ชื่อ-นามสกุล : เด็กชายเจษฎา เต็มหัตถ์ ชื่อเล่น : เจ
วันเดือนปีเกิด : ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๔
อาการผิดปกติตั้งแต่แรกเกิด : มีอาการท้องอืด ท้องบวม ตัวเขียวคล้ำ
ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : ๑๖๘/๓ หมู่ ๓ ตำบลตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์
พี่น้องร่วมบิดามารดา : เป็นบุตรคนเดียว
อดีตชาติ
ชื่อ-นามสกุล : นายน้อย ใจเกื้อ ชื่อเล่น : น้อย
วันเดือนปีเกิด : - พ.ศ.๒๔๗๗
ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : ๑๕๙ หมู่ ๓ ตำบลตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์
วันเดือนปีที่เสียชีวิต : - พ.ศ.๒๕๒๗
ขณะอายุได้ : ๕๐ ขณะอายุได้ : ๕๐ ปี
สาเหตุที่เสียชีวิต : ป่วยเป็นโรคตับ
สถานที่เสียชีวิต : บ้านเลขที่ ๑๕๙ หมู่ ๓ ตำบลตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์
เด็กที่จำอดีตชาติได้ในหมู่บ้านของผู้เขียนรายนี้ชื่อว่า เด็กชายเจษฎา เต็มหัตถ์ เป็นบุตรชายคนเดียวของ นายพเยาว์และนางทิ้ง เต็มหัตถ์ ขณะที่ผู้เขียนไปสัมภาษณ์ครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๒ เขาอายุได้ ๘ ขวบ กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.๒ โรงเรียนบ้านตะคร้อรัฐประชาชนูทิศ
เรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของเด็กชายเจษฎา เริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาอายุได้ประมาณ ๒-๓ ขวบ พูดได้ชัดถ้อยชัดคำแล้ว วันหนึ่ง นางว่าน เต่านาง ผู้เป็นยายแอบได้ยินเด็กชายเจษฎานั่งนับนิ้วมือและพูดไปด้วยว่า “ไอ้นอม ไอ้นี อีนาง อีนัด ไอ้เณร อีแตน อีบุ๋ม” ซึ่งเป็นชื่อที่นางว่านรู้จักและคุ้นเคยดี เพราะเป็นชื่อของลูกๆทั้ง ๘ คนของ นายน้อยและนางเละ ใจเกื้อ เพื่อนบ้าน ซึ่งเมื่อก่อนนี้บ้านอยู่ใกล้กันแต่ปัจจุบันนี้นางว่านได้ย้ายบ้านออกมาอยู่กับบุตรสาวห่างจากที่เดิมประมาณ 500 เมตร นางว่านเล่าเรื่องนี้ให้กับนายพเยาว์และนางทิ้งฟัง ตอนนั้นนายพเยาว์และนางทิ้งก็สังเกตเห็นความผิดปกติของเด็กชายเจษฎาเช่นกัน คือตั้งแต่เริ่มพูดได้เด็กชายเจษฎาไม่ยอมเรียกนายพเยาว์และนางทิ้งว่าพ่อกับแม่ตามปกติ แต่เรียกว่า “ไอ้เยาว์..