เด็กชายอดิศร สุขโภชน์

ข้อมูลเบื้องต้น

กรณีของ เด็กชายอดิศร สุขโภชน์

ปัจจุบันชาติ

ชื่อ-นามสกุล : เด็กชายอดิศร สุขโภชน์ ชื่อเล่น : เตี้ย

วันเดือนปีเกิด : ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๑

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : ๑๑๖/๓ หมู่ ๘ ตำบลตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์

พี่น้องร่วมบิดามารดา : มี ๒ คนคือ

๑.นายสมเดช สุขโภชน์

๒.เด็กชายอดิศร สุขโภชน์

อดีตชาติ

ชื่อ-นามสกุล : นายเมฆ สว่างยิ่ง

วันเดือนปีเกิด : - พ.ศ.๒๕๐๒

พี่น้องร่วมบิดามารดา : มี ๓ คน คือ

๑. นางมวน สว่างยิ่ง(เสียชีวิต)

๒. นางติ๋ม นาดง

๓. นายเมฆ สว่างยิ่ง(เสียชีวิต)

วันเดือนปีที่เสียชีวิต : กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๘ ขณะอายุได้ : ๒๖ ปี

สาเหตุที่เสียชีวิต : ถูกฆาตกรรม

สถานที่พบศพ : ในไร่อ้อย บ้านดงใต้ จังหวัดลพบุรี

เด็กชายอดิศร สุขโภชน์ จำอดีตชาติได้

เด็กที่จำอดีตชาติได้ในหมู่บ้านของผู้เขียนรายนี้ชื่อว่า เด็กชายอดิศร สุขโภชน์ เป็นบุตรคนที่สองของ นายเทิ้ม สุขโภชน์ และ นางมาลี อิ่มใจ ขณะที่ผู้เขียนไปสัมภาษณ์ครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๑ เขาอายุได้ ๑๐ ขวบ กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.๕ โรงเรียนบ้านตะคร้อรัฐประชาชนูทิศ เด็กชายอดิศรจำอดีตชาติได้ว่า ชาติก่อนเขามีชื่อว่า นายเมฆ สว่างยิ่ง เป็นคนในหมู่บ้านที่ถูกกลุ่มคนร้ายซึ่งเป็นคนใกล้ชิดฆ่าและเผานั่งยางอย่างเหี้ยมโหดเมื่อหลายปีก่อน

สำหรับข้อมูลการจำอดีตชาติได้ของเด็กชายอดิศรนี้ มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรม ซึ่งการนำเสนอข้อมูลบางส่วนอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ที่เกี่ยวข้องได้ ดังนั้นผู้เขียนจึงขอสงวนนามของผู้เกี่ยวข้องและข้อมูลบางส่วน เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด

เรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของเด็กชายอดิศรนี้เริ่มต้นจากการเฝ้าสังเกตของนายเทิ้มและนางมาลีพ่อแม่ของเขาเอง จากการทำนายของคนทรงเจ้าตั้งแต่เมื่อครั้งที่นางมาลีผู้เป็นแม่กำลังตั้งท้องเด็กชายอดิศรได้ประมาณ ๗-๘ เดือนใกล้คลอด ตอนนั้นนางมาลีเคยให้คนทรงเจ้าซึ่งเป็นคนหมู่บ้านอื่นคนหนึ่งทำนายดวงชะตาให้ มีตอนหนึ่งคนทรงบอกกับนางมาลีว่า “ลูกที่อยู่ในท้องให้สังเกตให้ดีเขาเป็นคนที่หายตัวไปมาเกิด เขาเป็นคนไม่มีพ่อแม่มีแต่พี่สาวคนเดียว...ถ้าเขาเกิดมาอย่าเพิ่งให้กินไข่ แล้วเขาจะบอกเองว่าเขาเป็นใคร” ตอนนั้นนางมาลีและนายเทิ้มสามีรู้สึกประหลาดใจในคำทำนายนั้นมาก โดยเฉพาะนายเทิ้ม

