เด็กชายพงศธร ศรชัย

ข้อมูลเบื้องต้น

กรณีของ เด็กชายพงศธร ศรชัย

ปัจจุบันชาติ

ชื่อ-นามสกุล : เด็กชายพงศธร ศรชัย ชื่อเล่น : ต้น

วันเดือนปีเกิด : ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๖

ความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิด : มีปานสีขาวที่บริเวณกลางหลัง

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : ๑๕๙/๒ หมู่ ๓ ตำบลตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์

พี่น้องร่วมบิดามารดา : มี ๓ คนคือ

๑. เด็กหญิงพรสุดา ศรชัย

๒. เด็กชายพงศธร ศรชัย

๓. เด็กชายพัสกร ศรชัย

อดีตชาติ

ชื่อ-นามสกุล : นายสามารถ สุวรรณราช ชื่อเล่น : หมู

วันเดือนปีเกิด : ๒๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๗

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : ๑๙๔/๒ หมู่ ๓ ตำบลตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์

พี่น้องร่วมบิดามารดา : มี ๒ คนคือ

๑. นายสามารถ(หมู) สุวรรณราช

๒. นายสยาม(เมฆ) สุวรรณราช

วันเดือนปีที่เสียชีวิต : ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ ขณะอายุได้ : ๑๙ ปี

สาเหตุที่เสียชีวิต : ป่วยเป็นมะเร็งในปอด

ลักษณะอาการ : ไอเป็นเลือด

สถานที่เสียชีวิต : โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์

เด็กชายพงศธร ศรชัย จำอดีตชาติได้

เด็กที่จำอดีตชาติได้ในหมู่บ้านของผู้เขียนรายนี้มีชื่อว่า เด็กชายพงศธร ศรชัย เป็นบุตรคนที่สองของ นายทองแดง ศรชัย และ นางสาวมานัส ใจเกื้อ ขณะที่ผู้เขียนไปสัมภาษณ์ครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๒ เขาอายุ ๖ ขวบ เรียนอยู่ชั้นอนุบาล ๓ โรงเรียนบ้านตะคร้อรัฐประชาชนูทิศ

สำหรับเรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของเด็กชายพงศธรนี้ มีข้อมูลที่แตกต่างจากข้อมูลของผู้จำอดีตชาติรายอื่นๆอยู่หลายประการ ซึ่งบางเรื่องราวยังคงเป็นปริศนาที่ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ แต่ผู้เขียนจำเป็นต้องบันทึกและเปิดเผยข้อมูลทั้งหมด เพื่อเป็นฐานข้อมูลในอันที่จะศึกษาค้นคว้าหาความจริงกันต่อไป ดังนั้นจึงขอให้ท่านผู้อ่านได้ใช้วิจารณญาณของท่านไตร่ตรองด้วยความรอบคอบและตั้งใจ

เด็กชายพงศธร ศรชัย จำอดีตชาติได้ว่าเมื่อชาติก่อนเขามีชื่อว่า นายสามารถ(หมู) สุวรรณราช เป็นบุตรชายคนโตของ นายวิลัยและนางถนอม สุวรรณราช นายสามารถเสียชีวิตเมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๖ เนื่องจากป่วยเป็นโรคมะเร็งในปอด ขณะอายุได้ ๑๙ ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้น ปวช. ปี ๒ แผนกช่างยนต์ที่วิทยาลัยเทคนิคนครสวรรค์ ขณะยังมีชีวิตเขามีภรรยาชื่อ นางสาวพวงชมพู(เอ็ม) ทองใบ มีบุตรชายด้วยกัน ๑ คน ชื่อ เด็กชายอดิเทพ สุวรรณราช ซึ่งก่อนที่นายสามารถเสียชีวิตเขาไม่ทราบว่าภรรยาตั้งท้อง

ความฝันประหลาดก่อนทราบว่าตั้งท้อง

นางสาวมานัส ใจเกื้อ แม่ของเด็กชายพงศธรเล่าถึงความฝันประหลาดของเธอให้ฟังว่า เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๕ ก่อนที่นายสามารถจะเสียชีวิตประมาณ ๒ เดือน ตอนนั้นนายสามารถกำลังเรียนอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคนครสวรรค์ซึ่งอยู่ในตัวจังหวัดนครสวรรค์ วันหยุดเสาร์อาทิตย์เขาจึงจะได้กลับมาที่บ้านแต่ก็ไม่ได้กลับทุกอาทิตย์ ตอนนั้นนายสามารถมีอาการไอ แต่ยังไม่มีใครทราบว่าเป็นโรคมะเร็งในปอด คืนหนึ่งเธอฝันว่า ที่วัดใหญ่(วัดชุมพล)มีภาพยนตร์กลางแปลงมาฉาย เธอพาเด็กหญิงพรสุดาบุตรสาวคนโตของเธอ ไปชมภาพยนตร์ที่วัด เมื่อภาพยนตร์เลิกแล้วเธอ ก็เดินกลับบ้านพร้อมกับบุตรสาว ขณะที่เดินผ่านบริเวณหน้าบ้านของนายวิลัยและนางถนอมพ่อแม่ของนายสามารถ มีสุนัขตัวหนึ่งวิ่งออกมาเห่าทำท่าจะกัด ในฝันเธอเห็นนายสามารถออกมาไล่สุนัขตัวนั้นให้ เธอถามนายสามารถว่า “อ้าวหมูกลับมาจากโรงเรียนตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ” นายสามารถไม่ตอบ แต่ถามเธอ ว่า “แม่ไปไหนมา” ในฝันเธอ รู้สึกแปลกใจจึงถามว่า “ทำไมเรียกน้าว่าแม่ล่ะ” นายสามารถตอบว่า “ผมมาเกิดกับแม่แล้ว” จากนั้นเธอ ก็รู้สึกตัวตื่น

นางสาวมานัสกล่าวว่า ตอนนั้นเธอ คิดว่าเป็นความฝันธรรมดา เพราะนายสามารถยังมีชีวิตอยู่และเธอเองก็ยังไม่ทราบว่าตัวเองตั้งท้อง หลังจากที่เธอฝันแบบนั้นได้ประมาณ ๒ เดือน นายสามารถก็เสียชีวิต ตอนนั้นเธอก็ยังไม่ทราบว่าตัวเองตั้งท้อง จนกระทั่งเดือนต่อมาเธอสังเกตว่าท้องเริ่มใหญ่ขึ้นและรอบเดือนก็ขาดไปหลายเดือนแล้ว จึงไปให้หมอที่สถานีอานัยในหมู่บ้านตรวจ ปรากฏว่าเธอตั้งท้องได้ ๓ - ๔ เดือนแล้ว เมื่อทราบว่าตั้งท้องเธอก็นึกถึงความฝันในคืนนั้นขึ้นมาทันที เธอได้เล่าความฝันนี้ให้คนแถวบ้านฟัง แต่ไม่กล้าเล่าให้นายวิลัยและนางถนอมฟัง เพราะเกรงว่านายวิลัยและนางถนอมจะกล่าวหาว่าเธอกุเรื่องขึ้นมาเองหรือเป็นการแช่งลูกของเขา และอีกหกเดือนต่อมาเธอ ก็ได้คลอดเด็กชายพงศธร

นางมานัส เด็กชายพงศธร พี่สาวและน้องชาย

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นางถนอม สุวรรณราช แม่ของนายสามารถเล่าให้ฟังว่า หลังจากที่นายสามารถบุตรชายของเธอเสียชีวิตได้ไม่กี่เดือน เธอและนายวิลัยก็ได้ทราบข่าวจากนางจุ๊บหลานสาวของเธอ ซึ่งทราบข่าวมาจากผู้อื่นอีกต่อหนึ่งว่า นายสามารถไปเข้าฝัน นางสาวมานัสตั้งแต่ยังไม่เสียชีวิตว่าได้มาเกิดกับนางสาวมานัสแล้ว ข่าวนี้ทำให้เธอและนายวิลัยรู้สึกแปลกใจว่าคนยังไม่ตายจะไปเข้าฝันคนอื่นได้อย่างไร แต่ตอนนั้นนางสาวมานัสตั้งท้องได้เพียง ๔-๕ เดือนเท่านั้น ยังไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้ เธอและนายวิลัยจึงรอที่จะพิสูจน์กันต่อไป