อีทิ้ง” นายพเยาว์และนางทิ้งพยายามสอนให้บุตรชายเรียกพวกเขาว่า “พ่อกับแม่” แต่เด็กชายเจษฎาก็เรียกบ้างไม่เรียกบ้าง บางครั้งก็เรียกว่าพ่อแม่ บางครั้งก็เรียกไอ้อี นอกจากนาย พเยาว์และนางทิ้งแล้วเด็กชายเจษฎายังเรียกนางว่านผู้เป็นยายว่า “ว่าน” เฉยๆ ไม่ยอมเรียกว่าแม่ใหญ่หรือยาย และเรียก นางรำพึง บัวทอง ผู้เป็นน้าว่า “อีตุ่น” ซึ่งเป็นคำที่นายน้อยเคยเรียกนางรำพึงเมื่อครั้งที่เธอยังเป็นเด็ก และมีเฉพาะนายน้อยเท่านั้นที่เรียกชื่อของนางรำพึงแบบนี้
นางว่าน เต่านาง
ตอนนั้นนางว่าน นายพเยาว์ และนางทิ้งได้หวนนึกถึงความฝันของนางรำพึงน้องสาวของนางทิ้งที่เคยเล่าให้ฟังก่อนที่นางทิ้งจะตั้งท้องเด็กชายเจษฎาว่า ได้พบกับนายน้อยเพื่อนบ้านที่เสียชีวิตไปแล้วในฝันและนายน้อยได้ขอมาเกิดด้วย แต่ตอนนั้นนางรำพึงทำหมันแล้วจึงบอกให้นายน้อยไปเกิดกับนางทิ้งแม่ของเด็กชายเจษฎาพี่สาวของเธอแทน
นางรำพึง บัวทอง น้าของเด็กชายเจษฎาเล่าถึงความฝันในครั้งนั้นให้ฟังว่า มีอยู่คืนหนึ่งเธอนอนหลับแล้วฝันไปว่าขณะที่เธอกำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่ทุ่งนาของเธอนั้น เธอมองเห็นนายน้อยใส่กางเกงขาก๊วยสีดำตัวเดียวไม่ใส่เสื้อเดินผ่านมา เธอก็เรียกให้นายน้อยมากินข้าวด้วยกัน นายน้อยบอกว่ากำลังหิวอยู่พอดีแล้วแวะมานั่งกินข้าวด้วยกันกับเธอ ในฝันนายน้อยบอกว่าอร่อยดีและบอกกับเธอว่า “ลุงขอมาเกิดด้วยได้ไหม” เธอบอกกับนายน้อยว่า “ฉันทำหมันแล้วมาเกิดด้วยไม่ได้หรอกไปเกิดกับอีทิ้งโน่น มันยังไม่มีลูก” จากนั้นเธอก็รู้สึกตัวตื่น ตอนนั้นเธอได้เล่าความฝันนี้ให้ นางว่าน นายพเยาว์ และนางทิ้งพี่สาวฟัง แต่พวกเขาไม่ได้คิดติดใจอะไรคิดว่าเธอฝันไปตามเรื่องตามราวไม่มีความหมายอะไร ต่อมาไม่นานนางทิ้งพี่สาวของเธอก็ฝันว่าเก็บสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองได้ และในเดือนนั้นนางทิ้งก็ตั้งท้องเด็กชายเจษฎา
นอกจากความฝันของนางรำพึงแล้ว นายพเยาว์และนางทิ้งยังหวนนึกถึงอาการความผิดปกติของเด็กชายเจษฎาบุตรชายที่เป็นมาตั้งแต่แรกเกิด คือเมื่อตอนที่เขาเกิดมาได้ประมาณ ๗-๘ วัน เขามีอาการท้องอืด ท้องบวม และตัวเขียวคล้ำ แพทย์ได้ตรวจอาการแล้ววินิจฉัยว่าลำไส้ของเขาไม่ย่อยอาหารและเขาคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ในตอนนั้นนายพเยาว์และนางทิ้งรู้สึกไม่สบายใจและเป็นกังวลกับอาการของบุตรชายมาก แต่ต่อมาอาการของเด็กชายเจษฎาก็ดีขึ้นตามลำดับจนเกือบเป็นปกติ แต่ก็ยังมีอาการท้องอืดเป็นครั้งคราวจนถึงทุกวันนี้
