เด็กชายพลวัฒน์ จุลโพธิ์

ข้อมูลเบื้องต้น

กรณีของ เด็กชายพลวัฒน์ จุลโพธิ์

ปัจจุบันชาติ

ชื่อ-นามสกุล : เด็กชายพลวัฒน์ จุลโพธิ์ ชื่อเล่น : มิกซ์

วันเดือนปีเกิด : ๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๓

ความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิด : ศีรษะยุบ มีรอยผื่นแดงเป็นจุดๆบริเวณใบหน้า มีปานดำอมเขียวจางๆ

ที่หน้าแข้งด้านขวา

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : ๗๔ หมู่ ๔ ตำบลตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์

พี่น้องร่วมบิดามารดา : ๒ คน คือ

๑. เด็กชายธีรพงษ์ จุลโพธิ์

๒. เด็กชายพลวัฒน์ จุลโพธิ์

อดีตชาติ

ชื่อ-นามสกุล : นายเหยย เทศศรี ชื่อเล่น : เหยย

วันเดือนปีเกิด : -

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : บ้านดงมะเกลือ อ.โคกเจริญ จ.ลพบุรี

พี่น้องร่วมบิดามารดา : ๓ คนคือ

๑. นายเหยียน เทศศรี

๒. นางม้วย(ง้วย) ไผ่ประการ

๓. นายเหยย เทศศรี

วันเดือนปีที่เสียชีวิต : ๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๓ ขณะอายุได้ : -

สาเหตุที่เสียชีวิต : ประสบอุบัติเหตุ ถูกรถบรรทุกสิบล้อชน

ลักษณะของศพ : กะโหลกศีรษะยุบ ใบหน้าเป็นรอยช้ำแดงเป็นจุดๆ

รอยป้ายศพ : ญาติได้ใช้ปูนแดงป้ายไปที่บริเวณหน้าแข้งด้านขวาของศพ

สถานที่เสียชีวิต : หน้าปั้มน้ำมัน ในตัวอำเภอโคกเจริญ จังหวัดลพบุรี

เด็กชายพลวัฒน์ จุลโพธิ์ จำอดีตชาติได้

เด็กที่จำอดีตชาติได้ในหมู่บ้านของผู้เขียนรายนี้ชื่อว่า เด็กชายพลวัฒน์ จุลโพธิ์ เป็นบุตรคนที่สองของ นายวิชัย และนางสมพร จุลโพธิ์ ขณะที่ผู้เขียนไปสัมภาษณ์ครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๒ เขาอายุได้ อายุ ๙ ขวบ เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนบ้านตะคร้อ(รัฐประชาชนูทิศ)

เด็กชายพลวัฒน์ จำอดีตชาติได้ว่าชาติก่อนเคยเกิดมาเป็น นายเหยย เทศศรี ซึ่งเป็นน้องชายของยายในปัจจุบันชาติของเขา เด็กชายพลวัฒน์พูดถึงความทรงจำในอดีตชาติเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่มีเรื่องราวเหตุการณ์ที่น่าสนใจอยู่หลายประการเกี่ยวกับการป้ายศพและสิ่งลี้ลับ ซึ่งผู้เขียนคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษาค้นคว้าในอนาคตต่อไป จึงได้นำข้อมูลเรื่องราวของเด็กชายพลวัฒน์มาเผยแพร่ไว้ในที่นี้ด้วย

นายเหยย เทศศรี เป็นน้องชายของ นางม้วย(ง้วย) ไผ่ประการ(เทศศรี) ยายของเด็กชายพลวัฒน์ มีภรรยาชื่อ นางหนูจิต เทศศรี มีบุตรด้วยกัน ๖ คนคือ

๑. นายประดิษฐ์ (สิน) เทศศรี ๔. นางเกศร(สอน) เทศศรี

๒. นางบุญเสริม (เสริม) เทศศรี ๕. นายบุญสม (สม) เทศศรี (เสียชีวิตแล้ว)

๓. นายสาย (สาย) เทศศรี ๖. นายเกษม (เสม) เทศศรี

นายเหยย เสียชีวิต เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๓ เนื่องจากถูกรถบรรทุกสิบล้อชนขณะกำลังเดินข้ามถนน

