แผนที่ประกอบ : Sonta Rasulpur,Muzaffarnagar
ข้อมูลเบื้องต้น : จากหนังสือ "23 ผู้กลับมาเกิดใหม่" แปลและเรียบเรียงโดย : เต็ม สุวิกรม อภิธรรมมูลนิธิ, 2513
ซึ่งแปลมาจากเรื่องราวบางส่วนของหนังสือ "Twenty Cases Suggestive of Reincarnation" (20 กรณีแนะนำของการกลับชาติมาเกิดใหม่)
โดย ดร.เอียน สตีเวนสัน
แปลและเรียบเรียงข้อมูลเพิ่มเติมโดย : ธวัชชัย ขำชะยันจะ เว็บมาสเตอร์
การจำอดีตชาติได้ตายแล้วเกิดรายนี้ แปลกกว่ารายอื่นๆ
เพราะเป็นการตายแล้วฟื้น วิญญาณคนอื่นมาสวมร่าง และจำอดีตชาติได้
ในฤดูใบไม้ผลิ คือระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๗ บุตรชายของ นายศรีธารี ลาล ชัต เมืองราซัลปูร์(Sonta Rasulpur) จังหวัดมูซาฟฟานาคาร์(Muzaffarnagar) แคว้นอุตรประเทศ(Uttar Pradesh) ชื่อว่า ชาสพีระ อายุได้ ๓ ขวบ ๖ เดือน เจ็บหนักด้วยโรคไข้ทรพิษหรือฝีดาษ มีลักษณะอาการที่ว่าถึงแก่ความตายแล้ว บิดาของชาสพีระจึงไปขอแรงญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านให้ช่วยกันนำบุตรไปฝัง เพราะธรรมเนียมของชาวฮินดู เด็กอายุต่ำกว่า ๕ ขวบ ตายจะต้องฝัง และศพผู้ใหญ่ที่ตายด้วยโรคระบาด เช่น อหิวาตกโรคและไข้ทรพิษหรือฝีดาษก็เผาไม่ได้ จะต้องฝัง
ผู้ป่วยโรคไข้ทรพิษหรือฝีดาษ
ด้วยเหตุที่เด็กตายตอนกลางคืนดึกแล้ว ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านก็เห็นกันว่า ควรจะรอจนรุ่งสางแล้วค่อยนำไปฝัง จึงรอกันอยู่
๒-๓ ชั่วโมงต่อมา นายศรีกีรธารี ลาล ชัต มองไปที่ศพก็เห็นร่างของเด็กเคลื่อนไหวแล้วสักครู่เด็กก็ฟื้นขึ้นมา แต่เด็กยังอ่อนเพลียไม่มีแรง รักษาเยียวยากันอีกหลายวันเด็กจึงพูด และอีกหลายสัปดาห์เด็กจึงพูดจาเล่าเรื่องต่างๆได้
พอเด็กพูดจาได้เรื่องราวขึ้น ก็ปรากฏว่าเด็กคนนี้ได้เปลี่ยนแปลงลักษณะอาการนิสัยใจคอไปเสียแล้ว เด็กชายชาสพีระกล่าวว่า ตัวเขานั้นเป็นบุตรของนายชังคาร ซึ่งอยู่ตำบลเวเฮดีเขาจะกลับไปยังบ้านของเขา
เด็กชายชาสพีระ ผู้นี้หลังจากฟื้นขึ้นจากที่คิดว่าตายแล้วนั้น ก็ไม่ยอมแตะต้องอาหารในบ้าน เขาว่าตัวเขาเป็นพราหมณ์ มีวรรณะสูง เขาไม่ยอมกินอาหารในบ้านยังดีที่มีหญิงเพื่อนบ้านใกล้เคียงผู้หนึ่งเป็นพราหมณ์รู้เรื่องเข้า นางก็รับจัดการหุงหาอาหารให้ โดยบิดาของชาสพีระเป็นผู้จัดซื้อของไปให้นางหุงต้มให้ตามประเพณีของพราหมณ์ เด็กชายชาสพีระจึงยอมรับประทาน
