เด็กชายนพพร ใจเร็ว

ข้อมูลเบื้องต้น

กรณีของ เด็กชายนพพร ใจเร็ว

ปัจจุบันชาติ

ชื่อนามสกุล : เด็กชายนพพร ใจเร็ว ชื่อเล่น : ปิง

วันเดือนปีเกิด : ๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๘

ความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิด : มีรอยแผลเป็นที่บริเวณข้างศีรษะด้านบนซ้ายค่อนไปทางด้านหลัง 3 รอย

มีติ่งเนื้อคล้ายเนื้องอกในปากบริเวณกระพุ้งแก้มด้านขวาหนึ่งแห่งและใบหู

ด้านขวาพับเข้าผิดปกติเมื่อตอนแรกเกิด(เมื่อโตขึ้นกลับเป็นปกติ ทั้งสองแห่ง)

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน :๑๕๔/๒ หมู่ ๑๔ ตำบลตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์

พี่น้องร่วมบิดามารดา : มี ๒ คนคือ

๑. เด็กชายศิลาพรรณ ใจเร็ว

๒. เด็กชายนพพร ใจเร็ว

อดีตชาติ

ชื่อ-นามสกุล : นายแจ่ม มีสินทรัพย์ ชื่อเล่น : แจ่ม

วันเดือนปีเกิด : -พ.ศ.๒๔๙๔

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : ๕๔/๑ หมู่ ๑๖ ตำบลตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์

พี่น้องร่วมบิดามารดา : มี ๙ คน คือ

๑. นางต๋อย บัวลอย ๖. นายขจร มีสินทรัพย์

๒. นายดำ มีสินทรัพย์ ๗. นายสำรอง มีสินทรัพย์

๓. นางต๋ง อะวิสุ ๘. นางเนี๊ยะ หงษ์ทอง

๔. นางติ๋ว โพธิ์พินิจ ๙. นางเน๊าะ สุขโภชน์

๕. นายแจ่ม มีสินทรัพย์ (เสียชีวิต)

วันเดือนปีที่เสียชีวิต : -พ.ศ.๒๕๑๖ ขณะอายุได้ : ๒๒ ปี

สาเหตุที่เสียชีวิต : ถูกคนร้ายซุ่มยิง

บาดแผลที่ทำให้เสียชีวิต : มีบาดแผลจากกระสุนปืนบริเวณปากและใบหน้าด้านขวากระสุน

ทะลุศีรษะด้านหลัง ใบหูข้างขวาขาด

สถานที่เสียชีวิต : บนบ้านของนางต๋งพี่สาว

เด็กชายนพพร ใจเร็ว จำอดีตชาติได้

เด็กที่จำอดีตชาติได้ในหมู่บ้านของผู้เขียนรายนี้มีชื่อว่า เด็กชายนพพร ใจเร็ว เป็นบุตรคนที่สองของ นายทวน และ นางปอ ใจเร็ว ขณะที่ผู้เขียนไปสัมภาษณ์ครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๒ เขาอายุได้ ๘ ขวบ กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.๒ โรงเรียนจิตศรัทธาวิทยานุสรณ์ ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนแห่งเดียวในหมู่บ้าน

สำหรับข้อมูลการจำอดีตชาติได้ของเด็กชายนพพรนี้ มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดและการฆาตกรรม ซึ่งการนำเสนอข้อมูลบางส่วนอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ที่เกี่ยวข้องได้ ดังนั้นผู้เขียนจึงขอสงวนนามของผู้เกี่ยวข้องและข้อมูลบางส่วน เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด

เรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของเด็กชายนพพร ถูกเปิดเผยขึ้นขณะที่เขาอายุได้ประมาณสองขวบ กำลังหัดพูดยังพูดไม่ค่อยจะชัดถ้อยชัดคำนัก ตอนนั้นเขามักจะตื่นขึ้นมาร้องไห้กลางดึกอยู่บ่อยๆโดยไม่ทราบสาเหตุ นางปอผู้เป็นแม่พยายามปลอบอย่างไรเขาก็ไม่ยอมหยุดร้องไห้ง่ายๆ นางปอจึงได้แต่ดุปรามให้หยุดร้อง บางครั้งเขาก็ร้องไห้จนเหนื่อยและหลับไปเองเป็นอย่างนี้เสมอ จนกระทั่งเขาเริ่มพูดได้ชัดถ้อยชัดคำขึ้น คืนหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาร้องไห้กลางดึกบอกว่า “จะไปหาพ่อหาแม่” นางปอผู้เป็นแม่ก็ปลอบว่า “พ่อกับแม่อยู่นี่ไงลูก หนูจะไปหาพ่อแม่ที่ไหนล่ะลูก” เด็กชายนพพร ก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่ใช่พ่อแม่นี้ ผมจะไปหา พ่อเอก แม่ตี่” นายทวนและนางปอได้ยินบุตรชายพูดอย่างนั้นก็รู้สึกสงสัยว่าบุตรชายของพวกเขาจะจำอดีตชาติได้หรือไม่ เพราะพ่อเอกแม่ตี่ที่เด็กชายนพพร พูดถึงนั้น พวกเขาก็พอจะรู้จักเนื่องจากเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน

ตอนนั้นนายทวนและนางปอนึกถึงรอยแผลเป็นที่มีมาตั้งแต่กำเนิดของเด็กชายนพพรขึ้นมาทันที เพราะเมื่อตอนแรกเกิดนั้นเด็กชายนพพรมีร่องรอยความผิดปกติหลายแห่ง คือเขามีรอยแผลเป็นที่บริเวณข้างศีรษะด้านบนซ้ายค่อนไปทางด้านหลัง ๓ แห่ง (ข้อมูลจากการตรวจสอบโดยละเอียดล่าสุดเมื่อเดือน กันยายน ๒๕๕๒ ตามภาพถ่ายด้านล่าง) มีติ่งเนื้อคล้ายเนื้องอกในปากบริเวณกระพุ้งแก้มด้านขวาหนึ่งแห่ง และใบหูด้านขวาพับเข้าผิดปกติคล้ายกับคนหูขาด ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในหมู่บ้านของผู้เขียนว่า ผู้ที่มีลักษณะร่องรอยความผิดปกติเช่นรอยแผลเป็นตั้งแต่กำเนิดแบบนี้มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคนที่เสียชีวิตไปแล้วสืบชาติมาเกิด และส่วนใหญ่เด็กที่เกิดมาก็มักจะจำอดีตชาติได้ด้วย นอกจากนี้พวกเขายังนึกถึงความฝันของ นางลำพอง พัตตาสิงห์ เพื่อนบ้านคนหนึ่งที่เคยมาเล่าให้ฟัง ตั้งแต่เมื่อครั้งที่นางปอเพิ่งคลอดเด็กชายนพพรใหม่ๆว่า มีอยู่คืนหนึ่งนางลำพองฝันไปว่ามีผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งมาบอกว่า “ช่วยไปบอกกับนางปอด้วยว่าลูกของนางปอที่กำลังจะเกิดมานั้น เป็นคนอื่นมาเกิด และถ้าเขาเกิดมาแล้วอย่าเพิ่งให้กินไข่ ถ้ากินแล้วเขาจะไม่พูดให้รู้”ซึ่งนางลำพองเองก็ไม่เคยรู้จักผู้ชายในฝันมาก่อน ตอนที่นางลำพองฝันนั้นนางปอกำลังตั้งท้องเด็กชายนพพรได้ประมาณ ๘-๙ เดือนใกล้คลอด ทีแรกนางลำพองก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะคิดว่าเป็นความฝันธรรมดา และไม่ทราบว่านางปอตั้งท้องเพราะไม่ค่อยสนิทกัน ต่อมาเมื่อนางลำพองทราบว่านางปอคลอดลูก จึงมาเล่าความฝันในครั้งนั้นให้นางปอฟังหลังจากที่นางปอคลอดเด็กชายนพพรไม่นาน

นางปอ , ด.ช.นพพร , นายทวน

คืนนั้นนายทวนและนางปอรู้สึกสงสัย และอยากรู้ว่าจะใช่อย่างที่พวกเขาคิดหรือไม่ จึงถามย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า “หนูเป็นใครมาเกิดล่ะลูก แล้วพ่อแม่หนูชื่ออะไร” เด็กชายนพพรก็ตอบว่า “ผมเป็นไอ้แจ่ม พ่อผมชื่อเอก แม่ผมชื่อตี่” นายทวนและนางปอกล่าวว่า ตอนนั้นพวกตนรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของบุตรชายมากและคิดว่าเขาคงจะจำอดีตชาติได้ หลังจากคืนนั้นพวกตนก็พยายามสอบถามเกี่ยวกับเรื่องราวอดีตชาติของเด็กชายนพพรอีกหลายครั้ง ซึ่งเขาก็ตอบคำถามและเล่าถึงอดีตชาติของเขาให้ฟังพอสรุปความได้ว่า

ชาติก่อนเขามีชื่อว่า นายแจ่ม เป็นบุตรของ นายเอกและนางตี่ เขาถูกคนร้าย ๒ คน ยิงขณะนั่งกินข้าวอยู่คนเดียวบนบ้านของนางต๋งพี่สาว(เขาบอกชื่อของคนร้ายทั้ง ๒ คนด้วย) คืนนั้นเขา(นายแจ่ม)ไปชมภาพยนตร์กับนางเนี๊ยะน้องสาวที่วิกของนางไสวในหมู่บ้าน แล้วกลับมาจุดตะเกียงนั่งกินข้าวกับหน่อไม้ต้มและยอดฟักทองต้มจิ้มน้ำพริกบนบ้านของนางต๋งพี่สาว กำลังจะอิ่มคำสุดท้ายพอดี ก็ได้ถูกคนร้าย ๒ คน ซุ่มยิงจากใต้ถุนบ้าน กระสุนถูกบริเวณปากและใบหน้าด้านขวาทะลุด้านข้างศีรษะเยื้องไปทางด้านหลัง เขาล้มฟุบลงขาดใจตายทันที

หลังจากที่เขาตายไปแล้วเขาเห็นว่าคนร้ายทั้ง ๒ คนเป็นใครและวิ่งหนีไปทางไหน หลังจากนั้นเขาก็ได้ไปอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเขาเองก็ไม่ทราบว่าเป็นที่ไหนแต่มีบ้าน มีผู้คนอยู่กันมาก บางคนแต่งตัวดี มีบ้านหลังใหญ่ มีบริวารคอยรับใช้ และมีอาหารการกินเพียบพร้อม แต่ตัวเขาเองมีเนื้อตัวที่สกปรกมอมแมม ใส่เสือผ้าเก่าๆขาดๆ อาศัยอยู่ในห้องแถวเก่าๆสกปรกและไม่มีอาหารกิน เวลาหิวก็ต้องแอบไปขโมยอาหารของคนอื่นมากิน เขาจับได้ก็นำตัวไปขังล่ามโซ่ไว้ให้อดข้าวอดน้ำทั้งหิวทั้งทรมาน เมื่อเขาปล่อยออกมาก็ออกไปหากินตามวัดในงานบุญหรืองานศพแต่ก็แย่งเขาไม่ทันเพราะมีคนแย่งกันเยอะ บางครั้งเขาก็เที่ยวหากินข้าวสุกและอาหารที่มีคนนำมาไว้ให้ตามตอไม้หรือที่ต่างๆที่ไม่ระบุผู้รับแต่ก็แย่งไม่ทันพวกนกกับพวกสุนัขอีก จึงต้องไปหากินเศษอาหารที่เขาเททิ้งตามบ้านเรือน ความเป็นอยู่ในขณะนั้นแสนจะลำบากและทรมาน ตอนนั้นเขาคิดถึงนางตี่แม่ของเขามาก แต่มาหาไม่ได้เขาไม่ให้มา จนกระทั่งมาพบแม่(นางปอ)ไปเลี้ยงวัวในป่าคนเดียวนึกชอบจึงเกาะหลังมา จากนั้นก็หมดสติไป รู้สึกตัวอีกทีก็มาเกิดกับนางปอแม่ในปัจจุบันชาติแล้ว