ต่อมาในวันที่เด็กชายพงศธรคลอด เธอพร้อมด้วยสามีและญาติๆก็พากันไปดูลักษณะ และรอยตำหนิต่างๆตามร่างกายของเด็กชายพงศธร ว่ามีส่วนใดเหมือนกับลักษณะของนายสามารถบ้าง โดยเฉพาะรอยป้ายศพที่ญาติของนางถนอมได้ป้ายไว้ที่บริเวณข้อมือของนายสามารถ หลังจากที่เขาเสียชีวิตได้ ๒ วัน แต่ตอนนั้นพวกเธอก็ต้องผิดหวัง เพราะตามร่างกายและบริเวณข้อมือของเด็กชายพงศธร ไม่มีรอยตำหนิใดๆที่เหมือนกันกับรอยตำหนิของนายสามารถเลย มีแต่ปานสีขาวอยู่ที่กลางหลังซึ่งไม่ตรงกับรอยตำหนิที่ทำไว้แต่อย่าง

นางถนอมกล่าวกับผู้เขียนว่า ในตอนนั้นเธอและนายวิลัยรู้สึกผิดหวัง คิดว่าความฝันของนางสาวมานัสคงจะเป็นความฝันธรรมดา และเด็กชายพงศธรก็คงจะไม่ใช่นายสามารถบุตรชายของเธอสืบชาติมาเกิดใหม่ตามที่นางสาวมานัสฝันแต่อย่างใด

เริ่มพูดและแสดงออกถึงความทรงจำในอดีตชาติ

เด็กชายพงศธร เริ่มพูดและแสดงออกให้เห็นถึงความทรงจำในอดีตชาติของเขาเมื่อตอนที่เขาอายุได้ประมาณ ๑-๒ ขวบ เริ่มพูดได้ นางสาวมานัสเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งขณะที่เด็กชายพงศธรกำลังเล่นอยู่กับเด็กๆด้วยกันแล้วแย่งของเล่นกัน เด็กชายพงศธรพูดขึ้นว่า “กูเป็นไอ้หมูนะ” นางสาวมานัสได้ยินก็รู้สึกสงสัยและนึกถึงความฝันในครั้งนั้นขึ้นมาทันที นับตั้งแต่วันนั้นเธอก็เริ่มสังเกตคำพูดและการแสดงออกของบุตรชาย ต่อมาวันหนึ่งขณะที่ เด็กชายพงศธรนั่งเล่นอยู่คนเดียว เธอแอบได้ยินเด็กชาย พงศธรพูดว่า “น้อยมีเมียแล้ว เมียน้อยชื่อเอ็ม” ตอนนั้นเธอไม่รู้จักชื่อภรรยาของนายสามารถจึงสอบถามจากนางแสวงพี่สาวของนางถนอม ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าภรรยาของนายสามารถมีชื่อเล่นว่า “เอ็ม” จริงๆ

นางสาวพวงชมพู(เอ็ม) ทองใบ

เมื่อทราบทราบเช่นนั้นเธอและนายทองแดงก็เริ่มเชื่อว่าบุตรชายจะต้องจำอดีตชาติได้แน่ และหลังจากวันนั้นเธอและนายทองแดงก็ได้ยินเด็กชายพงศธรพูดถึงอดีตชาติอีกหลายครั้ง ตอนนั้นนายทองแดงผู้เป็นพ่อพยายามทั้งห้ามทั้งตีไม่ให้เด็กชายพงศธรพูดถึงอดีตชาติ เพราะเกรงว่าบุตรชายจะอายุสั้น และไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง

จนกระทั่งวันหนึ่งเธอพาเด็กชายพงศธรนั่งรถจักรยานที่มีเบาะนั่งเด็กด้านหน้าไปตัดผมที่ร้านตัดผม ซึ่งต้องผ่านหน้าบ้านของนายวิลัยและนางถนอม ตอนที่เดินทางไปเด็กชายพงศธรมองเข้าไปในบ้านของนางถนอมแต่ไม่ได้พูดอะไร หลังจากตัดผมเสร็จแล้วระหว่างเดินทางกลับมาถึงบริเวณหน้าบ้านของนายวิลัยและนางถนอม เด็กชายพงศธรก็พูดขึ้นมาว่า “แม่จอด..ๆ น้อยจะลงบ้าน..ๆ” (“น้อย” เป็นคำที่นายสามารถใช้เรียกตัวเองเวลาพูดกับนายวิลัยและนางถนอม และเป็นคำที่นายวิลัยและนางถนอมใช้เรียกนายสามารถด้วย) ตอนนั้นเธอไม่ยอมจอดให้และขี่จักรยานผ่านเลยไป เด็กชายพงศธรทั้งร้องไห้ทั้งหยิกทั้งข่วนเธอและพยายามดิ้นจะลงให้ได้ แต่เธอก็จับไว้และขี่จักรยานกลับเข้าบ้านไป ในวันนั้นขณะที่เด็กชายพงศธรร้องไห้ดิ้นจะลงจากจักรยานนั้น มีชาวบ้านแถวนั้นเห็นเหตุการณ์และได้เล่าเรื่องนี้ให้นายวิลัยและนางถนอมฟัง

ตอนนั้นนายวิลัยและนางถนอมยังไม่ค่อยเชื่อนัก เนื่องจากพวกเขาเคยมาพิสูจน์ดูรอยตำหนิต่างๆของเด็กชายพงศธรแล้วว่าไม่เหมือนนายสามารถ

จนกระทั่งวันหนึ่ง เธอได้พาเด็กชายพงศธรไปตัดผมอีกครั้ง ระหว่างที่เดินทางไปเมื่อรถจักรยานผ่านหน้าบ้านของนายวิลัยและนางถนอม เด็กชายพงศธรก็มองเข้าไปในบ้านของนายวิลัยและนางถนอมแต่ไม่ได้พูดอะไร ขากลับขณะที่เธอกำลังจะผ่านหน้าบ้านของนายวิลัยและนางถนอม บังเอิญขณะนั้นนายวิลัยและนางถนอมออกมาดูเตาเผาถ่านซึ่งอยู่ริมถนนตรงข้ามบ้านของพวกเขาพอดีเมื่อ เด็กชายพงศธรเห็นนายวิลัยและนางถนอมก็เรียกนางถนอมว่า “แม่..ๆ” แล้วทำท่าจะลง แต่เธอจับไว้ไม่ยอมให้ลงและขี่จักรยานผ่านเลยไป เด็กชายพงศธรทั้งดิ้นทั้งร้องไห้ปากก็พูดว่า “น้อยจะลงบ้าน…ๆ บ้านน้อยอยู่นี่..ๆ ..แม่” นางสาวมานัสกล่าวว่า ตอนนั้นเธอเองก็รู้สึกสงสารบุตรชายเหมือนกัน แต่เนื่องจากเธอกลัวว่านายวิลัยและนางถนอมจะคิดว่าพวกเธอแต่งเรื่องขึ้นมาเอง จึงไม่ได้จอดให้เด็กชายพงศธรลงไปหานายวิลัยและนางถนอม

เหตุการณ์ในครั้งนั้นเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของนายวิลัยและนางถนอม พวกเขาทั้งสองคนรู้สึกสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะคำพูดและการแสดงออกของเด็กชายพงศธรนั้นชัดเจนเหลือเกิน ตอนนั้นนายวิลัยและนางถนอมคิดที่จะพาเด็กชายพงศธรมาพิสูจน์ความจริงที่บ้านของพวกเขา แต่นายทองแดงและนางสาวมานัสไม่ยอมให้เด็กชายพงศธรไปพบกับนายวิลัยและนางถนอม

นายวิลัยและนางถนอม กล่าวกับผู้เขียนว่า ตอนนั้นนายทองแดงและนางสาวมานัสคงจะกลัวว่าพวกตนจะขอลูกคืนจึงไม่ยอมให้มาพบ

ส่วนทางด้าน นายทองแดงและนางสาวมานัส กล่าวกับผู้เขียนว่า ตอนนั้นพวกตนกลัวว่าบุตรชายจะอายุสั้น และกลัวว่านายวิลัยและนางถนอมจะคิดว่าพวกตนสอนให้บุตรชายพูดเพื่อหวังประโยชน์อะไรสักอย่าง เพราะครอบครัวของนายวิลัยและนางถนอมมีฐานะดีกว่าพวกตน จึงห้ามไม่ให้เด็กชายพงศธรบุตรชายไปพบกับนายวิลัยและนางถนอม

หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นนายวิลัยและนางถนอมได้ฝากเพื่อนบ้านให้ไปบอกกับนายทองแดงและนางสาวมานัสว่าไม่ต้องกลัวว่าพวกตนจะขอลูกคืนหรอกขอให้พาเด็กชายพงศธรมาพบกับพวกตนเถอะจะได้พิสูจน์กันให้รู้ไปเลยว่าเด็กชายพงศธรคือนายสามารถบุตรชายของพวกตนสืบชาติมาเกิดใหม่จริงหรือไม่ ตอนนั้นนายทองแดงและนางสาวมานัสก็รู้สึกเห็นใจนายวิลัยและนางถนอม เพราะทราบว่าทั้งสองคนยังไม่คลายจากความเศร้าโศกเสียใจกับการจากไปของนายสามารถบุตรชาย ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบ ๓ ปีแล้วก็ตาม พวกเขาจึงตกลงให้นางสาวมานัสผู้เป็นแม่พาเด็กชายพงศธรไปพบกับนายวิลัยและนางถนอมที่บ้าน

นางถนอม เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นให้ฟังว่า เมื่อครั้งที่นางสาวมานัสพาเด็กชายพงศธรมาพบกับเธอและนายวิลัยที่บ้าน วันนั้นมีญาติๆของเธอนั่งคุยกันอยู่ใต้ถุนบ้านหลายคน เมื่อเด็กชายพงศธรเห็นเธอและนายวิลัย ก็เรียกว่า “พ่อยะ แม่หนอม” แล้ววิ่งเข้ามากอดเธอด้วยความดีใจ เธอเองก็อ้าแขนรับเด็กชายพงศธรเข้ามากอด จากนั้นเธอก็เริ่มสอบถามเด็กชายพงศธรด้วยความตื่นเต้น เธอชี้ไปที่รถไถที่จอดอยู่ใต้ถุนบ้านด้านหนึ่งแล้วถามว่า “น้อยรถไถนี่รถใคร” เด็กชายพงศธรตอบว่า “รถพ่อยะ” เธอชี้ไปที่รถจักรยานยนต์แล้วถามว่า “แล้วรถเครื่องคันนี้ล่ะ” เด็กชายพงศธรตอบว่า “รถน้องเมฆ” เด็กชายพงศธรเรียกนายสยามน้องชายว่า “น้องเมฆ”เหมือนกับที่นายสามารถเคยเรียก ถึงตอนนี้เธอเริ่มน้ำตาคลอหน่วย

เด็กชายพงศธรเห็น นายสุชาติ(ตู่) พันธ์สารภูมิ สามีของ นางจุ๊บ หลานของเธอนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์ของนายสยามอยู่ ก็เรียกนายสุชาติว่า “ไอ้ตู่” เด็กชายพงศธรเรียกชื่อเล่นของนายสุชาติได้ถูกต้องทั้งๆที่ไม่เคยพบกันมาก่อน เด็กชายพงศธรพูดต่อไปว่า “น้องเมฆทำไมไม่ล้างรถบ้างล่ะ ทำไมปล่อยให้เปื้อนจังเลย” ตอนนั้นเธอกับนายวิลัยและญาติๆที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็รู้สึกทึ่งกับคำพูดของเด็กชายพงศธร

นายวิลัย เด็กชายพงศธร และนางถนอม

จากนั้นเธอและนายวิลัยได้พาเด็กชายพงศธรขึ้นไปบนบ้านโดยให้ นางสาวมานัสคุยอยู่กับญาติๆอยู่ใต้ถุนบ้าน เธอและนายวิลัยทำการพิสูจน์ความทรงจำในอดีตชาติของเด็กชายพงศธรโดย ให้ชี้ รูปถ่าย สิ่งของ เสื้อผ้า และของใช้ของนายสามารถ ปรากฏว่าเด็กชายพงศธร ชี้และบอกได้ถูกต้องทั้งหมดว่าเป็นภาพถ่ายของใครเสื้อผ้าและสิ่งของชิ้นไหนเป็นของนายสามารถหรือของนายสยามน้องชาย

รูปถ่ายเด็กชายอดิเทพ(ฟลุ๊ค) รูปถ่ายนายสามารถ

แต่เมื่อเธอชี้ให้ดูรูปลูกชายของนายสามารถแล้วถามว่า “นี่ล่ะรูปใคร” เด็กชายพงศธรมองดูแล้วทำท่างงๆ เขาไม่รู้จักคนในรูปซึ่งเป็นลูกชายของเขาเอง นางถนอม กล่าวว่า คงเป็นเพราะก่อนที่นายสามารถจะเสียชีวิตเขายังไม่ทราบว่าภรรยาของเขาตั้งท้อง และจากการพิสูจน์ในตอนนั้นเธอและนายวิลัยก็เริ่มเชื่อว่า เด็กชายพงศธรคือนายสามารถบุตรชายของพวกเธอสืบชาติมาเกิดใหม่จริง

บทพิสูจน์ความทรงจำในอดีตชาติ

นอกจากเหตุการณ์ในวันนั้นแล้วเด็กชายพงศธรพูดยังพูดและแสดงออกให้เห็นว่าตัวเขาคือนายสามารถสืบชาติมาเกิดใหม่อีกหลายครั้งกับหลายบุคคล เท่าที่รวบรวบได้มีดังนี้

ไม่รู้ว่ามีลูกชาย…ครั้งหนึ่งนางถนอมถาม เด็กชายพงศธรว่า “เมียน้อยชื่ออะไรลูก” เด็กชายพงศธรตอบว่า “ชื่อเอ็ม” นางถนอมถามว่า “แล้วลูกน้อยล่ะ” เด็กชายพงศธรทำท่างง ๆ บอกว่า “ไม่มี” นางถนอมกล่าวว่าตอนที่นายสามารถเสียชีวิตนั้น นางสาวพวงชมพู (เอ็ม) ภรรยาของนายสามารถตั้งท้องได้ ๒ เดือน ซึ่งนายสามารถยังไม่ทันได้ทราบก็มาเสียชีวิตเสียก่อน

จำนายสามเพื่อนสนิทได้…ในวันสงกรานต์ปีหนึ่ง นายเทวัน(สาม) ขวัญสุข ได้ไปล้างเท้าขอพรจากยายของนายสามารถที่บ้านของนางถนอม ซึ่งในวันนั้นเด็กชายพงศธรก็มาล้างเท้ายายในอดีตชาติของเขาด้วย เมื่อได้พบกับนายสามเด็กชายพงศธรก็พูดขึ้นมาว่า “แม่นี่ไอ้สามเพื่อนผม” ทุกคนพากันหัวเราะชอบใจเพราะเด็กชายพงศธรไม่เคยพบหรือรู้จักกับนายสามมาก่อน แต่สามารถเรียกชื่อนายสามได้ถูกต้องและบอกด้วยว่าเป็นเพื่อนกัน

จำเสียงนายรักได้…วันหนึ่ง นายดอกรัก(รัก) ใจเกื้อ บุตรชายของ นางแสวง พี่สาวของนางถนอมไปทำธุระใกล้ๆกับบ้านของนางสาวมานัส เมื่อเด็กชายพงศธรได้ยินเสียงนายรักคุยกับคนข้างบ้านก็บอกกับนางสาวมานัสผู้เป็นแม่ว่า “แม่..ๆนั้นมันเสียงไอ้รักนี่” นางสาวมานัสบอกเรื่องที่เด็กชายพงศธรจำอดีตชาติได้ให้นายรักทราบ นายรักรู้สึกทึ่งกับความทรงจำในอดีตชาติของเด็กชายพงศธรมาก เพราะตอนนั้นนายรักยังไม่เคยพบหรือรู้จักกับเด็กชายพงศธรมาก่อน

จำนายเปี๊ยกได้…วันหนึ่ง เด็กชายพงศธรเห็น นายศุภชัย(เปี๊ยก) เพียรมุ่งงาน นั่งอยู่กับเพื่อนๆก็เดินเข้าไปเตะก้นของนายเปี๊ยกและเรียกนายเปี๊ยกว่า “ไอ้สิว” เหมือนกับที่นายสามารถเคยเรียกนายเปี๊ยก ทั้งๆที่เพิ่งเคยพบกับนายเปี๊ยกเป็นครั้งแรก

