โครงการติดตามศึกษา

โครงการติดตามศึกษา

รอยตำหนิบนผิวหนังและความบกพร่องทางร่างกายตั้งแต่กำเนิด

ที่สัมพันธ์ตรงกันกับอดีตชาติ

(Birth Marks and Birth Defects)

สำหรับโครงการนี้ ได้ริเริ่มขึ้นเพื่อทำการพิสูจน์สมมุติฐานเกี่ยวกับการสืบชาติมาเกิดใหม่(Succession Birth)* และการจำอดีตชาติได้(Remember Previous Lives) ที่ว่า

สมมุติฐานเบื้องต้น :

การที่จิตหรือวิญญาณของผู้เสียชีวิตสามารถจดจำเอา

- รอยป้ายศพ

- รอยแผลเป็น ไฝ ปาน รอยสัก หรือรอยต่างๆบนผิวหนังที่มีอยู่ก่อนเสียชีวิต

- บาดแผลทั่วไป บาดแผลที่ทำให้เสียชีวิต ความเสียหายหรือการสูญเสียอวัยวะบางส่วน

- อาการบาดเจ็บ อาการป่วย รอยฟกช้ำ หรือร่องรอยผิดปกติบกพร่องทางร่างกายอื่นๆ

จากการสัมผัสรับรู้ หรือ จากการมองเห็น แล้วสามารถทำให้เกิดลักษณะและร่องรอยตรงกันกับลักษณะดังกล่าว บนผิวหนังของทารกในครรภ์ หรือ ทำให้มีอาการคล้ายกันกับอาการป่วยหรืออาการบาดเจ็บต่างๆของผู้เสียชีวิตได้ นั่นแสดงว่าความทรงจำในอดีตชาตินั้นมีความชัดเจน เด็กที่มีร่องรอยและอาการต่างๆอันสืบเนื่องมาจากอดีตชาติเหล่านี้ก็น่าจะจำอดีตชาติได้ด้วย

* อธิบายคำและความหมาย

https://sites.google.com/site/thaireincarnation/Home/16-cases-foreword/Words-and-meaning

ข้อสังเกตที่อาจนำไปสู่การพิสูจน์เรื่องนี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม


การที่เด็กที่จำอดีตชาติได้ มีลักษณะอาการ มีรอยตำหนิบนผิวหนัง มีรอยคล้ายรอยแผลเป็น หรือมีความผิดปกติพิการติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิด ตรงกันกับร่องรอยบาดแผล ร่องรอยอื่นๆ และมีลักษณะอาการต่างๆตรงกันกับลักษณะของบุคคลในอดีตชาติ นั้นมีความเป็นไปได้ว่าความทรงจำในอดีตชาตินั้น น่าจะถูกระลึกถึงอยู่เสมอ หรือถูกทบทวนอยู่บ่อยๆ หรือมีความฝังใจ หรือเจตนาที่แรงกล้า หรือมีความหนักแน่นมั่นคง หรือมีความชัดเจน และจิตหรือวิญญาณของผู้เสียชีวิตมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ในขณะเสียชีวิต หรือหลังเสียชีวิต หรือขณะที่วิญญาณก้าวลงสู่ครรภ์มารดา หรือขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา หรือหลังคลอด ทำให้จิตหรือวิญญาณและความทรงจำนั้นมีกำลังหรือมีพลัง สามารถทำให้เกิดรอยตำหนิ แผลเป็น และความผิดปกติ พิการตั้งแต่กำเนิด กับผิวหนังและร่างกายของทารกในครรภ์ได้ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่า เด็กที่มีรอยตำหนิแผลเป็นหรือมีความผิดปกติพิการติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิด(อันสืบเนื่องมาจากอดีตชาติ) ก็น่าจะจำอดีตชาติได้ด้วย

นอกจากนี้สิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวยังชี้ชัดไปที่ ความสามารถของจิตที่มีอิทธิพลเหนือร่างกายได้อย่างชัดเจน เคยมีหลักฐานที่ท่าน อาจารย์พร รัตนสุวรรณ เคยเล่าถึงการทดลองสะกดจิตของ ขุนวิจิตรสุขการ นายแพทย์ปริญญาเมื่อกว่าห้าสิบปีมาแล้ว คือมีการทดลองสะกดจิต ให้ผู้ที่ถูกสะกดจิตเชื่ออย่างแน่วแน่มั่นคงและสนิทใจ ว่าเขากำลังจะถูกเหล็กเผาไฟร้อนระอุ จี้ลงบนผิวหนังของเขา แต่ขุนวิจิตรสุขการผู้ทำการสะกดจิตไม่ได้เอาเหล็กเผาไฟมาจี้ที่ผิวหนังจริงๆ เขาแค่เพียงใช้ดินสอจี้ลงไปที่ผิวหนังของผู้ที่ถูกสะกดจิตเท่านั้น เป็นที่น่าประหลาดใจว่า ผิวหนังบริเวณที่ใช้ดินสอจี้ลงไปนั้นเกิดรอยไหม้ขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ และคนที่ถูกสะกดจิตก็แสดงอาการว่าร้อนเหมือนถูกไฟจี้จริงๆ(หนังสือ อำนาจจิต : พร รัตนสุวรรณ 2523) และมีข่าวในต่างประเทศว่าเคยมีการทดลองฉีดน้ำเปล่าแทนสารพิษให้กับนักโทษประหาร โดยที่นักโทษประหารคนนั้นเชื่ออย่างมั่นคงและสนิทใจ ว่าสิ่งที่เจ้าพนักงานที่ดำเนินพิธีการประหารชีวิตของเขาฉีดเข้าไปในร่างกายของเขานั้น เป็นสารพิษจริงๆ ผลปรากฏว่านักโทษคนนั้นเสียชีวิตจริงๆ

