ปริศนาชีวิตหลังความตายและการเกิดใหม่
ชีวิตภายหลังความตาย มีอยู่จริงหรือไม่ ? ชีวิตสิ้นสุดที่ความตายจริงหรือ ? เป็นปริศนาที่อยู่ในความสนใจของมนุษย์ทุกชาติ ทุกศาสนามาโดยตลอด นับตั้งแต่ครั้งโบราณกาล จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เช่นเดียวกับปริศนาที่ว่า โลกและดวงดาวต่างๆในจักรวาลอันกว้างใหญ่หาที่สุดมิได้นี้ เกิดมีขึ้นมาได้อย่างไร ? สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร ? ใครหรือสิ่งใดที่ลิขิตชีวิตของมนุษย์ให้ มีกำเนิด มีความเป็นอยู่ และมีอายุที่แตกต่างกัน ?และคำถามอื่นๆอีกมาก ที่ยังไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัด และเป็นที่ยอมรับของทุกคนบนโลกนี้
ในช่วงเวลาสามถึงสี่พันปีที่ผ่านมา มีผู้ที่ให้คำตอบเกี่ยวกับปริศนาเหล่านี้ได้อย่างน่าเชื่อถือหลายท่าน เช่น พระพุทธเจ้าศาสดาของศาสนาพุทธ โมเสสศาสดาของศาสนาฮีบรู(ยูดาห์,ยิว) พระเยซูคริสต์ศาสดาของศาสนาคริสต์ และท่านนบีมุฮัมมัดศาสดาของศาสนาอิสลาม เป็นต้น จะเห็นได้ว่าผู้ที่สามารถให้คำตอบและคำอธิบายในปริศนาเหล่านี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จและมีเหตุมีผลน่าเชื่อถือ ก็จะมีผู้คนให้ความเคารพและยอมรับนับถืออย่างสูง จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาคงไม่มีใครปฏิเสธว่าคำตอบของปริศนาเหล่านี้มีอิทธิพลต่อวิถีความเชื่อ และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์เราเป็นอย่างมากทั้งทางด้าน คุณธรรม จริยธรรม การใช้ชีวิตประจำวัน ศิลปะ วัฒนธรรมประเพณี และอื่นๆอีกมาก ดังนั้นการศึกษาค้นคว้าและพิสูจน์ความจริงในปริศนาเหล่านี้จึงนับได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เป็นความต้องการของมวลมนุษย์ชาติ สมควรจะได้รับการพิสูจน์ให้ได้มาซึ่งความจริงที่ชัดเจนและถูกต้องเสียที ถึงแม้ว่าความจริงที่ได้จะทำให้วิถีความเชื่อและความศรัทธาทางศาสนาสั่นคลอนก็ตาม “ ความจริงก็คือความจริง ถ้าหากเราไม่เชื่อและไม่ศรัทธาในความเป็นจริงแล้ว เราจะเชื่อถือสิ่งใดได้อีก ”
ที่ผ่านมามีผู้คนจำนวนมากที่เรียกร้องหาคำตอบและบทพิสูจน์ในเรื่องนี้แต่ไม่ยอมลงมือทำการพิสูจน์ บางคนก็เชื่อเลย บางคนก็ปฏิเสธเลย สำหรับผู้ที่เชื่อสิ่งใดโดยที่ไม่รู้ไม่ศึกษาค้นคว้าและพิสูจน์ความจริงให้กระจ่างเสียก่อนย่อมได้ชื่อว่า “งมงาย” และผู้ที่ปฏิเสธสิ่งใดโดยที่ไม่รู้ไม่ศึกษาค้นคว้าและพิสูจน์ความจริงให้กระจ่างเสียก่อนย่อมได้ชื่อว่า “โง่เขลา” เช่นกัน
ผู้เขียนเองก็ไม่ต่างจากผู้คนทั้งหลาย ที่มีความสงสัยและต้องการคำตอบเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตภายหลังความตายของคนเรามาตั้งแต่เริ่มจำความได้ เมื่อครั้งยังเด็กผู้เขียนเป็นคนที่กลัวผีมากทั้งๆที่ไม่เคยเห็นมันมาก่อน ทุกครั้งที่อยู่คนเดียวในความมืดเดินผ่านป่าช้าหรือเมรุเผาศพในยามค่ำคืน “ผี” คือสิ่งเดียวที่อยู่ในความคิดในเวลานั้น จึงไม่แปลกที่จะมีคำถามผุดขึ้นในใจเสมอว่า
ผีมีจริงหรือ ? คนเราตายไปแล้วภายหลังความตายยังมีวิญญาณอยู่อีกหรือ ?