จำย่าในอดีตชาติได้…ครั้งหนึ่ง นางสาวมานัสพา เด็กชายพงศธรไปทำบุญที่วัด และได้พบกับ นางเสียน สุวรรณราช ย่าของนายสามารถ เด็กชายพงศธรตะโกนเรียกนางเสียนว่า “ย่า” นางเสียนซึ่งตอนนั้นยังไม่เคยพบและรู้จักกับเด็กชายพงศธรมาก่อน ก็งงว่าเด็กชายพงศธรเป็นใครทำไมมาเรียกตนว่าย่า นางสาวมานัสเล่าเรื่องที่เด็กชายพงศธรจำอดีตชาติได้ให้นางเสียนฟัง นางเสียนจึงถามเด็กชายพงศธรว่า “รู้จักย่าหรือลูก” เด็กชายพงศธรตอบว่า “รู้จัก…ย่าของน้องเมฆ ปู่ของน้อย” เด็กชายพงศธรพูดหมายความถึงว่า ย่าและปู่รักนายสามารถกับนายสยามไม่เหมือนกันย่าจะรักนายสยามส่วนปู่จะรักนายสามารถ

จำน้องๆ ของพ่อในอดีตชาติได้…ด็กชายพงศธรสามารถเรียกชื่อน้องๆของนายวิลัยได้ถูกต้องทุกคน และยังสามารถบอกลักษณะการกระทำของแต่ละคนในอดีตได้อีกด้วยทั้งๆที่เพิ่งเคยพบกันเป็นครั้งแรก เช่น เด็กชายพงศธรบอกว่า “ผมไม่รักอาแดงผมรักอาม้อนกับอาอ้วน อาแดงชอบว่าพ่อผมหูตึงไม่ช่วยพ่อผม อาแดงกลัวเมียขอยืมเทปก็ไม่ได้ แต่อาม้อนช่วยพ่อเก็บข้าวโพด” เป็นต้น ซึ่งก็เป็นความจริงตามมุมมองและความรู้สึกของนายสามารถเอง

จำไร่ของพ่อแม่ในอดีตชาติได้…ครั้งหนึ่ง นางสาวมานัสและนางเละยายของเด็กชายพงศธร พาเด็กชายพงศธรไปรับจ้างทำงานในไร่ของคนในหมู่บ้านคนหนึ่ง ซึ่งที่ไร่ผืนนั้นอดีตเคยเป็นที่ไร่ของนายวิลัยและนางถนอมมาก่อน เมื่อไปถึงบริเวณไร่แห่งนั้นเด็กชายพงศธรก็บอกกับนางสาวมานัสและนางเละว่า “ตรงนี้ไร่พ่อไร่แม่ผม” เมื่อเด็กชายพงศธรมาถึงบริเวณห้างไร่เก่าก็บอกกับนางสาวมานัสว่า “แม่…ห้างมันหายไปไหนล่ะ แต่ก่อนตรงนี้มันมีห้างอยู่นี่ ใครรื้อไปไหนล่ะแม่” เด็กชายพงศธรพูดเหมือนกับคุ้นเคยกับไร่แห่งนี้เป็นอย่างดีทั้งๆที่เขาเพิ่งมาเป็นครั้งแรก ตอนนั้นนางสาวมานัสและนางเละยังไม่ทราบว่าในอดีตที่ไร่ผืนนี้เคยเป็นไร่ของใคร จึงได้สอบถามเรื่องนี้กับเจ้าของไร่ในปัจจุบันก็ได้รับคำตอบว่า ที่ไร่แห่งนั้นเคยเป็นไร่ของนายวิลัยและนางถนอมมาก่อนและบริเวณที่เด็กชายพงศธรบอกก็เคยมีห้างอยู่จริงแต่ได้ถูกรื้อไปนานแล้ว

ความตั้งใจตั้งแต่อดีตชาติ…ขณะที่ เด็กชายพงศธร อายุประมาณ ๓ ขวบ นายวิลัย และนางถนอมได้จัดงานบวชให้ นายสยาม น้องชายของนายสามารถ ในวันงานนางสาวมานัสพาเด็กชายพงศธรมาร่วมงานด้วย เมื่อ เด็กชายพงศธรมองเห็นผ้าไตร และทราบว่านายสยามกำลังจะบวชก็ร้องไห้บอกว่า “น้อยจะบวชพร้อมน้องเมฆ…ๆ” นางสาวมานัสและนางถนอมก็บอกว่า “หนูยังบวชไม่ได้หนูยังเด็กรอให้โตก่อนแล้วแม่จะบวชให้” เด็กชายพงศธรไม่ยอมจะโกนหัวบวชพร้อมนายสยามให้ได้ เด็กชายพงศธรบอกกับนางถนอมว่า “ไหนแม่บอกว่าจะให้ผมบวชพร้อมน้องเมฆไง” นางเสียนย่าของนายสามารถก็พูดขึ้นมาว่า “ก็หนูอยากตายหนีน้องนี่” ตอนนั้นทุกคนช่วยกันปลอบอยู่นาน เด็กชายพงศธรก็ไม่ยอมหยุดร้องไห้ นางสาวมานัสจึงต้องพากลับบ้าน

นางถนอมกล่าวว่า เมื่อครั้งที่นายสามารถยังมีชีวิตอยู่ นายสามารถเคยบอกกับเธอว่าถ้าเขาเรียนจบแล้วเขาจะบวชให้พ่อกับแม่พร้อมกับนายสยามน้องชาย แต่ยังไม่ทันเรียนจบเขาก็มาเสียชีวิตเสียก่อนจึงยังไม่ได้บวชให้ตามที่ตั้งใจไว้

งานบวชของนายสยาม สุวรรณราช

ความรู้สึกของพี่…ขณะที่เด็กชายพงศธรอายุประมาณ ๔ ขวบ มีครั้งหนึ่งเด็กชายพงศธรไปพบนายสยามน้องชายของนายสามารถนั่งแทงไฮโลอยู่ ก็เข้าไปบอกกับนายสยามว่า “น้องเมฆเลิกเลย พี่บอกให้เลิกจะเล่นทำไม” ตอนนั้นนายสยามซึ่งกำลังแทงติดพันอยู่ก็ยังไม่ได้เลิกในทันที เด็กชายพงศธรตรงเข้าไปตบหน้านายสยามแล้วบอกว่า “เลิกเดี๋ยวนี้เลย เดี๋ยวกูจะเตะให้” เด็กชายพงศธรพูดเสียงดังจนนายสยามต้องยอมเลิกและลุกเดินออกจากวงไฮโลไป เด็กชายพงศธรพูดตามหลังว่า “ไปเลยมึงไปไกล ๆ กูเลย” ผู้คนในวงไฮโลต่างก็รู้สึกประหลาดใจในคำพูดและการแสดงออกของเด็กชายพงศธรมาก

นายสยาม(เมฆ) สุวรรณราช

อีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๑ เด็กชายพงศธรไปพบนายสยามกำลังนั่งดื่มสุราอยู่ก็เข้าไปบอกว่า “น้องเมฆเลิกกินเดี๋ยวนี้เลยนะพี่ไม่ชอบ” นางสาวมานัสเห็นการแสดงออกของเด็กชายพงศธรก็คอยเตือนเพราะกลัวว่านายสยามจะไม่พอใจ แต่โดยส่วนตัวของนายสยามเองกลับรู้สึกว่าเด็กชายพงศธรเป็นพี่ชายที่ยังรักและเป็นห่วงตนซึ่งเป็นน้องชายอยู่เสมอ ไม่เคยคิดถือโกรธหรือไม่พอใจเลย นายสยามกล่าวกับผู้เขียนว่าตนเองเชื่อและยอมรับว่าเด็กชายพงศธรคือพี่ชายของตนสืบชาติมาเกิดจริง

เป็นเด็กอีกครั้ง…นางถนอมเล่าให้ฟังว่าเมื่อเร็วๆนี้(พ.ศ.๒๕๔๒) เด็กชายพงศธรได้ไปนั่งรอเพื่อนที่บริเวณบ้านของ นางย้าย หัสสะโต นางย้ายซึ่งพอจะทราบข่าวการจำอดีตชาติได้ของ เด็กชายพงศธรมาบ้าง เห็นเด็กชายพงศธรนั่งอยู่ก็เข้าไปถามว่า “หนูรึที่เขาว่าระลึกชาติได้” เด็กชายพงศธรตอบว่า “ผมนี่แหล่ะ…เหนื่อยจังเลยโตได้แล้วยังกลับมาเป็นเด็กอีก” นางย้ายได้ยินดังนั้นก็หัวเราะและรู้สึกทึ่งกับคำพูดของเด็กชายพงศธรมาก

จากคำพูดและการแสดงออกถึงความทรงจำในอดีตชาติของเด็กชายพงศธร ที่เขาพูดและแสดงออกมานั้น ทำให้ทุกคนที่เคยประสบพบเห็นเด็กชายพงศธรพูดและแสดงออกถึงความทรงจำในอดีตชาติของเขาต่างก็เชื่อว่า เด็กชายพงศธรคือนายสามารถสืบชาติมาเกิดจริง

