คำขยายความหมวดอักษร
จ
จตุปาริสุทธิศีลสังวร(ปาริสุทธิศีล ๔) ศีลเครื่องให้บริสุทธิ์ , ข้อประพฤติอันเป็นเครื่องให้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์ มี ๔ คือ
๑. ปาฏิโมกขสังวรศีล ความสำรวมในพระปาฏิโมกข์ เว้นจากข้อห้าม ทำตามข้ออนุญาต ประพฤติเคร่งครัดใน
สิกขาบททั้งหลาย
๒. อินทรียสังวรศีล ศีลคือความสำรวมอินทรีย์ ระวังไม่ให้บาปอกุศลธรรมครอบงำเมื่อรับรู้อารมณ์ด้วยอินทรีย์ทั้ง
๖ คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ
๓. อาชีวปาริสุทธิศีล ศีลคือความบริสุทธิ์แห่งอาชีวะ คือการเลี้ยงชีพในทางที่ชอบ ไม่หาเลี้ยงชีพในทางมิชอบ
ไม่ประกอบ อเนสนา คือการหาเลี้ยงชีพในทางที่ไม่ควรแก่สมณเพศ เช่น หลอกลวงเขาด้วยการอวด
อุตริมนุสธรรม ออกปากขอต่อคนที่ไม่ควรขอ ใช้เงินลงทุนหาผลประโยชน์ ต่อลาภด้วยลาภคือให้แต่น้อยเพื่อ
หวังตอบแทนมาก เป็นหมอเวทมนต์เสกเป่า เป็นต้น
๔. ปัจจัยสันนิสิตศีล ศีลคือการพิจารณาใช้สอยปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช ให้เป็นไปตาม
ความหมาย และประโยชน์ของสิ่งนั้น ไม่
บริโภคด้วยตัณหา
๒. ภโวฆะ ความติดอยู่ปรารถนาอยู่ในภพทั้ง ๓ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ , เพราะถูกอำนาจภวตัณหา คือ ความ
ปรารถนาในภพท่วมทับอยู่ จึงไม่อาจหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในโอฆะ คือสังสารวัฏไปได้
๓. ทิฏโฐฆะ ความติดอยู่ข้องอยู่ ในความเห็นความเชื่อผิด ๆ , เพราะถูกมิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นผิดท่วมทับอยู่ จึง
ไม่อาจหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในโอฆะ คือสังสารวัฏไปได้
๔. อวิชโชฆะ ความติดข้องอยู่ในความมืดมนในดวงปัญญาไม่รู้สภาวะธรรมตามความเป็นเป็นจริง , เพราะ
ถูกอวิชชาท่วมทับอยู่ จึงไม่อาจหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในโอฆะ คือสังสารวัฏไปได้
จตุราริยสัจธรรม(อริยสัจ ๔) ความจริงอันประเสริฐ ที่พระอริยะทั้งหลาย รู้แล้ว เข้าถึงแล้ว ,
ความจริงที่ทำให้เป็นพระอริยะ , ความจริงที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ มี ๔ คือ
๑. ทุกข์ ความทุกข์ คือ สภาวะที่บีบคั้น คับแค้น ขัดแย้ง บกพร่อง ไม่พอดี ผันแปล ไม่มั่นคง พลัดพราก
สูญเสีย ผิดหวัง เจ็บปวด ไม่พอใจ ไม่พึงปรารถนา ลำบาก สภาวะที่ทนได้ยากเป็นต้น นี้คือทุกข์
๒. ทุกขสมุทัย เหตุปัจจัยให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา ดังปรากฏในกระแสปฏิจจสมุปบาทว่า เพราะ ตัณหา
เป็นปัจจัย ภพ จึงมี เพราะ ภพ เป็นปัจจัย ชาติ จึงมี เพราะ ชาติ เป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ
โทมนัส อุปายาส จึงมี เมื่อกำหนดรู้ปฏิจจสมุปบาทแบบสมุทัยวารได้ จึงพิจารณาเห็นเหตุแห่งทุกข์ได้
(ดู ปฏิจจสมุปบาท*)
๓. ทุกขนิโรธ ความดับทุกข์ ได้แก่ ความดับแห่ง ตัณหา ดังปรากฏในกระแส ปฏิจจสมุปบาทว่า เพราะ ตัณหา
ดับ ภพ จึงดับ เพราะ ภพ ดับ ชาติ จึงดับเพราะ ชาติ ดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส
จึงดับ เมื่อกำหนดรู้ปฏิจจสมุปบาทแบบนิโรธวารได้ จึงพิจารณาเห็นความดับแห่งทุกข์ได้(ดูปฏิจจสมุปบาท)
๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา(มรรค) คือหนทางปฏิบัติเพื่อให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ ได้แก่ มรรค มีองค์ ๘
(ดู อัฏฐังคิกมรรคธรรม*)
เจตสิก คือ สภาวธรรมที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิต ประกอบกับจิต มีอารมณ์ และวัตถุที่อาศัยเดียวกันกับจิต และดับไปพร้อมกับจิต