ช่วงเวลานั้นทุกคนเริ่มสงสัยว่าเด็กชายเจษฎาอาจจะเป็น นายน้อย ใจเกื้อ เพื่อนบ้านที่เสียชีวิตไปเมื่อประมาณ ๗ ปีที่แล้วสืบชาติมาเกิด เพราะจากคำพูดที่เขานั่งนับชื่อลูกๆของนายน้อยทั้ง ๗ คนและอาการผิดปกติตั้งแต่แรกเกิดของเขา ก็คล้ายคลึงกันกับอาการป่วยของนายน้อยเพื่อนบ้าน ก่อนที่นายน้อยจะเสียชีวิต ซึ่งก่อนหน้านี้เด็กชายเจษฎาเองก็ไม่เคยได้พบหรือรู้จักกับครอบครัวและลูกๆของนายน้อยมาก่อน เขาจะรู้จักชื่อลูกๆของนายน้อยได้อย่างไร
นายพเยาว์กล่าวว่า ตอนนั้นตนไม่แน่ใจว่าอาการของบุตรชายจะเกี่ยวพันกับอาการป่วยที่เกิดขึ้น และเป็นสาเหตุที่ทำให้นายน้อยเสียชีวิตหรือไม่แต่ตนคิดว่าเด็กชายเจษฎาบุตรชายอาจจะจำอดีตชาติได้ว่าเป็นนายน้อยสืบชาติมาเกิด ตอนนั้นพวกตนรู้สึกสงสัยแต่ก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง เพราะเกรงว่าบุตรชายจะอายุสั้นและเกรงว่านางเละและครอบครัวจะคิดว่าพวกเขากุเรื่องขึ้นมาเอง
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น เด็กชายเจษฎาก็ได้แสดงออกถึงความทรงจำในอดีตชาติของเขาให้นายพเยาว์และนางทิ้งได้เห็นอีกครั้ง ...วันหนึ่งนาย พเยาว์และนางทิ้งได้พาเด็กชายเจษฎาไปที่ทุ่งนาด้วย และการเดินทางไปที่ทุ่งนาของพวกเขาจะต้องผ่านทุ่งนาของนายน้อยซึ่งอยู่ไม่ไกลจากถนนนัก ขณะที่รถผ่านบริเวณนั้นเด็กชายเจษฎาก็ชี้มือบอกกับนางทิ้งผู้เป็นแม่ว่า “แม่นี่นาหนูอยู่ตรงนี้” นางทิ้งและนายพเยาว์มองตากันอย่างรู้ความหมาย นางทิ้งบอกกับเด็กชายเจษฎาว่า “นาหนูมาอยู่แถวนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ” นายพเยาว์ค้านขึ้นมาอีกคนว่า “บ้าละซิ” เด็กชายเจษฎาพูดเพียงเท่านั้น เมื่อถูกค้านจึงไม่ยอมพูดอะไรอีก วันต่อมา เด็กชายเจษฎา บอกกับนางทิ้งว่า “แม่ถ้าแม่อยากรวยทำไมไม่ไปเอาเงินกับอีเละล่ะ อีเละมันรวยแล้วมันขายที่ได้” เด็กชายเจษฎาพูดถึงที่นาของนายน้อยและนางเละบ่อยมาก บางครั้งก็พูดว่า “อีเละมันรวยแล้วไม่เห็นแบ่งให้กูบ้าง” บางครั้งก็พูดว่า “สมบัติชิ้นสุดท้ายกูไม่เหลือแล้วหนอ” ถึงตอนนี้นายพเยาว์และนางทิ้งชักเริ่มจะแน่ใจแล้วว่าเด็กชายเจษฎาบุตรชายจำอดีตชาติได้