เด็กชายนพพร พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนายแจ่มโดยเฉพาะเหตุการณ์ในวันที่นายแจ่มเสียชีวิตได้อย่างละเอียด เหมือนกับว่าเขาได้ประสบเหตุการณ์ในครั้งนั้นด้วยตัวของเขาเองจริงๆ และยังเล่าถึงชีวิตในสภาวะหนึ่งหลังจากที่เขาเสียชีวิตให้ฟังอย่างน่าสนใจ ซึ่งตอนนั้นนายทวนและนางปอยังไม่ทราบรายละเอียดของเหตุการณ์ในวันที่นายแจ่มเสียชีวิตมาก่อน พวกเขาเคยทราบแต่เพียงว่านายแจ่มบุตรชายของนายเอกและนางตี่เพื่อนบ้าน ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อนเท่านั้น จึงยังไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์ที่เด็กชายนพพรเล่าให้ฟังนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่ แต่ก็รู้สึกแปลกใจที่ เด็กชายนพพรรู้จักชื่อของนายแจ่ม นายเอก นางตี่ นางต๋ง นางเนี๊ยะ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านได้อย่างไรทั้งๆ ที่เขาไม่เคยพบหรือเคยรู้จักกับคนเหล่านี้มาก่อนเลย

พบกับพี่สาวในอดีตชาติ

หลังจากที่เด็กชายนพพรพูดถึงอดีตชาติของเขาให้นายทวนและนางปอฟังได้ไม่นาน วันหนึ่งนางปอได้พาเด็กชายนพพรไปซื้อของใช้ที่ตลาดนัดวัดใหญ่ในหมู่บ้านและได้พบกับ นางต๋อย บัวลอย พี่สาวของนายแจ่มโดยบังเอิญ เมื่อเด็กชายนพพรมองเห็นนางต๋อยก็ตะโกนเรียกว่า “อีต๋อย” ส่วนนางต๋อยไม่เคยพบหรือรู้จักกับเด็กชายนพพรมาก่อนก็รู้สึกงง ว่าเด็กคนนี้เป็นลูกใครทำไมมาเรียกเธอว่า “อี” และรู้จักชื่อของเธอได้อย่างไร เมื่อเห็นนางต๋อยยืนงงอยู่เด็กชายนพพรก็พูดขึ้นมาว่า “จำไม่ได้หรือกูไอ้แจ่มไง” นางต๋อยได้ยินก็ยิ่งรู้สึกงงมากขึ้น นางปอจึงบอกกับนางต๋อยว่าเด็กชายนพพรเคยบอกว่าเขาเป็นนายแจ่มน้องชายของนางต๋อยสืบชาติมาเกิด นางต๋อยรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดและการแสดงออกของเด็กชายนพพรมาก แต่วันนั้นไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก เนื่องจากผู้คนพลุกพล่านและต่างคนต่างก็จะรีบกลับบ้าน

พบกับพ่อแม่ในอดีตชาติครั้งแรก

หลังจากวันที่ได้พบกับนางต๋อยพี่สาวของนายแจ่ม เด็กชายนพพรก็ร้องไห้อ้อนวอนขอให้นายทวนและนางปอพาไปหานายเอกและนางตี่พ่อแม่ในอดีตชาติบ่อยมากขึ้น นายทวนและนางปอก็รู้สึกสงสารบุตรชายแต่ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีเวลาว่างจึงยังไม่ได้พาไป อีกอย่างหนึ่งพวกเขาก็ไม่ทราบว่าบ้านของนายเอกและนางตี่อยู่ที่ไหนกันแน่ ต่อมาเมื่อพวกเขาว่างจากการงานจึงตัดสินใจพาเด็กชายนพพรไปพบกับนายเอกและนางตี่พ่อแม่ในอดีตชาติที่บ้าน ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของพวกเขาไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๑ กิโลเมตร

วันนั้นเด็กชายนพพรดีใจมากชี้มือบอกทางนายทวนและนางปอไปอย่างคุ้นเคย จนกระทั่งมาถึงบริเวณที่เคยเป็นทางเข้าบ้านของนายเอกและนางตี่ เด็กชายนพพรมองหาทางเข้าบ้านไม่พบเขามีท่าทางงงๆ และรำพึงรำพันเบาๆ ว่า “ใครมันมาสร้างบ้านปิดทางเดินว๊ะ” นายทวนและนางปอก็ไม่ทราบเช่นกัน ทราบแต่เพียงว่าบ้านของนายเอกและนางตี่อยู่บริเวณนั้น แต่ไม่ทราบแน่นอนว่าเป็นหลังไหน จึงปล่อยให้เด็กชายนพพรเป็นผู้นำไป เด็กชายนพพรบอกกับนายทวนและนางปอว่า “แต่ก่อนทางเข้าบ้านผมอยู่ตรงนี้ ไม่รู้มันหายไปไหน เดี๋ยวลองไปดูทางโน้นก่อน” เด็กชายนพพร พานายทวนและนางปอเดินต่อไปอีกประมาณ ๒๐ เมตร ก็พบทางเข้าบ้านของนายเอกและนางตี่ เด็กชายนพพรเดินนำหน้าไปอย่างคุ้นเคยทั้งๆที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก

เมื่อมาถึงบริเวณบ้านของนางต๋งพี่สาวของนายแจ่มซึ่งอยู่ติดกันกับบ้านของนายเอกและนางตี่ เด็กชายนพพรชี้ให้นายทวนและนางปอดูบ้านหลังนั้นแล้วบอกว่า “เขายิงผมตายบนบ้านหลังนี้แหละ” นายทวนและนางปอก็ได้แต่มองดู เพราะไม่ทราบว่าบ้านหลังนั้นเป็นบ้านของใคร เมื่อมาถึงหน้าบ้านของนายเอกและนางตี่ เด็กชายนพพรมีท่าทางงงๆอีกครั้ง แล้วพูดว่า “ แต่ก่อนบ้านผมอยู่ตรงนี้นี่นา ” จากนั้นก็พานายทวนและนางปอขึ้นไปบนบ้าน ขณะนั้นนายเอกและนางตี่กำลังนั่งกินข้าวกันอยู่

ทันทีที่เห็นนางตี่ เด็กชายนพพรเรียกนางตี่ว่า “แม่” แล้วตรงเข้าไปนั่งบนตักของนางตี่อย่างคุ้นเคยและเรียกนายเอกว่า “พ่อ” นายเอกและนางตี่ก็พอจะทราบข่าวการจำอดีตชาติได้ของเด็กชายนพพรมาบ้างแล้ว จากคำบอกเล่าของนางต๋อยพี่สาวของนายแจ่ม ซึ่งเด็กชายนพพรเคยทักทายขณะพบกันโดยบังเอิญที่ตลาดนัดในหมู่บ้าน พวกเขารู้สึกดีใจและได้สอบถามเด็กชายนพพรเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตของนายแจ่มหลายเรื่องหลายเหตุการณ์ เพื่อพิสูจน์ว่าเด็กชายนพพรคือนายแจ่มบุตรชายของพวกเขาสืบชาติมาเกิดใหม่จริงหรือไม่

นายเอก , นางตี่

ซึ่งเด็กชายนพพรก็สามารถตอบคำถามของพ่อแม่และญาติพี่น้องของนายแจ่มได้ถูกต้องทั้งหมด เขาสามารถบอกชื่อของพ่อแม่และญาติพี่น้องของนายแจ่มได้ สามารถบอกชื่อสถานที่ต่างๆได้ เช่น เรียกบริเวณบ้านในอดีตชาติว่า “โคกสนวน” เหมือนที่ชาวบ้านเคยใช้เรียกและชี้บริเวณที่เคยมีต้นสนวนอยู่ได้ ทั้งๆที่ต้นสนวนต้นนั้นถูกโค่นไปก่อนหน้านั้นนับสิบปีแล้ว นอกจากนี้เขายังเล่าถึงเหตุการณ์ในคืนวันที่นายแจ่มถูกยิงเสียชีวิตให้ฟังโดยละเอียด เหมือนกับที่เคยเล่าให้นายทวนและนางปอฟัง และเล่าเหตุการณ์เพิ่มเติมว่า หลังจากที่เขาตายไปแล้วเขาได้เห็นว่าคนร้ายทั้ง สองคนเป็นใคร ชื่ออะไร และวิ่งหนีไปทางไหน “แต่พวกมันตายไปแล้ว สมน้ำหน้ามันอยากยิงผม” เด็กชายนพพรพูดอย่างสะใจ

นายทวนและนางปอสอบถามพ่อแม่และพี่น้องของนายแจ่มว่า เหตุการณ์ที่เด็กชายนพพรพูดมานั้นเป็นความจริงหรือไม่ ก็ได้รับคำยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เด็กชายนพพรเล่าให้ฟังนั้นเป็นความจริงทั้งหมด ทั้งชื่อสถานที่ที่นายแจ่มไปชมภาพยนตร์ก่อนจะกลับมาถูกยิงเสียชีวิต คือ วิกนางไสว สถานที่ที่ถูกยิงเสียชีวิตคือบ้านของนางต๋งพี่สาว กับข้าวที่นายแจ่มกินก่อนถูกยิงคือ หน่อไม้ต้ม ยอดฟักทองต้ม จิ้มน้ำพริก ชื่อของคนร้ายทั้งสองคนที่ยิงนายแจ่ม ทิศทางที่คนร้ายทั้งสองคนวิ่งหนีไป และที่สำคัญเขาบอกว่าคนร้ายทั้งสองคนเสียชีวิตไปแล้วซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ คนร้ายทั้งสองคนนั้นถูกคนอื่นยิงเสียชีวิตไปแล้วเช่นเดียวกัน หลังจากหลบหนีไปได้หลายเดือน

นายทวนและนางปอ ได้เล่าถึงคำพูดและการแสดงออกของเด็กชายนพพรเมื่อสักครู่ก่อนหน้าที่จะเข้ามาในบ้านให้พ่อแม่และพี่น้องของนายแจ่มฟัง ทุกคนต่างพากันหัวเราะชอบใจเพราะทางเข้าบ้านทางเดิมที่เด็กชายนพพรพูดถึงว่า “ใครมันมาสร้างบ้านปิดทางเดิน” นั้น แต่ก่อนเคยมีอยู่จริงแต่ปัจจุบันนี้ได้ถูกเจ้าของที่สร้างบ้านเรือนปิดทางไปหมดแล้ว จึงเปลี่ยนมาใช้ทางใหม่ในปัจจุบันแทน และบ้านหลังที่เด็กชายนพพรชี้ให้ดูก็คือบ้านของนางต๋งพี่สาวคนหนึ่งของนายแจ่ม ซึ่งเป็นสถานที่ที่นายแจ่มถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตจริง ส่วนสาเหตุที่เด็กชายนพพรมองเห็นบ้านในอดีตชาติของเขาแล้วทำท่างงๆก็เพราะว่า แต่ก่อนในสมัยที่นายแจ่มยังมีชีวิตอยู่บ้านหลังนี้ไม่ได้เป็นแบบนี้ เพิ่งมาเปลี่ยนแปลงภายหลังโดยรื้อส่วนที่เป็นหน้าบ้านออกเหลือแต่ส่วนของหลังบ้านเท่าที่เห็นในปัจจุบันนี้นั่นเอง