นายเทิ้ม เด็กชายอดิศร และนางมาลี

นายเทิ้ม เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นพอได้ฟังคนทรงเจ้าทำนายตนก็นึกถึงนายเมฆเพื่อนบ้านที่ถูกคนร้ายฆ่าตายไปเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาทันที เพราะเมื่อครั้งที่นายเมฆยังมีชีวิตอยู่ ตนกับนายเมฆรู้จักคุ้นเคยกันดี เนื่องจากบ้านของนายเมฆ(บ้านของพ่อตาแม่ยาย)กับบ้านของตนอยู่ไม่ไกลกันนัก ซึ่งตนทราบดีว่าพ่อแม่ของนายเมฆได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว ชีวิตของเขามีเหลือเพียงพี่สาวที่ชื่อนางติ๋มเพียงคนเดียวเท่านั้น นายเมฆเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีไม่เกเร รู้จักสัมมาคารวะ ตนเองรักและเอ็นดูนายเมฆเหมือนน้องชายคนหนึ่ง เย็นวันนั้นก่อนที่นายเมฆจะถูกฆ่าตาย ตนเพิ่งกลับมาจากไร่ พบนายเมฆกำลังนั่งดื่มสุราอยู่กับเพื่อนบ้าน นายเมฆเรียกให้ตนไปนั่งดื่มสุราด้วย เมื่อตนเดินเข้าไปหานายเมฆก็ร้องไห้กอดเอวตนแล้วพูดว่า “พี่ทิดผมรักน้ำใจพี่ทิดจริงๆ ผมรักพี่ทิดเหมือนพี่ผม” ตนพอจะทราบปัญหาของนายเมฆมาบ้าง แต่ไม่ทราบว่าจะช่วยอย่างไร จึงได้แต่พูดปลอบใจแล้วตนก็ขอตัวเข้าบ้าน กลางดึกของคืนวันนั้นนายเมฆก็ถูกฆ่าตาย ตนรู้สึกสงสารนายเมฆที่ต้องมาถูกฆ่าตายอย่างน่าเวทนา และในวันที่คนทรงเจ้าทำนายว่า บุตรของตนที่กำลังจะเกิดมานั้นเป็นคนที่หายไป เขาไม่มีพ่อแม่มีแต่พี่สาวคนเดียว ตอนนั้นตนนึกถึงนายเมฆขึ้นมาทันที และตั้งใจที่จะคอยสังเกตบุตรของตนที่จะเกิดมาว่าจะเป็นจริงตามที่คนทรงทำนายหรือไม่ และเมื่อเด็กชายอดิศรเกิดมา ตนก็พยายามไม่ให้เขากินไข่ตั้งแต่แรกเกิด เผื่อว่าเขาจะพูดอะไรให้ฟังบ้างเมื่อเขาโตขึ้น

หลังจากที่หมอดูทำนายได้ไม่นานนางมาลีก็คลอดเด็กชายอดิศร ตอนนั้นเด็กชายอดิศรก็เหมือนกับเด็กๆทั่วๆไปไม่มีอะไรผิดปกติ ต่อมาเมื่อเขาอายุได้ประมาณ ๘-๙ เดือน วันหนึ่ง นางติ๋ม นาดง(สกุลเดิม สว่างยิ่ง)พี่สาวของนายเมฆซึ่งมีอาชีพเป็นช่างรับเหมาสร้างบ้านและต่อเติมบ้าน ได้มาต่อเติมบ้านให้กับคนข้างบ้านของนายเทิ้มและนางมาลี วันนั้นเด็กชายอดิศรร้องไห้มากทั้งร้องทั้งดิ้นจนตกจากอู่(ผ้าขาวม้ามัดด้วยเชือก และผูกปลายทั้งสองด้านกับเสาบ้าน) ซึ่งปกติเขาไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน นางมาลีผู้เป็นแม่พยายามปลอบอย่างไรก็ไม่ยอมหยุด เธอจึงอุ้มบุตรชายออกมาเดินเล่นนอกบ้าน เด็กชายอดิศรยังคงร้องไห้ไม่ยอมหยุด นางติ๋มซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆเห็นดังนั้นจึงลองอุ้มดูบ้าง ปรากฏว่าเมื่อนางมาลีส่งเด็กชายอดิศรให้นางติ๋มอุ้ม เด็กชายอดิศรก็หยุดร้องไห้ทันที นั่นคือครั้งแรกที่นายเทิ้มและนางมาลีสังเกตเห็นความผิดปกติของบุตรชาย แต่ตอนนั้นพวกเขาไม่ได้เล่าอะไรให้นางติ๋มฟัง เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นอย่างที่พวกเขาคาดไว้หรือไม่ และหลังจากวันนั้นนายเทิ้มและนางมาลีก็ยังคงเฝ้าคอยสังเกต เด็กชายอดิศรเรื่อยมา

จนกระทั่งเด็กชายอดิศรอายุได้ประมาณ ๒ ขวบเริ่มพูดได้ วันหนึ่งขณะที่เด็กชายอดิศรวิ่งเล่นอยู่ที่ร้านขายของชำของ นางรำพึง ซึ่งอยู่ใกล้กันกับบ้านของนายเทิ้มและนางมาลี แล้วบังเอิญได้พบกับ เด็กหญิงกนกวรรณ(หยุน) บุตรสาวของนายเมฆที่มาซื้อของ เด็กชายอดิศรเดินจะเข้าไปกอดเด็กหญิงกนกวรรณแล้วพูดว่า “หยุนมาซื้ออะไรลูก” เด็กหญิงกนกวรรณรู้สึกงงเพราะไม่เคยพบหรือรู้จักกับเด็กชายอดิศรมาก่อนจึงไม่ยอมให้กอด เด็กชายอดิศรก็เดินตามไปพยายามจะจับมือเด็กหญิงกนกวรรณก็ไม่ยอมให้จับ นางรำพึงเจ้าของร้านได้ยินเด็กชายอดิศรเรียกชื่อเล่นของเด็กหญิงกนกวรรณและแสดงท่าทางแปลกๆ จึงถามว่า “หนูรู้จักเขาหรือ” เด็กชายอดิศรตอบว่า “รู้จัก…หยุนเป็นลูกผม” นางรำพึงรู้สึกสงสัยจึงสอบถามต่อไปว่า “หนูชื่ออะไรนะ” เด็กชายอดิศรตอบว่า “ผมชื่อเมฆ” นางรำพึงรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดและการแสดงออกของเด็กชายอดิศรมากเพราะนางลำพึงเองก็รู้จักนายเมฆและบุตรสาวของนายเมฆดี ต่อมานางรำพึงเล่าเรื่องนี้ให้นายเทิ้มและนางมาลีฟัง เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าจากนางรำพึง นายเทิ้มและนางมาลีก็ได้สอบถามเด็กชายอดิศร ซึ่งเด็กชายอดิศรก็ตอบคำถามของพ่อกับแม่ของเขาเหมือนกับว่าเขาเป็นนายเมฆจริงๆ ประมวลความได้ว่า