เมื่อโตขึ้นมาหน่อยปริศนาเกี่ยวกับชีวิตภายหลังความตายเหล่านี้ก็ได้ตอกย้ำในใจของผู้เขียนอีกครั้ง เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓ ตอนนั้นผู้เขียนอายุได้ ๑๐ ขวบ มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ ๒ ขวบ มาอ้างว่าตัวเขาคือน้าของผู้เขียนซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อนสืบชาติมาเกิด แรกๆผู้เขียนและญาติๆก็ไม่มีใครเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง จึงได้พยายามหาวิธีที่จะจับโกหกและหาข้อพิรุธต่างๆ โดยทำการพิสูจน์กันหลายครั้งหลายวิธี เพื่อตรวจสอบหาข้อพิรุธจากคำพูดและการกระทำที่เด็กชายคนนั้นแสดงออกมา แต่พวกเราก็ไม่พบข้อพิรุธใดๆที่จะบ่งบอกได้ว่าเด็กชายคนนั้นพูดโกหก ปั้นเรื่องขึ้นมาเอง ถูกผู้อื่นเสี้ยมสอนให้พูดโกหก หรือเสแสร้งแสดงออกมา
ตรงกันข้ามเด็กผู้ชายคนนั้นกลับทำให้พวกเรารู้สึกอัศจรรย์ใจ เพราะเขาได้พูดและแสดงออกถึงเรื่องราวในอดีตที่เคยเกิดขึ้นกับน้าของผู้เขียนมากมายหลายเรื่อง ซึ่งบางเรื่องก็เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองคนคือน้าของผู้เขียนกับบุคคลผู้นั้นซึ่งไม่มีคนอื่นทราบ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะแต่งเรื่องขึ้นมาเองหรือถูกผู้อื่นเสี้ยมสอนให้พูด และเขายังบอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้นได้อย่างละเอียดถูกต้อง เสมือนหนึ่งว่าเรื่องราวเหล่านั้นเป็นเรื่องราวที่เขาเคยประสบมาด้วยตัวของเขาเอง และยังคงอยู่ในความทรงจำของเขามาโดยตลอด แม้แต่การแสดงออกถึงความรู้สึกผูกพันของเขาที่มีต่อพ่อแม่พี่น้อง เพื่อนๆ และคนใกล้ชิดของน้าผู้เขียน ก็ช่างคล้ายคลึงกับการแสดงออกที่น้าของผู้เขียนเคยทำ เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ยิ่งนัก นอกจากนี้เขายังมีรอยแผลเป็นที่มีมาตั้งแต่กำเนิด ตรงกันกับรอยบาดแผลที่น้าของผู้เขียนถูกยิงพอดี และไม่ใช่มีเพียงรอยเดียว น้าของผู้เขียนถูกยิงสองนัด คือบริเวณศีรษะด้านหลังและใต้ราวนมด้านขวา ซึ่งเขาก็มีรอยแผลเป็นบริเวณศีรษะด้านหลังและใต้ราวนมด้านขวาเช่นกัน
จึงเกิดคำถามขึ้นในใจอีกว่า คนเราตายแล้วเกิดใหม่ได้จริงหรือ ? เกิดเป็นอะไรได้บ้าง ? คนเราสามารถระลึกชาติได้จริงหรือ ? แล้วทำไมเราจึงระลึกชาติไม่ได้ ? คำถามเหล่านี้คุกรุ่นอยู่ในใจของผู้เขียนตลอดมา ซึ่งผู้เขียนตั้งใจไว้ว่าถ้ามีโอกาสมีเวลาจะต้องค้นหาความจริงในเรื่องนี้ด้วยตัวเองให้จงได้