"รอยแผลเป็น ไฝ ปาน รอยสัก หรือรอยต่างๆบนผิวหนังที่มีอยู่ก่อนเสียชีวิต ร่องรอยบาดแผลทั่วไป บาดแผลที่ทำให้เสียชีวิต ร่องรอยความเสียหายหรือการสูญเสียอวัยวะบางส่วน อาการบาดเจ็บ อาการป่วย รอยฟกช้ำ หรือร่องรอยผิดปกติบกพร่องทางร่างกายอื่นๆ บนร่างกายหรือบนศพของผู้เสียชีวิต ที่สามารถสืบทอดหรือสามารถปรากฏเป็น รอยตำหนิบนผิวหนัง(Birthmarks) หรือ ความบกพร่องทางร่างกาย(Birth Defects) ที่มีมาตั้งแต่กำเนิดของเด็กทารกนั้น เกิดจากพลังอำนาจหรือความสามารถของจิตหรือวิญญาณ ที่สามารถทำให้เกิดร่องรอยและความบกพร่องทางร่างกายต่างๆขึ้นกับร่างกายของเด็กทารก ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้ ความคิด ความเข้าใจ ความสะเทือนใจ ความฝังใจ ความตั้งใจ ความจงใจ หรือการเลือกที่จะจดจำ ของจิตหรือวิญญาณผู้เสียชีวิตโดยตรง"

หลักฐานที่สนับสนุนสมมุติฐานนี้ ก็คือ การพรางตัวเพื่อหลบซ่อนหรือเพื่อล่าเหยื่อของสัตว์ชนิดต่างๆ เช่น ตั๊กแตนใบไม้ กิ้งก่า ตุ๊กแก อีกัวน่า กบ เขียด หมึก ปลา เป็นต้น สัตว์เหล่านี้ใช้ความคิด ใช้ภาพที่มันมองเห็นจากสภาพแวดล้อม มาเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของร่างกายให้มีสีสันและลักษณะเหมือนหรือใกล้เคียงกับสภาพแวดล้อมรอบๆตัวของพวกมัน เหล่านี้คือหลักฐานที่สนับสนุนสมมุติฐานที่ว่า ความคิด จิต หรือวิญญาณนั้น มีอิทธิพลเหนือร่างกาย สามารถทำให้ร่องรอย หรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อยีน โครโมโซม และร่างกายกายได้

กรณีของ ชาสพีระ ที่ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นกรณีศึกษาผู้จำอดีตชาติรายหนึ่งของ ดร.เอียน สตีเวนสัน ซึ่งเป็นลักษณะของการที่จิตวิญญาณของผู้เสียชีวิตคนหนึ่งเข้าสวมร่างของอีกคนหนึ่งที่เสียชีวิตด้วยโรคไข้ทรพิษ(ฝีดาด) พอวิญญาณดวงใหม่เข้าสวมร่างแทนอาการของโรคไข้ทรพิษที่ทำให้อีกคนหนึ่งถึงแก่ชีวิตนั้น กลับค่อยๆดีขึ้นและหายเป็นปกติในเวลาไม่นาน

กรณีของ วิญญาณของลุงที่เสียชีวิตมาเข้าสวมร่างของหลานวัยขวบกว่าๆ เป็นกรณีศึกษาผู้จำอดีตชาติได้รายหนึ่งของ ดร.เอียน สตีเวนสัน เช่นเดียวกัน แต่รายนี้เป็นกรณีศึกษาในประเทศไทย ซึ่งมี ท่าน อาจารย์สุตทยา วัชราภัย เป็นคนแปลคำสัมภาษณ์ให้กับฝรั่งจากอเมริกาคณะนี้ และท่านอาจารย์สุตทยาได้นำกรณีศึกษารายนี้มาเล่าให้ฟังว่า มีกรณีของเด็กชายคนหนึ่งชื่อว่า "เต้ย" ตอนที่เด็กชายเต้ยอายุได้ประมาณขวบกว่าๆเขาเกิดล้มป่วยเป็นไข้สูงตัวสั่น ก่อนหน้าที่เด็กชายเต้ยจะล้มป่วยหลายเดือนพี่ชายของแม่เด็กชายเต้ยที่ชื่อ "หวัง" ได้เสียชีวิตลง มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นหลังจากอาการไข้ของเด็กชายเต้ยลดลงเป็นปกติเด็กชายเต้ยซึ่งปกติไม่ใช่คนสะดือจุ่นก็กลับสะดือจุ่น จากคนที่ไม่มีปานก็เกิดมีปานขึ้นมาบริเวณหัวไหล่ ตรงกันกับรอยสักของลุงคนที่เสียชีวิตไปแล้ว จากนั้นเขาซึ่งอายุยังไม่เต็ม 2 ขวบดีก็เริ่มแอบหยิบเหล้าที่ผู้ใหญ่กำลังกินอยู่มาดื่มกิน ชอบเอาบุหรี่มาจุดสูบ เวลาเพื่อนของลุงที่เสียชีวิตไปแล้วมาดื่มเหล้ากันที่บ้าน เขาก็ชอบไปชงเหล้าให้ เขาชงเหล้าได้ชำนาญ โดยใส่น้ำแข็งเหล้าโซดาแล้วใช้นิ้วลงไปคนในแก้ว และเวลารินเหล้าหมดขวดเขาก็จะทำท่าบิดขวดเหมือนจะรีดเหล้าให้หมดจนหยดสุดท้าย ซึ่งลักษณะอาการที่เขาแสดงออกมานั้นช่างเหมือนกันกับสิ่งที่ลุงของเขาที่เสียชีวิตไปแล้วเคยกระทำทุกอย่าง ต่อมาปรากฏว่าเขาจำอดีตชาติได้ว่าเขาเป็นลุงคนที่เสียชีวิตไปแล้วสืบชาติมาเกิด เขาพูดและแสดงออกหลายอย่างจนแม่และยายของเขาเชื่อว่า เขาคือพี่ชายของแม่ที่เสียชีวิตไปแล้วสืบชาติมาเกิดจริงๆ

