ปัจจุบันชาติ
ชื่อ-นามสกุล : เด็กชายฤทธิไกร โนนน้อย ชื่อเล่น : โจม
วันเดือนปีเกิด : ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๗
ความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิด : บริเวณตาตุ่มเท้าขวาด้านในยุบลงไป
บิดาชื่อ : นายกมล โนนน้อย มารดาชื่อ : นางอำนวย โนนน้อย(นาคตระกูล)
ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : ๑๗๒/๓ หมู่ ๓ ตำบลตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์
พี่น้องร่วมบิดามารดา : เป็นบุตรคนเดียว
อดีตชาติ
ชื่อ-นามสกุล : นายสายนต์ เต็มหัตถ์ ชื่อเล่น : โดด
วันเดือนปีเกิด : ๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๐๙
ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : ๑๒๐ หมู่ ๓ ตำบลตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์
พี่น้องร่วมบิดามารดา : มี ๔ คนคือ
๑. นายสายนต์(โดด) เต็มหัตถ์
๒. นางพรรณิภา(พรรณ) เต็มหัตถ์
๓. นายสุรศักดิ์(หมื่น) เต็มหัตถ์
๔. นายธนาวัฒน์(ยม) เต็มหัตถ์
วันเดือนปีที่เสียชีวิต : ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๖ ขณะอายุได้ : ๒๗ ปี
สาเหตุที่เสียชีวิต : ประสบอุบัติเหตุ รถจักรยานยนต์ตกหลุมคอหักเสียชีวิต
ลักษณะและบาดแผล : มีบาดแผลที่บริเวณตาตุ่มเท้าขวาด้านในยุบลงไป และคอหัก
สถานที่เสียชีวิต : บริเวณที่ชาวบ้านเรียกว่า “ระเริง”
เด็กที่จำอดีตชาติได้ในหมู่บ้านของผู้เขียนรายนี้มีชื่อว่า เด็กชายฤทธิไกร โนนน้อย เป็นบุตรชายคนเดียวของ นายกมล และ นางอำนวย โนนน้อย ขณะที่ผู้เขียนไปสัมภาษณ์ครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๒ เขาอายุ ๕ ขวบ กำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาล ๓ ร.ร.จิตศรัทธาวิทยานุสรณ์ ซึ่งตอนนั้นเขายังจำอดีตชาติได้ สำหรับข้อมูลการจำอดีตชาติได้ของเด็กชายฤทธิไกรนี้ มีเรื่องราวที่น่าสนใจหลายเรื่องราว หลายเหตุการณ์ ซึ่งแต่ละเรื่องราวแต่ละเหตุการณ์มีพยานบุคคลรู้เห็นจำนวนมาก นับว่าเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้มากข้อมูลหนึ่ง
เด็กชายฤทธิไกรจำอดีตชาติได้ว่าชาติก่อนเขามีชื่อว่า นายสายนต์ เต็มหัตถ์ เป็นบุตรของ นายเพราะ และ นางตาล เต็มหัตถ์ ขณะยังมีชีวิตนายสายนต์ ทำงานเป็นพนักงานขับรถของ บริษัท แอ็คทีฟเร็นท์อะคาร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งสินค้าอยู่ในท่าอากาศยานดอนเมือง มีภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ๒ คน คือ นางแหมว และ นางพร มีบุตรที่เกิดกับนางแหมว ๑ คน คือ เด็กชายปริพัฒน์(ตั้ม) เต็มหัตถ์ ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่กับนางตาลผู้เป็นยาย ส่วนภรรยาทั้ง ๒ คนได้แยกทางกันไปนานแล้ว
เท่าที่ทราบข้อมูลการสืบชาติมาเกิดของเขาในชาตินี้นับเป็นชาติที่ ๓ แล้ว ซึ่งก่อนที่จะเกิดมาเป็นนายสายนต์นั้น เขาเคยเกิดเป็นบุตรคนแรกของนางตาลแม่ของนายสายนต์มาก่อน ซึ่งเป็นการจำอดีตชาติได้ครั้งละหนึ่งชาติ คือเมื่อตอนที่เขาเกิดเป็นนายสายนต์นั้นนายสายนต์จำอดีตชาติได้ว่าเขาเคยเกิดมาเป็นบุตรคนแรกของนางตาล ซึ่งเสียชีวิตตั้งแต่แรกคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ และต่อมานายสายนต์ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตและได้เกิดมาอีกครั้งเป็นเด็กชายฤทธิไกร ซึ่งเด็กชาย ฤทธิไกรก็จำอดีตชาติได้เฉพาะในชาติที่เขาเคยเกิดเป็นนายสายนต์เท่านั้น
ขณะที่นายสายนต์หรือเด็กชายสายนต์ในขณะนั้นอายุได้ประมาณ ๒ ขวบ เด็กชายสายนต์จำอดีตชาติได้ว่า ชาติก่อนเขาเคยเกิดมาเป็นบุตรคนแรกของ นายเพราะและนางตาล แต่เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุตั้งแต่แรกคลอดยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลก หลังจากเสียชีวิตดวงวิญญาณของเขาได้วนเวียนอยู่บริเวณบ้านประมาณ ๑ เดือน จากนั้นจึงได้สืบชาติมาเกิดเป็นบุตรของนางตาลอีกครั้ง ซึ่งก็คือเด็กชายสายนต์ในขณะนั้นนั่นเอง
นางตาล เล่าให้ฟังว่า ก่อนที่เธอจะตั้งท้อง เด็กชายสายนต์ประมาณ ๒ เดือน ตอนนั้นเธออยู่ที่บ้านหลังเก่า(หลังแรก) เป็นกระท่อมมุงแฝกเล็กๆ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านที่อยู่ปัจจุบันนี้(หลังที่สาม)ไปประมาณ ๕๐๐ เมตร เธอได้คลอดบุตรคนแรกเป็นเพศชายแต่ได้เสียชีวิตตั้งแต่แรกคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ เนื่องจากในสมัยนั้นต้องอาศัยหมอตำแยในการทำคลอดจึงมีความเสี่ยงสูง แต่ก็จำเป็นเพราะการเดินทางไปโรงพยาบาลในสมัยนั้นค่อนข้างจะลำบาก
เมื่อทราบว่าทารกที่เพิ่งเกิดมาเสียชีวิต นายเพราะสามีของเธอได้นำศพทารก ไปฝังไว้ที่บริเวณต้นแจงนอกหมู่บ้าน ซึ่งชาวบ้านเรียกบริเวณนั้นว่า “โคกตานุ่น” โดยไม่ได้ทำพิธีใดๆ หลังจากคลอดบุตรแล้วเธอต้องอยู่ไฟเพื่อให้มดลูกเข้าอู่ตามวิธีโบราณ คือก่อไฟในกะละมังใบใหญ่ที่ใส่ดินไว้ แล้วนอนอบไอร้อนอยู่แต่ภายในห้อง ซึ่งความร้อนจากกองไฟจะช่วยอบให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น วันหนึ่งขณะที่เธอนอนอยู่ไฟอยู่ในห้องกำลังจะเคลิ้มหลับ เธอได้ยินเสียงเด็กมาเรียกว่า “แม่ ๆ” เธอสะดุ้งตื่น ทีแรกคิดว่าฝันไป สักครู่เสียงเด็กคนนั้นก็เรียกอีกว่า “แม่ ๆ” คราวนี้เธอได้ยินอย่างชัดเจน เธอคิดว่าเป็นเด็กแถวๆบ้านมาเรียกจึงถามว่า “ใคร” เสียงเด็กคนนั้นตอบว่า “ผมเป็นลูกแม่” ตอนนั้นเธอคิดในใจว่า..บุตรของเธอที่เสียชีวิตไปแล้วคงจะมาส่งเสียงเรียกไม่ได้ เพราะเขาตายตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลกคงจะยังรับรู้อะไรไม่ได้..จึงถามย้ำอีกครั้งว่า “ใคร” เสียงเด็กคนนั้นตอบว่า “ผมเป็นลูกแม่..ผมจะมาเกิดกับแม่อีก” ขณะนั้นแม่ของเธอได้ยินเสียงเธอพูดคุยกับใครอยู่ในห้องจึงตะโกนถามเธอว่า “อีน้อยคุยกับใครอยู่ล่ะ” เธอตะโกนตอบไปว่า “คุยกับเด็ก มันมาเรียกบอกว่าเป็นลูกฉัน จะขอมาเกิดใหม่” เธอขอให้แม่ของเธอช่วยดูให้หน่อยว่ามีเด็กอยู่นอกบ้านหรือเปล่า แต่แม่ของเธอเดินดูจนรอบบ้านก็ไม่พบใคร ตอนนั้นเธอรู้สึกกลัวมากคิดว่าเสียงที่ได้ยินนั้น อาจจะเป็นเสียงวิญญาณบุตรชายของเธอที่เพิ่งเสียชีวิตไปก็เป็นได้ เดือนต่อมาเธอก็ตั้งท้องเด็กชายสายนต์ ตอนนั้นเธอคิดว่าจะคอยสังเกตบุตรที่จะเกิดมาใหม่ ว่าจะเป็นบุตรคนแรกสืบชาติมาเกิดจริงหรือไม่ ต่อมาเมื่อเธอคลอดเด็กชายสายนต์ได้ไม่นาน เธอได้รื้อบ้านหลังเก่าซึ่งเป็นกระท่อมหลังคามุงแฝกเล็กๆ แล้วปลูกบ้านหลังใหม่(หลังที่สอง) ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเดิมเป็นบ้านไม้หลังคาสังกะสี โดยขยับออกจากบริเวณบ้านหลังเก่าไปประมาณ ๕ วา