เหตุการณ์ในวันที่เสียชีวิต

นางม้วย ยายของเด็กชายพลวัฒน์เล่าถึงเหตุการณ์ในวันที่นายเหยยเสียชีวิตให้ฟังว่า ตอนเช้าของวันนั้น นายเหยย มีท่าทางง่วงซึมผิดปกติ พอสายหน่อยก็ออกไปแถกรุ่นข้าวโพดกับ นายเสม บุตรชาย(ใช้ผาลแถกรุ่นติดกับรถไถนาแบบเดินตาม) โดยนายเสมเป็นผู้ขับรถไถ ตอนนั้นข้อต่อผาลชำรุดทำให้ผาลส่ายไปมาโดนต้นข้าวโพดเสียหาย นายเหยยซึ่งยืนดูอยู่ก็ตะโกนบอกกับนายเสมว่า “เสมเอ๊ย มันแถกไม่ได้ก็หยุดเถอะ เดี๋ยวพ่อจะไปแล้ว” นายเสมไม่คิดว่านั่นจะเป็นคำพูดสุดท้ายของผู้เป็นพ่อ นายเหยยเดินถือกระติกน้ำมันออกจากไร่ไปเพื่อไปซื้อน้ำมันและข้อต่อรถไถ สักพักใหญ่ก็มีคนมาบอกกับนางหนูจิตว่านายเหยยถูกรถชน นางหนูจิตและลูกๆได้เดินทางไปยังที่เกิดเหตุ แต่ไม่พบนายเหยย เนื่องจากนายเหยยได้ถูกนำส่งโรงพยาบาลแล้ว นางหนูจิตและลูกๆ ได้ตามไปที่โรงพยาบาลแต่ยังไม่ทันถึงโรงพยาบาล ก็สวนทางกับรถที่นำนายเหยยส่งโรงพยาบาลจึงย้อนกลับมานายเหยยได้เสียชีวิตขณะนำส่งโรงพยาบาล

นางเกศร บุตรสาวคนหนึ่งของนายเหยยเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นเธอรู้สึกแปลกใจมากที่ศพของพ่อเธอไม่มีบาดแผลใดๆเลย ทั้งๆที่ผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้ฟังว่าพ่อของเธอถูกรถสิบล้อชนอย่างแรงขณะกำลังเดินข้ามถนน ร่างของพ่อเธอติดไปกับหน้ารถบรรทุกสิบล้อเป็นระยะทางไกลพอสมควร แรงกระแทกทำให้กระโหลกศีรษะพ่อของเธอแตกยุบลงไป แต่น่าแปลกใจที่พ่อของเธอไม่มีบาดแผลใดๆเลย นอกจากรอยช้ำแดงๆบริเวณใบหน้าที่ถูกรถสิบล้อที่ชนแล้วครูดไปกับพื้นลูกรังข้างถนนเท่านั้น

หลังจากนายเหยยเสียชีวิตได้ไม่นาน นางม่วย ลูกสะใภ้ของนายเหยยภรรยาของนายประดิษฐ์(สิน) ได้ใช้ปูนแดงป้ายไปที่ข้างหน้าแข้งด้านขวาของศพนายเหยยเป็นทางยาว และ ขณะที่ป้ายนางม่วยก็พูดไปด้วยว่า “พ่อ…ไปเกิดที่ไหนก็เอารอยนี้ติดมาให้เห็นด้วยนะ” นางม่วยพูดเป็นภาษาทางอีสาน นางหนูจิตและญาติๆตั้งศพของนายเหยยไว้ ๒ คืนก็จัดการเผาตามประเพณี ในวันเผาศพของนายเหยย นางสมพร แม่ของเด็กชายพลวัฒน์ก็ไปร่วมงานด้วย และได้เห็นศพของนายเหยยก่อนที่จะนำเข้าเตาเผา หลังจากที่นางสมพรซึ่งขณะนั้นท้องแก่ใกล้คลอดกลับมาถึงบ้าน กลางดึกคืนนั้นนางสมพรก็ปวดท้องจะคลอด สามีและญาติๆของเธอจึงพาส่งโรงพยาบาล เช้าของวันรุ่งขึ้นนางสมพรก็คลอด เด็กชายพลวัฒน์ จุลโพธิ์