ชาติก่อนเขาชื่อ “เมฆ” พ่อเขาชื่อ “นายลอย” แม่เขาชื่อ “นางม่าน” มีพี่สาวชื่อ “นางติ๋ม” เขามีภรรยาชื่อ ”นางไทย” มีบุตรสาวด้วยกันคนหนึ่งชื่อ “หยุน”เมื่อนายเทิ้มและนางมาลีถามถึงสาเหตุที่นายเมฆเสียชีวิต เด็กชายอดิศรก็เล่าให้ฟังว่า คืนวันนั้นเขา(นายเมฆ)ถูกคนร้าย ๔ คน(บอกชื่อคนร้ายทั้ง ๔ คนด้วย) รุมทำร้ายทุบตีจนเสียชีวิต จากนั้นกลุ่มคนร้ายได้นำร่างของเขายัดใส่กระสอบแล้วช่วยกันหามไปไว้ท้ายรถกระบะแล้วขับออกจากหมู่บ้านไป กลุ่มคนร้ายได้ขับรถวกไปเวียนมาอยู่เป็นเวลานานจนมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งกลุ่มคนร้ายได้นำร่างของเขาทิ้งไว้ เขาบอกว่าก่อนที่กลุ่มคนร้ายจะจากไปคนร้ายคนหนึ่งได้ใช้มีดปาดคอของเขาเลือดไหลเย็นเจี๊ยบเลย จากนั้นคนร้ายก็พากันออกไป และในคืนต่อมาคนร้ายก็ได้กลับมาอีกครั้งและทำการเผาศพของเขาเพื่อทำลายหลักฐาน

นางมาลี กล่าวว่า ในตอนนั้นเธอรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกกังวลใจมาก เพราะการพูดและแสดงออกถึงอดีตชาติของเด็กชายอดิศร อาจจะรู้ไปถึงพรรคพวกของกลุ่มคนร้ายที่ร่วมกันฆ่านายเมฆก็ได้ ซึ่งคงไม่เป็นการดีอย่างแน่นอน โดยเฉพาะยายของเด็กชายอดิศรรู้สึกกังวลใจมากและคิดว่าถ้าขืนปล่อยให้เด็กชายอดิศรพูดถึงอดีตชาติต่อไปอาจจะเกิดอันตรายได้ จึงพยายามบังคับให้เด็กชายอดิศรกินไข่เพื่อให้ลืมอดีตชาติ แต่เด็กชายอดิศรไม่ยอมกินเมื่อถูกบังคับหนักๆเข้าเขาจึงยอมกิน แต่ก็ยังไม่ลืมความทรงจำในอดีตชาติ

วันหนึ่งนางมาลีพาเด็กชายอดิศรไปธุระที่บ้านของเพื่อนบ้านคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ริมถนนในหมู่บ้าน เด็กชายอดิศรมองเห็นคนที่เป็นผู้บงการฆ่านายเมฆถีบรถจักรยานผ่านมา เขาวิ่งออกไปยืนกางแขนขวางหน้ารถและยืนมองด้วยสายตาเคียดแค้น ชายผู้นั้นต้องเบรกรถกะทันหันด้วยความตกใจ นางมาลีทราบถึงการแสดงออกของบุตรชายดีจึงรีบออกไปอุ้มเด็กชายอดิศรกลับมาและขอโทษชายผู้นั้น ในตอนนั้นชายผู้นั้นรู้สึกสงสัยพฤติกรรมของเด็กชายอดิศรมากและได้พยายามสอบถามชาวบ้านและผู้ใกล้ชิดเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กชายอดิศร จนกระทั่งทราบว่าเด็กชายอดิศรจำอดีตชาติได้ว่าเป็นนายเมฆสืบชาติมาเกิด เมื่อได้พบกับเด็กชายอดิศรอีกครั้งชายผู้นั้นก็พยายามพูดจาหว่านล้อมให้เด็กชายอดิศรพูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติให้ฟัง แต่เด็กชายอดิศรก็ไม่ยอมพูดและแสดงอาการไม่พอใจอย่างยิ่ง

เมื่อนางมาลีและยายของเด็กชายอดิศรทราบว่าชายผู้นั้นพยายามสอบถามเรื่องราวในอดีตชาติกับเด็กชายอดิศร ก็กลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับเด็กชายอดิศรจึงห้ามไม่ให้เขาพูดถึงอดีตชาติอีก และบังคับให้กินไข่มากขึ้นเพื่อให้ลืมอดีตชาติโดยเร็ว