จนกระทั่งสบโอกาสมีเวลาว่างเมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๔๑ ความตั้งใจเมื่อหลายปีก่อนแล่นเข้ามาในความคิด สิ่งแรกที่เริ่มทำในตอนนั้นคือการค้นคว้าเพื่อหาข้อมูลให้ได้มากที่สุดก่อนที่จะออกไปค้นหาความจริงในภาคสนาม ซึ่งผู้เขียนใช้เวลาศึกษาค้นคว้าทางด้านเอกสารข้อมูลอยู่เกือบ ๑ ปี จนถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๑ จึงได้เริ่มทำการศึกษาภาคสนามโดยตั้งใจว่าจะเริ่มจากผู้จำอดีตชาติได้รายแรกคือ นายเทเวศน์ เรียบสัมพันธ์ ที่อ้างว่าเป็นน้าของผู้เขียนสืบชาติมาเกิด แต่ตอนนั้นครอบครัวของนายเทเวศน์ได้ย้ายไปทำงานและพำนักอยู่ที่จังหวัดอื่น ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้าน ผู้เขียนจึงออกหาเบาะแสข้อมูลของผู้จำอดีตชาติได้รายอื่นๆในหมู่บ้าน
ปรากฏว่าได้พบเบาะแสเบื้องต้นว่ามีผู้จำอดีตชาติได้เป็นจำนวนมาก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่รวมแล้วมากกว่า ๔๐ ราย ซึ่งข้อมูลที่ได้มีทั้งข้อมูลที่เปิดเผยโดยทั่วไปและไม่เปิดเผย เนื่องจากผู้จำอดีตชาติได้บางรายพูดถึงอดีตชาติที่เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม การกระทำผิดกฎหมายหรือการกระทำที่ผิดศีลธรรม ซึ่งผู้ปกครองและผู้ใกล้ชิดเกรงว่าถ้าเรื่องราวถูกเปิดเผยออกไปจะก่อให้เกิดความอับอาย เกิดความเสียหาย หรือเกิดอันตรายกับผู้ที่จำอดีตชาติได้และครอบครัว แต่ด้วยความไว้วางใจว่าผู้เขียนเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน และเห็นแก่ประโยชน์ที่จะได้จากการเผยแพร่เรื่องราวเหล่านี้ ผู้ปกครองของเด็กที่จำอดีตชาติได้จึงยอมเปิดเผยเรื่องราวด้วยความสมัครใจ ตอนนั้นผู้เขียนต้องเดินทางไปกลับระหว่างกรุงเทพฯกับบ้านเกิดที่หมู่บ้านตะคร้ออยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๑ เพื่อสัมภาษณ์และเก็บข้อมูลจากผู้ที่จำอดีตชาติได้ คนใกล้ชิด พยานบุคคล และพยานหลักฐานแวดล้อมที่เกี่ยวข้องต่างๆ จนได้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง และเมื่อนำกรณีศึกษาทั้งหมดมาวิเคราะห์ ก็พบรูปแบบความสัมพันธ์ที่น่าสนใจระหว่างอดีตชาติและปัจจุบันชาติเกี่ยวกับ ความฝันบอกเหตุ การป้ายศพ ปาน รอยแผลเป็นที่มีมาตั้งแต่กำเนิด และลักษณะความผิดปกติที่สืบเนื่องจากอดีตชาติ ซึ่งท่านจะได้ทราบจากเรื่องราวของผู้จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ ราย ในหนังสือเล่มนี้