เวลาผ่านไปเมื่อเด็กชายสายนต์อายุได้ประมาณ ๒ ขวบเริ่มพูดได้ วันหนึ่งขณะที่เขากำลังเล่นอยู่กับเด็กๆแถวบ้าน จู่ๆเขาก็บอกกับเพื่อนๆ ว่า “แต่ก่อนบ้านเราอยู่ตรงนี้” เขาพูดพร้อมกับชี้มือไปยังบริเวณบ้านหลังเก่า เพื่อนๆ ค้านว่า “ไม่ใช่..ไม่เคยเห็น” เด็กชายสายนต์ก็ยังคงยืนยันว่า “จริงๆนะ ไม่เชื่อไปถามแม่เราดูก็ได้” ตอนนั้นเด็กๆพากันมาถามเธอกับนายเพราะ ว่าสิ่งที่ เด็กชายสายนต์พูดเป็นความจริงหรือไม่ เมื่อทราบเรื่องจากเด็กๆเธอกับนายเพราะก็มองตากันอย่างรู้ความหมาย เด็กชายสายนต์ไม่เคยทราบมาก่อนว่าบริเวณนั้นเคยมีบ้านอยู่ เธอถามเด็กชายสายนต์ว่า “หนูรู้ได้ยังไงลูก” เขาตอบว่า “ก็ผมเคยอยู่” เธอค้านว่า “ไม่ใช่มั้ง..ตอนนั้นหนูยังไม่เกิดเลย” เขายืนยันเสียงดังว่า “จริงๆผมเคยอยู่ ผมเคยเกิดเป็นลูกแม่” นายเพราะผู้เป็นพ่อแสร้งค้านว่า “เขาไม่ให้พูดไปหรอก” เขายังคงยืนยันว่า “จริงๆนะ ผมยังเห็นฝนตกทุกวันเลย” นายเพราะถามว่า “ฝนตกหนาวไหม” เด็กชายสายนต์ตอบว่า “หนาว..ผมอยู่ตรงชายคาบ้าน เวลาฝนตกฝนมันย้อยลงมา น๊าว..หนาว ผมเห็นเขาไล่ฝูงวัวฝูงควายไปไร่ทุกวันเลย ผมได้ยินพ่อกับแม่คุยกันด้วย ผมเรียกพ่อกับแม่แต่พ่อกับแม่ไม่ได้ยิน” นางตาลกล่าวว่า จากเหตุการณ์ในวันนั้น ทำให้เธอกับนายเพราะเริ่มเชื่อว่า เด็กชายสายนต์อาจจะเป็นบุตรคนแรกของเธอสืบชาติมาเกิดจริง ๆ
อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นขณะเด็กชายสายนต์อายุได้ประมาณ ๕ ขวบ เธอและนายเพราะพาเขาไปทุ่งนาด้วย โดยให้เขาขี่คอนายเพราะไป ขณะที่เดินมาถึงบริเวณต้นแจง ที่นายเพราะฝังศพทารกไว้ จู่ๆเขาก็พูดขึ้นมาว่า “พ่อๆ นี่ผมอยู่ตรงนี้แหละ ฝูงวัวฝูงควายมันชอบมาดมผม” เขาพูดพร้อมกับชี้มือไปยังบริเวณที่นายเพราะฝังศพทารกไว้ เขาพูดออกมาได้อย่างไรว่าเขาเคยอยู่ตรงนั้นทั้งๆที่เขาไม่เคยเห็นหรือรู้จักบริเวณนั้นมาก่อน และที่สำคัญคือไม่มีใครทราบว่านายเพราะฝังศพทารกไว้บริเวณนั้น นอกจากเธอกับนายเพราะเท่านั้น ตอนนั้นเด็กชายสายนต์พูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติของเขาไม่กี่ครั้ง จากนั้นก็ไม่พูดถึงอีกเลย
นางตาล กล่าวถึงนายสายนต์บุตรชายว่า เมื่อตอนเด็กๆนายสายนต์เป็นเด็กที่ซุกซนดื้อรั้น แต่เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ เขาก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี มีความรับผิดชอบมากขึ้น เมื่ออายุครบบวชก็ได้บวชให้พ่อแม่ได้ชื่นใจ ไม่เคยสร้างความเสื่อมเสียให้ต้องทุกข์ใจ ขณะทำงานก็เป็นที่รักของหัวหน้างาน และเพื่อนร่วมงาน จนกระทั่งเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๖
เพื่อนๆที่อยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้นเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นเป็นช่วงเทศกาลลอยกระทง มีมวยชิงแชมป์โลกมาต่อยกันที่อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๖ นายสายนต์ได้ลาหยุดงานกลับมาดูมวยและถือโอกาสเลยมาเยี่ยมบ้านด้วย ความที่เป็นคนรักเพื่อนเมื่อมีโอกาสได้กลับมาเยี่ยมบ้านจึงชวนเพื่อนๆในหมู่บ้านมานั่งดื่มสุรากัน ขณะนั่งดื่มสุรากันอยู่นั้นนายสายนต์บ่นกับเพื่อนๆว่าอยากกินต้มยำปลา และอยากห่อข้าวใส่ใบตองไปกินตามทุ่งนาเพื่อหวนระลึกถึงบรรยากาศเก่าๆในชีวิตเมื่อครั้งที่เขายังใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน พอดีเพื่อนคนหนึ่งคือ นายวิไล(เปี๊ยก) ใจเกื้อ กำลังเตรียมตัวจะไปทุ่งนาอยู่พอดี นายสายนต์จึงชวนเพื่อนอีกคนหนึ่งคือ นายสกุล(กุล) สวัสดี ไปเที่ยวที่ทุ่งนาของนายเปี๊ยกด้วยกันโดยซื้อสุราติดไปด้วย เมื่อมาถึงทุ่งนาของนายเปี๊ยกก็ได้พบกับ นายประดิษฐ์(ดิษ) นิ่มมา เพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งเฝ้าสูบน้ำอยู่ ทั้งหมดจึงตั้งวงดื่มสุรากันใต้ร่มไม้กลางทุ่งนาและช่วยกันจับปลามาทำต้มยำแกล้มสุรา
เวลาต่อมานายเปี๊ยกกับนายดิษขอตัวไปดูสูบวิดน้ำ ขณะที่นายสายนต์ก็เที่ยวเดินเล่นไปตามคันนา ขณะนั้นนายสายนต์มองเห็นงูตัวหนึ่งเลื้อยผ่านไปไม่ไกลจากคันนาที่เขายืนอยู่นัก เขาคว้าท่อนไม้ที่อยู่ใกล้ๆไล่ตีงูตัวนั้น งูตัวนั้นถูกตีบาดเจ็บแต่ก็เลื้อยหนีไปได้ เมื่อกลับมาที่วงสุรานายสายนต์เล่าให้นายกุลฟังว่างูตัวนั้นไม่น่าจะหนีไปได้ นายกุลจึงเตือนว่า “ระวังจะเป็นงูเจ้าที่เจ้าทางนะ แถวนี้เจ้าที่แรง” นายสายนต์พูดขึ้นมาว่า “งูเจ้าทงเจ้าที่อะไร มันต้องเจอกับกูเอง” จากนั้นก็นั่งดื่มสุรากันต่อ นายเปี๊ยกกับนายดิษกลับมาร่วมวงอีกครั้ง
ขณะนั่งดื่มสุรากันอยู่นั้นนายสายนต์พูดเป็นลางว่า “นี่ถ้ากูตายพ่อกับแม่กูสบายเลยนะ เพราะกูทำประกันไว้ ถ้ากูตายคงได้เงินเป็นแสน” นายสายนต์พูดถึงความตายหลายครั้ง นายเปี๊ยกเห็นว่านายสายนต์พูดเป็นลางจึงตบปากไม่ให้พูด
นายสายนต์และเพื่อนๆ นั่งดื่มสุรากันจนพลบค่ำจึงพากันกลับบ้าน โดยนายสายนต์ กับนายกุลขับรถจักรยานยนต์คนละคันล่วงหน้าไปก่อน เมื่อมาถึงบริเวณทางเข้าหมู่บ้านซึ่งชาวบ้านเรียกบริเวณนั้นว่า “ระเริง” นายกุลได้เร่งเครื่องแซงขึ้นหน้าไป นายสายนต์เห็นเพื่อนแซงหน้าไปก็เร่งเครื่องตาม ด้วยความไม่ชำนาญทางกอปรกับเป็นเวลาพลบค่ำ นายสายนต์มองไม่เห็นหลุมบนถนน รถของนายสายนต์ตกหลุมอย่างแรง จากแรงกระแทกทำให้นายสายนต์คอหักเสียชีวิตทันที
ส่วนนายกุลแซงไปได้ประมาณ ๕๐ เมตร ไม่ได้ยินเสียงรถของนายสายนต์ตามมา จึงหันกลับไปมอง แต่มองไม่เห็นไฟหน้ารถของนายสายนต์จึงย้อนกลับไปดู ก็พบร่างของนายสายนต์ถูกรถจักรยายนต์ทับอยู่ นายกุลยกรถจักรยานยนต์ออก และไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านให้ช่วยพาร่างของนายสายนต์ไปยังบ้านของแพทย์ประจำตำบล แล้วให้เพื่อนบ้านคนนั้นเลยไปส่งข่าวให้กับนางตาลกับนายเพราะทราบ
บริเวณที่นายสายนต์ ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต
เมื่อนายเพราะกับนางตาลมาถึง แพทย์ประจำตำบลตรวจพิสูจน์แล้วแจ้งให้ทราบว่า นายสายนต์เสียชีวิตแล้ว แต่นางตาลยังไม่เชื่อว่าบุตรชายจะเสียชีวิต เนื่องจากตามร่างกายของนายสายนต์ไม่มีบาดแผลฉกรรจ์เลย นอกจากบริเวณตาตุ่มเท้าข้างขวาที่ยุบลงไปมีเลือดออกเล็กน้อยเท่านั้น นางตาลจึงตัดสินใจนำบุตรชายส่งโรงพยาบาลสระบุรีเพื่อตรวจพิสูจน์อีกครั้ง เมื่อแพทย์ตรวจเช็คโดยละเอียดแล้วได้แจ้งกับนางตาลว่า นายสายนต์เสียชีวิตมาก่อนหน้านี้แล้ว