จากการพิสูจน์และสอบถามในครั้งนั้น ทำให้พ่อแม่ญาติพี่น้องของนายแจ่มและพ่อแม่ของเด็กชายนพพรเชื่อว่า เด็กชายนพพรคือนายแจ่ม มีสินทรัพย์ สืบชาติมาเกิดใหม่จริง และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเด็กชายนพพรก็ไปมาหาสู่กับพ่อแม่ในอดีตชาติของเขาอยู่เสมอ

เหตุการณ์วันที่เสียชีวิต

นางเนี๊ยะน้องสาวของนายแจ่ม เล่าถึงเรื่องราวชีวิตของนายแจ่มและเหตุการณ์ในคืนวันที่นายแจ่มเสียชีวิตให้ฟังว่า นายแจ่มพี่ชายของเธอ เกิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๔ เป็นบุตรคนที่ ๕ ของครอบครัว ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด ๙ คน

นางเนี๊ยะ หงษ์ทอง

นายแจ่มเคยมีภรรยาชื่อ นางไสว(เหวียว) บัณฑิตย์ แต่แยกทางกันไปก่อนที่นายแจ่มจะเสียชีวิตไม่นานมีบุตรด้วยกัน ๒ คน คือ นายจอมและนายจันทร์ มีสินทรัพย์

หลังจากที่นายแจ่มแยกทางกับภรรยา นายแจ่มได้บวชเป็นพระอยู่ที่วัดชุมพล(วัดใหญ่) ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ในหมู่บ้าน เขาครองเพศบรรพชิตได้ไม่นานก็สึก ก่อนที่จะสึกนายแจ่มได้ให้ พระครูนิมิตโพธิวัตร(หลวงพ่อโพธิ์) เจ้าอาวาสวัดท่านดูฤกษ์สึกให้ หลวงพ่อท่านตรวจดูฤกษ์ให้แล้วปรากฏว่ายังไม่มีฤกษ์สึกถ้าสึกไปจะมีเคราะห์ แต่ด้วยความใจร้อนนายแจ่มยืนยันที่จะสึกให้ได้ หลวงพ่อท่านเห็นว่าทัดทานไม่ได้จึงทำพิธีสึกให้ แต่มีเงื่อนไขว่านายแจ่มต้องนอนค้างที่วัด ๓ คืน หลังจากนั้นค่อยกลับไปอยู่ที่บ้าน

แต่นายแจ่มนอนที่วัดได้เพียง ๒ คืน คืนที่ ๓ มีภาพยนตร์มาล้อมผ้าปิดวิกที่ลานบ้านของนางไสวคนในหมู่บ้านซึ่งชาวบ้านมักจะเรียกกันว่า “วิกนางไสว” นายแจ่มได้เข้าชมภาพยนตร์พร้อมกับเธอและญาติๆ หลังภาพยนตร์เลิกนายแจ่มได้แยกเข้าไปที่วัด ส่วนเธอและญาติๆเดินกลับบ้านไปก่อน คืนนั้นหลวงพ่อท่านได้ยินเสียงนายแจ่มเข้ามาในกุฏิและกำลังจะออกไป จึงออกมาบอกให้นายแจ่มนอนที่วัด แต่ด้วยชะตาถึงฆาตหรืออย่างไรไม่ทราบ นายแจ่มบอกกับหลวงพ่อว่าเขาคิดถึงแม่อยากกลับไปนอนที่บ้าน หลวงพ่อท่านพยายามทัดทานไว้ แต่นายแจ่มยังยืนยันที่จะกลับไปนอนที่บ้านให้ได้ หลวงพ่อท่านเห็นว่าทัดทานไม่ได้จึงปล่อยให้กลับไป

นางเนี๊ยะเล่าให้ฟังต่อไปว่า เมื่อเธอกลับมาถึงบ้านได้สักครู่นายแจ่มก็เดินตามมา ตอนนั้นเธอยังไม่ได้เข้านอน เมื่อนายแจ่มมาถึงก็ยังไม่ขึ้นบ้าน แต่ได้แวะขึ้นไปกินข้าวบนบ้านของนางต๋งพี่สาวซึ่งอยู่ติดกัน หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นติดต่อกัน ๒-๓ นัด เสียงปืนดังมาจากทางบ้านของนางต๋ง ตอนนั้นเธอนึกถึงนายแจ่มพี่ชายขึ้นมาทันที จึงตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจว่า “เขายิงพี่ทิด ๆ” ทั้งๆที่ยังไม่ทราบว่าใครถูกยิง พ่อของเธอและญาติๆที่อยู่ข้างบ้านได้ยินเสียงปืนและเสียงตะโกนก็พากันคว้าปืนวิ่งไปยังบ้านของนางต๋งทันที พ่อของเธอและญาติๆวิ่งติดตามคนร้ายไป ส่วนเธอได้วิ่งขึ้นไปบนบ้านของนางต๋งพี่สาวและได้พบนายแจ่มพี่ชายถูกยิงบริเวณใบหน้าด้านขวาทะลุศีรษะด้านหลังใบหูข้างขวาขาดเสียชีวิตคาสำรับกับข้าว ตอนนั้นเธอยังไม่ทราบว่าคนร้ายเป็นใครและมีกี่คน ต่อมาจึงได้ทราบจากเพื่อนบ้านที่พบเห็นคนร้ายขณะกำลังวิ่งหนีไปในคืนนั้นว่าคนร้ายที่ยิงพี่ชายของเธอมี ๒ คน ซึ่งเป็นคนที่ชาวบ้านรู้จักกันดี นายแจ่มพี่ชายของเธอเสียชีวิตเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๖ ขณะอายุได้ ๒๒ ปี ตอนนั้นเธอและครอบครัวเสียใจมาก เธอยังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นได้ดี ถึงแม้เวลาจะผ่านมานานหลายปีแล้วก็ตาม