แต่ถึงแม้ว่าเขาจะถูกห้ามไม่ให้พูด และบังคับให้กินไข่มากขึ้น แต่เด็กชายอดิศรก็ยังไม่ลืมอดีตชาติ นายเทิ้มเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งเด็กชายอดิศรมองเห็นภรรยาของนายเมฆนั่งรถมากับสามีใหม่ก็ชี้มือแล้วพูดว่า “เดี๋ยวเถอะมึง..ๆ” เด็กชายอดิศรแสดงอาการหึงหวงออกมาอย่างชัดเจนเหมือนกับว่าตัวเองเป็นนายเมฆจริงๆ หลังจากนั้นไม่นานเด็กชายอดิศรก็พูดถึงอดีตชาติน้อยลง คนในครอบครัวก็ไม่พยายามสอบถามเรื่องนี้อีก และไม่ยอมเปิดเผยเรื่องนี้ให้ใครทราบเนื่องจากกลัวว่าจะเกิดอันตรายกับเด็กชายอดิศร เพราะกลุ่มคนร้ายเป็นคนในหมู่บ้าน และในขณะนั้นคดีการฆาตกรรมนายเมฆก็ยังไม่หมดอายุความ จนกระทั่งผู้เขียนไปขอสัมภาษณ์จึงได้เปิดเผยเรื่องราวทั้งหมด เพราะเห็นว่าจะมีประโยชน์กับผู้อื่นต่อไป

เรื่องราวชีวิตและเหตุการณ์ในวันที่นายเมฆเสียชีวิต

ผู้เขียนได้ไปพบกับ นางติ๋ม นาดง(สว่างยิ่ง) พี่สาวของนายเมฆซึ่งเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่บ้านเลขที่ ๕๖ หมู่ ๕ ตำบลตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งนางติ๋มได้เล่าถึงเรื่องราวชีวิตและเหตุการณ์ที่นายเมฆถูกฆาตกรรมให้ฟังว่า นายเมฆ สว่างยิ่ง น้องชายของเธอ เกิดเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๒ เป็นบุตรคนที่ ๓ ของครอบครัว พ่อชื่อนายลอย แม่ชื่อนางม่าน สว่างยิ่ง ซึ่งปัจจุบันนี้ได้เสียชีวิตไปแล้วทั้งสองท่าน มีพี่น้องทั้งหมด ๓ คน คือ นางมวน สว่างยิ่ง(เสียชีวิตแล้ว) ตัวของเธอเป็นคนที่ ๒ ส่วนนายเมฆเป็นคนสุดท้อง นายเมฆโดยปกติจะเป็นคนที่โมโหร้ายแต่หายเร็ว พูดจาโผงผางแต่จริงใจ เป็นคนรักเพื่อนและมีอัธยาศัยดีคนหนึ่ง นายเมฆแต่งงานอยู่กินกับ นางแตงไทย นิ่มมา มีบุตรด้วยกัน ๑ คนคือ เด็กหญิงกนกวรรณ(หยุน) นิ่มมา หลังจากแต่งงานแล้ว นายเมฆได้ย้ายไปอยู่กับภรรยาที่บ้านของพ่อตาแม่ยาย ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านที่พวกเธออาศัยอยู่ในขณะนั้นประมาณ ๒ กิโลเมตร

นางติ๋ม นาดง

(นามสกุลเดิม สว่างยิ่ง)

นายเมฆเป็นคนที่มีลักษณะพิเศษที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิด คือมีโคนลิ้นดำ ซึ่งโบราณเชื่อว่าผู้ที่เกิดมามีลิ้นดำ หรือมีลูกอัณฑะลูกเดียว(ทองแดง) ปืนจะยิงไม่ออกแม้แต่พิษงูก็ไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ได้ ก่อนเสียชีวิตนายเมฆเคยถูกคนร้ายลอบยิงหลายครั้งแต่กระสุนด้านทุกครั้ง ทำให้รอดชีวิตมาได้ ตอนนั้นนายเมฆรู้ตัวดีว่ากำลังถูกปองร้าย จึงนำเรื่องที่ตัวเขาเองกำลังถูกปองร้ายมาเล่าให้เธอฟังก่อนที่เขาจะเสียชีวิตไม่นาน แต่เขาไม่ได้บอกว่าผู้ที่ปองร้ายเขาเป็นใคร บอกแต่เพียงว่าเขาจะอัดเทปเรื่องราวต่างๆไว้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขาให้เธอนำเทปนั้นมาเปิดฟังก็จะทราบเรื่องราวทั้งหมด แต่ยังไม่ทันที่นายเมฆจะนำเทปนั้นมาให้ เขาได้ถูกกลุ่มคนร้ายฆ่าตายเสียก่อน นายเมฆเสียชีวิตเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๘ ขณะอายุได้ ๒๖ ปี ซึ่งเธอยังจำเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ดี