ความผิดปกติและรอยตำหนิที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิด

แรกเกิด เด็กชายพลวัฒน์ มีลักษณะผิดปกติคือ ศีรษะด้านหนึ่งยุบและมีรอยผื่นแดงบริเวณใบหน้าเป็นจุดๆ คล้ายกับลักษณะศพของนายเหยยที่นางสมพรเห็นก่อนที่จะนำศพเข้าเตาเผา นอกจากนี้เขายัง มีปานดำเป็นรอยยาวบริเวณข้างหน้าแข้งด้านขวา เหมือนและตรงกันกับรอยที่นางม่วยลูกสะใภ้ของนายเหยยใช้ปูนแดงป้ายไว้ที่ศพของนายเหยยพอดี ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับพ่อแม่และญาติๆของเขาเป็นอย่างมาก

ความฝันหรือความจริง

นางสมพร แม่ของเด็กชายพลวัฒน์เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่เธอคลอดเด็กชายพลวัฒน์ได้ประมาณ ๑ อาทิตย์ ขณะที่เธอกำลังเคลิ้มหลับ เธอได้ยินเสียงนายเหยยผู้เป็นลุงมาเรียกบอกว่า “หนูพร ๆ ขอให้ลุงอยู่ด้วยนะ” นางสมพรซึ่งอยู่ในภวังค์กึ่งหลับกึ่งตื่นรู้สึกกลัวแต่ก็ฝืนพูดไปว่า “อือ” ตอนนั้นเธอได้ยินเสียงว่ามีคนเปิดตู้เก็บของที่อยู่ในบ้านของเธอ จากนั้นสักครู่เธอก็ได้ยินเสียงปิดตู้ นางสมพรกล่าวว่าตอนนั้นเธอได้ยินเสียงเปิดและปิดตู้อย่างชัดเจน เหมือนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ตอนนั้นเธอพยายามขยับตัวลุกขึ้นแต่ไม่สามารถขยับตัวได้ จากนั้นสักครู่เธอก็สามารถลืมตาและขยับตัวได้

ความทรงจำจากอดีตชาติ

วันหนึ่งขณะที่ เด็กชายพลวัฒน์ อายุประมาณ ๓ ขวบ เด็กชายพลวัฒน์ มองเห็นรถบรรทุกสิบล้อคันที่ชนนายเหยยเสียชีวิตวิ่งผ่านหน้าบ้านของเขา เด็กชายพลวัฒน์ชี้มือไปที่รถบรรทุกคันนั้นแล้วพูดว่า “รถคันนี้แหล่ะที่ชนผมตาย..คันนี้แหล่ะ” นายประถม ไผ่ประการ ผู้เป็นลุงซึ่งยืนอยู่บริเวณนั้นด้วยได้ยินก็ถามว่า “ใช่รึ” เด็กชายพลวัฒน์ก็ยืนยันว่า “ใช่คันนี้แหล่ะ” นายประคมถามว่า “หนูเป็นใครมาเกิดล่ะ” เด็กชายพลวัฒน์ก็ตอบว่า “ผมชื่อเหยย” นายประคมรู้สึกแปลกใจในคำพูดของหลานชาย และรู้สึกแปลกใจยิ่งขึ้นเมื่อทราบว่ารถบรรทุกสิบล้อคันนั้นเป็นรถของเถ้าแก่คนหนึ่งในอำเภอโคกสำโรงจังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นรถคันเดียวกันกับคันที่ชนนายเหยยจนเสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อนจริงๆ หลังจากวันนั้นนางสมพรและญาติๆพยายามสอบถามเด็กชายพลวัฒน์ถึงเรื่องราวในอดีตชาติ แต่เด็กชายพลวัฒน์ก็ไม่ยอมพูดอะไรเลย