นายสายนต์เสียชีวิต เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๖ ขณะอายุได้ ๒๗ ปี ชีวิตของนายสายนต์จบสิ้นลงพร้อมกับความสูญเสีย และความเศร้าโศกเสียใจของพ่อแม่และผู้ใกล้ชิด วิญญาณของเขาออกจากร่างคืนสู่ปรโลกอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาต้องอยู่ในปรโลกนานถึง ๖ เดือน จากนั้นจึงได้สืบชาติมาเกิดอีกครั้ง เป็นบุตรของนางอำนวยและนายกมล โนนน้อย ซึ่งก็คือ เด็กชายฤทธิไกร โนนน้อย ในชาติปัจจุบันนั่นเอง
ครอบครัวของนางอำนวยแม่ของเด็กชายฤทธิไกรกับครอบครัวของนางตาลแม่ของนายสายนต์ มีความสนิทสนมกันมานาน ทั้งสองครอบครัวไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ เนื่องจากบ้านอยู่ห่างกันไม่ถึง ๒๐๐ เมตร ก่อนแต่งงานนางอำนวยก็เคยเป็นเพื่อนเที่ยวของนางพรรณน้องสาวของนายสายนต์ นายสายนต์เองก็เคยบอกว่าชอบนางอำนวย ส่วนนายกมลก็เป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของนายสายนต์
นางอำนวย , ด.ช.ฤทธิไกร , นางตาล
(ด.ช.ฤทธิไกรกับแม่ในปัจจุบันชาติ และแม่ในอดีตชาติ)
นางอำนวย เล่าให้ฟังว่า ก่อนที่เธอจะตั้งท้อง เด็กชาย ฤทธิไกร ตอนนั้นเธอทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ เธอฝันแปลกๆเป็นเหตุการณ์คล้ายๆกันถึง ๓ ครั้ง และขณะตั้งท้องได้ประมาณ ๔ เดือน และเมื่อเธอกลับมาอยู่ที่บ้านก็ฝันแปลกๆ อีก
ฝันครั้งแรก ก่อนที่เธอจะตั้งท้องเด็กชายฤทธิไกร ประมาณ ๓ เดือน เธอฝันว่ามีผู้หญิงวัยเดียวกับเธอมาชวนไปทุ่งนา เธอถามผู้หญิงคนนั้นว่า “จะพาฉันไปไหน” ผู้หญิงคนนั้นตอบว่า “จะพาไปเอาพระ” เธอเดินตามไปผู้หญิงคนนั้นไปสักครู่ก็พบกับตู้ใบเล็กๆในตู้มีพระเครื่องเลี่ยมทองอยู่เต็มตู้ ผู้หญิงคนนั้นบอกกับเธอว่า “อยากได้ก็เปิดตู้หยิบเอาซิ” เธอถามว่า “ของเขามีเจ้าของหรือเปล่า แล้วถ้าเจ้าของเขาเจอเขาจะเอาคืนไหม” ผู้หญิงคนนั้นตอบว่า “มี..ถ้าเขาเจอเขาก็เอาคืน” ในฝันเธอตัดสินใจไม่เอา แต่พอจะหันหลังกลับก็รู้สึกตัวตื่น
ฝันครั้งที่สอง อีกประมาณ ๑ เดือนต่อมาเธอก็ฝันคล้ายๆกันอีกว่าผู้หญิงคนเดิมพาเธอไปที่ห้างสรรพสินค้า เมื่อเข้าไปในห้างผู้หญิงคนนั้นพาเธอไปที่ตู้โชว์ซึ่งภายในมีผ้าเช็ดหน้าของผู้หญิงอยู่เต็มตู้ ผู้หญิงคนนั้นบอกกับเธอว่า “เปิดตู้หยิบเอาซิ” เธอถามว่า “ของเขามีเจ้าของหรือเปล่า ถ้าเขาเจอเขาจะเอาคืนไหม” ผู้หญิงคนนั้นตอบว่า “มี..ถ้าเขาเจอเขาก็เอาคืน” เธอบอกว่า “ถ้างั้นฉันไม่เอาหรอก” จากนั้นก็รู้สึกตัวตื่น
ฝันครั้งที่สาม เดือนต่อมาเธอก็ฝันอีกแต่คราวนี้เป็นผู้หญิงวัยกลางคน เอาสร้อยทองพร้อมพระเลี่ยมทองมาคล้องคอให้ เธอบอกว่า “ไม่เอาหรอก เขามีเจ้าของหรือเปล่า” ผู้หญิงคนนั้นตอบว่า “เอาไปเถอะเขาให้เอามาให้ เขาไม่เอาคืนหรอก” พอผู้หญิงคนนั้นพูดจบเธอก็สะดุ้งตื่นลุกขึ้นมาคลำที่คอตัวเองจึงรู้ว่าฝันไป และในเดือนนั้นเธอก็ตั้งท้องเด็กชายฤทธิไกร หลังจากตั้งท้อง เด็กชายฤทธิไกรได้ประมาณ ๒ -๓ เดือน เธอก็กลับจากกรุงเทพฯมาอยู่ที่บ้านเนื่องจากท้องเริ่มใหญ่ขึ้นไม่สามารถทำงานได้
ฝันครั้งที่สี่ ขณะที่เธอตั้งท้องได้ประมาณ ๔ เดือนตอนนั้นเธอกลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว คืนหนึ่งเธอฝันว่ามีเด็กแฝดผู้หญิงสองคนไว้ผมบ๊อบสั้น ผิวขาว หน้าตาคล้ายคนทางภาคเหนือ มากับผู้ชายวัยกลางคนใส่เสื้อม่อฮ่อม มาเรียกเธอว่า “แม่..แม่” ในฝันเธอมองออกมานอกประตูบ้านลงมาข้างล่างเห็นเด็กผู้หญิง ๒ คนยืนอยู่บนบันไดบ้าน ส่วนผู้ชายยืนอยู่ด้านล่าง เด็กผู้หญิงสองคนนั้นบอกให้เธอออกมาคุยกันข้างนอกบ้าน แต่เธอบอกไปว่า “ขึ้นมาคุยกันบนบ้านดีกว่า” เด็กผู้หญิงสองคนนั้นบอกว่า “หนูขึ้นไปไม่ได้ มีสายสิญจน์ล้อมรอบบ้านอยู่” เธอถามว่า “หนูมาทำอะไรกัน” เด็กผู้หญิงสองคนนั้นตอบว่า “หนูจะมาขออยู่ด้วย” เธอก็บอกไปว่า “อยู่ไม่ได้หรอกมีคนมาอยู่แล้ว” ทั้งสองพยายามอ้อนวอน แต่เธอยังคงยืนยันว่ามีคนมาอยู่แล้ว ผู้ชายที่รออยู่ด้านล่างพูดขึ้นมาว่า “ลงมาเถอะเขาไม่ให้อยู่ด้วยก็ลงมา” เสียงนั้นดูเหมือนจะมีอำนาจมากเด็กผู้หญิงทั้งสองคนรีบเดินลงบันไดแล้วพากันเดินหายไป เธอก็รู้สึกตัวตื่น
นางอำนวย กล่าวว่า เธอไม่ทราบว่าความฝันเหล่านี้มีความหมายว่าอย่างไร แต่เคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่บอกว่าถ้าตอนท้องหรือก่อนท้องถ้าฝันว่ามีคนเอาสิ่งของมาให้ หรือเก็บสิ่งของได้ ถ้าของสิ่งนั้นเป็นสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ชายลูกที่จะเกิดมาก็จะเป็นผู้ชาย แต่ถ้าของนั้นเป็นสิ่งของเครื่องใช้ของผู้หญิงลูกที่จะเกิดมาก็จะเป็นผู้หญิง ในกรณีของเธอมีคนเอาสร้อยทองพร้อมพระเลี่ยมทองมาคล้องคอให้ ลูกของเธอจึงเป็นเพศชาย เช่นเดียวกันกับเมื่อครั้งที่เธอกับนายจอนแฝดผู้พี่ของเธอยังไม่เกิด นางหนูแม่ของเธอฝันว่าเก็บไฟแช็กกับต่างหูได้ ปรากฏว่าลูกที่เกิดมาเป็นลูกแฝดชายหญิงคือเธอกับนายจอนพี่ชาย
นางอำนวย พูดถึงข่าวการเสียชีวิตของนายสายนต์ว่า ช่วงเวลาที่นายสายนต์เสียชีวิตตอนนั้นเธอทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่ก็พอจะทราบข่าวจากคนแถวบ้านเล่าให้ฟัง เธอไม่ทราบรายละเอียดมากนัก ทราบแต่ว่านายสายนต์ขับรถจักรยานยนต์ตกหลุมคอหักเสียชีวิตเท่านั้น จนกระทั่งเธอตั้งท้อง เด็กชายฤทธิไกรได้ประมาณ ๒ - ๓ เดือน เธอกลับมาอยู่ที่บ้านจึงทราบรายละเอียดมากขึ้น เธอคิดไม่ถึงว่านายสายนต์จะสืบชาติมาเกิดเป็นบุตรชายของเธอ
นางหนู นาคตระกูล ยายของเด็กชายฤทธิไกรเล่าให้ฟังว่า ครั้งแรกที่เธอทราบว่าเด็กชาย ฤทธิไกรจำอดีตชาติได้ตอนนั้นเด็กชายฤทธิไกรอายุได้ประมาณ ๑ ขวบกับ ๓ เดือน วันนั้นนางอำนวยไปทำงานที่ไร่และได้ฝากเด็กชายฤทธิไกรไว้กับเธอ วันหนึ่งขณะที่เธอกำลังนั่งซักผ้าอยู่จู่ๆ เด็กชาย ฤทธิไกร ก็พูดขึ้นมาว่า “แม่ใหญ่ ผมเป็นโดด” ทีแรกเธอไม่ได้สนใจฟัง เขาก็พูดขึ้นมาอีกว่า “แม่ใหญ่ ๆ ผมเป็นโดดนะ ผมเป็นโดด” เธอได้ยินจึงถามว่า “เป็นอะไรล่ะ” “ผมเป็นไอ้โดด” เริ่มเสียงดังขึ้น เธอไม่รู้จักจึงถามว่า “ไอ้โดดไหนล่ะ” เขาตอบเสียงดังว่า “ก็ไอ้ยนต์ไง” เธอยังไม่รู้จักจึงถามว่า “ไอ้ยนต์ไหน” เขาเริ่มหงุดหงิดแล้วพูดเสียงดังกว่าเดิมว่า “ที่ผมรถล้มตายไง รถมันตกหลุมตีลังกา(แสดงท่าทางให้ดู) ผมคอหักตายเลย” ตอนนั้นเธอนึกถึงนายโดดหรือนายสายนต์ บุตรชายของนางตาลและนายเพราะเพื่อนบ้านขึ้นมาทันที เธอคิดในใจว่า หรือว่าเขาจะจำอดีตชาติได้ จึงถามต่อไปว่า “หนูตายที่ไหน” เขาตอบว่า “ที่ท่อตรงเดิ่น ตาจันทร์” เธอไม่รู้จักจึงถามว่า “เดิ่นตาจันทร์ไหน” เขาตอบว่า “ที่ระเริงไง” ในขณะนั้นเธอยังไม่ทราบว่าเดิ่นตาจันทร์ที่เขาพูดถึงอยู่ที่ไหน