คนในครอบครัวของเด็กชายชาสพีระพยายามที่จะให้เด็กเลิกรับประทานแบบนี้โดยแสดงความเบื่อหน่าย รังเกียจ บางทีก็หลอกเอาของในบ้านทำเองให้รับประทาน บอกว่านางพราหมณีหุงต้มมาให้ก็มี
อยู่มาอย่างนี้เกือบ ๒ ปี เด็กชายชาสพีระจึงยอมเลิกรับประทานอาหารพราหมณ์มารับประทานอาหารร่วมกับพี่น้องได้
เด็กชายชาสพีระเล่าเรื่องเดิมของตนตอนฟื้นจากความตายและหายสนิทดีแล้วว่า ตัวเขานั้นเป็นชาวตำบลเวเฮดี เขาถึงแก่ความตายเนื่องจากเข้าร่วมขบวนแห่ในงานแต่งงานของคู่บ่าวสาวคู่หนึ่งซึ่งแห่ไปยังต่างตำบล เขาขับรถล้อเทียมวัวของเขาเข้าขบวนแห่ไป เขาถูกวางยาพิษโดยชายผู้เป็นลูกหนี้ของเขาคนหนึ่ง เอาขนมใส่ยาพิษให้เขากิน เขาเกิดหน้ามืดหมดสติแล้วพลัดตกจากรถ ศีรษะฟาดพื้นถนนได้รับบาดเจ็บ อยู่ได้อีกหลายชั่วโมงก็ถึงแก่ความตาย
ดร.เอียน สตีเวนสัน ไปสอบเรื่องนี้เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๔ ซึ่งเด็กชายชาสพีระตอนนั้นอายุได้ ๗ ขวบ ได้เรื่องราวมาดังนี้
บิดาของเด็กชายชาสพีระพยายามปิดบังเรื่องเด็กฟื้นจากความตายแล้วมาเล่าเรื่องเป็นคนอื่น แต่ความก็ยังแพร่งพรายไปจนได้ ก็เพราะเรื่องนางพราหมณีหุงหาอาหารแบบพราหมณ์ให้เด็กชายชาสพีระรับประทานนั่นเอง ความก็ทราบกันในหมู่พราหมณ์
มีพราหมณ์ชาวเมืองราซัลปูร์ผู้หนึ่งซึ่งเป็นชาวบ้านเดียวกันกับเด็กชายชาสพีระแต่ได้ภรรยาเป็นพราหมณ์ตำบลเวเฮดี ชื่อ ศรีมาติ ชยาโม นางไปๆมาๆอยู่ระหว่างเวเฮดีกับราซัลปูร์
ในปี พ.ศ.๒๕๐๐ เด็กชายชาสพีระเห็น นางศรีมาติ ชยาโม เข้าก็ร้องทักว่าเป็นน้า นางศรีมาติจึงรู้เรื่องนี้และนำความไปเล่าให้ญาติพี่น้องที่เวเฮดีฟัง ความจึงปรากฏว่ามีเหตุการณ์ตรงกันว่า ที่ตำบลเวเฮดีซึ่งอยู่ห่างจากราซัลปูร์ราว ๓๒ กิโลเมตรนั้น มีบุตรชายของ นายศรีชังคาร ลาล ทยากี ชื่อ โสภาราม ถึงแก่ความตายเมื่ออายุ ๒๒ ปี โสภารามตายในเดือน พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๗ โดยหน้ามืดตกจากรถเทียมวัวตรงกันกับที่เด็กชายชาสพีระเล่าให้ฟัง ต่างกันเล็กน้อย คือฝ่ายตระกูล ทยากี ไม่ทราบว่า โสภาราม ตายเพราะถูกวางยาพิษโดยลูกหนี้ และพวกเขาก็ไม่ทราบเลยว่าโสภารามมีลูกหนี้
ไม่ช้าสามีของนางสรีมาติ ชยาโม คือนายศรีระวี ทัต สุขลา ก็ไปยังราซัลปูร์ไปดูเด็กชายชาสพีระ ต่อมาบิดาของโสภารามและญาติพี่น้องก็พากันไปเยี่ยมดูเด็กชายชาสพีระ ที่บ้านที่ราซัลปูร์
เด็กจำบิดาและญาติพี่น้องได้หมด ในนามของ โสภาราม ต่อมาอีก ๒-๓ สัปดาห์ ผู้จัดการโรงน้ำตาลแห่งตำบลเวเฮดีก็จัดการขอนำตัวเด็กชายชาสพีระมายังตำบลเวเฮดี
พอลงจากรถไฟ ผู้จัดการก็บอกเด็กชายชาสพีระให้นำทางไปยังบ้านของโสภาราม เด็กก็นำตรงไปยังบ้านของโสภารามโดยไม่ลังเล
เด็กชายชาสพีระพักค้างอยู่ที่ตำบลเวเฮดีอยู่หลายวัน เขามีความสุขสบายใจมาก ที่บ้านของโสภาราม และตอนกลับก็แสดงความอาลัยมาก
และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เด็กชายชาสพีระ ก็ไปยังตำบลเวเฮดีอยู่เสมอ ไปครั้งหนึ่งก็พักอยู่นานยิ่งฤดูแล้งยิ่งอยู่นานหลายอาทิตย์ ดูเด็กชายชาสพีระจะอยากอยู่ทางเวเฮดีมากกว่าราซัลปูร์เสียอีก พอกลับไปถึงราซัลปูร์เขาจะดูเหงาหงอยไป
ดร.สตีเวนสัน ไปสอบเรื่องนี้สองครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๔ ต่อมาไปอีกครั้งเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๗ ได้สอบเรื่องราวพบหลักฐานต่างๆเป็นอันมาก
ปรากฏว่า โสภาราม มามีเหตุในตอนขบวนแห่งานแต่งงานแห่กลับตำบลเวเฮดี เหตุเกิดเมื่อยังอยู่ห่างจากตำบลเวเฮดีมากพวกที่ไปพาคนเจ็บกลับบ้าน และโสภารามก็มาสิ้นใจที่บ้านตำบลเวเฮดี
ดังได้เล่ามาแล้วว่า เด็กชายชาสพีระไม่ยอมแตะต้องอาหารที่บ้านหลังจากฟื้นจากความตายขึ้นมา จนนางพราหมณ์ข้างบ้านต้องหุงหาอาหารแบบพราหมณ์ให้จึงยอมรับประทาน ทางบ้านไม่พอใจ บางทีก็แกล้งหลอกว่าเป็นอาหารที่นางพราหมณีทำให้ซึ่งแท้จริงแล้วทำเองที่บ้านอยู่ราว ๒ ปี เด็กชายชาสพีระจึงเลิกรังเกียจ ยอมรับประทานอาหารที่ปรุงที่บ้าน
บิดาของเด็กชายชาสพีระเล่าว่า แม้เด็กชายชาสพีระจะยอมเลิกรับประทานอาหารพราหมณ์แล้วแต่เขาก็ยังถือว่าตัวเองเป็นโสภารามอยู่เหมือนเดิม เขาพูดเสมอว่า เขาเป็นบุตรชายของ นายศรีชังคาร ลาล ทยากี แห่งตำบลเวเฮดี ถ้อยคำที่เด็กชายชาสพีระพูด ก็เป็นภาษาของพวกวรรณะพราหมณ์ ใช้ศัพท์สูงๆทั้งนั้นครั้งหนึ่งเด็กชายชาสพีระถึงกับจะหนีออกจากบ้าน เพื่อกลับไปยังตำบลเวเฮดี เขาทำตัวเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ พูดจาว่าเขามีภรรยามีบุตรแล้ว ต่อมาเขาก็พูดเรื่องมีบุตรและภรรยาน้อยลง เพราะถูกเด็กๆด้วยกันล้อเลียน แต่เขาก็ไม่เลิกคิดถึงบ้านที่ตำบลเวเฮดี
เมื่อเด็กชายชาสพีระอายุได้ ๖ ขวบ มารดาของเขาล้มเจ็บ เด็กชายชาสพีระบอกกับบิดาว่าถ้าที่บ้านขาดเงินสำหรับรักษาพยาบาลแม่ เขาจะไปเอาที่ตำบลเวเฮดีให้ เงินของเขายังมีอยู่
เด็กชายชาสพีระเมื่อได้พบพวกสกุลทยากี ก็แสดงความรักใคร่ สังเกตเห็นได้ชัดว่าสำหรับ เด็กชายพาเลชะวาระ บุตรชายของโสภาราม เด็กชายชาสพีระจะมีความรักใคร่มากเป็นพิเศษ เวลาที่เด็กชายชาสพีระไปเที่ยวบ้านที่ตำบลเวเฮดี เขาจะนอนกับเด็กชายพาเลชะวาระ นอนด้วยกันสองคนในเรือนหลังเล็กๆ เขาทำตัวเหมือนเป็นบิดาของเด็กชายพาเลชะวาระ เวลาเด็กชายพาเลชะวาระไปโรงเรียนตอนเช้า เด็กชายชาสพีระจะบ่นไม่อยากให้ไป และเมื่อเด็กชายชาสพีระได้ของอะไร เขาก็จะแบ่งให้กับเด็กชายพาเลชะวาระ
ทั้งสองสกุลเห็นตรงกันว่า เด็กชายชาสพีระมีความสุขเมื่อได้อยู่ที่เวเฮดี เมื่อถึงเวลาทางบ้านราซัลปูร์มาตามตัวกลับ เด็กชายชาสพีระมักจะไม่ยอมกลับ บางทีก็ร้องไห้ไม่ยอมกลับ และเมื่อกลับไปอยู่ที่ราซัลปูร์ เด็กก็จะดูหงอยเหงา
ดร.สตีเวนสัน สังเกตเห็นว่า เด็กชายชาสพีระไม่ค่อยชอบเล่นกับเด็กๆด้วยกัน เขาชอบอยู่คนเดียว บิดาของเด็กชายชาสพีระบอกว่า เดิมทีเดียวเด็กชายชาสพีระชอบของเล่นมากและชอบเล่นสนุกสนานกับเด็กๆด้วยกัน แต่หลังจากตายแล้วฟื้นขึ้นมา เขาก็เปลี่ยนแปลงไป
เมื่อ ดร.สตีเวนสัน ไปพบเด็กชายชาสพีระเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๗ ตอนนั้น เด็กชายชาสพีระ อายุได้ ๑๔ ปี ตอนนั้นเขายังมีลักษณะเงียบขรึมอยู่ แต่ดูเขาพูดจาเล่าเรื่องได้คล่องแคล่วกว่าที่มาคราวก่อนเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๔
ญาติพี่น้องของเด็กชายชาสพีระบอกว่า ตอนแรกๆที่เด็กชายชาสพีระเล่าเรื่องของโสภารามให้ฟังนั้น พวกเขาไม่เชื่อ บางคนก็ดุเอาว่าเพ้อเจ้อเหลวไหล เมื่อถูกต่อว่าเด็กชายชาสพีระก็จะปลีกตัวออกห่างจากพวกพี่น้อง ไม่แตะต้องอาหาร บอกว่าเป็นอาหารของชนวรรณะต่ำ เขาต้องรับประทานอาหารของชนชั้นพราหมณ์ ซึ่งการที่เขาแสดงกิริยาอาการแบบนี้เองที่ทำให้พวกญาติพี่น้องรู้สึกยกย่องเขาไม่ต่อว่าเขาอีก และพยายามให้ความรักใคร่เขามากขึ้น แต่ดูเขาก็ยังวางตัวห่างจากพวกญาติพี่น้องอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อครั้งที่เด็กชายชาสพีระไปเยี่ยมบ้านของโสภารามที่ตำบลเวเฮดีนั้น พวกพี่น้องของเด็กชายชาสพีระรู้สึกไม่ค่อยจะกระตือรือร้นหรือสนใจนัก ส่วนพวกบ้านเวเฮดีรู้สึกว่าพวกพี่น้องของเด็กชายชาสพีระหวงแหนเกรงว่าเขาจะไปอยู่กับพวกเวเฮดี แทนที่นายโสภาราม
ในปี พ.ศ.๒๕๐๔ มีการแต่งงานที่ตำบลเวเฮดี เด็กชายชาสพีระขออณุญาตบิดามารดาไปร่วมงานแต่งด้วย แต่บิดามารดาของเขาไม่ยอมให้ไป ด้วยเกรงว่าเด็กชายชาสพีระจะไปผูกพันสนิทสนมกับกับพวกทยากี ที่เวเฮดีมากเกินไป
คราวหนึ่ง นายศรีชังคาร ลาล ทยากี บิดาของโสภารามป่วย พวกพี่น้องก็ให้คนมาตามเด็กชายชาสพีระไปเยี่ยมพ่อของโสภารามที่เวเฮดี แต่พี่น้องของเด็กชายชาสพีระไม่ยอมให้ไป ยิ่งจะให้ไปพบภรรยาหม้ายของนายโสภาราม ยิ่งไม่อยากให้ไป
ดร.สตีเวนสัน ได้สอบถามเด็กชายชาสพีระเกี่ยวกับเหตุการณ์ชีวิตหลังความตายของนายโสภาราม เด็กชายชาสพีระบอกว่า หลังจากที่ตัวเขา(โสภาราม)ได้ตายไปแล้ว เขาได้พบกับพระรูปหนึ่ง พระรูปนั้นบอกให้เขาไปเข้าร่างของเด็กชายชาสพีระ บุตรของนายศรีธารี ลาล ชัต เขาจึงไปเข้าร่างของเด็กชายชาสพีระตอนที่เด็กชายชาสพีระหมดลมหายใจตายไปแล้ว
เด็กชายชาสพีระได้พูดและแสดงออกเหมือนกับว่าตัวเขาเป็นนายโสภารามจริงๆ เขาบอกเล่าถึงสถานที่ เรื่องราวต่างๆ และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับนายโสภาราม ได้เป็นอันมาก เช่น บอกว่าเขาคือนายโสภาราม เขาเป็นพราหมณ์ อยู่ที่ตำบลเวเฮดี ที่ตำบลเวเฮดีมีท่อน้ำใหญ่ลอดใต้ทางรถไฟ ภรรยาของโสภารามเป็นชาวตำบลโมลนา วัวที่ลากรถของเขาตัวหนึ่ง สีขาว เขายาว อีกตัวหนึ่งสีดำ เขาสั้น หน้าบ้านของโสภารามมีต้นมะขามใหญ่ และที่บ้านมีบ่อน้ำแห่งหนึ่งซึ่งครึ่งหนึ่งของบ่อน้ำอยู่ในที่ดินของโสภารามอีกส่วนหนึ่งอยู่ในที่ของคนอื่น ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องที่ถูกต้องและเป็นจริงทั้งสิ้น
เมื่อเวลาที่บิดาของโสภารามเดินเข้ามาในบ้าน เด็กชายชาสพีระเห็นก็พูดขึ้นมาว่า บิดาของเขามาแล้ว ท่านมาจากเวเฮดี เขาบอกด้วยว่าเขามีบุตร ชื่อว่า พาเลชะวาระ ภรรยาเขาชื่อ สุมนตร์ และเขายังบอกชื่อญาติพี่น้องอีกหลายคน เขาบอกว่าตอนที่เขาตายนั้นเขามีเงินส่วนตัวอยู่ ๑๐ รูปี เขาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อสีดำ และเสื้อนั้นเขาเก็บไว้ในหีบ เมื่อคราวที่มารดาของเด็กชายชาสพีระป่วย เด็กชายชาสพีระบอกว่าถ้าไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล เขามีเงินอยู่ที่เวเฮดี ซึ่งก็คือเงินที่เขาเก็บไว้ในกระเป่าเสื้อนั่นเอง
และเมื่อครั้งที่เขาไปที่เวเฮดี ญาติพี่น้องพากันออกไปที่ทุ่งนาแล้วให้ชี้ว่านาตอนไหนเป็นนาของโสภาราม ซึ่งเขาก็ชี้ได้ถูกต้อง มีครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งมาที่บ้านของเด็กชายชาสพีระ เมื่อเขาเห็นชายคนนั้นเขาก็แสดงว่าเขารู้จัก ชายคนนั้นเป็นเพือนบ้านของสกุลทยากี แต่ชายคนนั้นประพฤติไม่ดี เมื่อคราวที่พวกบ้านของโสภารามทะเลาะวิวาทกันกับเพื่อนบ้าน ชายคนนั้นเป็นคนตีสองหน้า
นี่เป็นกรณีที่ ดร.เอียน สตีเวนสัน บอกว่าแปลกกว่าคนอื่น