มี ๕๒ ได้แก่
ก. อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ เป็นเจตสิกที่มีเสมอกันแก่จิตพวกอื่น คือ ประกอบเข้าได้กับ
จิตทุกฝ่ายทั้งกุศล และอกุศล ได้แก่
ก/๑. สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ เป็นเจตสิกที่เกิดทั่วไปกับจิตทุกดวง
๑. ผัสสะ คือความกระทบอารมณ์
๒. เวทนา คือความเสวยอารมณ์
๓. สัญญา คือความหมายรู้อารมณ์
๔. เจตนา คือความจงใจต่ออารมณ์
๕. เอกัคคตา คือความมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว
๖. ชีวิตตินทรีย์ คือสภาวะที่เป็นใหญ่ในการรักษานามธรรมทั้งปวง
๗. มนสิการ คือความกระทำอารมณ์ไว้ในใจ
ก/๒. ปกิณณกเจตสิก ๖ เป็นเจตสิกที่แพร่กระจายทั่วไป เกิดกับจิตได้ทั้งฝ่ายกุศล และอกุศลแต่ไม่แน่นอน
เสมอไปทุกดวง
๘. วิตก คือความตรึกในอารมณ์
๙. วิจาร คือความตรองหรือพิจารณาอารมณ์
๑๐. อธิโมกข์ คือความปลงใจหรือปักใจในอารมณ์
๑๑. วิริยะ คือความเพียร
๑๒. ปีติ คือความปลาบปลื้ม อิ่มใจในอารมณ์
๑๓. ฉันทะ คือความพอใจในอารมณ์
ข. อกุศลเจตสิก ๑๔ เป็นเจตสิกฝ่ายอกุศล ได้แก่
ข/๑ สัพพากุสลสาธารณเจตสิก ๔ เป็นเจตสิกที่เกิดทั่วไปกับอกุศลจิตทุกดวง
๑๔. โมหะ คือความหลง
๑๕. อหิริกะ คือความไม่ละอายต่อบาป
๑๖. อโนตตัปปะ คือความไม่สดุ้งกลัวต่อบาป
๑๗. อุทธัจจะ คือความฟุ้งซ่าน
ข/๒. ปกิณณกอกุศลเจตสิก ๑๐ เป็นอกุศลเจตสิกที่เกิดแพร่กระจายทั่วไปแก่อกุศลจิต
๑๘. โลภะ คือความอยากได้อารมณ์
๑๙. ทิฏฐิ คือความเห็นผิด
๒๐. มานะ คือความถือตัว
๒๑. โทสะ คือความคิดประทุษร้าย
๒๒. อิสสา คือความริษยา
๒๓. มัจฉริยะ คือความตระหนี่
๒๔. กุกกุจจะ คือความเดือดร้อนใจ
๒๕. ถีนะ คือความหดหู่
๒๖. มิทธะ คือความง่วงเหงา
๒๗. วิจิกิจฉา คือความคลางแคลงสงสัย
ค. โสภณเจตสิก ๒๕ เป็นเจตสิกฝ่ายดีงาม ได้แก่
ค/๑. โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙ เป็นเจตสิกที่เกิดขึ้นทั่วไปกับจิตดีงามทุกดวง
๒๘. สัทธา คือความเชื่อ
๒๙. สติ คือความระลึกได้ ความสำนึกพร้อมอยู่
๓๐. หิริ คือความละอายต่อบาป
๓๑. โอตตัปปะ คือความสะดุ้งกลัวต่อบาป
๓๒. อโลภะ คือความไม่อยากได้อารมณ์
๓๓. อโทสะ คือความไม่คิดประทุษร้าย
๓๔. ตัตรมัชฌัตตตา คือความเป็นกลางในอารมณ์นั้น ๆ
๓๕. กายปัสสัทธิ คือความสงบแห่งกองเจตสิก
๓๖. จิตตปัสสัทธิ คือความสงบแห่งจิต
๓๗. กายลหุตา คือความเบาแห่งกองเจตสิก
๓๘. จิตตลหุตา คือความเบาแห่งจิต
๓๙. กายมุทุตา คือความอ่อนหรือนุ่มนวลแห่งกองเจตสิก
๔๐. จิตตมุทุตา คือความอ่อนหรือนุ่มนวลแห่งจิต
๔๑. กายกัมมัญญตา คือความควรแก่การงานแห่งกองเจตสิก
๔๒. จิตตกัมมัญญตา คือความควรแก่การงานแห่งจิต
๔๓. กายปาคุญญตา คือความคล่องแคล่วแห่งกองเจตสิก
๔๔. จิตตปาคุญญตา คือความคล่องแคล่วแห่งจิต
๔๕. กายุชุกตา คือความซื่อตรงแห่งกองเจตสิก
๔๖. จิตตุชุกตา คือความซื่อตรงแห่งจิต
ค/๒. วีรตีเจตสิก ๓ เป็นเจตสิกที่เป็นตัวความงดเว้น
๔๗. สัมมาวาจา คือการเจรจาชอบ
๔๘. สัมมากัมมันตะ คือการกระทำชอบ
๔๙. สัมมาอาชีวะ คือการเลี้ยงชีพชอบ
ค/๓. อัปปมัญญาเจตสิก ๒ เจตสิกคืออัปปมัญญา
๕๐. กรุณา คือความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
๕๑. มุทิตา คือความยินดีต่อสัตว์ผู้ได้เสวยสุข
ค/๔. ปัญญินทรียเจตสิก ๑ เจตสิกคือปัญญินทรีย์
๕๒. ปัญญินทรีย์ หรือ อโมหะ คือความรู้เข้าใจ ไม่หลง
*** เจตสิก ที่แสดงไว้ในที่นี้ แสดงไว้โดยย่อพอเป็นแนวทางเท่านั้น รายละเอียดสามารถ
ศึกษาได้จาก คัมภีร์พระอภิธรรม