แต่สำหรับนายวิลัยและนางถนอมพ่อแม่ในอดีตชาติแล้วถึงแม้ว่าพวกเขาจะเชื่อว่าเด็กชายพงศธรคือนายสามารถสืบชาติมาเกิดจริง แต่ก็ยังคงมีเรื่องราวที่น่าสงสัยและยังไม่สามารถหาคำตอบได้อีกหลายเรื่อง เกี่ยวกับเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนายสามารถบุตรชาย

เหมือนจะทราบชะตาชีวิตล่วงหน้า

ก่อนที่นายสามารถจะทราบว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็งนั้น นายสามารถเคยพูดกับพ่อแม่และภรรยาของเขา เหมือนกับว่าเขาจะทราบชะตาชีวิตของตัวเองว่าจะต้องเสียชีวิตในเวลาอันใกล้ นางถนอม เล่าให้ฟังว่าเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๓๕ นายสามารถขอให้เธอซื้อรถจักรยานยนต์ให้โดยบอกว่า “แม่ ผมจะขอแม่ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะ” ตอนนั้นเธอก็ซื้อรถจักรยานยนต์ให้ตามที่เขาขอ นอกจากนี้นายสามารถยังเคยบอกกับภรรยาของเขาว่า “เอ็มอย่างอนพี่นักเลย พี่อยู่อีกไม่นานหรอกอายุ ๑๙ พี่ก็ต้องไปแล้ว” เธอไม่คิดว่าสิ่งที่นายสามารถพูดจะเป็นความจริงในเวลาต่อมา เพราะตอนที่พูดนั้นเขายังไม่มีอาการป่วยหรืออาการของโรคมะเร็งเลย

ความฝันของนางถนอม

เมื่อปลายปี พ.ศ.๒๕๓๕ ก่อนที่นายสามารถจะเสียชีวิต คืนหนึ่งนางถนอมฝันว่า นายสามารถไปอยู่กับคนแก่ผมสีขาวคนหนึ่งในบ้านเรือนไทยที่ดูจากภายนอกค่อนข้างเก่า แต่ภายในสวยงามสะอาดตา บ้านหลังนั้นลอยอยู่บนก้อนเมฆ ในฝันนางถนอมบอกให้นายสามารถกลับบ้านพร้อมกับเธอ แต่นายสามารถไม่ยอมกลับจากนั้นนางถนอมก็รู้สึกตัวตื่น

จากความฝันในครั้งนั้นทำให้นางถนอมรู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับนายสามารถจึงสวดมนต์ไหว้พระขอให้คุณพระช่วยคุ้มครองบุตรชายให้รอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวงแทบจะทุกวัน

แพทย์ตรวจพบมะเร็งในปอด

นายสามารถเริ่มมีอาการไอตั้งแต่เมื่อประมาณปลายปี พ.ศ.๒๕๓๕ แต่เขาคิดว่าเป็นอาการไอเพราะแพ้ฝุ่นหรือแพ้อากาศธรรมดา จนกระทั่งเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๓๖ อาการไอเริ่มรุนแรงขึ้นเขาจึงไปให้แพทย์ตรวจ แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคหลอดลมอักเสบและได้จัดยามาให้รับประทาน แต่อาการของนายสามารถก็ไม่ทุเลาลง อาการเริ่มรุนแรงมากขึ้น จนกระทั่งไอออกมาเป็นเลือด นายวิลัยและนางถนอมจึงพานายสามารถไปให้แพทย์ตรวจดูอีกครั้ง ปรากฏว่าแพทย์เอ็กซเรย์พบจุดดำในปอดและแนะนำให้ไปตรวจอีกครั้งที่โรงพยาบาลทรวงอกที่กรุงเทพฯ นายวิลัยและนางถนอมก็พาบุตรชายไปตามคำแนะนำของแพทย์ ในการตรวจที่โรงพยาบาลทรวงอก ครั้งแรกแพทย์บอกว่ามีเนื้องอกในปอดและได้ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ อีก ๒ วันต่อมาแพทย์ตรวจพบว่านายสามารถเป็นมะเร็งในปอดและได้ส่งตัวไปที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ

เมื่อนายวิลัยและนางถนอมทราบว่านายสามารถเป็นมะเร็ง หัวใจของผู้เป็นพ่อเป็นแม่แทบจะสลาย นายวิลัยมีอาการเครียดอย่างมาก นางถนอมก็ร้องไห้เกือบตลอดเวลา แต่ตอนนั้นยังไม่มีใครบอกเรื่องนี้กับนายสามารถ นายสามารถเห็นนางถนอมร้องไห้ก็ถามญาติๆ ว่า “แม่ผมเป็นอะไรแม่ถึงร้องไห้กัน” ญาติๆก็พยายามพูดบ่ายเบี่ยง จนกระทั่งนายสามารถถูกนำตัวไปยังสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เมื่อนายสามารถเห็นป้ายหน้าสถาบันฯ ก็พูดกับ นายแดง สุวรรณราช ผู้เป็นอาว่า “อาแดงผมไม่น่าเป็นโรคแบบนี้เลยนะ” แพทย์ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติตรวจพบว่า นายสามารถเป็นมะเร็งในปอดระยะสุดท้ายซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายได้ และแพทย์แนะนำว่าให้นำตัวไปรักษาตามอาการที่โรงพยาบาลใกล้ๆบ้านจะดีกว่าเพื่อความสะดวก เมื่อทราบดังนั้นนายวิลัยและนางถนอมจึงพานายสามารถกลับมารักษาที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อความสะดวกในการดูแลและเพื่อความสะดวกของบรรดาญาติๆที่ต้องการจะมาเยี่ยม

นางถนอมกล่าวว่า ตอนนั้นนายสามารถมีจิตใจที่เข้มแข็งมาก แม้จะทราบว่าตัวเองเป็นโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษาได้ แต่ก็มีอาการเป็นปกติไม่หวาดกลัวหรือเศร้าซึมแต่อย่างใด ซ้ำยังคอยปลอบเธอและญาติๆไม่ให้ร้องไห้เสียใจอีกด้วย

หญิงชรานิรนาม

วันหนึ่งขณะที่นายสามารถนอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ มีหญิงชราคนหนึ่งเดินมายืนจ้องดูนายสามารถที่เตียง หญิงชราคนนั้นถาม นางแสวงพี่สาวของนางถนอมที่เฝ้าดูแลนายสามารถอยู่ว่า “เด็กคนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว” นางแสวงตอบว่า “อายุ ๑๙ ปี” หญิงชราคนนั้นบอกกับนางแสวงว่า “ทำใจเถอะหนู เขาไม่อยู่กับเราหรอก เขาเป็นคนต่างชาติ” หญิงชราพูดจบก็เดินจากไป นางแสวงรู้สึกแปลกใจในคำพูดของหญิงชราผู้นั้น แต่ไม่ทันได้สังเกตว่าหญิงชราคนนั้นเป็นใครมาจากไหนและหลังจากวันนั้นก็ไม่พบอีกเลย

ร่างลึกลับปรากฏตัว

วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๖ ขณะที่ นางสวิดและนางแสวง พี่สาวของนางถนอมเฝ้าดูแลนายสามารถอยู่ จู่ๆนายสามารถก็พูดขึ้นมาว่า “ป้า…ใครมาลูบหลังให้ผมล่ะป้า” นางสวิดมองดูแล้วบอกว่า “ไม่เห็นมีใครเลย…สงสัยปู่ย่าตายายมาลูบหลังให้” นายสามารถไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้นก็หลับไป

นางแสวง และนางสวิด

วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๖ ตอนเช้าขณะที่นางถนอม เฝ้าดูแลอาการอยู่ จู่ๆนายสามารถก็บอกกับนางถนอมว่า “แม่…ใครมายืนอยู่ข้างหลังแม่ ๒ คนล่ะแม่” นางถนอมหันไปมองแต่ไม่พบใคร จึงบอกว่า “ไม่เห็นมีใครเลยลูกมีแต่พัดลม” นายสามารถพูดขึ้นมาอีกว่า “นั่นไง…ยืนตัวดำๆ อยู่ข้างหลังแม่นั่นไง” นางถนอมหันไปมองอีกครั้งก็ไม่พบใครจึงคิดว่านายสามารถคงจะเพ้อไปเอง