นายประถม ไผ่ประการ

มีครั้งหนึ่ง เด็กชายพลวัฒน์ ได้พบกับ นางหนูจิต ภรรยาของนายเหยย นางหนูจิตถามว่า “ใช่นายเหยยหรือเปล่า” เด็กชายพลวัฒน์ไม่ยอมตอบแต่มีท่าทางเขินอายแก้มแดง ถึงแม้ว่า เด็กชายพลวัฒน์จะแสดงถึงความทรงจำในอดีตชาติเพียงแค่ครั้งเดียว แต่จากลักษณะความผิดปกติบริเวณศีรษะ และใบหน้าตั้งแต่แรกเกิดซึ่งเหมือนกันกับลักษณะของนายเหยยขณะเสียชีวิต รวมทั้งรอยป้ายศพที่นางม่วยใช้ปูนแดงป้ายไว้ที่ศพของนายเหยย ซึ่งได้ปรากฎเป็นปานดำจางๆแกมเขียวบริเวณหน้าแข้งด้านขวาของเด็กชายพลวัฒน์ ทำให้พ่อแม่และญาติๆของเขาเชื่อว่า เด็กชายพลวัฒน์คือนายเหยย เทศศรีสืบชาติมาเกิดจริง

นางสมพรกล่าวว่า ศีรษะที่ยุบและรอยผื่นแดงของเด็กชายพลวัฒน์หายเป็นปกติหลังจากคลอดไม่กี่วัน ส่วนปานที่หน้าแข้งปัจจุบันได้จางลงจนเป็นสีขาวแล้ว แต่ก็ยังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจน

เวรกรรมหรือความบังเอิญ

นอกจากเรื่องราวของความทรงจำและรอยตำหนิจากอดีตชาติของเด็กชายพลวัฒน์แล้ว นางสมพร ยังเล่าให้ผู้เขียนฟังถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกับเธอและบุตรชายของเธอให้ฟังว่า เมื่อตอนที่เด็กชายพลวัฒน์อายุได้ประมาณ ๕ เดือน วันหนึ่งเธอได้ชวนเพื่อนๆแถวๆบ้านหลายคนนำรถไถบรรทุกแกนข้าวโพดแห้งเพื่อไปเผาตอไม้ในไร่ของเธอ

เมื่อไปถึงที่ไร่เพื่อนๆได้ลงไปเก็บลูกพุดทรากัน ส่วนตัวเธอขับรถนำแกนข้าวโพดไปที่ตอไม้ที่จะทำการเผา เมื่อมาถึงบริเวณตอไม้ใหญ่เธอลงมาจากรถกำลังจะขนแกนข้าวโพดลง ตอนนั้นเธอได้เหลือบไปเห็นงูตัวหนึ่งลำตัวนวลๆออกสีชมพูเหมือนงูเผือก ซึ่งเธอไม่เคยเห็นงูแบบนี้มาก่อนจึงเรียกให้เพื่อนๆมาดู ขณะที่เธอกำลังตะโกนเรียกพรรคพวกอยู่นั้นงูประหลาดตัวนั้นได้เลื้อยลงโพลงรากไม้ไปช้าๆ ตอนนั้นเธออยากให้เพื่อนๆได้เห็นงูตัวนั้นจึงนำแกนข้าวโพดมากองไว้ทั่วบริเวณตอไม้ต้นนั้นแล้วจุดไฟเผา เพื่อให้งูตัวนั้นหนีออกมาจากในโพลงไม้ เธอกับเพื่อนๆรออยู่นานงูตัวนั้นก็ไม่ยอมออกมา นางสมพรจึงนำแกนข้าวโพดทั้งหมดที่เหลือมาใส่ในกองไฟเพื่อเผาตอไม้นั้น แล้วพากันเดินทางกลับบ้าน

วันนั้นเมื่อเธอกลับมาถึงบ้าน เด็กชายพลวัฒน์ ซึ่งเมื่อตอนเช้ายังปกติดีก็ มีอาการเคืองตามองแสงแดดแสงไฟและดูทีวีไม่ได้ โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งเขามีอาการอย่างนั้นเรื่อยมานับตั้งแต่วันนั้น เธอและนายวิชัยสามีเคยพาบุตรชายไปให้แพทย์หลายโรงพยาบาลตรวจ แต่แพทย์บอกว่าดวงตาของ เด็กชายพลวัฒน์ปกติดีทุกอย่าง เด็กชายพลวัฒน์เป็นอย่างนั้นอยู่ถึง ๓ ปี โดยที่เธอและสามีไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร

นางสมพร กับ ด.ช.พลวัฒน์

จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนทรงเจ้ามาทำพิธีให้คนแถว ๆ บ้านเธอจึงลองให้คนทรงตรวจดูโชคชะตาและอาการของเด็กชายพลวัฒน์ มีตอนหนึ่งคนทรงทำนายว่า “เด็กคนนี้ถูกเจ้าที่ ที่อยู่ที่ไร่ เขามีร่างกายท่อนบนเหมือนมนุษย์แต่ท่อนล่างเป็นงู ให้สร้างศาลให้เขาแล้วอาการของเด็กคนนี้จะหาย” เมื่อคนทรงเจ้าพูดอย่างนั้น เธอก็คิดถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่เธอนำแกนข้าวโพดไปเผาตอไม้ไล่งูตัวนั้นขึ้นมาทันที

เธอได้ทำตามที่คนทรงบอก แต่ตอนนั้นนายวิชัยสามีของเธอไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง เธอได้ให้หมอพราหมณ์ในหมู่บ้านที่เคยยกศาลไปทำพิธียกศาลและเชิญเจ้าที่ที่มุมไร่ขึ้นศาล แต่หลังจากทำพิธีเสร็จแล้วอาการของเด็กชายพลวัฒน์ก็ไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น เธอจึงไปให้พระรูปหนึ่งในหมู่บ้านตรวจดูให้ พระรูปนั้นก็บอกว่าถูกเจ้าที่ เธอจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับคนทรงเจ้าคนที่เคยทำนายให้ คนทรงเจ้าบอกว่า “เจ้าที่เขาไม่ยอมขึ้นศาลให้ไปจุดธูป ๙ ดอกบนก่อนว่าถ้าหายแล้วจะไปทำพิธีเชิญขึ้นศาลใหม่อีกครั้ง” ตอนนั้นเธอได้ทำตามที่คนทรงบอกโดยจุดธูป ๙ ดอก และพูดว่าถ้าบุตรชายหายจะไปทำพิธีเชิญขึ้นศาลใหม่

เป็นที่น่าอัศจรรย์ อาการเคืองตาแสบตาดูทีวีมองแสงไฟไม่ได้ของ เด็กชายพลวัฒน์ที่เป็นมานานถึง ๓ ปีได้หายไปในเวลาใกล้เคียงกันกับที่เธอและสามีจุดธูปบอกเจ้าที่ที่ไร่ตามที่คนทรงบอก เมื่อกลับมาถึงบ้านเมื่อเธอและสามีทราบว่าบุตรชายหายเป็นปกติแล้วก็ถึงกับตะลึง นายวิชัยสามีของเธอซึ่งไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ตั้งแต่แรกก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง และได้ให้คนทรงเจ้าไปทำพิธีเชิญเจ้าที่ขึ้นศาลตามที่ได้บนบานไว้ อาการของเด็กชายพลวัฒน์ก็หายเป็นปลิดทิ้งตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นายวิชัยกล่าวกับผู้เขียนว่า ตอนแรกตนก็ไม่เชื่อเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แต่พอลูกชายหายจากอาการเคืองตา ตนก็เริ่มเชื่อแล้วเหมือนกัน

นางสมพร กับ นายวิชัย จุลโพธิ์

คุยกับศาลเจ้าที่และบอกหวยถูก

หลังจากเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ในครั้งนั้น เด็กชายพลวัฒน์ ก็มีการแสดงออกแปลกๆ เวลาไปที่ไร่ ตอนนั้นเด็กชายพลวัฒน์ชอบไปวิ่งเล่นและขึ้นไปนอนเล่นบนศาลเจ้าที่ ที่พ่อกับแม่ของเขาสร้างไว้ในครั้งนั้นเป็นประจำ บางครั้งนายวิชัยและนางสมพรก็เคยแอบได้ยิน เด็กชายพลวัฒน์พูดคุยอยู่คนเดียวบนศาลเจ้าที่ เหมือนคุยอยู่กับใครสักคน นายวิชัยเคยถามว่า “หนูคุยกับใคร” เด็กชายพลวัมน์ ตอบว่า “คุยกับหลวงพ่อมิกซ์”

มีครั้งหนึ่งเด็กชายพลวัฒน์บอกกับนางสมพรว่า “แม่ๆ หลวงพ่อให้มาบอกว่าหวยจะออก ๑๗๔” จากนั้นก็วิ่งไปบอกกับ นางหนูแดง ภรรยาของนายประถมผู้เป็นลุงซึ่งบ้านอยู่ใกล้ๆกันว่า “ป้าแดงๆหลวงพ่อให้มาบอกว่าหวยจะออกเลข ๑๗๔” ปรากฎว่างวดนั้นหวยออก ๓ ตัวตรง ๑๗๔ นางสมพรถูกหวยใต้ดินหลายพันบาท ส่วนนางหนูแดงไม่ค่อยเชื่อนักจึงถูกไม่กี่ร้อยบาท งวดต่อมานางสมพรลองถามเด็กชายพลวัฒน์ว่า “หวยงวดนี้จะออกเลขอะไรลูก”เด็กชายพลวัฒน์ตอบว่า “หลวงพ่อให้มาบอกแค่นี้แหล่ะ ไม่ให้บอกอีก”

นายวิเชียร จุลโพธิ์ น้องชายของนายวิชัย ก็เคยได้ยินเด็กชายพลวัฒน์พูดกับศาลเจ้าที่คนเดียว นายวิเชียรเล่าให้ฟังว่า ตนเคยพาเด็กชายพลวัฒน์หลานชายไปที่ไร่ของนายวิชัย เมื่อไปถึงเด็กชายพลวัฒน์ก็วิ่งตรงไปที่ศาลเจ้าที่ทันทีและนั่งพูดคุยอยู่บนศาลนั้นคนเดียว นายวิเชียรพยายามแอบฟังแต่ได้ยินไม่ชัดนัก เด็กชายพลวัฒน์คุยอยู่เกือบ ๑ ชั่วโมงก็กลับออกมาและบอกกับนายวิเชียรว่า “ไปกลับเถอะ หลวงพ่อมิกซ์หลับแล้ว”

นายวิชัยเล่าให้ฟังว่า เมื่อตอนหน้าแล้งปีหนึ่งไฟได้ไหม้ต้นไม้และหญ้าแห้งในไร่จนเกือบหมด แต่บริเวณรอบๆศาลเจ้าที่ บริเวณห้างไร่ของตนและบริเวณยุ้งข้าวโพดไฟไม่ไหม้ เหมือนกับว่ามีใครมาดับให้ ตนเชื่อว่าบริเวณศาลเจ้าที่ในไร่ของตนต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สิงสถิตอยู่อย่างแน่นอน นายวิชัยกล่าว เกี่ยวกับเรื่องนี้ผู้เขียนได้สอบถามผู้สูงอายุในหมู่บ้านหลายท่าน เกี่ยวกับสถานที่บริเวณไร่ของนายวิชัย ซึ่งชาวบ้านเรียก “ดงมะเน่า” หรือ “หนองถ้ำ” ก็ได้รับคำบอกเล่าว่าแต่ก่อนบริเวณนั้นมีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งปากถ้ำใหญ่ขนาดที่คนสามารถเดินเข้าไปได้หน้าฝน เวลาฝนตกน้ำจากข้างนอกจะไหลเข้าไปในถ้ำ เนื่องจากถ้ำมีลักษณะเทลงไปใต้ดินแต่เวลาหน้าแล้งจะมีน้ำออกมาบริเวณบ่อน้ำที่ปากถ้ำเป็นที่น่าอัศจรรย์ ปัจจุบันนี้ถ้ำนั้นยังมีให้เห็นอยู่แต่หินและดินหล่นและทับถมพูนขึ้นมาจนเกือบไม่เห็นปากถ้ำแล้ว ณ บริเวณหนองถ้ำแห่งนี้มีเรื่องเล่าต่างๆมากมายหลายเรื่องเกี่ยวกับอาถรรพ์ของผู้กระทำการลบหลู่ จากผู้ที่เคยประสบด้วยตัวเองบ้าง จากเรื่องเล่าในอดีตบ้างจนกระทั่งไม่มีใครกล้าไปบุกรุก หรือกระทำการอันเป็นการลบหลู่สถานที่แห่งนั้น จนกระทั่งถึง ทุกวันนี้

รอยปานที่บริเวณหน้าแข้งด้านขวา ที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด

ที่เมื่อเขาโตขึ้นสีมันได้ค่อยๆจางลง จนกลายเป็นสีขาว