นายอ้น และ นางหนู นาคตระกูล
(ตาและยายของ ด.ช.ฤทธิไกร)
ภายหลังจึงทราบว่า “เดิ่นตาจันทร์” ที่เด็กชายฤทธิไกรพูดถึงนั้นเป็นที่ดินว่างเปล่าของนายจันทร์คนในหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ใกล้ๆกันกับบริเวณที่นายสายนต์ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตนั่นเอง ตอนนั้นเธอเริ่มเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เด็กชายฤทธิไกรพยายามจะบอกคืออะไร เขาพยายามจะบอกว่าตัวเขาคือนายโดดหรือนายสายนต์บุตรชายของนางตาลและนายเพราะสืบชาติมาเกิดนั่นเอง เธอถามต่อไปว่า “แล้ววันนั้นหนูมากับใคร” เขาตอบว่า “ผมมากับไอ้กุล..ไอ้กุลมันหนีผม” เธอถามว่า “มันหนีไปไหน” เขาตอบว่า “หนีไปตรงเดิ่นตาจันทร์ไง” เธอถามต่อว่า “หนูไปไหนกันมาล่ะ” เขาตอบว่า “ไปกินต้มปลาที่นาไอ้เปี๊ยกมา” เธอถามต่อว่า “แล้วทำไมหนูมาเกิดเร็วนักล่ะ” เขาตอบว่า “ก็ผมห่วงไอ้ตั้ม” เธอถามว่า “ไอ้ตั้มมันเป็นใคร” เขาตอบว่า “เป็นลูกผม” วันนั้นเธอซักถามเด็กชายฤทธิไกรจนแน่ใจว่าเขาจำอดีตชาติได้แน่ เมื่อนางอำนวยกลับมาจากไร่เธอจึงเล่าเรื่องนี้ให้นางอำนวยฟัง เมื่อนางอำนวยทราบเรื่องจึงสอบถามเด็กชายฤทธิไกรว่า “พ่อแม่ หนูชื่ออะไร” เขาตอบว่า “ชื่อปู่เพราะ ย่าตาล” ปู่..ย่า เป็นคำที่นายสายนต์ใช้เรียกพ่อกับแม่ของเขาเพื่อให้เด็กชายตั้มบุตรชายเรียกตาม นางอำนวยถามว่า “หนูมีน้องชื่ออะไรบ้าง” เขาตอบว่า “มีไอ้หมื่น ไอ้ยม แล้วก็อาพรรณ” ซึ่งเป็นที่น่าประหลาดใจเพราะขณะที่ยังมีชีวิต นายสายนต์จะเรียกนายหมื่นกับนายยมน้องชายว่า “ไอ้” แต่จะเรียกนางพรรณว่า “อา” เพื่อให้บุตรชายเรียกตาม เขาพูดเหมือนกับว่าเป็นตัวของนายสายนต์เอง เมื่อถามถึงเหตุการณ์ในวันที่นายสายนต์เสียชีวิต เขาก็ตอบเหมือนกับที่บอกกับเธอและเขาขอให้นางอำนวยเรียกตัวเขาว่า “ไอ้น้อย” เหมือนกับที่นางตาลเคยเรียกนายสายนต์
นางอำนวย แม่ของเด็กชายฤทธิไกรเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นเมื่อเธอได้ฟังเรื่องราวจากนางหนูแม่ของเธอและได้สอบถามเด็กชายฤทธิไกรเกี่ยวกับอดีตชาติของเขา เธอก็นึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อครั้งที่เด็กชายฤทธิไกรอายุได้ประมาณ ๓ - ๔ เดือน ตอนนั้นเธอเคยอุ้มเด็กชายฤทธิไกรไปนั่งเล่นที่บ้านของนางตาลอยู่บ่อยๆ และเวลาที่เด็กชายฤทธิไกรร้องไห้งอแงถ้าให้นางตาลอุ้มเขาก็จะหยุดร้องไห้ มีครั้งหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาร้องไห้กลางดึกร้องอยู่นานไม่ยอมหยุด เธอพยายามปลอบอย่างไรก็ไม่ยอมหยุด เธอไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรจึงตัดสินใจอุ้มบุตรชายไปหานางตาลที่บ้านกลางดึก พอส่งให้นางตาลอุ้ม เด็กชายฤทธิไกรก็หยุดร้องไห้ทันที นางอำนวยกล่าวว่าตอนนั้นเธอยังไม่คิดสงสัย ทราบแต่ว่าถ้าบุตรชายร้องไห้มากๆแล้วให้นางตาลอุ้ม บุตรชายของเธอก็จะหยุดร้องไห้เท่านั้น เธอคิดไม่ถึงว่านายสายนต์จะมาเกิดกับเธอ และในวันนั้นเมื่อเธอสอบถามบุตรชายจนแน่ใจแล้ว เธอได้ตรวจหารอยตำหนิต่างๆตามร่างกายของบุตรชาย ก็พบว่าบริเวณตาตุ่มเท้าขวาของเด็กชายฤทธิไกรยุบลงไปผิดปกติ ซึ่งต่อมาเธอได้ทราบจากนางตาลภายหลังว่า เป็นบริเวณเดียวกันกับบาดแผลของนายสายนต์ขณะที่เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต ซึ่งลักษณะที่ผิดปกติดังกล่าวของเด็กชายฤทธิไกรได้นูนขึ้นมาจนกระทั่งเป็นปกติเมื่อเขาอายุได้ประมาณ ๒ ขวบ และเมื่อตอนที่เด็กชายฤทธิไกรอายุได้ประมาณ ๑ ขวบ กำลังหัดพูดเด็กชายฤทธิไกรเคยบ่นกับเธอว่าปวดขาข้างขวาโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งเธอคิดว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกันก็ได้
หลังจากวันนั้นเด็กชายฤทธิไกรก็ร้องไห้ขอร้องให้นางอำนวยพาไปหาพ่อกับแม่ในอดีตชาติของเขาเกือบทุกวัน แต่นางอำนวยยังไม่ว่างจากการงานจึงยังไม่ได้พาไป นางหนูได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้นายเพราะและนางตาลฟัง ทีแรกนายเพราะไม่ค่อยเชื่อนักแต่นางตาลอยากพิสูจน์ความจริงจึงมาพบกับเด็กชายฤทธิไกรที่บ้านของนางอำนวย เมื่อได้พบกับนางตาลเด็กชายฤทธิไกรแสดงอาการดีใจตรงเข้าไปกอดนางตาลทันทีและเรียกนางตาลว่า “ย่า” ตอนนั้นนางตาลเองก็ยังไม่แน่ใจนักว่าเด็กชายฤทธิไกรจะเป็นนายสายนต์บุตรชายของเธอสืบชาติมาเกิด ตามที่นางหนูเคยเล่าให้ฟังเพราะเป็นแค่เพียงคำพูดอย่างเดียวซึ่งเด็กชายฤทธิไกรอาจจะเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวมาก่อนก็ได้ เนื่องจากตั้งแต่ตอนเด็กๆเด็กชายฤทธิไกรรู้จักและคุ้นเคยกับนางตาลและครอบครัวดี ดังนั้นเพื่อความแน่ใจนางตาลจึงเริ่มต้นการพิสูจน์โดยการสอบถามเด็กชายฤทธิไกรว่า
นางตาล : “หนูเป็นใครมาเกิดลูก”
เด็กชายฤทธิไกร : “ผมเป็นไอ้โดด”
นางตาล : “หนูตายที่ไหน”
เด็กชายฤทธิไกร : “ผมตายที่ระเริง”
นางตาล : “ตอนนั้นหนูมากับใคร”
เด็กชายฤทธิไกร : “ผมมากับไอ้กุล ไอ้กุลมันหนีผม”
นางตาล : “แล้วทำไมหนูไม่มาเกิดกับแม่ล่ะ”
ตอนนั้นนางตาลลืมไปว่าตัวเองได้ทำหมันแล้ว
เด็กชายฤทธิไกร : “ผมมาเกิดกับแม่ไม่ได้”
นางตาล : “ตอนที่แม่พาหนูไปโรงพยาบาล ตอนนั้นหนูตายหรือยัง”
เด็กชายฤทธิไกร : “ผมตายแล้ว ผมยังเห็นย่าร้องไห้ ฮิ..ฮิ อยู่เลย”
นางตาล : “หนูมีเมียกี่คน”
เด็กชายฤทธิไกร : “มีสองคน”
นางตาล : “ชื่ออะไรบ้าง”
เด็กชายฤทธิไกรมีท่าทางเขินอาย ไม่ยอมตอบคำถามนี้
นางตาล : “แล้วลูกหนูล่ะชื่ออะไร”
เด็กชายฤทธิไกร : “ชื่อไอ้ตั้ม”
ตอนนั้นนางตาลถึงกับน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว นางตาลเริ่มเชื่อขึ้นมาบ้างแล้วว่าเด็กชายฤทธิไกรอาจจะเป็นนายสายนต์บุตรชายของเธอสืบชาติมาเกิดจริงๆ แต่เพื่อพิสูจน์ให้แน่ชัดยิ่งขึ้นนางตาลจึงได้พาเด็กชายฤทธิไกรไปพิสูจน์ต่อที่บ้านของเธอ