ต่อมาสายๆของวันนั้นขณะที่ญาติๆของนางถนอมหลายคนได้มาเยี่ยมนายสามารถ จู่ๆนายสามารถก็พูดขึ้นมาว่า “แม่…ใครมาลูบหลังให้ผมอีกแล้ว” นางถนอมหันไปมองก็ไม่มีใครลูบหลังให้นายสามารถ มีแต่นายปังญาติคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลัง จึงบอกกับนายสามารถว่า “ไม่เห็นมีใครเลยลูก มีแต่ลุงปังแต่เขาไม่ได้ลูบหลังให้” ทุกคนที่ไปเยี่ยมต่างก็รู้สึกสงสัยในคำพูดของนายสามารถแต่ก็คิดว่านายสามารถคงจะเพ้อไปเอง

เหตุการณ์วันที่เสียชีวิต

วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๖ ก่อนเวลาเข้าเยี่ยม นางสวิดและนางแสวง พี่สาวของนางถนอมมองเข้าไปในห้องเห็นนายสามารถอาการไม่ค่อยปกติจึงขออนุญาตพยาบาลเวรเข้าไปดูแลนายสามารถ ต่อมานางถนอมและญาติๆก็ตามเข้ามา เมื่อถึงเวลาเยี่ยมเพื่อนนักเรียนของนายสามารถก็ขึ้นมาเยี่ยม ด้วย เมื่อเห็นอาการของนายสามารถเพียบหนักก็รีบกลับไปตามเพื่อนร่วมห้องเพื่อมาดูใจ นางถนอมเห็นอาการของบุตรชายเพียบหนักก็เป็นลมหมดสติไป พยาบาลต้องนำไปปฐมพยาบาลอีกห้องหนึ่ง ส่วนภรรยาของนายสามารถ เมื่อเห็นอาการของนายสามารถก็ร้องไห้วิ่งออกไปนอกห้องเนื่องจากทนเห็นสภาพของสามีไม่ได้

นายสามารถ ในชุดนักเรียนเทคนิคนครสวรรค์

เมื่อเพื่อนๆนักเรียนมาถึงก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่นายสามารถกำลังจะสิ้นใจพอดีทุกคนต่างห้อมล้อมกันเข้าไปบางคนร้องไห้ออกมาด้วยความเวทนา และช่วยกันเขย่าตัวของนายสามารถแต่ก็ไร้ผล นายสามารถได้เสียชีวิตลงท่ามกลางญาติๆและเพื่อนๆของเขา การจากไปของนายสามารถยังความเศร้าโศกเสียใจให้กับเพื่อนๆคนใกล้ชิดและภรรยาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะนายวิลัยกับนางถนอมที่เสียใจต่อการจากไปของบุตรชายจนเกือบจะควบคุมสติไม่ได้ นายวิลัยมีอาการเศร้าซึมเหม่อลอย นางถนอมร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือดและคิดมากถึงกับจะฆ่าตัวตายตามบุตรชายไป แต่ยังดีที่นายสยามบุตรชายอีกคนหนึ่งมาห้ามไว้ได้ทัน ห้วงเวลานั้นทุกๆวันผ่านไปอย่างทุกข์ระทมหัวใจของผู้เป็นพ่อแม่แทบจะสลายทุกครั้งที่เห็นสิ่งของเครื่องใช้ของบุตรชายอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเขา

นิมนต์พระนั่งทางในติดต่อวิญญาณ

ด้วยความคิดถึงและห่วงหาอาลัยในตัวของนายสามารถ นายวิลัยและนางถนอมได้นิมนต์พระรูปหนึ่ง(ขอสงวนนาม)ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนในหมู่บ้านว่าท่านสามารถนั่งทางในติดต่อกับวิญญาณ(โอปปาติกะ)ในนรกหรือสวรรค์ได้ มาที่บ้าน เพื่อให้ท่านติดต่อกับวิญญาณของนายสามารถว่าอยู่ที่ไหน อยู่เป็นสุขหรือทุกข์อย่างไรและสิ่งของข้าวปลาอาหารที่พ่อกับแม่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เกือบทุกวันนั้นได้รับหรือไม่อย่างไร

พระรูปนั้นนั่งสมาธิตั้งแต่เวลาประมาณ ๒ ทุ่ม จนกระทั่งถึงเวลาประมาณเกือบเที่ยงคืน ด้วยอาการสงบ หลังจากนั้นท่านก็มีอาการเหนื่อยหอบและเริ่มพูดคุยโต้ตอบเหมือนกับได้พูดคุยอยู่กับใครสักคน หลังจากพูดคุยโต้ตอบประมาณเกือบ ๑ ชั่วโมง พระรูปนั้นก็ออกจากสมาธิด้วยความอิดโรย เมื่อได้พักผ่อนอิริยาบถอยู่ครู่หนึ่งนางถนอมถามว่า “หลวงพี่ตอนที่ถอนหายใจนี่เป็นอะไรหรือ” พระรูปนั้นเล่าให้ฟังว่า อาตมาเหนื่อยหอบ เพราะทีแรกลงไปหาในนรกแล้วไม่พบก็เลยบุกป่าหนามลัดไปสวรรค์ เห็นแสงบนสวรรค์สลัวๆอยู่ก็เดินฝ่าหนามเข้าไป อาตมาไปถึงบ้านหลังหนึ่งที่ลอยอยู่บนก้อนเมฆ อากาศสดชื่นมีดอกไม้หอมฟุ้งไปทั่ว อาตมาเห็นสามารถวิ่งออกมารับบอกว่า “หลวงพ่อมาหาอะไร” แล้วก้มลงกราบ อาตมาก็บอกว่า “มาหาสามารถนั่นแหละพ่อกับแม่ทางโน้นเขาเป็นห่วง” สามารถบอกกับอาตมาว่า “บอกแม่กับพ่อผมด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วงผมเก็บดอกไม้ไหว้พระอยู่กับแม่ผมที่นี่สบายดี” อาตมาถามสามารถว่า “ตั้งแต่มานี่เคยลงไปหาพ่อกับแม่บ้างหรือเปล่า” สามารถตอบว่า “ผมเคยลงไปตอน ๔ โมงเช้า อาตมาบอกว่า “ไหนแม่สามารถล่ะหลวงพ่ออยากเห็น” นายสามารถได้พาอาตมาไปพบกับแม่ของเขา แม่ของเขาหน้าตาเหมือนคนอินเดีย ผิวขาว ผมขาว แต่งตัวแบบแขกอินเดีย นายสามารถเองก็แต่งตัวแบบอินเดียใส่ผ้าแพรสีฟ้าใบหน้ายังเหมือนเดิม แต่ผิวขาวขึ้นคิ้วเข้มขึ้นและผมหยักศก เขาแนะนำว่าแม่เขาชื่อ “ศิริจันทรา” อาตมาถามแม่เขาว่า “ทำไมถึงได้ด่วนเอาสามารถมาเร็วนักล่ะ” แม่เขาตอบว่า “อีฉันตามหาลูกของฉันมาหลายกัปหลายกัลป์แล้วหาที่ไหนก็ไม่พบ อีฉันลงมาที่เมืองชมพู(ชมพูทวีป)เจอลูกของอีฉันอยู่ที่ห้องสูงๆต่ำๆ อีฉันก็เลยเอาลูกของอีฉันมาเลย แต่ลูกของอีฉันขอร้องว่าอยากไปบ้านก่อน อีฉันจึงคุมวิญญาณเขาให้อยู่ในร่างจนกระทั่งถึงบ้านแล้วก็รับมาเลย” ขณะนั้นนายสามารถบอกกับอาตมาว่า “หลวงพ่อบอกพ่อกับแม่ผมด้วยว่ารองเท้าผมที่หายไปพ่อกับแม่ผมพูดถึงบ่อย หลวงพ่อบอกด้วยว่าไม่ต้องพูดถึงผมให้เป็นทานไป” อาตมาถามว่า “แล้วอาหารที่พ่อกับแม่ทำบุญมาให้เกือบทุกวันล่ะได้รับหรือเปล่า” นายสามารถตอบว่า “ได้รับแต่ผมโมทนากลับคืนไปให้พ่อกับแม่แล้ว เพราะมันหยาบผมกินไม่ได้ผมอิ่มทิพย์ไม่ต้องกินก็อิ่มตลอดเวลา” อาตมาบอกว่า “สามารถพาหลวงพ่อขึ้นไปดูบนบ้านได้ไหม” นายสามารถพาอาตมาขึ้นไปในบ้านมีกลิ่นหอมอบอวลอากาศเย็นสบายอาตมามองดูห้องนอน เตียงนอน สวยงามมาก อาตมาถามว่า “สามารถเตียงนอนนี่ทำด้วยไม้อะไรทำไมถึงสวยนัก” นายสามารถตอบว่า “ทำด้วยไม้จันทร์หอมครับ” อาตมาถามว่า “สามารถทำไมข้าทาสบริวารถึงเยอะจัง” นายสามารถตอบว่า คอยรับใช้ผมกับแม่ผม” อาตมาเห็นคนรับใช้เขามีถึง ๕๐ คนเป็นผู้หญิงทั้งหมด อาตมาถามว่า “อยู่ที่นี่มีความสุขดีไหม” นายสามารถตอบว่า “สบายดีอยู่ที่นี่สบายมากมีแต่ดอกไม้” อาตมาถามว่า “นี่อยู่สวรรค์ชั้นไหน” นายสามารถตอบว่า “อยู่สวรรค์ชั้นที่ ๓” อาตมาพูดกับสามารถแค่นี้ก็ขอตัวกลับมานี่แหละ เมื่อสอบถามจนเป็นที่พอใจแล้วนางถนอมจึงให้คนไปส่งพระรูปนั้นที่วัด เวลาในขณะนั้นประมาณ ๒ นาฬิกาของวันใหม่ ตอนนั้นนายวิลัยและนางถนอมเชื่อเรื่องที่พระรูปนั้นเล่าให้ฟังมาก เนื่องจากมีข้อมูลสนับสนุนความเป็นไปได้อยู่หลายประการคือ

