แผนที่ประกอบ : Uggalkaltota , Uva ; Sri Lanka
นาย เอช เอ วิชรัตนี เกิดที่ตำบล อุคคัลกัลโตตะ(Uggalkaltota) ประเทศศรีลังกา(Sri Lanka) เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นบุตรของ นายเอช เอ ติเลรัตนี ฮามี และ นางรัตรัน ฮามี
ตั้งแต่แรกกำเนิด ปรากฏมีรอยเหมือนแผลเป็นอยู่ที่หน้าอกเบื้องขวา ใต้กระดูกไหปลาร้า เป็นรอยบุ๋มลงไปกว้างประมาณ ๒ นิ้ว และแขนขวาของเด็กผู้นี้ลีบพิการ แขนข้างขวาสั้นกว่าแขนข้างซ้ายซึ่งเป็นแขนดี แขนขวาลีบเล็กกว่าธรรมดาครึ่งหนึ่งและนิ้วมือของมือขวาพิการอีกด้วย คือทุกๆนิ้วของมือข้างขวาสั้นกุด มีข้อเพียงข้อเดียว นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วและนางติดกันโดยมีหนังยึดไว้ ส่วนนิ้วหัวแม่มือและนิ้วก้อยแยกออกได้ นายวิชรัตนี ใช้มือข้างขวาเพียงจับปากกาหรือดินสอเขียนหนังสือได้เท่านั้น แต่จะใช้งานหนักกว่านี้ไม่ไหว เป็นอันว่ามือข้างขวาแทบจะใช้การอะไรไม่ได้เลย ดร .เอียน สตีเวนสัน ไปสอบถามเรื่องนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ ขณะที่เด็กชายวิชรัตนี อายุได้ ๑๔ ปี รอยแผลเป็นและความผิดปกติพิการของเขาก็ยังคงปรากฏอยู่
สำหรับรอยแผลเป็นที่อกข้างขวาและมือข้างขวาที่พิการของนายวิชรัตนีนี้ มีความเป็นมาดังจะได้เล่าต่อไปนี้.. เมื่อครั้งที่นายวิชรัตนี หรือ เด็กชายวิชรัตนี อายุได้ ๒ ขวบเศษ เดินได้แล้ว เขามักจะพูดรำพึงรำพันคนเดียวบ่อยๆ มารดาเห็นผิดสังเกตจึงตั้งใจฟังดู ก็ได้ยินเสียงเด็กชายวิชรัตนีรำพึงรำพันอยู่คนเดียวว่าแขนขวาพิการก็เพราะเมื่อชาติก่อนได้ฆ่าภรรยาไว้ เด็กก็ได้พูดรำพึงรำพันถึงเรื่องราวที่ได้ฆ่าภรรยา(ในอดีตชาติ)ไว้มากมาย ซึ่งนางรัตรันผู้เป็นแม่ได้ยินแต่ไม่ทราบว่าเขาพูดถึงเรื่องราวของใคร จึงได้ถามสามีคือ นายติเลรัตนีดู นายติเลรัตนีบอกกับนางรัตรันว่า สงสัยว่าเด็กคงจะพูดรำพึงรำพันถึงชาติก่อน ซึ่งเรื่องราวที่เด็กชายวิชรัตนีพูดนั้นเป็นเรื่องราวของ นายรัตรัน ฮามี(ชื่อเดียวกันกับมารดาของนายวิชรัตรัน) น้องชายของนายติเลรัตนี ที่ได้ฆ่าภรรยาของตัวเองและต้องโทษประหารชีวิต เมื่อปีพ.ศ.๒๔๗๑ สงสัยว่านายรัตรันจะสืบชาติมาเกิดเป็นเด็กชายวิชรัตนี ซึ่งก่อนหน้านี้นายติรัตนีได้เคยบอกภรรยาตั้งแต่ตอนที่เด็กชายวิชตนียังเล็กๆว่า สงสัยว่าจะเป็น นายรัตรัน น้องชายมาเกิดเป็นลูกชาย เพราะสังเกตเห็นว่าลูกชายคนนี้หน้าตาและผิวพรรณเหมือนกับนายรัตรัน ส่วนบุตรคนอื่น ๆ นั้นผิวค่อนข้างขาว