ที่บ้านของนางตาล นายเพราะถามเด็กชายฤทธิไกรว่า “ถ้าหนูเป็นลูกพ่อจริง ลองบอกซิว่า ต้นมะพร้าวที่อยู่หน้าบ้านต้นไหนเป็นของหนู” เด็กชายฤทธิไกรชี้มือไปที่ต้นมะพร้าวต้นที่อยู่ตรงกลางแล้วบอกว่า “ต้นนี้ของผม” แล้วชี้ไปที่ต้นริมทั้ง ๒ ข้าง แล้วบอกว่า “ต้นนี้ของอาพรรณ ต้นโน้นของอาต๋อย”(นายต๋อยสามีของนางพรรณ) นายเพราะกล่าวว่า ไม่มีใครทราบว่าใครเป็นคนที่ปลูกต้นมะพร้าวทั้งสามต้นนี้ นอกจากตน นางตาล และลูกๆของตนเท่านั้น นอกจากนี้เขายังบอกได้ด้วยว่าโอ่งใหญ่ ๔ ใบ ที่อยู่ข้างบ้านเป็นของใครบ้าง และบอกได้ด้วยว่าโอ่งใบที่เป็นของนายสายนต์นั้นทวดอ้อยแม่ของนางตาลเป็นคนให้มา
นางตาล พาเด็กชายฤทธิไกรขึ้นไปพิสูจน์ต่อบนบ้านโดยพาไปดูสิ่งของในตู้เก็บของ ซึ่งมีสิ่งของที่เป็นของนายสายนต์อยู่ด้วย นางตาลเปิดตู้โชว์บนบ้านหยิบแก้วออกมาใบหนึ่งแล้วถามว่า “หนูจำได้ไหมนี่แก้วใคร” เด็กชายฤทธิไกรตอบว่า “แก้วผม ผมฝากไอ้ยมมาให้ย่า” นางตาลกล่าวว่าแก้วใบนั้นความจริงมีอยู่หลายใบแต่แตกหมดแล้วเหลืออยู่ใบเดียว เป็นแก้วที่นายสายนต์ซื้อ ตอนที่เขายังบวชเป็นพระ เมื่อเขาจะสึกเขาก็ได้ฝากให้น้องชายคือ นายธนาวัฒน์(ยม) ให้นำมาให้เธอเก็บไว้ใช้ นางตาลทดลองให้เด็กชายฤทธิไกรชี้ให้ดูของในตู้โชว์ ว่ามีสิ่งของชิ้นไหนที่เป็นของๆนายสายนต์บ้าง เด็กชายฤทธิไกรเดินไปมองที่ภาพถ่ายของนายสายนต์แล้วชี้มือบอกนางตาลว่า “นี่รูปผม” เมื่อเห็นรถจักรยานยนต์ที่อยู่ในภาพถ่ายก็ชี้มือบอกว่า “นี่รถผม...ย่าแล้วรถผมล่ะ” นางตาลแกล้งตอบว่า “ก็หนูอยากตายหนีแม่ แม่ก็ขายให้เขาไปนะซิ” ตอนนั้นเด็กชายฤทธิไกรไม่ได้พูดอะไร แต่กลับมาพูดกับนางแหนงพี่สาวของนางอำนวยที่บ้านภายหลังว่า “ปู่ไม่น่าเอารถผมให้เขาไปเลย น่าจะเก็บไว้ให้ผม” นางแหนงถามว่า “หนูรู้ได้ยังไง” เด็กชายฤทธิไกรตอบว่า “รู้..ผมเห็นเขาเอาขึ้นรถมัดไปเลยแหละ”
นายเพราะ เล่าถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นให้ฟังว่า หลังจากงานทำบุญ ๗ วันของนายสายนต์แล้ว ตนได้โทรศัพท์ให้ทางร้านขายรถจักยานยนต์มารับรถคืนไป ทั้งที่เหลือค่างวดที่จะต้องผ่อนอีกไม่กี่งวดก็จะหมดแล้ว เพราะตอนนั้นตนคิดว่า คงจะไม่ดีถ้าจะเก็บเอาไว้ และวันนั้นทางร้านได้นำรถจักรยานยนต์ของนายสายนต์ มัดใส่ท้ายรถกระบะไปจริง เด็กชายฤทธิไกรทราบเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้อย่างไร ตนรู้สึกทึ่งในคำพูดและการกระทำของเขามาก ทีแรกตนคิดว่าอาจจะมีใครสอนให้เขาพูด แต่เมื่อได้พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ นายเพราะกล่าว
นางตาล กล่าวว่า จะไม่ให้พวกเธอเชื่อได้อย่างไร แม้แต่ทีวีบนบ้าน ที่นายสายนต์เคยซื้อไว้ให้เธอกับนายเพราะเมื่อครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่ เด็กชายฤทธิไกรก็สามารถปิดเปิดและบิดเปลี่ยนช่องได้อย่างคุ้นเคยทั้งๆที่เป็นทีวีรุ่นเก่าที่ต้องใช้มือบิดเปลี่ยนช่อง ซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน และเมื่อเธอถามว่า “ทำไมจึงรู้” เด็กชายฤทธิไกรก็ตอบว่า “ทำไมจะไม่รู้ ก็ผมซื้อมากับมือ” เด็กชายฤทธิไกรตอบเหมือนกับว่าเขาเป็นตัวของนายสายนต์จริง ๆ
นางอำนวย เล่าให้ฟังว่า เด็กชายฤทธิไกรเคยพูดถึงชีวิตหลังความตายให้ฟังว่า หลังจากที่ตายไปแล้ว เขาได้เห็นร่างของตัวเองนอนอยู่ เห็นนายกุลช่วยยกรถจักรยานยนต์ออกให้ เห็นญาติ ๆนำรถจักรยานยนต์ขึ้นรถกระบะออกจากที่เกิดเหตุ และเห็นนางตาลนั่งร้องไห้ขณะนำร่างของนายสายนต์ส่งโรงพยาบาล จากนั้นเขาได้ไปอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ตอนนั้นเขาถูกจับไปขังล่ามโซ่ไว้ มีคนใช้มีดเฉือนเนื้อของเขาออกมาทีละชิ้นๆแล้วเอาเกลือทา ซึ่งเขาไม่สามารถต่อสู้ดิ้นรนใดๆได้ ตอนนั้นเขารู้สึกเจ็บปวดและทรมานมาก ต่อมาคนพวกนั้นได้นำเนื้องูมาปะให้ แล้วจึงปล่อยให้เขามาเกิด
ผู้เขียนสังเกตว่า ขณะที่ผู้เขียนสัมภาษณ์เด็กชายฤทธิไกรจะพูดถึงเรื่องงูบ่อยมาก บางครั้งเขาจะเล่าถึงเหตุการณ์ในวันที่เขาเสียชีวิตให้ฟังว่า “ผมขับรถหนีงูตาแดงตัวใหญ่มา ไอ้กุลมันหนีผม งูมันมาขวางหน้าผม รถผมล้ม ผมคอหักตายเลย” คำพูดเหล่านี้เป็นความเพ้อฝันที่เขาจินตนาการขึ้นมาเอง หรือเป็นเพราะบาปกรรมที่เขา(นายสายนต์)ได้กระทำกับงูตัวหนึ่ง ก่อนที่เขาจะประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และบาปกรรมนั้นได้ส่งผลให้เขาถูกทรมานอยู่ในปรโลก ก่อนจะสืบชาติมาเกิดอีกครั้งในชาติปัจจุบัน
เด็กชายฤทธิไกร พูดและแสดงออกว่าตัวเขาคือนายสายนต์สืบชาติมาเกิดหลายครั้ง กับหลายบุคคล ซึ่งเท่าที่รวบรวมได้ มีดังนี้
ทักทายนายแดงเพื่อนสนิทในอดีตชาติ…มีครั้งหนึ่งขณะที่เด็กชายฤทธิไกรอยู่กับนางอำนวย เด็กชายฤทธิไกรมองเห็น นายจันทร์(แดง) เกตุปลี เพื่อนของนายสายนต์เดินมากับภรรยา เขาทักทายภรรยาของนายแดงว่า “แม่รักไปไหนมาล่ะ” ซึ่ง “แม่รัก” เป็นคำที่นายสายนต์เคยใช้เรียกภรรยาของนายแดงตามความนิยมของผู้คนตามต่างจังหวัด ที่มักจะเรียกภรรยาของเพื่อนสนิทว่า “แม่รัก” นายแดงและภรรยาไม่เคยพบกับเด็กชายฤทธิไกรมาก่อนก็รู้สึกงง ว่าเด็กคนนี้เป็นลูกใครที่ไหน เคยรู้จักกับพวกเขามาก่อนหรือเปล่าจึงได้ทักทายแบบนี้ เมื่อเด็กชายฤทธิไกรเห็นนายแดงทำท่างงๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่า “ไอ้แดงมึงจำกูไม่ได้หรือไง กูไอ้โดดไง” นายแดงยิ่งงงไปใหญ่ นางอำนวยจึงเล่าเรื่องราวที่เด็กชายฤทธิไกรจำอดีตชาติได้ให้นายแดงฟัง นายแดงจึงเข้าใจและรู้สึกทึ่งกับคำพูดของเด็กชายฤทธิไกรในขณะนั้นมาก ถึงแม้ว่าต่อมานางอำนวยพยายามสอนให้เขาเรียกนายแดงว่า “น้าแดง” แต่เขาไม่ยอมเรียก ยังคงเรียกนายแดงอย่างเพื่อนที่สนิทสนมคุ้นเคยกันว่า “ไอ้แดง” เหมือนเดิม จนกระทั่งถึงทุกวันนี้
นายจันทร์(แดง) เกตุปลี
ทักทายนายเบิ้มคนเคยรู้จัก…เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นขณะที่ เด็กชายฤทธิไกรอยู่กับนางตาล เด็กชายฤทธิไกรมองเห็น นายเบิ้ม ตรงดี คนในหมู่บ้านเดินมาตามถนนก็ตะโกนเรียกชื่อนายเบิ้มเสียงดัง นายเบิ้มไม่เคยพบหรือรู้จักกับเด็กชายฤทธิไกรมาก่อนก็รู้สึกงง ว่าเด็กคนนี้รู้จักเขาได้อย่างไร นางตาลถามว่า “หนูรู้จักเขาเหรอ” เด็กชายฤทธิไกรตอบว่า “รู้จัก” ตอนนั้นนายเบิ้มไม่ได้พูดอะไร เขาเดินเลยไปทำธุระที่บ้านญาติซึ่งอยู่ใกล้ๆกับบ้านของนางตาล เมื่อทำธุระเสร็จนายเบิ้มสอบถามญาติๆว่าเด็กชายฤทธิไกรเป็นลูกใครทำไมจึงรู้จักและเรียกชื่อของเขาได้ทั้งๆที่ไม่เคยพบหรือรู้จักกันมาก่อน ก็ได้รับคำตอบจากญาติๆของเขาว่าเด็กชายฤทธิไกรจำอดีตชาติได้ว่าเป็นนายสายนต์สืบชาติมาเกิด เมื่อนายเบิ้มได้ทราบดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจเขานึกขึ้นมาได้ว่าเขาเคยไปเที่ยวหานายสายนต์ที่กรุงเทพฯครั้งหนึ่ง ก่อนที่นายสายนต์เสียชีวิตไม่นาน ตอนนั้นนายสายนต์พาเขาไปเลี้ยงเหล้าที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ปกติแล้วนายสายนต์กับเขาไม่ได้รู้จักสนิทสนมกันมากนัก แต่เห็นว่าเป็นคนบ้านเดียวกันจึงแวะไปเที่ยวหา วันนั้นเด็กชายฤทธิไกรทักทายและเรียกชื่อนายเบิ้ม เหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยพบหรือรู้จักกับนายเบิ้มมาก่อนเลย