ความฝันของนางถนอม…เมื่อปลายปี พ.ศ.๒๕๓๕ ก่อนที่นายสามารถจะเสียชีวิต นางถนอมฝันว่านายสามารถไปอยู่กับคนแก่ผมสีขาวในบ้านเรือนไทย ซึ่งลอยอยู่บนเมฆ เมื่อเทียบความฝันในครั้งนั้นกับลักษณะของบ้านและลักษณะของแม่นายสามารถที่อยู่บนสวรรค์ที่พระรูปนั้นพูดให้ฟังแล้วมีส่วนที่คล้ายคลึงกันมาก

ความฝันของนางเมือง หัสสะโต…มีใจความตอนหนึ่งที่พระรูปนั้นท่านบอกกับนางถนอมและนายวิลัยว่า “พบนายสามารถอยู่บนสวรรค์สุขสบายดี ผิวขาวขึ้นคอยเก็บดอกไม้ไปไหว้พระ และบริเวณบ้านก็มีดอกไม้เต็มไปหมด” ซึ่งสอดคล้องกันกับความฝันของ นางเมือง หัสสะโตเพื่อนบ้านซึ่งไม่เคยพบเห็นหรือรู้จักกับนายสามารถมาก่อน นางเมืองฝันว่า…ได้พบกับชายหนุ่มคนหนึ่งรูปร่างอ้วน ผิวขาว ใส่เสื้อสีขาวแขนสั้นและใส่กางเกงขายาวสีกรมท่า(ชุดนักเรียนเทคนิค) ยืนอยู่บนหอสูงซึ่งสวยงามมาก บริเวณหอสูงนั้นมีดอกไม้นานาชนิดส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว ชายหนุ่มคนนั้นเรียกเธอว่า “ป้า” เธอหันไปมอง และถามว่า “หนูเป็นใครทำไมถึงมาเรียกป้าล่ะ” ชายหนุ่มคนนั้นบอกว่า “ผมเป็นลูกพ่อยะแม่หนอม ป้าบอกพ่อกับแม่ผมด้วยว่าผมขอดอก…๕ ดอก ผมจะเอามาไหว้พระ” ชายหนุ่มคนนั้นบอกชื่อดอกบัวเป็นศัพท์ชั้นสูงซึ่งตอนนั้นนางเมืองไม่รู้จักว่าเป็นดอกอะไร จากนั้นนางเมืองก็รู้สึกตัวตื่น

ต่อมาในงานทำบุญฉลองกระดูกของนายสามารถ ซึ่งจัดขึ้นที่วัดร่วมกันกับคนอื่นๆในหมู่บ้าน นางเมืองได้พบกับนางถนอม นางเมืองจึงเล่าความฝันของเธอให้นางถนอมฟัง และขอดูภาพถ่ายของนายสามารถเมื่อนางเมืองได้เห็นภาพถ่ายของนายสามารถก็ยืนยันว่าเป็นคนเดียวกันกับที่เธอฝันเห็น เมื่อนางถนอมทราบความฝันของนางเมืองก็ไปให้ร่างทรงคนหนึ่งในหมู่บ้านช่วยบอกว่าดอกไม้ที่นายสามารถบอกกับนางเมืองในฝันนั้นเป็นดอกอะไร ร่างทรงบอกว่าเป็นดอกบัว เมื่อทราบดังนั้นนายวิลัย และนางถนอมก็ได้นำดอกบัวไปให้พระท่านกรวดน้ำไปให้ตามที่นายสามารถขอ

ลักษณะเหมือนชาวอินเดีย…จากคำบอกเล่าของพระรูปนั้นที่บอกว่า “นายสามารถ และแม่ของะขาบนสวรรค์มีหน้าตา และการแต่งตัวเหมือนชาวอินเดีย” นั้น มีข้อมูลสนับสนุนถึง ๓ ข้อมูล คือ ลักษณะของนายสามารถหลังประสบอุบัติเหตุ คำพูดของหญิงชรานิรนาม และความฝันของแม่เพื่อน

ลักษณะของนายสามารถหลังประสบอุบัติเหตุก่อนที่นายสามารถจะเสียชีวิตประมาณ ๘-๙ เดือน นายสามารถได้ประสพอุบัติเหตุ รถจักรยานยนต์เสียหลักพลิกคว่ำพร้อมกับเพื่อนคนหนึ่งนายสามารถสลบไป แต่เพื่อนของนายสามารถไม่เป็นอะไรมากนายสามารถถูกนำส่งโรงพยาบาล เมื่อฟื้นขึ้นมานายสามารถบอกกับนางจุ๊บบุตรสาวของนางสวิดพี่สาวของนางถนอมว่า “พี่จุ๊บตอนที่ผมสลบไปมีผู้หญิงสาวสวยหมือนนางฟ้า มีปีกเหาะมาส่งผม แล้วผมก็ฟื้นนี่แหล่ะ” หลังจากเกิดอุบัติเหตุในครั้งนั้นนายสามารถเริ่มมีความผิดปกติคือมีขนขึ้นตามลำตัวแขนและขาขึ้นมากกว่าปกติเหมือนคนอินเดีย ตอนนั้นนางถนอมคิดว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่หมอให้ขณะช่วยทำให้ฟื้น ต่อมาก่อนเสียชีวิตไม่นาน นายสามารถบอกกับนางถนอมว่า “แม่ถ้าผมได้งานทำแล้วผมจะเปลี่ยนชื่อเป็น “เทพประทาน” นะ ผมชอบชื่อนี้” นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่าสังเกตอย่างหนึ่ง

คำพูดของหญิงชรานิรนาม…ขณะที่นายสามารถนอนป่วยอยู่บนเตียงก่อนเสียชีวิตไม่กี่วันมีหญิงชราคนหนึ่งเดินมาดูนายสามารถที่เตียงแล้วถามนางแสวงพี่สาวอีกคนหนึ่งของนางถนอมว่า “เด็กคนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว” นางแสวงตอบว่า “อายุ ๑๙ ปี” หญิงชราบอกกับนางแสวงว่า “ทำใจเถอะหนู เขาไม่อยู่กับเราหรอก เขาเป็นคนต่างชาติ” เมื่อพูดจบก็เดินจากไป หญิงชราผู้นั้นเป็นใครและเพราะเหตุใดจึงพูดเช่นนั้น

ความฝันของแม่เพื่อน…หลังจากนายสามารถเสียชีวิต ประมาณ ๓ เดือนแม่ของเพื่อนสนิทคนหนึ่งของนายสามารถที่ชื่อไพรัตน์ ซึ่งนายสามารถคุ้นเคยเมื่อครั้งที่เขาเรียนอยู่ที่หมู่บ้านเขาพนมรอก อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ฝันว่า นายสามารถมายืนเรียกอยู่หน้าบ้านแต่ไม่ยอมขึ้นบ้านบอกว่าขึ้นไม่ได้และบอกกับแม่ของนายไพรัตน์ว่า “แม่ไปบอกกับแม่ผมด้วยนะว่าผมไม่ใช่ลูกเขา ผมเป็นคนต่างชาติ ผมมาอาศัยเขาเกิดเฉยๆ ถึงเวลาผมก็ต้องกลับ” แม่ของนายไพรัตน์ได้เล่าเรื่องนี้ให้นางถนอมและนายวิลัยฟัง