ตอนนั้นเป็นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๘ ที่ วัดประชาสามัคคี(วัดน้อย) วัดในหมู่บ้านมีงานปิดทองฝังลูกนิมิต ขณะที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินกับมหรสพและการเล่นต่างๆ ในงานฝังลูกนิมิตของวัดอยู่นั้น ไม่ไกลจากบริเวณวัดนักนายเมฆน้องชายของเธอได้ถูกกลุ่มคนร้าย ๔-๕ คนรุมทำร้ายทุบตีจนกระทั่งสิ้นสติไปอย่างเหี้ยมโหด เธอไม่ทราบว่าตอนนั้นเขาเสียชีวิตแล้วหรือยัง จากนั้นกลุ่มคนร้ายได้นำร่างของนายเมฆใส่ท้ายรถกระบะไปทิ้งไว้ในไร่อ้อยของคู่อริที่บ้านดงใต้จังหวัดลพบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านตะคร้อไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ไม่ถึงสิบกิโลเมตร หมายให้คู่อริได้รับความเสียหายเป็นการยิงปืนนัดเดียวหวังจะได้นกถึงสองตัว แต่บังเอิญมีคนในหมู่บ้านพบเห็นเหตุการณ์ขณะที่นายเมฆถูกรุมทำร้ายและถูกนำตัวใส่ท้ายรถกระบะขับออกจากหมู่บ้านไป ข่าวที่นายเมฆถูกรุมทำร้ายและถูกนำตัวออกจากหมู่บ้านได้แพร่กระจายออกไป เนื่องจากมีคนในหมู่บ้านบางคนเห็นเหตุการณ์ แต่ในคืนนั้นไม่มีใครแจ้งข่าวนี้ให้เธอกับนางม่านแม่ของเธอได้ทราบ

รุ่งเช้าวันต่อมาเธอได้ออกไปทำงานก่อสร้างตามปกติ แต่ที่บ้านได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น ขณะที่นางม่านแม่ของเธอซึ่งตอนนั้นยังมีชีวิตอยู่กำลังพักผ่อนอยู่ในบ้าน แม่ของเธอได้ยินเสียงคนเรียกว่า “แม่..ๆ” อยู่นอกบ้านจึงเดินออกมาดูที่หน้าบ้านแต่ไม่พบใคร เดินดูรอบๆบ้านก็ไม่พบใคร จึงเข้าใจว่าคงจะหูแว่วไปเองหรือไม่ก็อาจจะเป็นวิญญาณของ เด็กชายไพโรจน์ นาดง บุตรชายของเธอที่เพิ่งเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ไม่นานมาส่งเสียงเรียก ตอนเย็นของวันนั้นเมื่อเธอเลิกงานกลับมาถึงบ้าน นางม่านแม่ของเธอได้เล่าเรื่องที่ได้ยินเสียงคนเรียกให้ฟังและต่อว่าเธอว่า “ไม่ค่อยได้ทำบุญไปให้ลูกกระมัง มันถึงมาส่งเสียงเรียกให้ได้ยิน” แต่ตอนนั้นเธอเกิดฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าเป็นวิญญาณบุตรชายของเธอมาเรียกจริง ทำไมจึงเรียกนางม่านแม่ของเธอว่าแม่ ตอนนั้นเธอนึกถึงนายเมฆน้องชายขึ้นมาทันทีเพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่วันนายเมฆได้มาพบกับเธอที่บ้าน และเล่าให้ฟังว่ามีคนกำลังปองร้ายหมายเอาชีวิตเขาอยู่ นายเมฆเล่าให้ฟังว่าเขาเคยถูกลอบยิงมาแล้วหลายครั้ง แต่ยิงไม่ออกกระสุนด้านเขาได้ยินแต่เสียงสับไกปืน

ตอนนั้นเธอรู้สึกสังหรณ์ใจว่าอาจจะเกิดเหตุร้ายกับนายเมฆ จึงใช้ให้บุตรชายคนโตไปตามนายเมฆที่บ้านของภรรยา บอกว่าเธอมีธุระจะคุยด้วย บุตรชายของเธอไปและกลับมาบอกว่า ภรรยาของนายเมฆไม่ทราบว่านายเมฆหายไปไหน และยังไม่ได้กลับบ้านตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนั้นเธอเริ่มมั่นใจว่าต้องเกิดเหตุร้ายกับนายเมฆแน่ เธอจึงชวนแม่ของเธอออกสอบถามข่าวคราวของนายเมฆจากชาวบ้าน ซึ่งจากการสอบถามเพื่อนบ้านเธอกับแม่ได้เบาะแสว่ามีผู้พบเห็นนายเมฆถูกกลุ่มคนร้าย ๔-๕ คนรุมทำร้าย และได้นำตัวออกจากหมู่บ้านไปตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา เธอกับแม่รู้สึกร้อนใจพากันเดินทางไปสอบถามหาเบาะแสยังหมู่บ้านวังกระโดนน้อยซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียง ตามทิศทางที่มีผู้ให้เบาะแสมา และบังเอิญได้พบเบาะแสจากชาวบ้านในหมู่บ้านวังกระโดนน้อยว่า มีผู้พบเห็นเหตุการณ์ขณะที่กลุ่มคนร้ายนำศพของนายเมฆไปทิ้งไว้ในไร่อ้อยของคนในหมู่บ้านวังกระโดนน้อย ซึ่งเจ้าของไร่ไม่ถูกกันกับผู้ที่บงการฆ่านายเมฆ ที่บ้านดงใต้ จังหวัดลพบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านตะคร้อไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ไม่ถึง ๑๐ กิโลเมตร แต่เนื่องจากในขณะนั้นเป็นเวลาค่ำมืดมากแล้ว เธอกับแม่ไม่มีรถ(ใช้วิธีเดินเท้า) ไม่มีเงินจ้างรถ และไม่รู้จักใครที่พอจะไหว้วานได้ จึงจำเป็นต้องกลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน ตั้งใจว่าตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นพวกเธอจะรีบนั่งรถโดยสารประจำทางเดินทางไปยังหมู่บ้านดงใต้แต่เช้า

ในคืนนั้นเมื่อกลุ่มคนร้ายทราบว่า เธอกับแม่ของเธอออกสอบถามข่าวคราวของนายเมฆจนกระทั่งทราบเหตุการณ์การฆาตกรรมจากชาวบ้าน และเดินทางไปสอบถามหาเบาะแสยังหมู่บ้านใกล้เคียง กลางดึกของคืนนั้นกลุ่มคนร้ายได้ย้อนกลับไปจัดการเผานั่งยางศพของนายเมฆและยืนเฝ้าดูอย่างใจเย็น จนกระทั่งศพของนายเมฆถูกไฟเผาเหลือแต่เถ้ากระดูก จากนั้นคนร้ายที่รออยู่ได้นำเถ้ากระดูกที่เหลืออยู่ของนายเมฆไปฝังเพื่อทำลายหลักฐาน ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นมีชาวหมู่บ้านดงใต้คนหนึ่งเห็นเหตุการณ์โดยบังเอิญ

เช้าวันต่อมาเธอกับแม่ของเธอได้นั่งรถโดยสารเดินทางไปยังไร่อ้อยที่มีผู้ให้เบาะแสมาตั้งแต่เช้าตรู่ แต่ไม่พบศพของนายเมฆพบเพียงกองขี้เถ้ากองหนึ่ง ซึ่งเพิ่งจะมอดดับไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา พวกเธอเริ่มไม่แน่ใจในเบาะแสที่ได้มาจึงได้สอบถามชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้น ซึ่งได้รับคำยืนยันจากชาวบ้านดงใต้ที่เห็นเหตุการณ์ว่าเป็นเถ้าถ่านที่เผาศพของนายเมฆจริง เพราะมีคนเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นโดยตลอด และจำได้ว่าเป็นศพของนายเมฆอย่างแน่นอนเพราะชาวบ้านผู้นั้นเคยรู้จักกับนายเมฆมาก่อน นอกจากนี้ยังได้บอกลักษณะรูปพรรณสัณฐานของกลุ่มคนร้ายด้วย ซึ่งก็ตรงกันกับข้อมูลที่เธอกับแม่ของเธอพอจะทราบมาบ้างแล้ว

หลังจากนั้นผู้ใหญ่บ้านของบ้านดงใต้ ได้ไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ทราบ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุก็ได้ทำการค้นหาหลักฐานต่างๆ แต่ก็ไม่พบหลักฐานใดๆที่จะสามารถระบุได้ว่าเป็นกองเถ้าถ่านที่เผาศพของนายเมฆ เนื่องจากไม่พบแม้แต่เศษเถ้ากระดูกของนายเมฆตามที่มีพยานยืนยัน ตอนนั้นเธอไม่ทราบจะทำอย่างไรจึงลองยกมือบอกกับดวงวิญญาณของนายเมฆว่า “ถ้าเป็นศพของเมฆจริง ก็ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ พบหลักฐานสักชิ้นหนึ่งเถอะ” หลังจากเธอยกมือบอก เจ้าหน้าที่ตำรวจก็พบเศษกางเกงยีนชิ้นหนึ่งในกองเถ้าถ่าน เมื่อประมวลกับคำให้การของชาวบ้านบริเวณนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงยอมรับแจ้งความ

เหตุการณ์ที่หมู่บ้านดงใต้ในเช้าวันนั้น มีพรรคพวกของกลุ่มคนร้ายมาร่วมสังเกตการณ์ในที่เกิดเหตุด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบเบาะแสของกลุ่มคนร้าย และสืบสวนจนกระทั่งรู้ตัวคนบงการฆ่า หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามจับกุมกลุ่มคนร้ายที่ร่วมกันฆ่านายเมฆอยู่ระยะหนึ่ง แต่หลังจากนั้นไม่นานไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด คดีฆาตกรรมนายเมฆน้องชายของเธอก็เงียบหายไปตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จนกระทั่งถึงทุกวันนี้

การจากไปของนายเมฆในครั้งนั้นยังความเศร้าโศกเสียใจให้กับครอบครัวของเธอเป็นอย่างมาก นางติ๋มกล่าวว่าถึงแม้ว่าเธอกับแม่ของเธอจะเสียใจและคับแค้นใจมาก แต่ก็ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร เธอกับแม่ถูกพรรคพวกของกลุ่มคนร้ายพูดจาข่มขู่ตั้งแต่วันที่พบกองเถ้าถ่านที่กลางไร่อ้อยในวันนั้นแล้ว วันนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ฝากให้เธอกับแม่ของเธออาศัยรถของพรรคพวกของกลุ่มคนร้ายคนหนึ่ง ที่มาสังเกตการณ์ในที่เกิดเหตุเพื่อกลับไปยังหมู่บ้าน ตอนนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็สงสัยว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นพวกเดียวกันกับกลุ่มคนร้าย เพราะเป็นคนในหมู่บ้านตะคร้อเพียงคนเดียวที่ไปในที่เกิดเหตุทั้งๆที่ไม่น่าจะทราบเรื่องหรือมีธุระใดๆ ดังนั้นก่อนขึ้นรถเจ้าหน้าที่ตำรวจได้บอกย้ำกับชายคนนั้นว่า “ไปส่งให้ถึงบ้านด้วยนะ ถ้าไม่ถึงผมเอาเรื่องคุณแน่”นั่นเป็นเพียงข้อสงสัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น แต่ความจริงก็ได้กระจ่างเมื่อเธอกับแม่ขึ้นรถของชายคนนั้นกลับบ้าน ระหว่างทางเขาพูดจาข่มขู่พวกเธอเป็นนัยๆ ว่า “พวกมึงอยากได้กระดูกไอ้เมฆ ก็ไปขุดเอาอยู่ใต้ต้นไม้ แถวนั้นแหละ” คำพูดและท่าทางของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาทราบเรื่องนี้ดี และเขาแสดงตัวเพื่อประสงค์จะข่มขู่เธอกับแม่ ตอนนั้นเธอกับแม่ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดีจะฟ้องร้องหรือให้เบาะแสเกี่ยวกับคดีก็เกรงกลัวอิทธิพลของกลุ่มคนร้าย จึงจำต้องมอบหน้าที่ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะสืบสวนสอบสวน หาตัวกลุ่มคนร้ายและผู้บงการมาลงโทษให้ได้ต่อไป

หมอดูเคยทำนายว่าจะตายโหง

นางติ๋ม พี่สาวของนายเมฆเล่าให้ฟังต่อไปว่า เมื่อครั้งที่นายเมฆ อายุได้ประมาณ ๑๒ ปี นางม่านแม่ของเธอเคยให้หมอดูตรวจดูดวงชะตาของนายเมฆ หมอดูท่านนั้นทำนายว่า ...หากนายเมฆโตขึ้น ได้แต่งงานมีภรรยาแล้วมีบุตรเป็นหญิง เขาจะต้องตายโหงตั้งแต่บุตรสาวยังไม่ทันโต…ตอนนั้นเธอกับแม่ยังไม่คิดอะไรมาก เนื่องจากนายเมฆยังอายุน้อยอยู่

ต่อมาเมื่อนายเมฆแต่งงานมีภรรยาและภรรยาของนายเมฆคลอดบุตรออกมาเป็นผู้หญิง(เด็กหญิงกนกวรรณ) ครั้งแรกที่เธอกับแม่ของเธอทราบว่าบุตรของนายเมฆเป็นเพศหญิง ก็รู้สึกใจหายนึกถึงคำทำนายของหมอดูท่านนั้นขึ้นมาทันที เธอคาดไม่ถึงว่าคำทำนายของหมอดูเมื่อหลายปีก่อนจะเป็นความจริงในเวลาต่อมา

ความฝันที่เป็นจริง

นางติ๋ม เล่าถึงความฝันประหลาดที่เธอกับแม่ของเธอฝันหลังจากนายเมฆเสียชีวิตได้ไม่นานให้ฟังว่า คืนหนึ่งเธอฝันเห็นนายเมฆมาบอกว่า ไม่ต้องเป็นห่วงเขาสบายดีและบอกด้วยว่ากลุ่มคนร้ายและคนที่บงการฆ่าเขาคือใคร ต่อมาไม่นานนางม่านแม่ของเธอก็ฝันเห็นนายเมฆมาบอกว่า ให้ทำ แผงบอกผี*** ให้สามแผงแล้วเขาจะทำให้คนร้ายที่ฆ่าเขาต้องตายตกไปตามกัน พอตื่นขึ้นมาตอนเช้านางม่านแม่ของเธอก็ได้จัดทำแผงบอกผีให้ตามที่นายเมฆบอกในฝัน

***(แผงบอกผี คือ ไม้ไผ่สานขัดกันเป็นตารางรองพื้นด้วยกระดาษหรือใบตอง แล้วทำข้าวแดง ข้าวดำ ข้าวสุก ข้าวสาร กับข้าวคาวหวาน ไข่ไก่ หมากพลู ใช้แป้งปั้นเป็นรูปเงิน ๑๒ ทอง ๑๕ และรูปคน ๑ (หรืออาจไม่ต้องครบทั้งหมดนี้ก็ได้) วางไว้บนกระดาษหรือใบตอง จุดธูป ๑ ดอก บอกอุทิศให้ผี เรียกว่า “แผงบอกผี” หรือ “แผงควาดผี”)

