบว่าสามีของนางเสี้ยวมาพบกับเด็กหญิงเสงี่ยม ก็กลัวว่าจะเกิดอันตรายกับเธอ จึงสั่งห้ามไม่ให้เด็กหญิงเสงี่ยมพูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติอีกเด็ดขาด ถ้าพูดจะต้องถูกตี ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เด็กหญิงเสงี่ยมก็ไม่ค่อยพูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติของเธอให้คนในครอบครัวและคนอื่นๆฟังอีก

ความทรงจำที่ลบเลือน

นางเสงี่ยม กล่าวกับผู้เขียนว่า ปัจจุบันนี้เธอยังจำเรื่องราวในอดีตชาติได้แต่นึกภาพไม่ออกแล้วว่าเป็นอย่างไร สาเหตุที่เธอจำได้เพราะเมื่อเธอโตขึ้นจำความได้พี่ๆและญาติๆของเธอที่ทราบเรื่องราวเคยเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังหลายครั้ง เธอจึงจำเรื่องราวเหล่านั้นได้จนถึงทุกวันนี้

จากการสังเกตของผู้เขียน รอยแผลเป็นบริเวณต้นแขนทั้งสองข้าง และบริเวณหน้าอกของนางเสงี่ยมยังมีให้เห็นอย่างชัดเจน แต่รอยแผลเป็นบริเวณลำคอของเธอไม่มีให้เห็นแล้ว นางเสงี่ยมบอกว่ารอยแผลเป็นที่บริเวณลำคอของเธอนั้น เมื่อเธอเติบโตขึ้นมามันก็ค่อยๆเลื่อนต่ำลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ มันได้เลื่อนลงมารวมกันกับรอยแผลเป็น ที่บริเวณหน้าอกของเธอหมดแล้ว

เหตุการณ์ในวันที่นางเสี้ยวเสียชีวิต

เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันที่นางเสี้ยวเสียชีวิตนั้น ผู้เขียนได้สอบถามข้อมูลจากผู้ที่ทราบเหตุการณ์หลายท่าน ทั้งทางฝ่ายสามีของนางเสี้ยว ทางฝ่ายญาติพี่น้องของนางเสี้ยว และชาวบ้านที่ทราบเรื่องราวในครั้งนั้น ซึ่งไม่ค่อยจะตรงกันนัก คือ

นางแบ้ง น้องสาวของสามีนางเสี้ยว เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า กลางดึกคืนวันที่นางเสี้ยวเสียชีวิตนั้น เธอได้ยินเสียงนางเสี้ยวกับพี่ชายของเธอทะเลาะกัน เสียงดังโครมครามสักพักก็เงียบเสียงไป ตอนนั้นเธอคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาของสามีภรรยา เนื่องจากนางเสี้ยวกับพี่ชายของเธอมีเรื่องทะเลาะกันอยู่บ่อย ๆ จึงไม่ได้สนใจอะไร จนกระทั่งตอนเช้ามีเด็กมาเรียกเธอบอกว่านางเสี้ยวผูกคอตายบนบ้าน เธอจึงรีบขึ้นไปบนบ้าน พบร่างของนางเสี้ยวแขวนอยู่กับขื่อบ้าน มีที่นอนฟูกแบบพับได้รองอยู่ที่เท้า ขณะนั้นพี่ชายของเธอไม่อยู่บ้าน เธอจึงเรียกเพื่อนบ้านให้มาช่วยตัดเชือกแล้วนำศพนางเสี้ยวลงมา เธอไม่ทราบว่านางเสี้ยวกับพี่ชายของเธอทะเลาะกันเรื่องอะไร จึงทำให้นางเสี้ยวคิดมากจนต้องผูกคอตาย พี่ชายของเธอเล่าให้ฟังว่าก่อนที่เขาจะออกจากบ้านในตอนเช้ามืดของวันนั้น เขาเห็นนางเสี้ยวกำลังเอาข้าวเปลือกใส่กระบุงเตรียมจะเอาไปหว่านที่ทุ่งนา เขาจึงต้อนควายออกไปก่อนและคอยอยู่นานแต่ไม่เห็นนางเสี้ยวตามมา จึงต้อนควายกลับบ้านและได้พบนางเสี้ยวผูกคอตายดังกล่าว

นางแบ้ง น้องสาวของสามีนางเสี้ยว

เงื่อนงำที่ถูกปิดบัง

มีเงื่อนงำที่น่าสงสัยหลายประการ เกี่ยวกับการผูกคอตายของนางเสี้ยว โดยเฉพาะเพื่อนบ้านผู้ที่พบเห็นศพคนแรกๆระบุว่า ศพของนางเสี้ยวมีร่องรอยบาดแผล และมีเลือดตามลำตัวเต็มไปหมด โดยเฉพาะบริเวณหน้าอกและแขน ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นการผูกคอตายเอง และที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ หลังจากมีผู้ไปพบศพของนางเสี้ยวไม่นาน สามีของนางเสี้ยวก็ต้อนควายกลับมาบ้านเองโดยที่ไม่มีใครไปแจ้งข่าวให้ทราบแต่อย่างใด และเมื่อกลับมาถึงบ้านก็ จัดการนำผ้าห่มมาคลุมศพไว้ ไม่ยอมให้ใครเปิดดูศพอีก แม้แต่ญาติพี่น้องของนางเสี้ยวเอง และจัดการเผาศพของนางเสี้ยวอย่างรีบร้อน ในบ่ายวันนั้นเอง