จากเรื่องราวเหล่านี้ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่สอดคล้องกันกับคำพูดของพระรูปนั้น ทำให้นายวิลัยและนางถนอมเชื่อว่า พระรูปนั้นได้ไปพบกับนายสามารถบนสวรรค์จริงๆ

แม่ตามหาลูก…มีใจความตอนหนึ่งที่พระรูปนั้นท่านบอกกับนายวิลัย และนางถนอมว่า “แม่เขาบอกว่าอีฉันตามหาลูกของอีฉันมาหลายกัปหลายกัลป์แล้วหาที่ไหนก็ไม่พบ อีฉันลงมาที่เมืองชมพู(ชมพูทวีป) เจอลูกของอีฉันอยู่ที่ห้องสูงๆต่ำๆ อีฉันก็เอาลูกของอีฉันมาเลย” จากข้อความในตอนนี้ นางถนอมและนายวิลัยคิดว่าสถานที่ที่พระรูปนั้นท่านพูดถึงก็คือที่ห้องบนตึกในโรงพยาบาลนั่นเอง และเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่นายสามารถบอกกับนางถนอม นางสวิดและนางแสวงว่า “มีคนมาอยู่ข้างหลังแม่ ๒ คน และมีคนมาลูบหลังให้” ก็ยิ่งทำให้นายวิลัยและนางถนอมเชื่อมากขึ้น

ลงมาหาพ่อกับแม่…มีใจความตอนหนึ่งที่พระรูปนั้นท่านบอกว่า “สามารถเขาบอกว่าเขาเคยลงมาหาพ่อกับแม่ตอน ๔ โมงเช้า” ข้อความในตอนนี้สอดคล้องกันกับเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในวันทำบุญ ๗ วันของนายสามารถแต่เวลาไม่ตรงกัน คือคืนนั้นเวลาประมาณ ๔ ทุ่ม นายม้อน สุวรรณราช (น้องชายของนายวิลัย) ได้กลิ่นน้ำหอมที่ใช้พรมศพของนายสามารถ นายม้อนเที่ยวเดินสอบถามนางถนอมและคนในบ้านว่ามีใครใส่น้ำหอมมาบ้าง ปรากฏว่าไม่มีใครใช้น้ำหอม นายม้อนเดินไปตามกลิ่นนั้นก็ไม่พบที่มา นายม้อนคิดว่าต้องเป็นวิญญาณของนายสามารถทำให้ได้กลิ่นอย่างแน่นอนเพราะมีแต่ตนและภรรยาเท่านั้นที่ได้กลิ่นน้ำหอม คนอื่นๆไม่มีใครได้กลิ่นเลย ต่อมานายม้อนออกมาสตาร์ทรถจักรยานยนต์จะกลับบ้านปรากฏว่าสตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ยอมติดทั้งๆที่เป็นรถที่เพิ่งซื้อมาใหม่ๆ นายม้อนนึกเอะใจจึงยกมือบอกกับวิญญาณของนายสามารถว่า “หมูอาจะกลับบ้านก่อน มันดึกแล้ว” เมื่อนายม้อนพูดจบก็สตาร์ทรถอีกครั้งปรากฏว่าคราวนี้สตาร์ทติดอย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นที่น่าประหลาดใจ

รองเท้าที่หายให้เป็นทาน…มีใจความตอนหนึ่งที่พระรูปนั้นท่านบอกว่า “สามารถบอกว่ารองเท้าที่หายไปผมให้เป็นทาน” นายวิลัยและนางถนอมกล่าวว่าถ้าหากว่าพระรูปนั้นท่านไม่ได้พูดคุยกับนายสามารถจริงทำไมท่านจึงทราบเรื่องรองเท้าของนายสามารถที่หายไปได้ เพราะรองเท้า Scholl คู่นั้นได้หายไปจริง หลังจากที่นำศพของนายสามารถกลับมาจากโรงพยาบาลได้ไม่นาน ซึ่งพวกตนเที่ยวหาอยู่เพราะตั้งใจว่าจะใส่โลงไปให้เขา

จากข้อมูลต่างๆเหล่านี้ทำให้นายวิลัยและนางถนอมเชื่อว่าเหตุการณ์ที่พระรูปนั้นท่านบอกเล่าทั้งหมดนั้นเป็นความจริง แต่ถึงแม้ว่าจะมีความเชื่อว่าบุตรชายได้ไปอยู่สุขสบายบนสวรรค์แล้ว ก็ตาม พวกเขาก็ยังไม่คลายความเศร้าโศกเสียใจลงได้ โดยเฉพาะนางถนอมเคยคิดที่จะฆ่าตัวตายหลายครั้ง โชคดีที่นายสยามบุตรชายอีกคนหนึ่งห้ามไว้ได้ทัน มีครั้งหนึ่งนางถนอมเคยถามพระรูปนั้นว่า “หลวงพี่ถ้าฉันตายไปฉันจะได้พบกับลูกฉันไหม” พระรูปนั้นท่านบอกว่า “รู้แล้วใช่ไหมว่าลูกโยมไปดีแล้วหลวงพี่ก็บอกแล้วอย่าคิดสั้นนะ”

นางถนอม กล่าวว่า ตอนนั้นเธอเชื่อเรื่องราวที่พระรูปนั้นพูดให้ฟังมาก แต่ต่อมาเมื่อเธอ ได้พบกับเด็กชายพงศธรซึ่งเขาพูดและแสดงออกให้เห็นว่าเขาเป็นนายสามารถสืบชาติมาเกิด ก็ทำให้เธอรู้สึกสับสน จนถึงปัจจุบันนี้เธอและนายวิลัยก็ยังไม่สามารถหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้กับตัวเองได้ แต่ก็คลายความเศร้าโศกเสียใจไปได้มากแล้ว เพราะคิดว่านายสามารถคงสืบชาติมาเกิดใหม่แล้วจริงๆ

ความทรงจำที่ยังไม่ลบเลือน

ผู้เขียนได้พบกับเด็กชายพงศธรครั้งหลังสุดเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๘ ในงานศพของตาผู้เขียนเนื่องจากเด็กชายพงศธรได้บวชเณรให้กับตาของผู้เขียนด้วย ซึ่งได้ทราบจาก นางคนึง อัฐใส ป้าของเด็กชายพงศธรว่าเขาชอบบวชเณร ถ้าใครเสียชีวิตไม่มีญาติบวชเณรให้หรือต้องการเณรหลายๆรูป ก็ไปขอให้เด็กชายพงศธรบวชเณรให้ได้ วันนั้นผู้เขียนได้สอบถามเด็กชายพงศธรเกี่ยวกับความทรงจำในอดีตชาติปรากฏว่าเขายังสามารถจำอดีตชาติได้ และเขายังคงมีความผูกพันกับพ่อแม่และน้องชายในอดีตชาติของเขาเหมือนเดิม เพียงแต่ไม่ค่อยจะได้มาเที่ยวหาบ่อยๆเหมือนเมื่อก่อนเท่านั้น

สำหรับกรณีของเด็กชายพงศธรนี้ มีเรื่องราวคล้ายกับกรณีของ อุรารัตน์ ศรีนิล คือหลังจากเสียชีวิตไปแล้วพวกเขาได้กลับไปอยู่กับแม่อีกคนหนึ่งบนสวรรค์ จากนั้นก็สืบชาติมาเกิดอีกครั้งบนโลกมนุษย์

การบันทึกเรื่องราวความรู้สึก ความเห็น ความเชื่อ จากการสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องโดยละเอียดนี้ ผู้เขียนเห็นว่ามีประโยชน์มาก เพราะถ้าเรื่องราวเหล่านี้ไม่เป็นความจริง ก็อาจจะทำให้เราทราบได้ว่า มันไม่จริงเพราะเหตุใด แต่ถ้าเรื่องราวเหล่านี้เป็นความจริงตามนี้ เราก็จะมีข้อมูลรายละเอียดว่า "สวรรค์" ที่ว่ามีอยู่จริงนั้นมีลักษณะ สภาวะ หรือมีความเป็นไปอย่างไร ดังนั้นผู้เขียนจึงไม่เคยละเลยหรือละเว้นที่จะบันทึกข้อมูล ที่ได้จากการสัมภาษณ์ในลักษณะนี้เลย