ถัดจากนั้นหนึ่งวัน คนร้ายคนหนึ่งได้มาสารภาพกับนางม่านแม่ของเธอว่า เขาเป็นคนลงมือฆ่านายเมฆเอง เพราะเห็นแก่เงินที่ผู้จ้างวานรับปากที่จะจ่ายให้เขาเจ็ดพันบาทและจะจ่ายให้ผู้ร่วมลงมือด้วยอีกแปดพันบาทรวมหนึ่งหมื่นห้าพันบาท หลังจากงานเสร็จเขาถูกเบี้ยวค่าจ้างไม่ได้รับแม้แต่บาทเดียวแถมยังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตามจับอีก ตอนนี้เขากลัวว่าจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมและกลัวว่าผู้จ้างวานจะส่งคนมาฆ่าปิดปาก เขาจึงได้มาสารภาพผิด ตอนนี้เขาได้สำนึกผิดแล้วและขอให้นางม่านยกโทษให้กับเขาด้วย นอกจากนี้คนร้ายยังได้เล่าถึงเหตุการณ์ในคืนนั้นพร้อมทั้งสารภาพว่าใครคือผู้บงการและมีใครร่วมลงมือบ้าง ซึ่งก็ตรงกันกับข้อมูลที่เธอกับแม่ของเธอทราบมาก่อนหน้านี้แล้ว

วันนั้นแม่ของเธอไม่ได้พูดอะไรและไม่ยอมรับคำขอโทษ สำหรับคนร้ายที่ลงมือฆ่านายเมฆคนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาเป็นเพื่อนของนายเมฆที่เคยกินนมจากอกของนางม่านแม่ของเธอมาด้วยกันเมื่อครั้งยังเป็นเด็กนั่นเอง หลังจากนั้นอีกสองวันต่อมาได้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น คนร้ายคนนั้นได้ทำปืนลั่นใส่ตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจเสียชีวิตในงานบวชของเพื่อนบ้าน สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชายคนนั้นอาจเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญหรือเป็นเพราะอำนาจใดๆ เธอไม่อาจทราบได้ แต่สิ่งที่นายเมฆน้องชายของเธอบอกในความฝันของนางม่านแม่ของเธอได้เกิดขึ้นจริงแล้ว หลังจากที่คนร้ายคนนั้นเสียชีวิตคดีการฆาตกรรมนายเมฆน้องชายของเธอก็เงียบหายไป กลุ่มคนร้ายที่เหลือและผู้บงการก็ยังคงลอยนวลจนถึงทุกวันนี้

สำหรับเรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของเด็กชายอดิศรนั้น นางติ๋มกล่าวกับผู้เขียนว่าเธอเองก็ทราบเรื่องนี้ดี ตอนเด็กๆมีครั้งหนึ่งเด็กชายอดิศรร้องไห้ไม่ยอมหยุด แต่พอนางมาลีส่งให้เธออุ้มเขาก็หยุดร้อง เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจแต่ตอนนั้นเธอไม่ทราบเรื่องจึงไม่ได้สนใจอะไร จนกระทั่งต่อมาพอเขาพูดได้เขาก็พูดถึงเหตุการณ์ในวันที่นายเมฆน้องชายของเธอเสียชีวิต เหมือนกับว่าเขาได้ประสบกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นมาด้วยตัวของเขาเองจริงๆ โดยส่วนตัวแล้วเธอเชื่อว่าเด็กชายอดิศรคือนายเมฆน้องชายของเธอสืบชาติมาเกิดจริง แต่เธอไม่อยากพูดถึงหรือสอบถามอะไรมากนัก เนื่องจากกลัวว่าจะเกิดอันตรายกับเด็ก เพราะกลุ่มคนร้ายเป็นคนในหมู่บ้านและในขณะนั้นคดีการฆาตกรรมนายเมฆก็ยังไม่หมดอายุความ

ความทรงจำที่ลบเลือน

ขณะผู้เขียนไปสัมภาษณ์ เด็กชายอดิศรจำอดีตชาติของเขาไม่ได้แล้ว ดังนั้นข้อมูลส่วนใหญ่จึงได้มาจากคำบอกเล่าของนายเทิ้ม นางมาลี นางติ๋มและพยานผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ซึ่งพอจะยืนยันได้ว่า เด็กชายอดิศรเคยพูดและแสดงออกถึงความทรงจำในอดีตชาติของเขาจริง แต่ถึงแม้ว่าเขาจะลืมเรื่องราวในอดีตชาติของเขาไปหมดแล้ว แต่เรื่องราวของเขาที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนี้จะยังคงย้ำเตือนให้ทุกคนได้ตระหนักว่า

....ชีวิตไม่ได้สิ้นสุดลงที่ความตาย การฆ่าไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต ผู้ที่ถูกฆ่าอาจจะยังคงสืบชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก แต่ผู้ฆ่าอาจจะถูกลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง หรือไม่เมื่อตายไปแล้วเขาอาจจะต้องชดใช้กรรมที่เขาได้กระทำไว้ ในนรกอเวจี....

ภาพของ อดิศร สุขโภชน์ ภาพคุณไตรเทพ ไกรงู นักข่าวคมชัดลึกสัมภาษณ์นางมาลี