กรณีของ พลวัฒน์ จุลโพธิ์ จาก 16 กรณีศึกษาฯในที่นี้ ที่เขาเกิดเป็นทารกในครรภ์แล้ว 9 เดือนใกล้คลอดแล้ว และก่อนจะคลอด 3 วัน นายเหยย เทศศรี เพิ่งจะถูกรถชนเสียชีวิต แต่เมื่อ ด.ช.พลวัฒน์ คลอดออกมาเขากลับมีรอยจ้ำเป็นผื่นแดงบริเวณใบหน้า และมีปานดำจางๆที่มีลักษณะและตำแหน่งตรงกันกับอาการบาดเจ็บและรอยป้ายศพ ของนายเหยยพอดี ที่สำคัญคือเขาจำอดีตชาติได้ว่าเป็น นายเหยย สืบชาติมาเกิด ซึ่งกรณีนี้มีความเป็นไปได้ว่า รอยจ้ำผื่นแดงและรอยปานที่ปรากฏขึ้นบนร่างกายของ ด.ช.พลวัฒน์ในขณะนั้นเกิดขึ้นเมื่อตอนที่วิญญาณของนายเหยยเข้าสวมร่างของทารกในครรภ์

สำหรับการทำตำหนิไว้บนศพของผู้เสียชีวิต หรือ การป้ายศพ(Experimental Marking) นั้น เป็นวิธีที่นิยมทำกันมากโดยเฉพาะในประเทศไทยและในประเทศพม่า เนื่องจากมีความเชื่อว่าเมื่อผู้เสียชีวิตได้สืบชาติมาเกิดใหม่อีกครั้งเขาจะนำรอยตำหนินั้นติดตัวมาด้วย สำหรับความเชื่อเกี่ยวกับการป้ายศพนี้สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่ครั้งโบราณแล้ว แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่ามีมาตั้งแต่เมื่อใดหรือชนชาติใดเป็นผู้เริ่มต้น

ในประเทศไทยเรามีหลักฐานปรากฏว่ามีการป้ายศพกันมานานมากแล้ว อย่างน้อยก็ตั้งแต่รัชสมัยของรัชกาลที่ ๓ เช่น กรณีของ จอมพลและมหาอำมาตเอกเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) พ.ศ.2394-2474 ซึ่งท่านเกิดเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2394ก่อนที่รัชกาลที่ 3 จะเสด็จสวรรคตในวันที่ 2 เมษายน 2394 เพียง 5 วัน ก็มีการป้ายศพและมีการติดตามสังเกตรอยตำหนิบนตัวของเด็กที่เกิดใหม่กันแล้ว

จอมพลและมหาอำมาตเอกเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี

(เจิม แสงชูโต)

ในหนังสือ “ประวัติการของจอมพลและมหาอำมาตเอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี” ที่พิมพ์แจกในงานวันเกิดของท่าน เมื่อปี พ.ศ.2504 เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ได้เขียนเล่าชีวประวัติของตัวท่านเองไว้ว่า ก่อนที่ท่านจะเกิด พี่สาวของท่านที่ชื่อว่า “เหลน” ซึ่งเป็นลูกคนที่ 2 ของครอบครัวได้เสียชีวิตลงด้วยไข้ทรพิษ ขณะอายุได้ 3 ขวบเศษ และ ท่านเอี่ยม คุณยายของท่านได้ใช้เขม่าหม้อ (มินหม้อ) เจิมไว้หรือป้ายไว้ที่หน้าอก พร้อมกับพูดว่า “ถ้าหลานกลับมาเกิดใหม่ ก็ให้มีรอยเขม่าหม้อที่เจิมไว้ที่หน้าอกมาให้ยายเห็น ว่าหลานของยายกลับมาเกิดจริง” หลังจากนั้นเมื่อท่านเกิดมาเป็นลูกคนที่ 4 ของครอบครัว ปรากฏว่าท่านมีรอยปานดำที่หน้าอกตรงกันกับรอยที่คุณยายของท่านเจิมไว้ เพราะเหตุนี้ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ(ทัต บุนนาค) คุณทวดของท่านจึงตั้งชื่อให้ว่า “เจิม” ตามเหตุนิรมิตที่เป็นรอยปานดำที่หน้าอกตรงกันกับรอยที่คุณยายของท่านเจิมไว้นั้น ซึ่งรอยปานดำนั้นยังคงปรากฏให้เห็นเท่านิ้วมือเป็นตำหนิติดตัวจนกระทั่งถึงวันที่ท่านเขียนประวัติการของท่านเอง ...อ่านข้อมูลเพิ่มเติม...

อีกกรณีหนึ่งเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 คือกรณีของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช

ศาสตราจารย์ (พิเศษ) หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช น้องชายของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้เขียนเล่าไว้ในหนังสือ "โครงกระดูกในตู้" ของท่านว่า ท่านพ่อของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช คือ พระองค์เจ้าคำรบ ปราโมช ทรงมีหม่อมคนแรกชื่อ หม่อมผาด ปาลกะวงศ์ มีบุตรชายด้วยกันคนหนึ่งคือ หม่อมราชวงศ์ชาย แต่ตายเสียตั้งแต่เมื่อแรกเกิด พระองค์เจ้าคำรบท่านเสียดายมาก ก็เลยเอาปูนกินหมากสีแดงป้ายไว้ที่ก้นเด็ก แล้วบอกว่า "เกิดมาเป็นลูกพ่อใหม่นะ"

ต่อมาพระองค์เจ้าคำรบท่านมีหม่อมคนที่สอง คือ หม่อมแดง บุนนาค มีบุตรชายด้วยกันคนแรกคือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช พอทรงทราบว่าได้บุตรคนแรกเป็นชาย ก็ทรงรีบพลิกดูที่ก้นก็ปรากฏว่าที่ก้นของ ม.ร.ว.เสนีย์ มีปานแดงจริงๆ ตรงกับที่ท่านพ่อเอาปูนหมายไว้ที่ก้นของบุตรชายคนแรกที่ตายไป

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ตามสไตล์ของท่านว่า "เรื่องนี้ใครอยากพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างไร ก็ขอให้ไปเปิดก้นคุณเสนีย์ดูเอาเองเถิด" ...อ่านข้อมูลเพิ่มเติม...