พบกับภรรยาและลูกในอดีตชาติ

นางปอแม่ของเด็กชายนพพรเล่าให้ฟังว่า มีครั้งหนึ่งเธอและเด็กชายนพพรได้มารอรถโดยสารที่ท่ารถตะคร้อ-ไพศาลี เด็กชายนพพรมองเห็น นางไสว(เหวียว) บัณฑิตย์ อดีตภรรยาของนายแจ่ม ซึ่งขายกาแฟอยู่บริเวณท่ารถ ก็ชี้มือบอกกับเธอว่า “แม่ๆ...นั่นเมียผมสวยไหม” เธอทราบความหมายที่เขาพูดดีและพยายามปรามไม่ให้เขาพูด แต่เด็กชายนพพรก็พูดขึ้นมาอีกว่า “เมียผมจริงๆนะแม่” เพื่อนบ้านที่อยู่บนรถต่างพากันประหลาดใจกับคำพูดของเด็กชายนพพร หลังจากวันนั้นเด็กชายนพพรก็พูดถึงนางไสวอยู่บ่อยๆ มีครั้งหนึ่งเขาเห็นนายยิ้ม สามีคนใหม่ของนางไสว ขับรถโดยสารผ่านหน้าบ้านก็บอกกับเธอว่า “แม่นั่นรถเมียผม เอ๊ย ไม่ใช่! รถผัวเมียผม”

นางไสว(เหวียว) บัณฑิตย์ อดีตภรรยาของนายแจ่มเล่าให้ฟังว่ามีครั้งหนึ่งเธอเห็นเด็กชายนพพรยืนมองเธอและทำท่าอายๆจึงอุ้มเด็กชายนพพรขึ้นมา ขณะที่เธออุ้มเด็กชายนพพรอยู่นั้น เด็กชายนพพรใช้มือลูบไล้ใบหน้าของเธอและมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ เธอจึงแกล้งดุแล้ววางลง เด็กชายนพพรแสดงอาการเขินอายหน้าแดง ความจริงตอนนั้นเธอเองก็พอทราบข่าวที่เด็กชายนพพรพูดถึงอดีตชาติของเขาว่าเป็นนายแจ่มสืบชาติมาเกิดมาบ้างแล้ว ทีแรกก็ไม่ค่อยเชื่อนักแต่เมื่อได้มาพบกับตัวเองก็รู้สึกเชื่อขึ้นมาบ้างเหมือนกัน นางไสวกล่าว

นอกจากภรรยาในอดีตชาติแล้วบุตรชายทั้งสองคนของนายแจ่ม คือ นายจอมและนายจันทร์ มีสินทรัพย์ ก็เคยไปพบกับเด็กชายนพพรที่บ้าน วันนั้นเมื่อเด็กชายนพพรเห็นนายจอมกับนายจันทร์เดินมาก็พูดว่า “นั่นไอ้จอมไอ้จันทร์ลูกกูนี่หว่า...แต่ทำไมลูกถึงตัวใหญ่กว่าพ่อได้” เด็กชายนพพรเรียกชื่อของนายจอมและนายจันทร์ได้ถูกต้องทั้งๆที่เพิ่งเคยพบกันเป็นครั้งแรก และยังบอกด้วยว่า นายจอมและนายจันทร์เป็นลูกของเขา ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเขาจะจำลูกชายทั้งสองคนได้เพราะเมื่อครั้งที่นายแจ่มถูกยิงเสียชีวิตนั้น นายจอมอายุประมาณ ๒ ขวบและนายจันทร์อายุประมาณ ๑ ขวบ เท่านั้น

พูดและแสดงออกถึงความทรงจำในอดีตชาติ

เด็กชายนพพรได้พูดและแสดงออกถึงความทรงจำในอดีตชาติของเขากับหลายบุคคล เท่าที่รวบรวมได้มีดังนี้

จำนางเน๊าะน้องสาวได้....มีครั้งหนึ่งนางเน๊าะน้องสาวคนหนึ่งของนายแจ่มได้พบกับ เด็กชายนพพรเป็นครั้งแรกนางเน๊าะถาม เด็กชายนพพรว่า “น้าชื่ออะไร รู้จักหรือเปล่า” เด็กชายนพพรตอบว่า “รู้จัก..อีเน๊าะ ทำไมกูจะไม่รู้จัก” นางเน๊าะเล่าให้ฟังว่ามีครั้งหนึ่งเธอเรียกเด็กชายนพพรว่า “หนูมานี่ซิ” เด็กชายนพพรเดินมาตบปากเธอบอกว่า “กูเป็นพี่มึงนะ” เด็กชายนพพรพูดเหมือนกับว่าเขาเป็นนายแจ่มพี่ชายของเธอจริงๆ นางเน๊าะกล่าว