ทักทายคนรักเก่า…มีครั้งหนึ่ง นางชิ้น เรือนกัน ซึ่งในอดีตนายสายนต์เคยชอบพออยู่ กำลังเดินอยู่บนถนน เด็กชายฤทธิไกรมองเห็นก็ส่งเสียงทักทายนางชิ้นว่า “สาวๆมานี่เถอะ” นางชิ้นพอจะทราบเรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของเด็กชายฤทธิไกรมาบ้าง จึงแกล้งพูดว่า “มานี่ซิหนุ่มๆ จะให้หอมแก้มสักที” เด็กชายฤทธิไกรเขินอายแก้มแดง หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่กล้าที่จะทักทายนางชิ้นอีกเลย ปัจจุบันนี้เมื่อได้พบนางชิ้นครั้งใด เขาจะเขินอายแก้มแดงไม่ยอมพูดจาทักทายเหมือนกับครั้งแรกที่ได้พบกัน
นางชิ้น เรือนกัน
จำคู่อริในอดีตชาติได้… มีครั้งหนึ่งนางอำนวยและนายกมลพา เด็กชายฤทธิไกรไปทำบุญใส่บาตรเนื่องในวันสำคัญทางศาสนาวันหนึ่งที่วัด เด็กชายฤทธิไกรมองเห็น นายฉาย ซึ่งเคยมีเรื่องชกต่อยกับนายสายนต์เดินผ่านมา เขาบอกกับนางอำนวยว่า “แม่ๆ ไอ้คนนี้มันเคยต่อยกับผม” นางอำนวยไม่รู้จักนายฉายเพราะนายฉายไม่ใช่คนในหมู่บ้านตะคร้อ นางอำนวยถามนายกมลว่ารู้จักผู้ชายคนที่เด็กชายฤทธิไกรบอกหรือเปล่า นายกมลหัวเราะและเล่าให้นางอำนวยฟังว่าปกตินายฉายเป็นคนบ้านวังกระโดนน้อยบ้านเดียวกับตน แต่นายฉายมาได้ภรรยาอยู่ในหมู่บ้านนี้ ตอนที่นายสายนต์ยังมีชีวิตอยู่เคยถูกนายฉายต่อย ตอนนั้นนายสายนต์เก็บความแค้นไว้ในใจ อยู่มาวันหนึ่งนายสายนต์ได้ชวนตนและเพื่อนๆหลายคนขึ้นรถอีแต๋นไปแก้แค้นนายฉายที่บ้านของนายฉายเอง เมื่อไปถึงบริเวณใกล้ๆบ้านของนายฉาย นายสายนต์วิ่งเข้าไปในบ้านของนายฉายคนเดียว ส่วนตนเองและเพื่อนๆติดเครื่องรถอีแต๋นรออยู่ด้านนอก เมื่อเขาเข้าไปต่อยนายฉายได้ เขาก็วิ่งออกมาขึ้นรถ เมื่อนายกมลเล่าถึงตอนนี้ เด็กชายฤทธิไกรซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วยก็พูดแทรกขึ้นมาว่า “ต่อยสนุกจริง ๆ แม่...เพี๊ยะ ๆ ๆ แล้วก็วิ่งมาหาพ่อนี้แหละ”
นางอำนวย เล่าให้ฟังว่า มีครั้งหนึ่ง นายจอมหรือนายอ๋า น้องชายของเธอเคยพาเด็กชาย ฤทธิไกรไปเที่ยวที่บ้านภรรยาของเขาที่หมู่บ้านวังกระโดนน้อย ซึ่งอยู่ใกล้ๆกันกับบ้านของนายฉาย นางใจ ภรรยาของนายจอมถามว่า “ไหนบ้านคนชื่อฉายที่หนูเคยต่อยอยู่ตรงไหน ลองชี้ให้น้าดูซิ” เด็กชายฤทธิไกรก็ชี้มือไปที่บ้านของนายฉายแล้วพูดว่า “อยู่นั่นไง” เด็กชายฤทธิไกรรู้จักบ้านของนายฉายทั้งๆที่ เขาเพิ่งเคยไปที่หมู่บ้านนั้นเป็นครั้งแรก เขาทราบเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างไร
รู้จักตัวปลิง…นายกมลเล่าให้ฟังว่า มีครั้งหนึ่งตนเองพาเด็กชายฤทธิไกรไปทุ่งนาด้วยโดยให้เขาขี่คอไป ขณะที่ตนกำลังจะเดินลุยน้ำข้ามคลอง เขาบอกกับตนว่า “พ่อระวังปลิงนะ” ตอนนั้นตนรู้สึกแปลกใจว่าเขารู้จักตัวปลิงได้อย่างไร ในเมื่อตั้งแต่เขาเกิดมาเขาไม่เคยเห็นหรือรู้จักปลิงมาก่อน ตนถามว่า “หนูรู้จักเหรอว่าตัวปลิงมันเป็นยังไง” เขาตอบว่า “รู้จัก..ตัวมันก็ยืด ๆไง” ในครั้งนั้นตนรู้สึกทึ่งกับคำพูดของเขามาก นายกมลกล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้วตนไม่อยากให้เขาพูดถึงอดีตชาติมากนัก เพราะกลัวเขาจะเจ็บไข้ได้ป่วยและอายุสั้น จึงพยายามห้ามไม่ให้เขาพูดถึงอดีตชาติของเขาอีก และพยายามทำให้เขาลืมหลายครั้งโดยการให้กินไข่ แต่เขาก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะลืมเรื่องราวในอดีตชาติ
นางตาล เล่าให้ฟังว่า มีครั้งหนึ่ง นางพรรณ น้องสาวของนายสายนต์ได้ไปรับเด็กชายฤทธิไกรมาที่บ้านของเธอ วันนั้นเธอบอกให้นางพรรณกับเด็กชายตั้ม บุตรชายของนายสายนต์ช่วยกันตักน้ำจากโอ่งใหญ่ข้างบ้านขึ้นมาใส่โอ่งใบเล็กที่อยู่บนบ้าน ขณะที่นางพรรณและเด็กชายตั้มกำลังช่วยกันตักน้ำอยู่นั้น เด็กชายฤทธิไกรเห็นว่าเด็กชายตั้มเหนื่อยแล้ว ด้วยสัญชาติญาณของความเป็นพ่อ จึงไปยืนคอยรับถังน้ำจากเด็กชายตั้มโดยพูดว่า “ส่งมานี่พ่อรับเอง” เด็กชายตั้มกำลังเหนื่อยจึงพูดว่า “พ่อเพ่ออะไรตัวแค่นี้..ถอยไปคนกำลังเหนื่อย” เด็กชายฤทธิไกรโกรธมากกระทืบเท้าแล้วพูดเสียงดังว่า “เดี๋ยวกูตบเลยนี่ กูเป็นพ่อมึงนะ” นางพรรณต้องปลอบอยู่นานเด็กชายฤทธิไกรจึงหายโกรธ
เด็กชายปริพัฒน์(ตั้ม) เต็มหัตถ์
เด็กชายฤทธิไกร มีความผูกพันธ์กับพ่อแม่ในอดีตชาติของเขามาก ถ้าไม่ได้พบหน้าหลาย ๆ วัน เด็กชายฤทธิไกรจะบ่นคิดถึง บางครั้งก็ร้องไห้ขอให้นางอำนวยพาไปหานายเพราะและนางตาล นางอำนวยบอกให้เดินไปเอง เด็กชายฤทธิไกรจะไม่ยอมไปบอกว่ากลัวสุนัขกัด วันไหนถ้านางอำนวยพาไปที่บ้านของนางตาลเขาจะดีใจมาก เมื่อไปถึงก็จะตรงไปหอมแก้มนางตาลและกอดด้วยความคิดถึง นายเพราะและนางตาลก็เช่นเดียวกัน
นางอำนวย เล่าให้ฟังว่ามีครั้งหนึ่ง เด็กชายฤทธิไกรไม่สบายมาก ทั้งท้องเสียและอาเจียน เธอจะพาเด็กชายฤทธิไกรไปโรงพยาบาล นายเพราะกับนางตาลก็ขอไปด้วย ด้วยความเป็นห่วง ตอนนั้นเด็กชายฤทธิไกรไม่ยอมให้เธอกับนางหนูผู้เป็นยายอุ้ม จะให้แต่นางตาลอุ้มคนเดียว เมื่อไปถึงโรงพยาบาลนายเพราะและนางตาลก็ช่วยเธอเฝ้าดูแล จนกระทั่งเด็กชายฤทธิไกรอาการดีขึ้น เมื่อถึงเวลาต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล พวกเขาก็ช่วยออกค่ารักษาพยาบาลด้วย ปัจจุบันนี้เวลาที่เด็กชายฤทธิไกรโกรธเธอหรือนางหนูก็จะหนีไปหานางตาลที่บ้าน เป็นอย่างนี้เสมอ
รู้ล่วงหน้าว่า นายสกุล(กุล) สวัสดี จะเสียชีวิต...เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งตรงกับวันออกพรรษา เช้าวันนั้นขณะที่นางอำนวยกำลังเตรียมเครื่องกัณฑ์เทศเพื่อที่จะไปฟังเทศมหาชาติที่วัด เด็กชายฤทธิไกรเดินมาบอกกับนางอำนวยว่า “แม่ ๆ วันนี้ไอ้กุลมันตายแน่ ตายแน่ๆไอ้กุลวันนี้ มันเมา แต่ตายเสียได้ก็ดีตอนผมตายมันอยากหนีผม” นางอำนวยได้ยินก็ตบปากไม่ให้พูด แต่เด็กชายฤทธิไกรยังพูดย้ำอีกว่า “จริงๆ นะแม่” นางอำนวยทำท่าจะตบปากอีกเขาจึงหยุดพูด เมื่อนางอำนวยเตรียมเครื่องกัณฑ์เทศเสร็จก็เดินทางไปวัด ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ ๘.๓๐ น. นางอำนวยขับรถจักรยานยนต์ผ่านบ้านของนายกุลเพื่อนของนายสายนต์ เห็นนายกุลกำลังนั่งดื่มสุราอยู่กับญาติๆใต้ถุนบ้าน วันนั้นนายกุลและญาติๆกำลังเตรียมตัวจะไปสู่ขอภรรยาให้กับน้องชายคือนายก้านที่หมู่บ้านใกล้เคียง นางอำนวยเห็นนายกุลดื่มสุราอยู่ ก็นึกถึงคำพูดของเด็กชายฤทธิไกรขึ้นมาแต่คิดว่าคงจะไม่เป็นความจริงจึงขับรถจักรยานยนต์ผ่านไป จนกระทั่งเวลาประมาณ ๑๑.๓๐ น. นางอำนวยทราบข่าวการเสียชีวิตของนายกุลจากเพื่อนบ้าน นางอำนวยนึกถึงคำพูดของเด็กชายฤทธิไกรที่บอกกับเธอเมื่อตอนเช้าขึ้นมาทันที ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดนั้นจะเป็นความจริง เขาทราบได้อย่างไร นางอำนวยรู้สึกสับสนคิดว่าถ้าเธอเชื่อเด็กชายฤทธิไกรตั้งแต่ตอนนั้นและเตือนให้นายกุลระมัดระวังตัว อาจจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นก็ได้ แต่ใครจะทราบได้ว่าเด็กชายฤทธิไกรจะล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้
นายสกุล(กุล) สวัสดี เสียชีวิตขณะเดินทางกลับจากไปสู่ขอภรรยาให้กับน้องชายที่หมู่บ้านใกล้เคียง เนื่องจากรถจักรยานยนต์ของเขาเสียหลักข้ามเลนไปชนประสานงากับรถจักรยานยนต์อีกคันหนึ่งที่วิ่งสวนทางมา เป็นเหตุให้คู่กรณีเสียชีวิตทันที่ ส่วนนายกุลเสียชีวิตขณะนำส่งโรงพยาบาล
หลังจากงานศพของนายกุลผ่านไป นางอำนวยได้เล่าเรื่องที่เด็กชายฤทธิไกรพูดให้ นางแว่น แม่ของนายกุลฟัง นางแว่นต่อว่านางอำนวยว่าน่าจะมาบอกมาเตือนกันบ้าง นางอำนวยก็บอกว่าเธอไม่ทราบจริงๆว่าเด็กชายฤทธิไกรจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า จึงไม่ได้มาเตือนให้นายกุลทราบ นางแว่นเคยถามเด็กชายฤทธิไกรว่า ทำไมรถจักรยานยนต์ของนายกุลจึงเสียหลักไปชนกับรถที่วิ่งสวนทางมา เด็กชายฤทธิไกรบอกว่า “ก็มันมัวแต่หันมามองไอ้ก้าน” จากการสอบถามผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ความว่า ขณะนั้นนายกุลหันกลับมามองข้างหลังจริง แต่ไม่ทราบว่าหันมามองใคร แล้วรถก็เสียหลักข้ามไปชนประสานงากับรถที่วิ่งสวนทางมา เด็กชายฤทธิไกรพูดเหมือนกับว่าได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยตัวของเขาเอง
ทราบล่วงหน้าว่า นายจันทร์(แดง) เกตุปลี จะมาที่บ้าน...มีครั้งหนึ่งนายกมลซื้อหัวหมูมาทำการแก้บนที่บ้าน นายกมลได้ใช้ให้เด็กชายฤทธิไกรไปตามนายแดงเพื่อนของนายสายนต์มากินหัวหมูด้วยกัน เด็กชายฤทธิไกรไม่ยอมไปและพูดว่า “ไปตามมันทำไมล่ะไอ้แดง เดี๋ยวมันก็มา” หลังจากนั้นไม่นานนายแดงก็เดินเข้ามาหานายกมลที่บ้าน เหตุการณ์ในครั้งนั้นสร้างความประหลาดใจให้กับนายกมลและนายแดงเป็นอย่างมาก เด็กชายฤทธิไกรทราบได้อย่างไรว่านายแดงจะมาทั้งๆที่เขาไม่ได้เดินออกไปดูหรือหันไปมองด้วยซ้ำ หรือว่าเป็นเพราะความบังเอิญ
เห็นเหตุการณ์ที นายวิไล(เปี๊ยก) ใจเกื้อ ถูกงูกัด...เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ ขณะที่ นายเปี๊ยกเพื่อนของนายสายนต์กำลังยกฟ่อนข้าวที่อยู่ในลานโยนขึ้นรถนวดข้าว นายเปี๊ยกรู้สึกเหมือนถูกของมีคมบาดที่บริเวณหลังมือ ตอนนั้นนายเปี๊ยกไม่ได้สนใจอะไรเพราะไม่รู้สึกเจ็บมากนัก จากนั้นประมาณ ๑๐ นาที นายเปี๊ยกเริ่มมีอาการปวดที่บริเวณหลังมือ และหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม เมื่อสังเกตุดูบริเวณหลังมือก็พบรอยเขี้ยวของงูพิษที่กัดถูกเพียงเขี้ยวเดียวอีกเขี่ยวหนึ่งเพียงแต่ครูดไป นายเปี๊ยกไม่ทราบว่าเป็นงูพิษชนิดใด เนื่องจากไม่เห็นงูตัวนั้น
นายเปี๊ยกถูกนำส่งโรงพยาบาล ข่าวที่นายเปี๊ยกถูกงูกัดได้แพร่ออกไป คนแถวบ้านของนางอำนวยทราบข่าว ก็มาเล่าให้นางอำนวยฟังว่านายเปี๊ยกถูกงูกัด เด็กชายฤทธิไกรได้ยินก็พูดขึ้นมาว่า “ที่งูกัดไอ้เปี๊ยก ผมก็เห็น..ผมตะโกนบอกมันแล้วว่า ไอ้เปี๊ยกงู..ๆ ไอ้เปี๊ยกสลัด..ๆ มันก็ไม่ฟัง มันไม่ได้ยินผม” นางอำนวยถามว่า “หนูรู้ได้ยังไง” เด็กชายฤทธิไกรตอบว่า “ก็ผมเห็น”
นางแสวง แม่ของนายเปี๊ยกเคยถามเด็กชายฤทธิไกรว่า “หนูเห็นงูจะกัดไอ้เปี๊ยกแล้วทำไมไม่ช่วยล่ะ” เด็กชายฤทธิไกรตอบว่า “ก็ผมตะโกนบอกมันแล้วว่า ไอ้เปี๊ยกงูๆ สลัดๆ มันก็ไม่ได้ยิน ผมก็ยืนอยู่ตรงนั้นแหละ” เด็กชายฤทธิไกรพูดเหมือนกับว่าได้เห็นเหตุการณ์นั้นจริง ๆ
นายเตื่อยพ่อ ของนายเปี๊ยกเล่าให้ฟังว่า ตนเคยทดลองพิสูจน์ความทรงจำในอดีตชาติของ เด็กชายฤทธิไกรเหมือนกัน โดยถามเขาว่ารู้จักตนหรือเปล่า เด็กชายฤทธิไกรตอบว่า “รู้จัก” ตนถามว่า “รู้จักว่าชื่ออะไร” เด็กชายฤทธิไกรบอกว่า “รู้จักก็แล้วกัน ไม่ต้องมาทดลองผมหรอก” ตนถามย้ำว่า “แล้วหนูรู้จักว่าเป็นใครล่ะ” เด็กชายฤทธิไกรตอบว่า “ก็อาเตื่อย พ่อไอ้เปี๊ยกนะซิ” เด็กชาย ฤทธิไกรตอบแล้วก็วิ่งกลับบ้านไป เขาเรียกตนว่าอาเพราะว่านายเพราะพ่อของนายสายนต์แก่กว่าตนแต่ตนแก่กว่านายกมลพ่อของเขา แสดงว่าเขาเรียกแทนตัวเขาที่เป็นนายสายนต์ อีกครั้งหนึ่งตนถามเด็กชายฤทธิไกรว่า “ตอนที่ไปกินต้มปลาที่นาไอ้เปี๊ยก ตรงที่นั่งกินกันอยู่มีต้นอะไรบ้าง จำได้หรือเปล่า” เด็กชายฤทธิไกรคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “มีต้นพุทรา ต้นสะเดา แล้วก็มีหัวปลวกด้วย” ซึ่งก็เป็นจริงตามที่เขาพูด เขาทราบได้อย่างไร ในเมื่อตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน
นายเตื่อย ใจเกื้อ
ทราบว่า นายอุดร(ดอน) นาคตระกูล เกิดอุบัติเหตุ....เมื่อประมาณเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ นายดอนซึ่งเป็นญาติกับนางอำนวยได้ประสบอุบัติเหตุคล้ายๆกับที่นายสายนต์ได้ประสบมาแล้ว และเกิดขึ้นในบริเวณเดียวกันอีกด้วย แต่นายดอนไม่ถึงกับเสียชีวิตเพียงแต่ไหปลาร้าหัก มีบาดแผลบริเวณแขน ใบหน้า และลำตัวเท่านั้น วันนั้นนางหนูยายของเด็กชายฤทธิไกรทราบข่าวของนายดอนจากเพื่อนบ้าน ก็สอบถามนางอำนวยว่า “รู้ไหมว่าไอ้ดอนมันรถล้ม” นางอำนวยตอบว่า “ไม่รู้สิ..มันล้มที่ไหนล่ะ” นางหนูเองก็ยังไม่ทราบรายละเอียด จึงบอกว่า “ไม่รู้เหมือนกัน พรุ่งนี้ว่าจะไปเยี่ยมมันสักหน่อย” เด็กชายฤทธิไกรได้ยินก็พูดขึ้นมาว่า “แม่ใหญ่ ไอ้ดอนมันรถล้มตรงที่ผมตายนั่นแหละ” นางหนูถามว่า “รู้ได้ยังไง” เด็กชายฤทธิไกรตอบว่า “ผมรู้ก็แล้วกัน”
วันต่อมานางหนูไปเยี่ยม อาการของนายดอนและสอบถามว่าเกิดอุบัติเหตุที่ไหน คำตอบที่ได้รับปรากฏว่าเป็นบริเวณเดียวกันกับที่นายสายนต์ประสพอุบัติเหตุเสียชีวิตจริงๆอีกทั้งเหตุการณ์ยังคล้ายๆกันอีกด้วย
นายดอน เล่าให้ฟังว่า ขณะที่เกิดอุบัติตอนนั้นเป็นเวลากลางคืน ตนขับรถจักรยานยนต์จะไปนอนที่ทำงาน(การประปาส่วนภูมิภาค ตำบลตะคร้อ) เมื่อมาถึงบริเวณนั้น ตนเห็นเงาของคนสองคนยืนขวางทางในระยะกระชั้นชิด ตนคิดในใจว่าต้องไม่ใช่คนแน่ๆ จึงปล่อยมือข้างหนึ่งมากำพระที่ห้อยคออยู่ ตอนนั้นตนได้ยินเสียงมันคุยกันว่า “มันคล้องพระไม่ต้องเอามันหรอก” แล้วรถจักรยานยนต์ของตนก็ตกหลุมเสียหลักล้มลง วันนั้นตนไม่ได้เมา และมีสติสมบูรณ์ดี นายดอนกล่าว
ความทรงจำที่ยังไม่ลบเลือน
ขณะที่ผู้เขียนไปสัมภาษณ์ เด็กชายฤทธิไกรยังสามารถจดจำเรื่องราวในอดีตชาติของเขาได้ แต่ต้องใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงจะจำได้ บางครั้งก็ไม่ยอมตอบหรือไม่ก็พาลออกนอกเรื่องไป ครั้งหลังสุดที่ผู้เขียนไปสัมภาษณ์ ผู้เขียนได้ทดลองให้ลูกชายของผู้เขียนซึ่งอายุไม่ต่างกันกับเด็กชายฤทธิไกรมากนัก ลองชักชวนให้เด็กชายฤทธิไกรเล่นของเล่นและค่อยๆถามคำถามที่ผู้เขียน เขียนไว้ให้ทีละคำถาม โดยมีผู้เขียนกับนางอำนวยคอยนั่งฟังอยู่ห่างๆ ปรากฏว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
เด็กชายฤทธิไกร ยังจำเรื่องราวในอดีตชาติของเขาได้ดี เขาตอบคำถามที่ลูกชายของผู้เขียนถามอย่างไม่ลังเลขณะที่พวกเขานั่งเล่นด้วยกันที่ข้างบ้านของนางอำนวย สรุปความได้ว่า เขาเป็นนายโดด ลูกย่าตาล ปู่เพราะ ลูกเขาชื่อตั้ม น้องเขาชื่อพรรณ ชื่อหมื่น แล้วก็ชื่อยม เขาตายที่ระเริง รถมอเตอร์ไซค์ตกหลุมล้ม เขาคอหักตาย งูตาแดงมันไล่เขามาเขาหนีงูมา นายกุลเพื่อนของเขาหนีเขา แต่นายกุลมันตายแล้ว สมน้ำหน้าชาติก่อนมันอยากหนีผม เด็กชายฤทธิไกรตอบคำถามไปด้วยเล่นไปด้วยอย่างสนุกสนาน บางครั้งก็พูดนอกเรื่องบ้าง มีตอนหนึ่งเขาพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความฝันประหลาดครั้งที่สี่ของนางอำนวยแม่ของเขาให้ลูกชายของผู้เขียนฟังว่า ตอนนั้นมีเด็กแฝดผู้หญิงสองคน มากับผู้ชายจะมาเกิดกับแม่ของเขา ตอนนั้นเขาอยู่ในท้องแม่แล้ว เด็กสองคนนั่นมาเรียกแม่ของเขาว่า “แม่..แม่” อยู่บนบันไดบ้าน ผู้ชายที่มาด้วยยืนอยู่ด้านล่าง เขาพูดพร้อมกับวิ่งไปที่บันไดบ้านและแสดงให้ดูว่าเด็กผู้หญิง ๒ คนและผู้ชายในฝันของนางอำนวยนั้นยืนอยู่ที่ไหนกันบ้าง ซึ่งนางอำนวยบอกกับผู้เขียนว่า เขายืนได้ถูกต้องเหมือนกับที่เธอเห็นในฝันในครั้งนั้น เขาบอกว่าเด็กผู้หญิง ๒ คนขึ้นมาบนบ้านไม่ได้เพราะมีสายสิญจน์ล้อมบ้านอยู่ พอขึ้นไปบนบ้านไม่ได้ เด็กผู้หญิงสองคนนั่นก็เดินลงบันไดหายไปเลย เขาเล่าด้วยท่าทางจริงจังเหมือนกับว่าเขาได้เห็นเหตุการณ์ในฝันนั้นจริงๆ นางอำนวยกล่าวกับผู้เขียนว่าเด็กชายฤทธิไกรไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน เพิ่งจะพูดครั้งนี้เป็นครั้งแรก ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะรู้เห็นเหตุการณ์ในฝันของเธอขณะที่เขายังอยู่ในท้องด้วย
ในตอนนั้นนางอำนวยคงจะเกิดความสงสัยและมีคำถามผุดขึ้นในใจอีกมากมายหลายคำถาม ซึ่งก็ไม่ต่างกับผู้เขียน เด็กชายฤทธิไกรทราบเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างไร เป็นปริศนาที่ยังคงรอคอยคำตอบต่อไป ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นการยากที่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ยังไม่สมบูรณ์และปุถุชนอย่างเราๆจะทราบได้ แต่อย่างน้อยผู้เขียนหวังว่าในอนาคตข้างหน้าหนังสือเล่มนี้ พร้อมทั้งพยานบุคคลที่เคยประสบหรือเคยได้พิสูจน์ การจำอดีตชาติได้ชาติของเด็กชายฤทธิไกร จะยังคงยืนยันความจริงนี้ต่อไป ถึงแม้ว่าเขาอาจจะลืมเรื่องราวในอดีตชาติของตัวเองไปจนหมดสิ้น เช่นเดียวกับผู้จำอดีตชาติได้ส่วนใหญ่ก็ตาม
นางหนู ยายของเด็กชายฤทธิไกรเล่าให้ฟังว่า ตอนเด็กๆนางอำนวยแม่ของ เด็กชายฤทธิไกรและแฝดผู้พี่ของเธอคือ นายจอน นาคตระกูล ก็จำอดีตชาติได้เช่นเดียวกัน เรื่องมีอยู่ว่า ก่อนที่เธอจะตั้งท้องลูกแฝดชายหญิงคือนายจอนกับนางอำนวยนั้น คืนหนึ่งเธอฝันว่าเก็บต่างหูทองและไฟแช็คเก่าๆได้ หลังจากนั้นเธอก็ตั้งท้องและคลอดพวกเขาออกมาเป็นลูกแฝดชายหญิง แรกเกิดนางอำนวยมีแผลเป็นที่บริเวณแก้มด้านซ้าย เมื่อครั้งที่ทั้งสองยังเป็นเด็กเธอแอบได้ยินทั้งสองคนพูดคุยกันถึงเรื่องราวในอดีตชาติ โดยใช้คำเรียกกันและกันว่า “แก..ข้า” เหมือนกับที่สามีภรรยาใช้เรียกกัน เธอถามนายจอนว่า “หนูเป็นใครมาเกิดลูก” นายจอนตอบว่า “ผมชื่อเหม็ง อีนาง(นางอำนวย) ชื่อขำ เป็นผัวเมียกันอยู่ที่หมู่บ้านโคกมะขวิด ชาติก่อนผมขี่ม้าเลี้ยงวัว ผมมีวัวฝูงใหญ่แต่ถูกโจรปล้น พวกมันยิงผมกับอีนางตาย ผมก็จูงมืออีนางวิ่งหนีมาทางนี้ พอดีมาเจอแม่เลยมาเกิดกับแม่นี่แหละ” ตอนนั้นเธอกับนายอ้นสามีเคยไปสอบถามชาวบ้านที่หมู่บ้านโคกมะขวิดแถวสี่แยกไดตาล อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านตะคร้อประมาณ ๓๐ กิโลเมตร คนในหมู่บ้านบอกว่า เมื่อก่อนเคยมีคนชื่อนายเหม็งและนางขำอยู่จริง ทั้งสองคนเป็นสามีภรรยากันเป็นคนที่มีฐานะดีมีวัวอยู่หลายตัว แต่ไม่มีลูกหลาน ต่อมาพวกเขาถูกโจรปล้นและถูกฆ่าตายอย่างอนาถ
นายอ้น พ่อของนางอำนวยเล่าให้ฟังว่า นายจอนมีความชำนาญเรื่องวัวมากเป็นพิเศษ ทั้งๆที่ตนไม่เคยสอน ตนเองก็ไม่ค่อยชำนาญในเรื่องนี้นัก มีครั้งหนึ่งตนถูกวัวขวิดจนปางตาย ยังดีที่นายจอนมาช่วยไว้ทัน นายจอนกับนางอำนวยเป็นพี่น้องที่ไม่เคยทะเลาะกันเลย นายจอนจะเป็นห่วงนางอำนวยมาก เวลาที่ต้องอยู่ห่างไกลกันก็จะพกภาพถ่ายของนางอำนวยไปด้วย ปัจจุบันนายจอนมีภรรยาแล้วและมีบุตรด้วยกัน ๑ คน
...เมื่อภพชาติเปลี่ยนไป สถานะก็เปลี่ยนไป จากสามีภรรยากลายมาเป็นพี่น้อง ไม่อาจจะเป็นสามีภรรยากันได้อีก ความสัมพันธ์แบบสามีภรรยาก็เปลี่ยนไป เกิดเป็นความสัมพันธ์ความผูกพันแบบพี่น้องขึ้นมาแทนที่ และเกิดความสัมพันธ์ความผูกพันความยึดมั่นถือมั่นใหม่กับครอบครัวใหม่ สามีคนใหม่ ภรรยาคนใหม่ ลูกคนใหม่ บางคนเมื่อภพชาติเปลี่ยนไป สถานะก็เปลี่ยนไป จากปู่มาเป็นหลาน จากพ่อมาเป็นลูก จากเพื่อนมาเป็นพี่น้อง จากสัตว์มาเป็นคน จากคนไปเป็นสัตว์ บางชาติได้เกิดเป็นคนก็มีชื่อ บางชาติเกิดเป็นสัตว์ก็อาจไม่มีชื่อ ถ้าคิดจะยึดมั่นถือมั่นเอาความเป็นตัวเราของเราแล้ว เราจะเริ่มยึดถือตัวตนของตนตั้งแต่ชาติใด ชื่อใด หรือในสถานะใดดี...