เหล่านี่คือตัวอย่างของกรณีศึกษาส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเริ่มมีความเชื่อมั่นว่า จิต วิญญาณ นั้นมีความสามารถ มีพลัง และมีอิทธิพลเหนือร่างกาย คือสามารถทำให้เกิดร่องรอยตำหนิบนผิวหนัง รอยแผลเป็น อาการป่วย หรือความผิดปกติพิการขึ้นกับร่างกายของเด็ก ร่างกายของผู้ที่ถูกสวมร่าง หรือร่างกายของทารกในครรภ์ได้

และจากข้อสังเกตและสมมุติฐานนี้เองทำให้ผู้ติดตามศึกษาได้ริเริ่มโครงการ ที่จะเข้าไปเก็บข้อมูลและติดตามศึกษา กรณีของเด็กที่มีรอยแผลเป็นติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด และความผิดปกติ พิการตั้งแต่กำเนิดของทารกในครรภ์ ที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต โดยทำหนังสือขออนุญาตอย่างเป็นทางการ เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมในงานวิจัยทางคลินิกของโรงพยาบาลพิจารณา เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2552 แต่ผลปรากฏว่า ทางโรงพยาบาลไม่อนุญาตให้เข้าไปเก็บข้อมูล โดยให้เหตุผลว่า การศึกษาเรื่องนี้อาจส่งผลกระทบกับความรู้สึกของครอบครัวพ่อแม่ของเด็กที่อาจจะจำอดีตชาติได้ หากความทรงจำในอดีตชาตินั้นเป็นเรื่องที่เลวร้าย และการเข้าไปเก็บข้อมูลอาจส่งผลต่อความไม่สะดวกของคนไข้และการทำงานของแพทย์หรือพยาบาลได้ ซึ่งผู้ติดตามศึกษาต้องยอมรับว่าเป็นเหตุผลที่ฟังได้ และคงต้องพยายามหาวิธีที่จะติดตามศึกษาในช่องทางอื่นต่อไป อย่างการลงพื้นที่สืบหาเด็กที่มีรอยแผลเป็นตั้งแต่แรกเกิดตามหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งคงต้องใช้เวลาและคงจะสามารถทำได้เท่าที่กำลังทุนทรัพย์ส่วนตัวและเวลาจะเอื้ออำนวย

.................................................


กรณีศึกษารอยตำหนิแผลเป็นและความผิดปกติพิการตั้งแต่กำเนิด

(Birth Marks and Birth Defects)

กรณีศึกษาที่ : BM 01/0343

ภาพถ่าย ด.ช.ณัฐพล(คิง) ทรงครุฑ

บุตรชายของนายณรงค์ ทรงครุฑ กับ นางสาวสมาน นิ่มมา

ที่อยู่ : 70 หมู่ 8 ต.ตะคร้อ อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์

เกิดเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2542

ภาพที่ 1

ด.ช.ณัฐพล(คิง) ทรงครุฑ

ขณะอายุได้ 1 ขวบ 4 วัน

(ยังพูดไม่ได้ แต่มีรอยแผลเป็น ที่บริเวณขมับด้านซ้าย และมีปานดำจางๆหลายจุด ที่บริเวณหลัง ตั้งแต่กำเนิด)

ภาพที่ 2

มีรอยแผลเป็นตั้งแต่แรกเกิด(Birthmarks) บริเวณขมับด้านซ้าย

กว้างประมาณ 1.5 มม. ยาวประมาณ 1.2 ซม. เป็นทางยาว

ภาพที่ 3

มีปานดำเป็นแผ่นกว้างหลายจุดตั้งแต่กำเนิด ที่บริเวณหลัง(Birthmarks)

ภาพที่ 1-3 ถ่ายเมื่อ วันที่ 4 มีนาคม 2543

ภาพที่ 4

ด.ช.ณัฐพล(คิง) ทรงครุฑ

ขณะอายุได้ 9 ขวบ 7 เดือน

ภาพที่ 5

ภาพรอยแผลเป็น และรอยปานนูนเป็นแถวยาวขนานกับรอยแผลเป็น

ภาพที่ 4 และ 5 นี้ถ่ายเมื่อ วันที่ 5 กันยายน 2552

ผลการติดตามศึกษาพบว่า ด.ช.ณัฐพล พูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติอย่างที่เราคาดไว้ ตั้งแต่เมื่อเขาเริ่มพูดได้ จนอายุได้ประมาณ 4 ขวบ(จากคำบอกเล่าของแม่และยาย) จึงเลิกพูดถึงและลืมเรื่องราวความทรงจำในอดีตชาติไปแล้ว แต่ต้องขอสงวนข้อมูลไว้ก่อน เนื่องจากจะใช้กรณีนี้เป็นกรณีศึกษาการสะกดจิตย้อนอดีตชาติ แล้วจึงจะทำการสืบหาอดีตชาติ ของเขาต่อไป

.................................................

กรณีศึกษาที่ : BM/BD 02/0252

ภาพถ่าย ด.ช.กิต(ชื่อเล่น) จากจังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย

เด็กเกิดวันที่ 17 ตุลาคม 2551

ภาพถ่าย 6 ภาพแรกนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 ขณะที่เด็กอายุได้ 4 เดือน

ภาพที่ : 01

รอยแผลเป็นตั้งแต่แรกเกิด (Birth Marks)

ที่โคนอวัยวะเพศด้านล่าง กว้างประมาณ 2 มม. ยาวประมาณ 1 ซม.และมีรอยต่อไปบางๆเกือบรอบอวัยวะเพศ

คล้ายกับรอยพับของช่วงโคนอวัยวะเพศตามปกติ

ภาพที่ : 02

รอยปานสีขาว 2 แห่ง บริเวณหน้าขาทั้งสองข้าง

- ปานขาวเล็กที่หน้าขาขวาของเด็ก(ซ้ายมือในภาพ) มีขนาด 1 X 1 เซ็นติเมตร

- ปานขาวเล็กที่หน้าขาขวาของเด็ก(ซ้ายมือในภาพ) มีขนาด 2.5 X 3 เซ็นติเมตร

ภาพที่ : 03

รอยปานสีดำจางๆ ขนาดใหญ่บริเวณด้านข้างท้อง

- ปานดำจางๆขนาดใหญ่ที่ข้างท้องด้านขวาของเด็ก(ซ้ายมือในภาพ)

ภาพที่ : 04

ปานสีดำ บริเวณข้อศอก

- ปานดำเล็กที่ข้อศอกซ้ายของเด็ก มีขนาด 0.6 X 0.6 เซ็นติเมตร

ภาพที่ : 05

ปานดำจางๆด้านบนศีรษะ

- ปานดำกลมเล็กจางๆที่หน้าบนศีรษะของเด็ก มีขนาด 0.8 X 1.2 เซ็นติเมตร

ภาพที่ : 06

เด็กมีนิ้วนางและนิ้วก้อยเท้าข้างซ้ายติดกัน (Birth Defects)

หลังจากถ่ายภาพทั้ง 6 ภาพนี้เกือบ 1 เดือน ก็ได้เกิดรอยปานเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง คือบริเวณหลัง(ภาพที่ : 07)

และที่บริเวณหน้าขาท่อนบนใกล้หัวเข่า(ภาพที่ : 08)

ทั้งสองภาพนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2552 ขณะที่เด็กอายุได้ 5 เดือน

ภาพที่ : 07

ปานดำยาวรี บริเวณหลัง

- แม่ของเด็กพบว่าเกิดขึ้นมาภายหลังเมื่อเด็กอายุได้ 5 เดือน ขนาด 0.4 X 1.2 เซ็นติเมตร

ภาพที่ : 08

ปานดำเป็นกลุ่มจุดสีดำจางๆ บริเวณหน้าขาด้านขวาของเด็ก

- แม่ของเด็กพบว่าเกิดขึ้นมาภายหลังเมื่อเด็กอายุได้ 5 เดือน

ขอสงวนชื่อสกุลเต็มของเด็ก ครอบครัว และสถานที่อยู่โดยละเอียด ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียหายต่อการพิสูจน์ในกาลข้างหน้าและหากมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร จะรายงานข้อมูลให้ทราบ เป็นระยะๆ

.................................................


กรณีศึกษารอยป้ายศพรายใหม่

(Experimental Marking)

เดือนกันยายน พ.ศ.2552

กรณีศึกษาที่ : EM 01/0952

เด็กชายวีรวุฒิ(บอม) พรหมตระกูล

ภาพถ่าย เด็กชายวีรวุฒิ พรหมตระกูล ชื่อเล่น "บอม" เป็นบุตรของ นายวรวุฒิ พรหมตระกูล กับ นางฐิติพร สุวรรณราช เกิดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2550 อยู่บ้านเลขที่ 148/1 หมู่ 17 ต.ตะคร้อ อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ เด็กชายบอม มีรอยตำหนิปานแดงที่บริเวณหน้าผาก คล้ายรูปหยดน้ำ เป็นทางยาวไปจนถึงขอบผม(ในภาพ) ส่วนกว้างที่สุดกว้างประมาณ 3 ซม. มีปานดำที่บริเวณหน้าอกด้านขวาเป็นรอยหยักขนาดประมาณ 2X2 ซม. มีปานดำจางๆที่หลังแขนซ้ายเป็นทางยาวขนาดประมาณ 1X2 ซม. และมีปานดำจางๆที่บริเวณเหนือข้อศอกด้านขวาขนาดประมาณ 1X1.2 ซม. มาตั้งแต่กำเนิด

เมื่อเขาอายุได้ประมาณขวบกว่าๆเริ่มพูดได้ เขาเริ่มพูดทักทายเมื่อได้เห็นญาติ และพ่อแม่ ของ นายมงคล ใจเร็ว บุตรชายของ นายรุณ ใจเร็ว คนในหมู่บ้านเดียวกันซึ่ง ถูกฟ้าผ่าตายไปเมื่อ วันที่ 23 มิถุนายน 2549 ขณะออกไปเลี้ยงวัวและเข้าไปหลบฝนในห้างนา(เถียงนา) สภาพศพของนายมงคลไม่มีบาดแผลใดๆ มีแต่รอยถลอกเล็กน้อยที่บริเวณใต้คาง เสื้อบริเวณหน้าอกด้านขวาฉีกขาดออกเป็นรูโหว่ และขณะที่กำลังจะนำศพเข้าเมรุเผาศพ มีคนบอกให้แม่ยายของนายมงคลใช้อะไรป้ายศพไว้หน่อย ถ้านายมงคลสืบชาติมาเกิดใหม่เขาจะได้เอารอยนี้มาด้วย จะได้รู้ว่าเขาไปเกิดกับใคร แม่ยายของนายมงคลก็ได้ ใช้แท่งลิปสติกสีแดงของเธอป้ายไปที่บริเวณหน้าผากของศพ ด้วยอาการรีบร้อน เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่สัปเหร่อได้เคลื่อนย้ายศพนำเข้าเตาเผาพอดี จึงทำให้ลิปสติกที่ป้ายถูกลากเป็นทางยาวไปจนถึงขอบผมของศพ

ความตรงกันของรอยป้ายศพ กับรอยตำหนิปานแดงตั้งแต่แรกเกิดของ เด็กชายวีรวุฒิ พรหมตระกูล รวมทั้งคำพูดและการแสดงออกของเขาที่มีต่อญาติและพ่อแม่ของนายมงคล ทำให้เรามั่นใจในระดับหนึ่งแล้วว่าเราได้พบผู้ที่สืบชาติมาเกิดรายใหม่ ในหมู่บ้านตะคร้อ หมู่บ้านโลกตะลึง อีกแล้ว ผู้ติดตามศึกษาได้สัมภาษณ์ ตาและยายของเด็กชายวีรวุฒิแล้ว และได้สัมภาษณ์พ่อแม่ ภรรยา และแม่ยายของนายมงคลแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสได้พา เด็กชายบอมไปพิสูจน์ความทรงจำในอดีตชาติของเขา ที่บ้านหลังใหม่ของครอบครัว นายมงคล ซึ่งแม้จะเป็นบ้านหลังใหม่ที่ไม่ใช่หลังเดิมที่ นายมงคลเคยอยู่ แต่ก็ยังมีของใช้หรือสิ่งของที่ นายมงคลคุ้นเคยอยู่ หากมีความคืบหน้าประการใดจะรายงานให้ทราบต่อไปครับ

กรณีศึกษาที่ : EM 02/0952

กรณีนี้เป็นเด็กในหมู่บ้านตะคร้อเหมือนกันแต่ขอสงวนชื่อและข้อมูลบางส่วนไว้ก่อน

เนื่องจากเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม ซึ่งคดียังไม่หมดอายุความ

ผู้จำอดีตชาติรายใหม่ในหมู่บ้านตะคร้อรายนี้ เกิดเมื่อเดือนเมษายน 2550 ผู้ติดตามศึกษาได้สัมภาษณ์ทั้งครอบครัวในอดีตชาติและครอบครัวในปัจจุบันชาติไว้เรียบร้อยแล้ว เด็กมีรอยตำหนิ(ในภาพ) ที่บริเวณหน้าผาก ตำแหน่งตรงกันกับ รอยที่เจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพซึ่งอยู่ในอาการมึนเมาสุรา ได้เผลอฝากรอยหมึกที่ใช้พิมพ์ลายนิ้วมือศพที่ติดนิ้วตัวเองไว้ บริเวณหน้าผากของศพโดยไม่ได้ตั้งใจ พ่อของผู้ตายพยายามจะลบรอยหมึกนั้นก่อนที่จะเผาศพ แต่ลบออกไม่หมดแถมหมึกยังกระจายเป็นรอยกว้างขึ้นกว่าเดิม คือยังเป็นรอยสีดำจางๆอยู่ ซึ่งมีลักษณะตรงกันกับรอยตำหนิบริเวณหน้าผากที่มีมาตั้งแต่กำเนิดของเด็กชายคนนี้ นอกจากนี้เด็กยังมีรอยปานดำจางๆเป็นจุดเล็กๆ 4 จุด ที่บริเวณแผ่นหลัง และมีปานดำจางๆขนาดใหญ่กว่าทั้ง 4 จุด หน่อย ที่บริเวณข้างลำตัวด้านขวา ตรงกันกับรอยแผลกระสุนปืนลูกซองที่ยิงใส่เขาจากด้านหลัง จนล้มลง จากนั้นค้นร้ายได้เข้ามายิงซ้ำที่ด้านข้างลำตัวด้านขวาจนเสียชีวิต กรณีนี้มีเอกสารราชการคือใบชันสูตรพลิกศพยืนยันความตรงกันอย่างชัดเจน ที่สำคัญคือตอนนี้เด็กคนนี้ยังสามารถจำอดีตชาติได้ ว่าเป็นคนที่ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อน แต่ครอบครัวทั้งในอดีตชาติและในปัจจุบันชาติยังไม่อยากเปิดเผยเรื่องราวในขณะนี้ เนื่องจากคดียังไม่หมดอายุความ

เรืองราวของเด็กที่จำอดีตชาติได้รายนี้ เริ่มต้นขึ้นจากที่แม่ของเด็กไปเป็นเพื่อนแม่ของเธอที่ไปให้คนทรงในหมู่บ้านทำนายดวงชะตาให้ แต่เธอกลับถูกคนทรงทักว่า ให้คอยดูให้ดีมีคนที่ตายไปแล้วเขาจะหนีมาเกิดด้วย เด็กจะมีตำหนิที่หัว เธอถามว่าใครจะมาเกิดกับเธอหรือ คนทรงบอกว่าเอาเถอะก็รู้ๆกันดีอยู่ ตอนนั้นแม่ของเด็กเป็นกังวล แต่ตอนนั้นเธอยังไม่ตั้งท้อง ต่อมาเมื่อเธอตั้งท้องบุตรชายได้ประมาณ 4 เดือน คืนหนึ่งเธอได้ฝันไปว่า คนที่ถูกยิงเสียชีวิตซึ่งเป็นคนรู้จักคุ้นเคยกัน ได้มาตะโกนเรียกเธอ ในฝันเธอรู้สึกกลัวจึงไม่ได้ตอบรับแล้วก็แอบอยู่ในบ้าน ต่อมาไม่นานเธอก็ฝันอีกว่าเธอได้ไปเที่ยวงานวัด เธอเห็นคนที่ถูกยิงเสียชีวิตคนเดิม คอยตามเธอตลอด ในฝันเธอพยายามหลบ พยายามหนี แต่ชายคนนั้นก็จะมาอยู่ข้างหลังเธอตลอด ในฝันเธอรู้สึกกลัวมาก

ต่อมาเพื่อนหญิงคนหนึ่งของเธอ ซึ่งตอนนั้นย้ายจากหมู่บ้านไปอยู่กับแฟนเขาที่จังหวัดยโสธร ฝันเห็นคนที่ถูกยิงเสียชีวิตคนเดิม มาถามหาว่าเธออยู่ไหน เขาหาไม่เจอ เพื่อนคนนั้นได้โทรศัพท์มาเล่าความฝันให้เธอฟัง เธอก็รู้สึกกังวลใจว่าชายคนที่ถูกยิงตายจะมาเกิดเป็นลูกของเธอ เมื่อเธอคลอดลูกชายคนนี้ออกมาตอนแรกเธอก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติอะไร แต่น้องสาวของแม่เธอคนหนึ่งเป็นคนสังเกตเห็น รอยตำหนิที่หน้าผากของเด็กซึ่งมีลักษณะคล้ายรอยแผลเป็น แล้วก็มีปานดำจางๆเป็นจุดกลมๆเล็กๆที่หลัง 4 จุด และมีรอยปานดำจางๆใหญ่กว่าจุดที่ด้านหลัง ที่บริเวณข้างลำตัวด้านขวาของเด็ก รวมรอยตำหนิทั้งหมด 6 จุด

ต่อมาเมื่อลูกชายของเธออายุได้ประมาณ 3-4 เดือน พ่อแม่และพี่สาวของผู้ที่ถูกยิงเสียชีวิตได้ทราบข่าวจากชาวบ้าน ว่าลูกชายของเธอมีรอยตำหนิที่หน้าผาก(ตอนแรกทราบแค่นั้น) ก็พากันมาขอดูรอยตำหนินั้น เมื่อมาถึงเธอได้บอกกับพวกเขาว่า ความจริงแล้วลูกชายของเธอมีรอยตำหนิทั้งหมด 6 จุด ด้วยกัน คือ มีรอยด่างที่บริเวณหน้าผาก 1 จุด มีปานดำจางๆเป็นจุดกลมๆเล็กๆที่หลัง 4 จุด และมีปานดำจางๆที่ข้างลำตัว เมื่อพ่อแม่ของผู้เสียชีวิตเห็นพวกเขาก็บอกว่ารอยตำหนิทั้งหมดนั้น ตรงกันกับรอยหมึกที่ลบไม่ออกที่หน้าผากของศพ และตรงกันกับรอยแผลกระสุนปืนที่ลูกชายของพวกเขาถูกยิงที่หลัง 4 จุด และที่ข้างลำตัวอีก 1 จุด จากนั้นทุกคนก็เฝ้าติดตามสังเกตว่าเมื่อเด็กพูดได้เขาจะพูดอะไรให้ฟังบ้าง ซึ่งก็เป็นไปตามที่ทุกคนคาดไว้ เด็กบอกว่าเขาคือชายคนที่ถูกยิงตายเมื่อหลายปีก่อนสืบชาติมาเกิด บอกชื่อพ่อแม่ในอดีตชาติได้ถูกต้อง เรียกพี่สาวในอดีตชาติซึ่งอายุมากกว่าแม่ของเขาว่า "พี่" นอกจากนี้เขายังพูดและแสดงออกอีกหลายอย่างจนทำให้ครอบครัวพ่อแม่ของชายคนที่ถูกยิงตายเชื่อว่า เด็กชายคนนี้คือลูกชายของพวกเขาสืบชาติมาเกิดจริงๆ

ต้องขออภัยที่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดของกรณีศึกษารายนี้ได้ทั้งหมดเนื่องจากครอบครัวทั้งในอดีตชาติและครอบครัวในปัจจุบันชาติ เป็นห่วงในเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากคดีฆาตกรรมเพิ่งจะผ่านมาไม่นาน ยังไม่หมดอายุความ แต่กรณีนี้เป็นกรณีที่มีความน่าเชื่อถือสูงมาก เนื่องจากมีรอยตำหนิตรงกันกับร่องรอยในอดีตชาติถึง 6 จุด และเด็กยังสามารถจำอดีตชาติได้ หากได้รับการอนุญาตจากครอบครัวทั้งในอดีตชาติและในปัจจุบันชาติ ก็จะนำข้อมูลทั้งหมดออกมาเปิดเผย เพื่อประโยชน์ในการที่จะพิสูจน์และยืนยัน ว่าชีวิตหลังความตาย และการเกิดใหม่นั้น เป็นธรรมชาติที่มีอยู่จริง ซึ่งจะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อมวลมนุษย์ชาติ อีกหลายพันล้านคนที่ยังหลงผิดว่า ชีวิตหลังความตายและการเกิดใหม่ไม่มีจริง

สำหรับกรณีนี้ผู้ติดตามศึกษามีข้อสังเกตว่า ทำไมบริเวณรอยแผลกระสุนปืนที่ทำให้เขาเสียชีวิต จึงเป็นเพียงรอยปานดำจางๆ แต่รอยหมึกที่ติดมาโดยไม่ได้ตั้งใจกลับเป็นรอยที่ชัดเจนกว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่วิญญาณของผู้ตาย รู้เห็นเหตุการณ์โดยตลอด และเลือกที่จะจำรอยที่ หน้าผากมากกว่ารอยแผลกระสุนปืนที่ทำให้เขาเสียชีวิต จึงส่งผลให้รอยตำหนิที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิดที่บริเวณหน้าผาก ชัดเจนกว่ารอยตำหนิปานดำที่ด้านหลังและบริเวณข้างลำตัว

.................................................

ข้อมูลการศึกษาวิจัยในต่างประเทศ

Birthmarks and Birth Defects

Corresponding to Wounds on Deceased Persons

Professor Ian Stevenson

เอกสารและรายงานการศึกษาวิจัย

- Reincarnation & biology (Professor Ian Stevenson)

- Why pigmented birthmarks occur inparticular locations of the skin (Professor Ian Stevenson)

- Cases of the Reincarnation Type in Northern IndiaWith Birthmarks and Birth Defects (Dr.Satwant K. Pasricha, Ph.D.)

กรณีของ เด็กชายชนัย ชูมาลัยวงศ์ ประเทศไทย

คำขอบคุณจากใจเว็บมาสเตอร์

สำหรับผู้ร่วมบริจาค

สมทบทุนสนับสนุนโครงการติดตามศึกษาคนจำอดีตชาติได้

ผู้ร่วมบริจาค : DONATORS

สมมุติฐานจากคำอธิบายในทางพระพุทธศาสนา

สมมุติฐานที่ 1. การที่บางคนสามารถจำอดีตชาติได้นั้น อาจมีสาเหตุมาจากการที่ ความทรงจำในอดีตชาตินั้นยังอยู่ในระดับของวิถีจิตหรือจิตสำนึกปกติ(Consciousness) หรือถูกระลึกถึงอยู่เสมอ หรือถูกทบทวนอยู่บ่อยๆ หรือมีความฝังใจ หรือมีเจตนาที่แรงกล้า หรือความหนักแน่นมั่นคง หรือมีความชัดเจน และจิตหรือวิญญาณของผู้เสียชีวิตมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดี ขณะเสียชีวิต หรือหลังจากเสียชีวิต หรือขณะที่วิญญาณก้าวลงสู่ครรภ์มารดา หรือขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา หรือขณะคลอดจากครรภ์มารดา หรือหลังคลอดจากครรภ์มารดา ทำให้ความทรงจำในอดีตชาตินั้นถูกยกขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกันกับวิถีจิตหรือจิตสำนึกปกติ จึงทำให้สามารถจำอดีตชาติได้ด้วยความทรงจำปกติตั้งแต่เด็ก

สมมุติฐานที่ 2. การที่จิตหรือวิญญาณของผู้เสียชีวิตสามารถจดจำ ลักษณะของการป้ายศพ(Experimental Marking) สีที่ใช้ป้าย ตำแหน่งที่ป้ายได้ หรือสามารถจดจำรอยแผลเป็น ไฝ ปาน รอยสัก หรือรอยต่างๆของตัวเองที่มีอยู่ก่อนเสียชีวิตได้ หรือสามารถจดจำบาดแผลทั่วไปหรือบาดแผลที่ทำให้เสียชีวิตได้ หรือสามารถจดจำอาการบาดเจ็บ รอยฟกช้ำ หรือร่องรอยผิดปกติบกพร่องทางร่างกายอื่นๆได้ แล้วสามารถทำให้เกิดลักษณะร่องรอยเหมือน คล้าย หรือตรงกันกับลักษณะดังกล่าวบนผิวหนังของทารกในครรภ์ หรือมีอาการเหมือน คล้าย หรือตรงกันกับลักษณะอาการต่างๆของผู้เสียชีวิตได้ นั่นแสดงว่าความทรงจำในอดีตชาตินั้นมีความชัดเจน หนักแน่นมั่นคง มีกำลังหรือมีพลังมาก และแสดงให้เห็นว่าจิตหรือวิญญาณนั้น มีพลังความสามารถหรือมีอิทธิพลเหนือร่างกายได้อย่างชัดเจน และเมื่อความทรงจำนั้นมีความชัดเจนและมีพลังจนสามารถทำให้เกิดร่องรอยและอาการต่างๆกับร่างกายของเด็กได้ เด็กก็น่าจะจำอดีตชาติได้เช่นกัน

สมมุติฐานที่ 3. การที่บางคนจำอดีตชาติไม่ได้ด้วยความทรงจำปกตินั้น อาจมีสาเหตุมาจากการที่ความทรงจำในอดีตชาตินั้น ถูกดึงเข้าไปอยู่ในระดับของภวังคจิตหรือจิตใต้สำนึก(Subconciousness) เพราะความทรงจำในอดีตชาตินั้น ไม่ได้ถูกระลึกถึงอยู่เสมอ หรือไม่ได้ถูกทบทวนอยู่บ่อยๆ หรือไม่มีความฝังใจ หรือไม่มีเจตนาที่แรงกล้า หรือไม่มีความหนักแน่นมั่นคง หรือไม่มีความชัดเจน และจิตหรือวิญญาณของผู้เสียชีวิตไม่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดี ขณะเสียชีวิต หรือหลังจากเสียชีวิต หรือขณะที่วิญญาณก้าวลงสู่ครรภ์มารดา หรือขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา หรือหลังคลอด ทำให้ความทรงจำในอดีตชาตินั้นถูกดึงลงไปอยู่ในระดับเดียวกันกับภวังคจิตหรือจิตใต้สำนึก จึงทำให้ไม่สามารถจำอดีตชาติได้ด้วยความทรงจำปกติตั้งแต่เด็ก

สมมุติฐานที่ 4. เป็นไปได้หรือไม่ว่า ความทรงจำของเรานั้นคือส่วนของสัญญาและส่วนของภวังคจิต ซึ่งลักษณะของสัญญาและภวังคจิต นั้น เป็นนามธรรมที่ไม่มีตัวตนให้จับต้องได้ ไม่สามารถนำมาชั่งตวงวัดได้ แต่สามารถรับรู้ได้ และเป็นธรรมชาติที่เก็บความทรงจำของชีวิตในอดีตหรือในอดีตชาติที่ผ่านๆมาไว้ สำหรับความทรงจำใดๆก็ตามที่ถูกละเลย ไม่สนใจ ไม่สำคัญ ไม่ได้ถูกทบทวน หรือไม่ได้ถูกระลึกถึงอยู่บ่อยๆ จะถูกดึงลงสู่ภวังคจิตหรือจิตใต้สำนึกที่อยู่ลึกลงไป ไม่ได้สูญหายไปไหน

สมมุติฐานที่ 5. การเผลอหรือขาดสติสัมปชัญญะ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ความทรงจำในอดีตหรือในอดีตชาตินั้น ไม่ได้ถูกยึดเหนี่ยวหรือถูกรักษาไว้ให้อยู่ในระดับของวิถีจิตหรือจิตสำนึกปกติ และถูกดึงลงไปสู่ความทรงจำระดับภวังคจิตหรือจิตใต้สำนึก จึงทำให้ไม่สามารถจำอดีตหรือจำอดีตชาติได้

สมมุติฐานที่ 6. ผู้ที่ไม่สามารถจำอดีตหรือจำอดีตชาติได้ด้วยความทรงจำปกติตั้งแต่เด็กนั้น หากมีการใช้วิธีการใดๆเพื่อที่จะทำให้จิตสงบนิ่งในระดับหนึ่ง เช่น การนอนหลับให้สนิทลึก การสะกดจิต หรือการฝึกสมาธิ จะทำให้ผู้ที่ไม่สามารถจำอดีตหรือจำอดีตชาติได้ด้วยความทรงจำปกติ สามารถดึงเอาความทรงจำในอดีตหรือในอดีตชาติ ที่ถูกเก็บไว้ในระดับของภวังคจิตหรือจิตใต้สำนึกออกมาได้