ฝังระเบิดไว้ใต้โอ่ง....ครั้งหนึ่งเด็กชายนพพรมาเที่ยวเล่นที่บ้านของนายเอกและนางตี่ และเห็นนายอ้าย หงษ์ทอง สามีของนางเนี๊ยะนองสาวของนายแจ่มกำลังขุดร่องน้ำอยู่ข้างบ้าน เด็กชายนพพรบอกกับนายอ้ายว่า “ขุดไปเถอะระวังโดนลูกระเบิดที่กูฝังไว้นะ” นายอ้ายถามว่า “ฝังไว้ที่ไหน” เด็กชายนพพรตอบว่า “กูฝังไว้ใต้โอ่งใหญ่ อยู่แถวๆนั้นแหละ” ไม่มีใครทราบว่าระเบิดที่ เด็กชายนพพรพูดถึงนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ แต่บริเวณที่เด็กชายนพพรพูดถึงนั้นเมื่อก่อนขณะที่นายแจ่มยังมีชีวิตอยู่เคยมีโอ่งใบใหญ่อยู่ตรงนั้นจริงๆ

นายอ้าย หงษ์ทอง

เคยยืมเงินน้องชาย....มีครั้งหนึ่งนายทวนผู้เป็นพ่อพาเด็กชายนพพรไปธุระและบังเอิญผ่านบ้านของ นายขจร มีสินทรัพย์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๑๕ ตำบลตะคร้อ ซึ่งเป็นน้องชายของนายแจ่ม เด็กชายนพพรบอกกับนายทวนว่า “เดี๋ยวไปขอเงินไอ้จุ่นน้องกูกินขนมดีกว่า” นายจุ่นน้องชายของนายแจ่มกล่าวว่า เมื่อก่อนนี้บางนายแจ่มเคยมาขอเงินตนเหมือนกันเวลาที่ไม่มีเงินใช้ ซึ่งตนก็ให้ไปตามสมควร

ทักทายนางเฮี้ยง....มีครั้งหนึ่งเด็กชายนพพรได้พบกับ นางเฮี้ยง แสงจันทร์ คนในหมู่บ้านซึ่งเคยรู้จักคุ้นเคยกับนายแจ่มมาก่อนเด็กชายนพพรเรียกนางเฮี้ยงว่า“อีเฮี้ยง” นางเฮี้ยง ถามว่า “หนูเป็นใคร ทำไมมาเรียกป้าอย่างนี้” เด็กชายนพพร ตอบว่า “ก็กูเป็นไอ้แจ่มไง” เด็กชายนพพร รู้จักและเรียกชื่อของนางเฮี้ยงได้ถูกต้องทั้งๆที่ไม่เคยพบหรือรู้จักกันมาก่อน

ทักทายนายสมจิตร....มีครั้งหนึ่งเด็กชายนพพรเห็น นายสมจิตร ละมั่งทอง เพื่อนของนายแจ่มเดินมาตามทาง เด็กชายนพพรตะโกนเรียกนายสมจิตรอย่างคุ้นเคยว่า “ไอ้จิตรมึงจะไปไหน” นายสมจิตรไม่เคยพบหรือรู้จักกับเด็กชายนายนพพรมาก่อนก็รู้สึกตกใจ ไม่ทราบว่าเด็กชายนพพรคือใคร แต่ต่อมาเมื่อเขาทราบว่าเด็กชายนพพรคือนายแจ่มสืบชาติมาเกิดนายสมจิตรก็รู้สึกทึ่งกับการแสดงออกของเด็กชายนพพรเป็นอย่างมาก เพราะขณะยังมีชีวิตนายแจ่มกับตัวเขารู้จักและคุ้นเคยกันดี

เคยถูกกล่าวหา....ขณะยังมีชีวิตอยู่นายแจ่มเคยถูก นางเปราะ สุขโภชน์ คนในหมู่บ้านกล่าวหาว่าจะขโมยควาย เนื่องจากนางเปราะเห็นนายแจ่มเดินด้อมๆมองๆอยู่ใกล้ๆกับคอกควายของเธอจึงคิดว่านายแจ่มจะมาขโมยควาย ในครั้งนั้นนายแจ่มปฏิเสธ วันหนึ่งเด็กชายนพพรอยู่กับนางเน๊าะน้องสาวของนายแจ่ม เด็กชายนพพรมองเห็นนางเปราะเดินมาก็บอกกับนางเน๊าะว่า “เน๊าะพากูไปบ้านมึงที กูเกลียดไม่อยากเห็นหน้าคนๆนี้ มันหาว่ากูจะขโมยควายมัน กูไม่ได้จะไปขโมยซักหน่อย” เด็กชายนพพรพูดเหมือนกับว่าเขาเคยทราบเรื่องราวในครั้งนั้นมาก่อน

พบคู่หูต่างวัยในอดีตชาติ....นายโก้ พ่อสามีของนางเน๊าะน้องสาวของนายแจ่ม เป็นผู้ที่นายแจ่มคุ้นเคยสนิทสนมมากที่สุดคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะต่างวัยกันมากก็ตาม มีครั้งหนึ่งนายโก้ได้ขอให้นางเน๊าะลูกสะใภ้ไปขออนุญาตนายทวนและนางปอให้พาเด็กชายนพพรมาพบกับเขาที่บ้านเพื่อพิสูจน์ความจริงบางอย่าง เมื่อนายทวนและนางปออนุญาต นางเน๊าะก็ได้พาเด็กชายนพพรไปพบกับนายโก้ที่บ้าน

นางเน๊าะเล่าให้ฟังว่า วันนั้นเมื่อเธอพาเด็กชายนพพรมาถึงบริเวณบ้านของนายโก้ เด็กชายนพพรเดินนำหน้าเธอไปอย่างคุ้นเคย เมื่อถึงบริเวณหน้าบ้านเด็กชายนพพรก็ตะโกนเรียกนายโก้ว่า “ปู่” ซึ่งเป็นคำที่นายแจ่มใช้เรียกนายโก้ นายโก้ซึ่งรออยู่ก่อนแล้วก็ออกมาต้อนรับ ทันทีที่ได้พบกับนายโก้เด็กชายนพพรก็ร้องไห้วิ่งเข้าไปกอดนายโก้และบอกกับนายโก้ทั้งน้ำตาว่า “ผมคิดว่าจะเกิดไม่ทันปู่เสียแล้ว” เด็กชายนพพรแสดงความคุ้นเคยกับนายโก้เหมือนคนรู้จักคุ้นเคยกันมานาน ทั้งๆที่เพิ่งเคยพบกับนายโก้เป็นครั้งแรก นายโก้ถามเด็กชายนพพรว่า “หนูเป็นไอ้แจ่มมาเกิดจริงหรือเปล่า” เด็กชายนพพรตอบว่า “จริง” นายโก้ถามว่า “ถ้าหนูเป็นไอ้แจ่มจริง หนูจำได้ไหมว่าเคยไปทำอะไรที่ไหนกับปู่บ้าง” เด็กชายนพพรตอบว่า “จำได้..” เด็กชายนพพรพูดถึงเรื่องราวในอดีตที่นายแจ่มและนายโก้เคยทำอะไรที่ไหนกันบ้างให้นายโก้ฟัง นายโก้ได้ฟังเรื่องราวที่เด็กชายนพพรเล่าก็ถึงกับน้ำตาไหล เพราะสิ่งที่เด็กชายนพพรเล่าให้ฟังนั้นเป็นความจริง ซึ่งบางเรื่องเป็นเรื่องที่คนอื่นๆก็พอจะทราบ แต่บางเรื่องก็ไม่มีใครทราบมาก่อนนอกจากนายโก้กับนายแจ่มสองคนเท่านั้น

นายโก้ถามเด็กชายนพพรต่อไปว่า “ตอนที่ถูกยิงหนูกำลังทำอะไรอยู่” เด็กชายนพพรตอบว่า “ผมนั่งกินข้าวกำลังจะอิ่มพอดี ผมหันไปหยิบขันน้ำ พวกมันก็ยิงปังเข้านี่เลย” เด็กชายนพพรชี้ให้นายโก้ดูที่ใบหูด้านขวารอยแผลเป็นที่บริเวณศีรษะด้านหลังและติ่งเนื้อในช่องปาก นายโก้บอกให้เด็กชายนพพรจัดวาง ถ้วย จาน กะละมัง และขันน้ำให้เหมือนกับตอนที่นายแจ่มกำลังกินข้าวอยู่ให้ดู เด็กชายนพพรก็จัดให้ดู ซึ่งเขาจัดได้อย่างถูกต้องเหมือนกับที่นายโก้เห็นในวันที่นายแจ่มถูกยิง หลังจากนั้นก็แสดงท่าที่นายแจ่มนอนเสียชีวิตให้ดู เด็กชายนพพรนอนนิ่งอยู่นานจนกระทั่งนายโก้บอกให้พอเขาจึงลุกขึ้น

จากการพิสูจน์ในครั้งนั้นทำให้นายโก้ นางเน๊าะ และลูกๆของนายโก้ที่ร่วมพิสูจน์ในครั้งนั้นเชื่อว่าเด็กชายนพพรคือนายแจ่ม สืบชาติมาเกิดจริง

ความทรงจำที่ลบเลือน

เด็กชายนพพรพูดและแสดงออกถึงความทรงจำที่สืบเนื่องจากอดีตชาติของเขาให้กับหลายๆบุคคลได้ทราบ โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับการกระทำผิดของเขาในอดีตชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พ่อแม่ในอดีตชาติและพ่อแม่ในปัจจุบันชาติ รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก จึงพร้อมใจกันพาเด็กชายนพพรไปให้คนทรงเจ้าทำพิธีเสกน้ำมนต์ให้ดื่มถึงสองครั้ง เพื่อให้เขาลืมอดีตชาติโดยเร็ว แต่เขาก็ยังไม่ลืม ในการทำพิธีครั้งที่สองคนทรงให้เด็กชายนพพรรับปากและสัญญาว่าจะไม่พูดถึง อดีตชาติของเขาอีก ซึ่งเด็กชายนพพรรับปากแต่เขาก็ยังอดที่จะพูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติของเขาไม่ได้

ขณะผู้เขียนไปสัมภาษณ์เด็กชายนพพรลืมอดีตชาติของเขาไปมากแล้ว แต่ยังสามารถจำได้ว่าในอดีตชาติเขาชื่ออะไร พ่อแม่พี่น้องในอดีตชาติชื่ออะไรบ้าง ส่วนความทรงจำในส่วนอื่นๆ เด็กชายนพพรต้องใช้เวลาคิดอยู่นานจึงจะตอบได้ บางเรื่องบางเหตุการณ์เขาก็จำไม่ได้แล้ว

ผู้เขียนหวังว่าในอนาคตถึงแม้ว่าเด็กชายนพพรจะลืมอดีตชาติของเขาไปจนหมดสิ้น แต่ประจักษ์พยานต่างๆที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนี้ จะยังคงสืบสานเผยแพร่เรื่องราว ของเขาต่อไป อย่างน้อยก็เป็นหลักฐานหนึ่งที่ช่วยยืนยันได้ว่าชาติหน้ามีจริง เพื่อให้ผู้ที่กำลังประกอบกรรมดีและผู้ที่กำลังท้อแท้ในการประกอบกรรมดีได้มีกำลังใจและมั่นใจในผลแห่งกรรมดีนั้น หรืออย่างน้อยก็เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจ สำหรับผู้ที่กำลังประกอบกรรมชั่ว ผู้ที่กำลังประมาทว่ากรรมชั่วไม่ให้ผล ได้เกิดความละอายและเกรงกลัวต่อบาป เพื่อประโยชน์และความสุขของตนและผู้อื่นสืบไป

ร่องรอยแผลเป็นที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิด

นพพร ใจเร็ว

(ถ่ายเมื่อ เดือน กันยายน ๒๕๕๒)