นายสนอง อะวิสุ น้องชายของนางเสี้ยวเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ในวันที่นางเสี้ยวพี่สาวของตนเสียชีวิตตนได้ไปที่บ้านของนางเสี้ยว ตอนนั้นตนจะขอดูศพของพี่สาวแต่สามีของนางเสี้ยวไม่ยอมให้ดู ซ้ำยังพูดจาข่มขู่ต่างๆนานา วันนั้นตนจึงต้องรีบกลับบ้านอย่างหวาดกลัว ต่อมาตนได้ทราบจากผู้ที่พบเห็นศพเล่าให้ฟังว่า ที่ศพของพี่สาวตนมีร่องรอยบาดแผลบริเวณหน้าอก แขน และศีรษะ มีรอยเลือดเต็มไปหมดไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นการฆ่าตัวตาย ตอนนั้นตนก็รู้สึกสงสัยแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เนื่องจากเกรงกลัวอิทธิพลของพี่เขย ตนคิดว่าพี่สาวของตนต้องถูกพี่เขยฆ่าตายอย่างแน่นอน นายสนองกล่าว

นางเสี้ยว อะวิสุ เสียชีวิตเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ เป็นการเสียชีวิตที่มีเงื่อนงำน่าสงสัย ไม่มีใครทราบว่าเหตุการณ์ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร นอกจากนางเสี้ยวกับสามีเท่านั้น

วิญญาณนางเสี้ยวปรากฏตัว

เช้าตรู่ของวันต่อมา ในเวลาใกล้เคียงกันกับที่เด็กไปพบศพของนางเสี้ยว ได้มีผู้พบเห็นวิญญาณของนางเสี้ยวเดินไปทุ่งนาหลายคน บางคนเดินสวนทางและได้ทักทายกับวิญญาณของนางเสี้ยว โดยไม่ทราบว่านางเสี้ยวได้เสียชีวิตแล้ว แต่ตอนนั้นนางเสี้ยวไม่ยอมพูดด้วย เมื่อกลับเข้ามาในหมู่บ้านได้ทราบข่าวว่ามีผู้พบศพของนางเสี้ยว ซึ่งเสียชีวิตมาก่อนหน้านี้แล้วก็ถึงกับเข่าอ่อน เพราะร่างที่พวกเขาเห็นเดินสวนทางไปนั้น คือวิญญาณของนางเสี้ยวนั่นเอง

ผู้เขียนมีโอกาสได้พบกับผู้ที่พบเห็นวิญญาณของนางเสี้ยวในเช้าวันนั้นท่านหนึ่ง คือ นางเหวย แก่นอ่อน นางเหวยเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เช้าตรู่ของวันนั้น เธอ นางวัง และนางฮ็อต ซึ่งบ้านอยู่ใกล้ๆกัน กำลังเตรียมหุงข้าวทำกับข้าว พวกเธอเห็นนางเสี้ยวเดินผ่านหน้าบ้านไปทางทุ่งนา ทุกคนเห็นเหมือนกันว่าเป็นนางเสี้ยวแน่นอน หลังจากนั้นไม่นาน พวกเธอก็ทราบข่าวการเสียชีวิตของนางเสี้ยว ตอนนั้นพวกเธอเพียงแค่รู้สึกแปลกใจว่า เพิ่งจะเห็นนางเสี้ยวเดินผ่านหน้าบ้านไป ทำไมจึงกลับมาผูกคอตายเร็วนัก เมื่อพวกเธอทราบภายหลังว่ามีเด็กไปพบศพก่อนที่พวกเธอจะเห็นนางเสี้ยวก็ถึงกับขนหัวลุก เพราะที่พวกเธอเห็นเดินผ่านหน้าบ้านไปนั้น คือวิญญาณของนางเสี้ยวนั่นเอง

เพราะเวรกรรมหรือความบังเอิญ

หลังจากนางเสี้ยวเสียชีวิตได้ไม่นาน สามีของนางเสี้ยวก็มีภรรยาใหม่เป็นคนต่างหมู่บ้านแต่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไม่นาน ภรรยาใหม่ได้ว่าจ้างมือปืนมาลอบยิงสามีของนางเสี้ยวจนเสียชีวิตเพื่อหวังจะฮุบสมบัติ ต่อมามือปืนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับได้และให้การซัดทอดถึงผู้ว่าจ้าง ภรรยาใหม่ของสามีนางเสี้ยวจึงต้องหลบหนีออกจากหมู่บ้านไป ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา