เด็กชายไพโรจน์ นาดง

ข้อมูลเบื้องต้น

กรณีของ เด็กชายไพโรจน์ นาดง

ปัจจุบันชาติ

ชื่อ-นามสกุล : เด็กชายไพโรจน์ นาดง ชื่อเล่น : -

วันเดือนปีเกิด : -พ.ศ.๒๕๒๕

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : ๕๖ หมู่ ๕ ตำบลตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์

พี่น้องร่วมบิดามารดา : ๕ คน คือ

๑. นายวิเชียร นาดง

๒. เด็กชายไพโรจน์ นาดง(เสียชีวิต)

๓. เด็กหญิงไพรรัตน์ นาดง

๔. เด็กชายไพรวัลย์ นาดง

๕. เด็กชายจรัญ นาดง

อดีตชาติ

ชื่อ-นามสกุล : นายดึก

วันเดือนปีเกิด : -

วันเดือนปีที่เสียชีวิต : - ขณะอายุได้ : -

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : -

สาเหตุที่เสียชีวิต : ป่วย

เด็กชายไพโรจน์ นาดง จำอดีตชาติได้

เด็กที่จำอดีตชาติได้รายนี้มีชื่อว่า เด็กชายไพโรจน์ นาดง เป็นบุตรคนที่สองของ นางติ๋ม และ นายสวง นาดง อยู่บ้านเลขที่ ๕๖ หมู่ ๕ ตำบลตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ เด็กชายไพโรจน์จำอดีตชาติชาติได้ว่าชาติก่อนเขาเคยเกิดมาเป็น นายดึก ซึ่งเป็นลุงแท้ๆของนายสวง(หวง) นาดง บิดาของเขาในชาติปัจจุบัน แต่น่าเสียดายที่เขาเกิดมาใช้ชีวิตได้เพียง ๓ ปีเท่านั้นก็ต้องเสียชีวิตลง เนื่องจากถูกเกวียนของเพื่อนบ้านทับ

นางติ๋ม นาดง แม่ของเด็กชายไพโรจน์เล่าเรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของบุตรชายให้ผู้เขียนฟัง เมื่อครั้งที่ผู้เขียนเดินทางไปสัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องราวการสืบชาติมาเกิดของ นายเฆม สว่างยิ่ง น้องชายของนางติ๋ม ซึ่งสืบชาติมาเกิดมาเป็น เด็กชายอดิศร สุขโภชน์ บุตรชายของนายเทิ้มและนางมาลี สุขโภชน์ ในปัจจุบัน เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๑

นางติ๋ม นาดง

นางติ๋มเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นขณะที่ เด็กชาย ไพโรจน์บุตรชายของเธออายุได้ประมาณ ๘ - ๙ เดือน เขาจะชอบเล่นเครื่องมือช่างไม้ของนายสวงผู้เป็นพ่อมาก เช่นชอบนำกบไสไม้(ใช้มือ) มาไสเล่นกับโต๊ะไม้หรือเอากระดาษทรายมาขัดไม้เป็นต้น ตอนนั้นเธอและนายสวงยังไม่ได้สังเกตุเห็นความผิดปกติใดๆ ต่อมาเมื่อเด็กชายไพโรจน์อายุได้ประมาณ ๑ ขวบเศษเริ่มพูดได้ วันหนึ่งขณะที่ เขากำลังนั่งเล่นเครื่องมือของนายสวงจู่ ๆ เด็กชายไพโรจน์ก็พูดกับนายสวงว่า

เด็กชายไพโรจน์ : “ไอ้ว๋งสิ่วกูไปไหนตัวหนี่งวะ”

นายสวง : “สิ่วอะไร ของหนูที่ไหน ของพ่อต่างหาก”

เด็กชายไพโรจน์ : “สิ่วกู เครื่องมือนี่ก็ของกู”

นายสวง : “ทำไมพูดกูกับพ่อละลูก”

เด็กชายไพโรจน์ : “ก็มึงเป็นหลานกู”

นายสวง : “หนูเป็นใครถึงบอกว่าพ่อเป็นหลาน”

เด็กชายไพโรจน์ไม่ตอบ แต่ถามต่อว่า

เด็กชายไพโรจน์ : “สิ่วกูหายไปไหน”

นายสวงแกล้งหยิบกบตัวหนึ่งยื่นให้ แล้วบอกว่า

นายสวง : “เอ้ากบ…นี่ใช่ของหนูด้วยหรือเปล่า”

เด็กชายไพโรจน์ : “ไม่ใช่ของกู ของกูมีค้อน มีเหล็กฉาก แล้วก็สิ่ว ๓ ตัว

หายไปไหนตัวหนึ่ง”

นายสวง : “สิ่วตัวนั้น หายไปตั้งนานแล้ว”

นายสวงกล่าวกับผู้เขียนว่า วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ตนทราบว่าเด็กชายไพโรจน์บุตรชายของตนจำอดีตชาติได้ เพราะเครื่องมือต่างๆที่เขาพูดถึงนั้นเป็นเครื่องมือของ ลุงดึก ที่ตนซื้อต่อมาจากบุตรชายของลุงดึกอีกทีหนึ่งหลังจากที่ลุงดึกเสียชีวิตไม่นาน สำหรับลุงดึกซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของแม่ตนนั้น ตอนยังมีชีวิตอยู่แกมีอาชีพเป็นช่างไม้ที่เก่งมากคนหนึ่งและมีความสามารถทางด้านวิชาอาคม แต่เมื่อแกเสียชีวิตไปก็ไม่มีใครสืบทอดอาชีพช่างไม้ต่อจากแก ดังนั้นตนจึงได้ขอซื้อเครื่องมือของลุงดึกจากบุตรชายของลุงดึกซึ่งก็มี ฆ้อน เหล็กฉาก และสิ่ว ๓ ตัว ตรงกันกับที่เด็กชายไพโรจน์บุตรชายของตนพูดถึง จริงๆ

นางติ๋มและนายสวง นาดง

นางติ๋ม ได้เล่าย้อนกลับไปถึงเรื่องราวแปลกๆที่เกิดขึ้น เมื่อตอนที่เด็กชายไพโรจน์เพิ่งจะคลอดมาได้ไม่กี่เดือนให้ฟังว่า ตอนนั้นนายสวงสามีของเธอมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นที่น่าสังเกตว่าเวลาที่เธอพานายสวงไปพบแพทย์ แพทย์ตรวจดูแล้วก็บอกว่าไม่เป็นอะไร เนื่องจากพอไปถึงอาการของนายสวงก็หายเป็นปกติดี แต่เมื่อพากลับมาบ้านก็จะปวดอีก นอกจากนี้เวลาที่มีเพื่อนบ้านมาเยี่ยมที่บ้าน อาการของนายสวงก็หายจะหายเป็นปกติ แต่พอเพื่อนบ้านกลับไปอาการก็จะกำเริบขึ้นมาอีก เธอรู้สึกผิดสังเกตจึงได้พาไปให้ ปู่ยง ซึ่งเป็นหมอทางด้านไสยศาสตร์อาคมที่เก่งมากคนหนึ่งในหมู่บ้านให้ช่วยตรวจดูให้ ปู่ยงบอกว่านายสวงถูกผีของลุงนายสวงเอง ให้ซื้อผ้าบังสุกุล(ผ้าขาว)ไปทอดผ้าป่าที่บ้านเดิมของเขา(บ้านดงพลับ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี) นอกจากนี้ปู่ยงยังบอกด้วยว่า "ลุงของนายสวงเขาขอมาอยู่ด้วย แต่เขาอยู่ไม่นานหรอกเขาขออยู่ด้วยเพียงแค่ ๓ ปี แล้วเขาก็จะไป"นางติ๋มกล่าวว่า ตอนนั้นเธอคิดว่านายสวงคงจะแค่ถูกผีทักธรรมดาจึงทำบุญอุทิศไปให้ตามที่ลุงดึกขอ เธอคิดไม่ถึงว่านายดึก ลุงของ นายสวงจะมาเกิดเป็นบุตรชายของเธอแล้ว จึงบอกไปว่า “อยากอยู่ก็อยู่เถอะไม่ว่าหรอก ขอให้ช่วยค้ำคูณลูกหลานก็แล้วกัน” เธอถามปู่ยงว่า “แล้วอาการปวดท้องของนายสวง เมื่อไหร่จะหาย” ปู่ยงบอกว่าอีกไม่เกิน ๗ วันก็จะหาย ซึ่งก็เป็นความจริงหลังจากนั้นไม่ถึง ๗ วันอาการปวดท้องของนายสวงก็หายเป็นปลิดทิ้ง

พบกับน้องสาวและน้องเขยในอดีตชาติ

นายสวงและนางติ๋มเล่าให้ฟังว่า มีครั้งหนึ่งพวกเขาได้พาเด็กชายไพโรจน์ไปหาพ่อแม่ของนายสวงย่าของเขาที่อำเภอโคกเจริญ จังหวัดลพบุรี เมื่อเด็กชายไพโรจน์ได้พบกับ นางโปร่ง ผู้เป็นย่าเด็กชายไพโรจน์ก็พูดขึ้นมาว่า “นั่นอีโปร่งนี่หว่า” นายสวงได้ยินก็แกล้งถามว่า “รู้จักหรือว่าใคร” เด็กชายไพโรจน์ตอบว่า “รู้จัก อีโปร่งน้องกู” นายสวงชี้ไปที่ นายแดง ผู้เป็นพ่อแล้วถามว่า “คนนี้ละใคร” เด็กชายไพโรจน์ตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ไอ้แดง..น้องเขยกู”พ่อ แม่ ของนายสวงรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของหลายชายมาก นายสวงจึงเล่าเรื่องที่เด็กชายไพโรจน์จำอดีตชาติได้ให้พ่อกับแม่ของเขาฟัง จากนั้นนายแดงและนางโปร่งจึงทดลองพิสูจน์การจำอดีตชาติได้ของเด็กชายไพโรจน์ โดยสอบถามถึงบรรดาญาติๆหลายคนที่นายดึกเคยรู้จักและคุ้นเคยว่าเขาจะรู้จักหรือไม่ ปรากฏว่าเด็กชายไพโรจน์รู้จักและพูดถึงญาติๆที่ปู่กับย่าของเขาถามขึ้นมาอย่างคุ้นเคย เขาพูดเหมือนกับว่าเขารู้จักและคุ้นเคยกับบรรดาญาติๆคนสนิทเหล่านั้นดี ทั้งๆที่เขาไม่เคยพบหรือรู้จักบุคคลเหล่านั้นมาก่อนเลย และในตอนนั้นเป็นที่น่าสังเกตว่าเด็กชายไพโรจน์จะพูดกับปู่ย่าและพ่อแม่ของเขาโดยใช้คำว่า "กู..มึง" ตลอดจนกระทั่งอายุได้ประมาณ ๒ ขวบ จึงยอมเรียก พ่อ แม่ และปู่ ย่าตามปกติ นอกจากคำพูดและการแสดงออกของเขาแล้ว เมื่อตอนที่เด็กชายไพโรจน์อายุประมาณ ขวบกว่าๆ นางติ๋มเคยสังเกตเห็นรอยผื่นแดงที่เป็นรอยเหมือนกับรอยแผลผ่าตัดของนายดึกก่อนเสียชีวิตด้วย แต่เธอไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวข้องกันหรือไม่

จำทางเข้าบ้านญาติได้

นายสวงเล่าให้ฟังว่า มีครั้งหนึ่งตนเองและนางติ๋มพาเด็กชายไพโรจน์จะไปธุระที่บ้านญาติคนหนึ่ง ที่อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ซึ่งตนไม่ได้มาหลายปีแล้วตั้งแต่เมื่อตอนหนุ่มๆ ยังไม่ได้แต่งงานกับนางติ๋ม ตอนนั้นตนจำทางเข้าบ้านของญาติคนนั้นไม่ได้ จึงเดินเลยซอยที่จะเข้าบ้านของญาติคนนั้นไป แต่เด็กชายไพโรจน์ซึ่งเดินตามหลังมาไม่ยอมเดินตาม เขาหยุดยืนอยู่ที่หน้าปากซอยแล้วบอกกับตนว่า “พ่อนี่อยู่ซอยนี้” ตอนนั้นตนไม่เชื่อ เพราะเด็กชายไพโรจน์ไม่เคยมาหรือรู้จักที่นี่มาก่อน จึงเข้าไปสอบถามชาวบ้านแถวนั้น ชาวบ้านแถวนั้นก็ชี้มือบอกให้เข้าไปในซอยเดียวกันกับที่ เด็กชายไพโรจน์ชี้มือบอก และเมื่อเดินเข้าไปก็พบบ้านของญาติคนนั้นจริงๆ เด็กชายไพโรจน์บอกกับตนว่า “เห็นไหมบอกแล้วไม่เชื่อว่าอยู่ซอยนี้” ตอนนั้นตนนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อตอนที่ตนยังเด็กๆ ลุงดึกเคยพาตนมาที่บ้านของญาติคนนี้ครั้งหนึ่ง นายสวงกล่าวว่านั่นเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เด็กชายไพโรจน์ทำให้ตนเชื่อว่าเขาคือนายดึกลุงของตนที่เสียชีวิตไปแล้วสืบชาติมาเกิดจริง

รักษาอาการป่วยให้ยายและพ่อ

นอกจากเรื่องราวการจำอดีตชาติได้แล้ว เด็กชายไพโรจน์ยังสามารถรักษาอาการป่วยให้กับยายและพ่อของเขาได้ด้วย นางติ๋มเล่าให้ฟังว่า มีวันหนึ่ง นางม่าน สว่างยิ่ง แม่ของเธอซึ่งป่วยเป็นโรคปวดตามข้อเรื้อรังจนไม่สามารถเดินได้ตามประสาคนสูงอายุ วันนั้นขณะที่แม่ของเธอกำลังพยายามถัดไปข้างหน้า โดยนั่งยืดขาไปด้านหน้าแล้วยกก้นตามไปเพื่อหยิบของบางอย่าง เนื่องจากลุกขึ้นเดินไม่ได้ เด็กชายไพโรจน์เห็นยายของเขาเคลื่อนไหวด้วยความยากลำบาก จึงพูดขึ้นมาว่า “รำคาญแม่ใหญ่จัง ถัดอยู่นั่นแหละมานี่หนูจะเป่าให้” เด็กชายไพโรจน์ พูดพร้อมกับจับขาของนางม่านยกขึ้นชันเข่าแล้วท่องอะไรพึมพำ เมื่อท่องจบก็เป่าไปที่ขาของนางม่านพร้อมกับใช้ปากกัดไปที่ขาของนางม่านทำอย่างนี้อยู่ ๓ ครั้ง แล้วบอกกับนางม่านว่า “เอาล่ะคราวนี้จะได้ไม่ต้องถัด” เป็นที่น่าอัศจรรย์ หลังจากวันนั้นนางม่านก็หายจากอาการปวดขาและสามารถเดินได้ตามปกติ เด็กชายไพโรจน์กำชับนางม่านแม่ของเธอว่าห้ามไม่ให้บอกเรื่องนี้กับใคร แต่นางม่านก็อดที่จะเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังไม่ได้

มีครั้งหนึ่ง นายสวง พ่อของเขาปวดหัวไหล่มากจนยกไม่ขึ้นกินยาก็ไม่ทุเลา จึงลองให้เด็กชายไพโรจน์เป่าให้ เด็กชายไพโรจน์ก็ท่องอะไรพึมพำฟังไม่รู้เรื่องแล้วเป่าให้ ๓ ครั้งอาการปวดไหล่ของนายสวงก็หายอย่างน่าอัศจรรย์ หลังจากนั้นก็มียายเลิศคนขายขนมหวานในหมู่บ้านมาขอให้เด็กชายไพโรจน์เป่าอาการปวดขาให้ แต่เด็กชายไพโรจน์ไม่ยอมเป่าให้ นางม่านย่าของเขาเคยขอให้เด็กชายไพโรจน์เป่าให้หายจากอาการตาพร่ามัว เด็กชายไพโรจน์ก็ไม่ยอมทำให้เขาบอกว่า "โรคอย่างนี้เป่าได้ก็ไม่หายหรอก"

คิดถึงลูกและภรรยาในอดีตชาติ

เด็กชายไพโรจน์ เคยร้องไห้อ้อนวอนขอให้นายสวงและนางติ๋มพาไปหาลูกและภรรยาของนายดึกที่กรุงเทพฯ บอกว่าคิดถึงนางติ๋มถามว่า “แล้วหนูรู้จักกรุงเทพฯเหรอจะไปกรุงเทพฯน่ะ” เด็กชายไพโรจน์บอกว่า “หนูรู้จักเดี๋ยวหนูพาไป” นางติ๋มถามว่า “เมียหนูอยู่ที่ไหน” เด็กชายไพโรจน์บอกว่า “หนูรู้จักเดี๋ยวหนูพาแม่กับพ่อไปเอง” นางติ๋มบอกกับบุตรชายว่า “เอาไว้ให้แม่มีเงินก่อนแล้วแม่จะพาไป” เด็กชายไพโรจน์บอกว่า “หนูชวนแม่ไปคราวนี้ถ้าแม่ไม่ไปหนูจะหนีแม่แล้วนะ” นางติ๋มก็รับปากว่าจะพาไปแต่ไม่มีโอกาสได้พาไปจนกระทั้งเด็กชายไพโรจน์เสียชีวิต

เหตุการณ์ก่อนที่จะเสียชีวิต

ก่อนที่เด็กชายไพโรจน์จะเสียชีวิต ๓ เดือน เด็กชายไพโรจน์บอกกับนางติ๋มว่า “แม่ซื้อลูกหมูตาอินให้หนูหน่อยนะ ถ้าไม่ซื้องูมันจะกัดหนู” นางติ๋ม กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เด็กชายไพโรจน์ไม่เคยรู้จักกับ นายอิน เพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นคนต่างถิ่นที่เพิ่งย้ายเขามาอยู่ในหมู่บ้านในขณะนั้นมาก่อน และนายอินก็ไม่เคยมาที่บ้านของเธอ ไม่ทราบว่าเด็กชายไพโรจน์ทราบได้อย่างไรว่านายอินเลี้ยงหมู และจะให้ตนไปซื้อลูกหมูของนายอินให้ ตอนนั้นเด็กชายไพโรจน์พยายามอ้อนวอนอยู่หลายวัน นางติ๋มสงสารบุตรชายจึงไปขอซื้อลูกหมูจากนายอินให้ทั้งๆที่ไม่มีเงิน นายอินก็ใจดีให้เธอเอาลูกหมูมาก่อนโดยที่ยังไม่ต้องจ่ายเงิน หลังจากนั้น ๓ เดือน เด็กชายไพโรจน์ก็ถูกล้อเกวียนของนายอินคนเดียวกันนี้ทับอาการสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

เหตุการณ์ในวันที่เสียชีวิต

นางติ๋มเล่าให้ฟังว่า เหตุการณ์ในวันที่เด็กชายไพโรจน์เสียชีวิตนั้นเธอจำได้ว่าเป็นวันไหว้ครูช่าง คือวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๓ พ.ศ.๒๕๒๘ วันนั้นขณะที่เธอกำลังเตรียมหัวหมูและเครื่องเซ่นไหว้อื่นๆเพื่อทำพิธีไหว้ครู นายสวงกำลังเตรียมตัวจะไปบรรทุกน้ำที่บ่อน้ำธรรมชาติซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านที่อยู่นัก เด็กชายไพโรจน์ขอไปกับนายสวงด้วย แต่ก่อนจะไปได้เขาได้วิ่งมาขอเธอกินหัวหมูที่เธอเตรียมไว้ไหว้ครูช่าง แต่เธอไม่ให้กินเพราะยังไม่ได้ไหว้ครู ตอนนั้นเขาพยายามอ้อนวอนโดยบอกกับเธอว่า “แม่ให้หนูกินก่อนเถอะนะ หนูจะไปแล้ว” เธอก็อธิบายว่า “ให้พ่อกลับมาไหวครูก่อน แล้วค่อยกินนะ” เด็กชายไพโรจน์ยังพยายามจะขอกินก่อนให้ได้เหมือนกับจะทราบว่าจะไม่มีโอกาสได้กินอีกแล้ว เมื่อเธอยืนยันว่าไม่ให้กินเขาก็วิ่งตามรถของนายสวงผู้เป็นพ่อไป นางติ๋มกล่าวว่า เมื่อเธอนึกถึงตอนนั้นแล้วเธอรู้สึกเสียใจมาก ถ้าหากเธอทราบว่านั่นเป็นคำขอร้องครั้งสุดท้าย ของบุตรชาย เธอจะไม่ปฏิเสธคำขอนั้นเลย

นายสวงเล่าให้ฟังว่า วันนั้นตอนที่เด็กชายไพโรจน์ วิ่งตามรถของตนมานั้น ตนรู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่ใช่บุตรชายของตน ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด เมื่อเด็กชายไพโรจน์ขึ้นมาบนรถได้สักพักตนจึงทราบว่าเป็นเด็กชายไพโรจน์ ตอนนั้นตนรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันแต่ไม่ได้คิดอะไรมาก เมื่อตักน้ำใส่ถังเต็มแล้วขากลับระหว่างทางรถเกิดติดหล่มไปไม่ได้ ตนจึงลงไปดันด้านท้าย โดยเปลี่ยนให้น้องชายของตนเป็นคนขับ ขณะนั้นตนได้อุ้มเด็กชายไพโรจน์ลงมาด้วยเนื่องจากเกรงว่าจะตกรถ โดยให้ยืนอยู่ข้างรถ ขณะที่ตนกำลังดันท้ายรถอยู่นั้น นายอินขับเกวียนตามหลังมาและแซงขึ้นหน้าไป ไม่ทราบด้วยสาเหตุใด ล้อเกวียนของนายอินได้ทับเข้ากลางลำตัวของเด็กชายไพโรจน์อย่างจัง เด็กชายไพโรจน์สลบแน่นิ่งไป ตนจึงนำบุตรชายส่งโรงพยาบาลโดยมีนายอินและนางวันดีภรรยาไปด้วย เมื่อไปถึงโรงพยาบาลอาการของเด็กชายไพโรจน์สาหัสมากถึงขั้นตรีทูต ก่อนจะสิ้นใจเด็กชายไพโรจน์ได้พูดกับนายอินว่า “ไอ้อิน..กูจะฆ่ามึงให้ได้ มึงกับกูจะต้องจองเวรกันไป ทุกชาติๆ” เด็กชายไพโรจน์พูดเหมือนกับเคยมีเวรมีกรรมอะไรกับนายอินมาก่อน และคำพูดก็ไม่เหมือนกับเด็กวัย ๓ ขวบทั่วไป หลังจากที่พูดอย่างนั้นกับนายอินได้ไม่นาน เด็กชายไพโรจน์ก็สิ้นใจ

เด็กชายไพโรจน์ เสียชีวิตด้วยวัยเพียง ๓ ขวบ กับ ๓ เดือน ซึ่งเป็นจริงตามที่ปู่ยงเคยบอกกับนางติ๋มเมื่อตอนที่เด็กชายไพโรจน์เกิดใหม่ๆว่า “ลุงของนายสวงเขามาขออยู่ด้วย แต่อยู่ไม่นาน เขาขออยู่แค่ ๓ ปี แล้วเขาก็จะไป”

นางติ๋มกล่าวว่า บ้านและที่ดินที่เธอและครอบครัวอาศัยอยู่ทุกวันนี้ เมื่อก่อนเคยเป็นบ้านของนายอินและนางวันดี แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้นนายอินก็ยกให้กับเธอและครอบครัว เพื่อชดเชยความสูญเสียให้กับครอบครัวของเธอ

ความฝันของนางติ๋ม

ก่อนที่นางติ๋มจะตั้งท้องบุตรคนที่ ๔ ของตน คือ เด็กชายไพรวัลย์ นาดง นางติ๋มฝันว่า เด็กชายไพโรจน์ มาขออยู่ด้วยและบอกด้วยว่า “ถ้าหนูมาเกิดกับแม่คราวนี้ หนูจะยังไม่ไปง่ายๆพ่อนั่นแหละจะต้องไปก่อนหนู” แรกเกิดเด็กชายไพรวัลย์ไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ เมื่อเริ่มพูดได้ นางติ๋มพยายามสังเกตคำพูดและการกระทำต่างๆของบุตรชาย แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ เด็กชายไพรวัลย์จำอดีตชาติไม่ได้ แต่มีสิ่งผิดปกติอยู่อย่างหนึ่งคือ เด็กชายไพรวัลย์ ถ่ายรูปไม่ติด ไม่ทราบว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรือเพราะเหตุใด

นางติ๋มเล่าให้ฟังว่า ตนเคยให้ช่างถ่ายภาพหลายคนมาถ่ายรูป เด็กชายไพรวัลย์ แต่ถ่ายไม่เคยติดเลยแม้แต่รูปเดียว ครั้งหลังสุดเด็กชายไพรวัลย์ไปเที่ยวน้ำตกกับเพื่อนๆ และได้ถ่ายภาพหลายภาพทั้งภาพเดี่ยวภาพคู่และภาพหมู่ เมื่อนำฟิล์มไปล้างปรากฏว่าภาพที่มีเด็กชายไพรวัลย์อยู่ด้วยเสียทั้งหมด นางติ๋มกล่าวว่าจนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่มีภาพถ่ายของเด็กชายไพรวัลย์ไว้ดูเลยตนยังไม่ทราบว่าเมื่อเด็กชายไพรวัลย์จบชั้นประถมปีที่ ๖ แล้วจะสามารถถ่ายภาพติดใบประกาศได้หรือเปล่า

หลังจากสัมภาษณ์นางติ๋มแล้วผู้เขียนได้ไปขอพบเด็กชายไพรวัลย์ที่โรงเรียนจิตศรัทธาวิทยานุสรณ์ เด็กชายไพรวัลย์ให้สัมภาษณ์ตรงกันคือตนไม่เคยมีภาพถ่ายไว้ดูเลยเพราะถ่ายไม่ติดแม่ของตนเคยให้ช่างหลายคนมาถ่ายให้ก็ไม่ติด หลังจากสัมภาษณ์เด็กชายไพรวัลย์ผู้เขียนได้ทดลองถ่ายภาพเด็กชายไพรวัลย์สองวิธีคือแบบใช้แฟลชและไม่ใช้แฟลชเมื่อนำไปล้างปรากฏว่าได้ภาพที่ชัดเจนทั้งสองภาพ

เด็กชายไพรวัลย์ นาดง

ผู้เขียนได้นำภาพถ่ายไปให้นางติ๋มและเด็กชายไพรวัลย์ดู เด็กชายไพรวัลย์ดีใจมากบอกว่าเป็นครั้งแรกที่ตนถ่ายภาพติดและได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่าขณะที่ผู้เขียนถ่ายภาพ เขารู้สึกจุกแน่นหน้าอกทั้งสองครั้ง หลังจากวันที่ถ่ายภาพตนประสบอุบัติเหตุถึงสองครั้ง ครั้งแรกขณะที่เขากำลังถีบจักรยานจากโรงเรียนจะกลับบ้าน ระหว่างทางจู่ๆก็เหมือนมีใครมาผลักทางด้านหลังทำให้รถจักรยานของตนเสียหลักล้มลงเมื่อตนหันไปดูก็ไม่เห็นมีใคร และอีกครั้งหนึ่งตนประสบอุบัติเหตุตกต้นไม้ทั้งๆที่ไม่น่าจะตก เด็กชายไพรวัลย์พูดติดตลกว่า “นี่ถ้าผมรู้ว่าถ่ายรูปติดแล้วต้องเจ็บตัว ผมว่าให้มันถ่ายไม่ติดเสียดีกว่า”