หลังจากวันที่เด็กชายเจษฎาชี้บอกให้พ่อกับแม่ของเขาดูทุ่งนาของนายน้อย เด็กชายเจษฎาก็ร้องไห้อ้อนวอนขอร้องให้นายพเยาว์และนางทิ้งพาไปที่บ้านของนางเละภรรยาในอดีตชาติของเขาอยู่บ่อยๆ แรกๆนายพเยาว์และนางทิ้งก็ยังไม่ได้พาไปเพราะกลัวนางเละจะคิดว่าพวกเขากุเรื่องขึ้นมา เด็กชายเจษฎาร้องไห้อ้อนวอนอยู่หลายวัน นายพเยาว์และนางทิ้งรู้สึกสงสารบุตรชายและคิดอยากจะพิสูจน์ความจริงด้วย จึงตัดสินใจพาเด็กชายเจษฎาไปที่บ้านของนางเละ
นางทิ้ง เต็มหัตถ์
(นามสกุลเดิม เต่านาง)
นางทิ้ง เล่าให้ฟังว่าครั้งแรกที่เธอพาเด็กชายเจษฎาไปที่บ้านของนางเละนั้น เด็กชายเจษฎาเดินนำหน้าไปอย่างคุ้นเคย เมื่อไปถึงบริเวณบ้านของนางเละนางทิ้งตะโกนเรียกนางเละให้ช่วยจับสุนัขให้ด้วย เพราะเธอทราบดีว่าที่บ้านของนางเละมีสุนัขอยู่ตัวหนึ่งดุมากเคยกัดผู้คนที่เดินผ่านบริเวณนั้นไปหลายคน แต่ยังไม่ทันที่นางเละจะออกมาจับสุนัขให้ เด็กชายเจษฎาก็เดินเข้าไปจับสุนัขตัวนั้นแล้วเรียกชื่อสุนัขตัวนั้นว่า “ไอ้แดง” เด็กชายเจษฎาเรียกชื่อสุนัขตัวนั้นได้อย่างถูกต้องและคุ้นเคยทั้งๆที่เพิ่งมาที่บ้านของนางเละเป็นครั้งแรก สุนัขตัวนั้นก็ทำท่าทางเหมือนจะคุ้นเคยกับเด็กชายเจษฎาเป็นอย่างดี เด็กชายเจษฎาจับสุนัขตัวนั้นอ้าปากและบอกให้เธอขึ้นไปบนบ้านก่อน เหตุการณ์ในครั้งนั้นสร้างความประหลาดใจให้กับเธอ นางเละ และผู้ที่เห็นเหตุการณ์ที่อยู่บริเวณนั้นเป็นอย่างมาก เมื่อขึ้นไปบนบ้านของนางเละเด็กชายเจษฎาแสดงท่าทางเขินอายไม่ยอมพูดอะไร ตอนนั้นเธอเล่าเรื่องที่เด็กชายเจษฎานั่งนับชื่อลูกๆของนางเละและพูดถึงเรื่องที่เขาชี้ให้ดูทุ่งนาของนายน้อยให้นางเละฟัง ในขณะนั้นเด็กชายเจษฎาก็เที่ยวเดินสำรวจดูของในบ้านเมื่อเห็นภาพถ่ายของนายน้อยก็บอกกับนางเละว่า “เละทำไมไม่เช็ดรูปกูบ้างล่ะ ปล่อยให้ใยแมงมุมเกาะเต็มไปหมด” เธอกับนางเละรู้สึกทึ่งกับคำพูดของเด็กชายเจษฎามาก หลังจากที่เด็กชายเจษฎาพูดแบบนั้นนางเละก็ได้นำภาพถ่ายของนายน้อยลงมาปัดฝุ่นให้ เด็กชายเจษฎานำรูปนั้นมากอดไว้กับตัว จากนั้นเขาก็ ถามหา ปัตตาเลี่ยน กรรไกร หีบใบเล็ก และกระจกที่ใช้ในร้านตัดผม ซึ่งเป็นเครื่องมือตัดผมที่นายน้อยเคยใช้อยู่เป็นประจำ นางเละก็บอกว่าเครื่องมือตัดผมพวกนั้นนายประนีลูกชายได้เอาไปใช้ที่ร้านตัดผมของนายประนีที่หมู่บ้านวังกระโดนน้อยแล้ว แต่กระจกบานที่เด็กชายเจษฎาถามหานั้นนายประนอมลูกชายอีกคนทำแตกไปนานแล้ว ในวันนั้นนอกจากเด็กชายเจษฎาจะถามหาสิ่งของที่นายน้อยเคยใช้และจำภาพถ่ายของนายน้อยได้แล้ว เด็กชายเจษฎายังเรียกชื่อลูกๆทั้ง ๘ คนของนายน้อยได้ถูกต้อง โดยเรียกนางคะนึงบุตรสาวคนหนึ่งว่า “อีนาง” และเรียกนายดำเนินบุตรชายว่า “ไอ้เณร” ซึ่งเป็นคำที่นายน้อยคนเดียวเท่านั้นที่เรียกลูกทั้งสองคนแบบนี้
นางทิ้ง กล่าวว่า ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะทราบเรื่องราวส่วนตัวเหล่านี้ของนายน้อยได้ เพราะพวกเธอไม่เคยพูดให้ฟัง ถ้าหากว่าเขาไม่ใช่นายน้อยสืบชาติมาเกิดก็เห็นจะเกินวิสัยที่เขาจะทราบและแสดงออกมาแบบนี้ได้
นางเละ ใจเกื้อ ภรรยาของนายน้อย ได้เล่าถึงเรื่องราวชีวิตและสาเหตุการเสียชีวิตของนายน้อยสามีให้ฟังว่า นายน้อย ใจเกื้อ เกิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๗ มีบุตรด้วยกันกับเธอทั้งหมด ๘ คน คือ
๑. นายประนอม ใจเกื้อ ๕. นางสาวมานัส ใจเกื้อ
๒. นายประนี ใจเกื้อ ๖. นายดำเนิน ใจเกื้อ
๓. นางคนึง อัฐใส ๗. นางสาวนุชนารถ ใจเกื้อ
๔. นายสนั่น ใจเกื้อ(เสียชีวิต) ๘. นางสาวนงนุช ใจเกื้อ
ปกตินายน้อย เป็นคนชอบคุยสนุก ใจดี ชอบหยอกล้อเล่นกับบุตรหลานจึงเป็นที่รักของบุตรหลานทุกคน เธอกับนายน้อยมีอาชีพหลักคือทำนา เมื่อว่างจากการทำนาก็จะหารายได้เสริมโดยเปิดร้านตัดผมร่วมกับพรรคพวก ต่อมา นายน้อยสามีของเธอป่วยเป็นโรคตับ มีอาการท้องอืด ท้องบวม ตัวเขียว ตอนนั้นเธอต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อนบ้านมารักษาจนหมดเงินเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้ จนกระทั่งนายน้อยได้เสียชีวิตลงเมื่อปี ๒๕๒๗ ขณะอายุได้ ๕๐ ปี หลังจากนายน้อยเสียชีวิตเธอก็จำเป็นต้องขายที่นาของครอบครัวซึ่งมีอยู่เพียงผืนเดียว เพื่อนำเงินมาใช้หนี้ให้กับเพื่อนบ้านที่เธอขอยืมมาเป็นค่ารักษานายน้อยสามี ตอนนั้นหลังจากขายที่นาไปแล้วครอบครัวของเธอลำบากมาก เธอและลูกๆต้องทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการออกรับจ้างเพื่อนบ้านทำนาเกี่ยวข้าวบ้าง เก็บข้าวโพดบ้างเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว เนื่องจากไม่มีที่นาจะทำเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
นางเละ ใจเกื้อ
นางเละ เล่าให้ฟังว่า ในวันที่นางทิ้งพาเด็กชายเจษฎามาพบกับเธอที่บ้านวันนั้น พอมาถึงเด็กชายเจษฎาก็เข้าไปจับสุนัขตัวดุของเธอให้กับนางทิ้ง เขาเรียกสุนัขตัวนั้นว่า “ไอ้แดง” และจับมันอ้าปากอย่างคุ้นเคย ซึ่งปกติไอ้แดงเป็นสุนัขที่ดุมากไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปจับตัวของมัน มีคนที่เดินผ่านแถวบ้านเธอถูกกัดไปแล้วหลายคน ในวันนั้นเด็กชายเจษฎาได้สอบถามเธอหลายเรื่องโดยเฉพาะเรื่องเครื่องมือตัดผมของนายน้อย แต่เวลาที่เธอถามเด็กชายเจษฎาจะไม่ค่อยตอบ โดยส่วนตัวแล้วเธอเชื่อว่าเด็กชายเจษฎาคือนายน้อยสามีของเธอสืบชาติมาเกิด เพราะนอกจากเขาจะแสดงความคุ้นเคยกับสุนัขตัวดุของบ้านเธอ ถามหาสิ่งของและจำภาพถ่ายของนายน้อยได้แล้ว เด็กชายเจษฎายังเรียกชื่อลูกๆทั้ง ๘ คนได้ถูกต้องอีกด้วย โดยเฉพาะที่เรียกนางคนึงบุตรสาวว่า “อีนาง” และเรียกนายดำเนินบุตรชายว่า “ไอ้เณร” นั้น เป็นคำที่นายน้อยสามีของเธอคนเดียวเท่านั้นที่เรียกลูกทั้งสองคนแบบนี้ และหลังจากวันที่นางทิ้งพาเด็กชายเจษฎามาพบกับเธอที่บ้านเด็กชายเจษฎาก็พูดและแสดงออกให้เห็นว่าเขาคือนายน้อยสามีของเธอสืบชาติมาเกิดอีกหลายครั้ง เช่น วันหนึ่งเธอไปนอนค้างที่บ้านของนายดำเนินบุตรชายของเธอ ซึ่งมีบ้านอยู่ตรงข้ามกับบ้านของนายพเยาว์และนางทิ้ง เมื่อเด็กชายเจษฎาเห็นก็ตะโกนข้ามถนนบอกกับเธอว่า “อยู่คนเดียวระวังจะมีคนขึ้นหาเด้อ” พอเธอพูดจาโต้ตอบมาเด็กชายเจษฎาก็จะมีอาการเขินอายแก้มแดง เธอสังเกตเห็นว่า ถ้าวันไหนเธอไปนอนที่บ้านของนายดำเนินคนเดียว เด็กชายเจษฎาจะตะโกนแซวเฉยๆไม่ข้ามมาหา แต่ถ้าวันไหนนายดำเนินอยู่ด้วยก็จะข้ามมากินข้าวด้วยและนอนดูทีวีจนดึกจึงจะกลับ นายพเยาว์และนางทิ้งเคยต่อว่าเด็กชายเจษฎาเรื่องนี้หลายครั้งเพราะเกรงใจเธอกับนายดำเนินบุตรชาย แต่เด็กชายเจษฎาก็ยังคงแสดงออกกับเธอและนายดำเนินบุตรชายด้วยความคุ้นเคยเหมือนกับเป็นนายน้อยจริงๆ เธอเคยพยายามทดลองสอบถามเด็กชายเจษฎาเกี่ยวกับอดีตชาติหลายครั้งแต่เขาได้แต่เขินอายไม่ยอมตอบ และเมื่อตอนที่เธอได้พบกับเด็กชายเจษฎาครั้งแรกๆ มีคนบอกกับเธอว่าเด็กชายเจษฎามักจะต่อว่าเธอ ว่าขายที่นาได้แล้วไม่ยอมแบ่งให้ใช้บ้าง เธอจึงซื้อเสื้อผ้าให้ ๒ ชุดตั้งแต่นั้นมา เด็กชายเจษฎาก็ไม่พูดถึงเรื่องที่นาอีกเลย
เกี่ยวกับเรื่องนี้นางทิ้งแม่ของเด็กชายเจษฎาเองก็เล่าให้ฟังตรงกันว่า หลังจากที่เธอพาเด็กชายเจษฎาไปพบกับนางเละที่บ้านวันนั้น เด็กชายเจษฎาก็แสดงออกแปลกๆหลายครั้ง วันหนึ่งเด็กชายเจษฎาเห็นนางเละมานอนเฝ้าบ้านให้กับนายดำเนินบุตรชาย ซึ่งบ้านอยู่คนละฝั่งถนนกันกับบ้านของเธอ เย็นวันนั้นเด็กชายเจษฎาเตรียมอาบน้ำปะแป้งแต่งตัวอย่างดีผิดปกติ แล้วตะโกนบอกกับนางเละว่า “อยู่คนเดียวระวังจะมีคนขึ้นหาเด้อ” เด็กชายเจษฎาแสดงออกเหมือนกับพูดจาเกี้ยวสาว ซึ่งเขาจะแสดงออกลักษณะนี้เกือบทุกครั้งที่นางเละมานอนที่บ้านของนายดำเนิน แต่เขาจะไม่กล้าเข้าไปหาเธอตามลำพังคนเดียว ถ้าหากวันไหนมีนายดำเนินและภรรยาอยู่ด้วยเขาจึงจะเดินข้ามไปที่บ้านของนายดำเนิน
นอกจากนางเละแล้ว เด็กชายเจษฎายังแสดงออกถึงความผูกพันที่มีต่อลูกๆในอดีตชาติของเขาอีกด้วย มีครั้งหนึ่งเด็กชายเจษฎาได้ต่อว่านายประนอมบุตรชายคนโตขณะที่นายประนอมนั่งดื่มสุราอยู่กับเพื่อนๆว่า “ไอ้นอม มึงนะดีแต่กินเหล้า” และต่อว่าอีกหลายอย่าง นางทิ้งผู้เป็นแม่บอกว่า “ทำไมไปว่าลุงเขาอย่างนั้นล่ะ” เด็กชายเจษฎาบอกว่า “ก็ไอ้นอมมันลูกกู” มีครั้งหนึ่ง เด็กชายเจษฎามองเห็น นางสาวมานัสบุตรสาวของนายน้อยนั่งให้นมลูกอยู่ เด็กชายเจษฎาพูดกับนางสาวมานัสว่า “อีนัดมึงเลี้ยงลูกอ่อนอีกแล้วรึ” และเขาเคยต่อว่านายดำเนินว่าชอบทะเลาะกับภรรยา ซึ่งจากคำพูดและการแสดงออกของเด็กชายเจษฎาที่มีต่อครอบครัวของนางเละ ทำให้นางเละและลูกๆทุกคนเชื่อว่า เด็กชายเจษฎาคือนายน้อยสืบชาติมาเกิดใหม่จริงๆ
ผู้เขียนได้พบกับ นายอ้น นาคตระกูล เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กันกับบ้านของนายน้อย ซึ่งเขาเคยพบและถามเด็กชายเจษฎาว่ารู้จักเขาหรือเปล่า เด็กชายเจษฎาตอบว่า “รู้จัก..ไอ้อ้น” นายอ้นถามว่า “บ้านกูอยู่ตรงไหน ลองชี้ให้ดูซิ” เด็กชายเจษฎาชี้มือไปยังบ้านของนายอ้นและบอกว่า “โน่นไง” เด็กชายเจษฎา เรียกชื่อนายอ้นได้ถูกต้องทั้งๆที่เขาไม่เคยพบหรือรู้จักกับนายอ้นมาก่อน เพิ่งเคยพบครั้งนั้นเป็นครั้งแรก และยังสามารถชี้บ้านของนายอ้นได้ถูกต้องอีกด้วย
เด็กชายเจษฎา พูดถึงความทรงจำในอดีตชาติของเขาตั้งแต่อายุได้ประมาณ ๒ ขวบ จนกระทั่งเขาอายุได้ประมาณ ๔ ขวบ เขาก็เริ่มพูดน้อยลง และเมื่อเขาอายุได้ประมาณ ๕ ขวบกว่าๆเขาก็หยุดพูดถึงความทรงจำในอดีตชาติของเขา แต่เขายังคงแสดงออกกับนางเละและลูกๆ ของนางเละอย่างคุ้นเคยเหมือนเดิม