แต่ตอนนั้นนางรัตรันภรรยาไม่สนใจ เมื่อนางรัตรันมาได้ยินลูกชายพูดรำพึงรำพันถึงชาติก่อนจึงได้สอบถามนายติเลรัตนีสามี เพราะนางรัตรันภรรยาของนายติเลรัตนี ไม่เคยรู้เรื่องที่น้องชายสามีฆ่าคนและถูกประหารชีวิตมาก่อนเลย เพราะนางแต่งงานกับนายติเลรัตนี เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๗ หลังจากเกิดเรื่องฆ่ากัน ๘ - ๙ ปี ที่เกิดเหตุก็ห่างไกลจากบ้านของนางมาก นางไม่เคยได้ยินเรื่องราวเลย ทั้งสามีก็ไม่เคยเล่าให้ฟังมาก่อน
เด็กชายวิชรัตนี ชอบพูดถึงเรื่องชาติก่อนมาก บิดาห้ามไม่ให้พูดก็ไม่ยอม บางทีก็พูดรำพึงรำพันอยู่คนเดียว และชอบพูดเมื่อมีคนมาทักเรื่องแขนที่พิการ เด็กชายวิชรัตนีเล่าได้ละเอียดลออเหมือนกับเคยได้ประสบเหตุการณ์เรื่องราวเหล่านั้นด้วยตัวเอง โดยเฉพาะกับนางรัตรันมารดา เด็กชายวิชรัตนีพูดถึงเรื่องราวในชาติก่อนหลายครั้ง บางทีนึกเรื่องใดขึ้นมาได้ก็พูดขึ้นมาเฉยๆ ไม่ปะติดปะต่อกัน วันนี้พูดเรื่องหนึ่ง วันต่อๆไปก็พูดอีกเรื่องหนึ่ง บางครั้งก็พูดกับนางรัตรัน บางครั้งก็พูดคนเดียว โดยที่นางรัตรันไม่ได้ถามหรือบอกให้พูด
ต่อมาเมื่อเด็กชายวิชรัตนีอายุได้ ๕ ขวบ ความทราบถึง พระภิกษุอนันทะ เมตไตรยะ ศาสตราจารย์ฝ่ายพุทธปรัชญา วิทยาลัยวิทยาลังการพิริเวณะ เมืองโคลัมโบ ได้มาสอบถามเรื่องราวประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๔ - ๒๔๙๕ ต่อจากนั้นเมื่อเด็กอายุได้ ๕ ขวบเศษก็ค่อย ๆ เลิกพูดถึงชาติก่อน เว้นแต่เมื่อใครทักถามขึ้นจึงจะเล่าให้ฟัง
ดังได้กล่าวแล้วว่า ดร.เอียน สตีเวนสัน ได้ไปสัมภาษณ์เรื่องนี้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ตอนนั้นเด็กชายวิชรัตนี ยังจำอดีตชาติได้อยู่ ดร.เอียน ได้ตรวจสอบข้อมูลหลักฐานทางคดี ตลอดจนสัมภาษณ์บุคคลต่างๆที่รู้เห็นเรื่องราวในชาติก่อนที่เคยเกิดขึ้นกับนายรัตรัน ประมวลความได้ดังนี้
ชาติก่อนเด็กชายวิชรัตนีเคยเกิดเป็นน้องชายของนายติเลรัตนีบิดาของเขาเอง ชื่อ นายรัตรัน ฮามี เป็นชาวนาอยู่ที่ตำบลคัลโตตะ เคยมีภริยามาแล้วคนหนึ่ง แต่ภรรยาเสียชีวิต จึงตกพุ่มม่าย ต่อมาเขาได้เข้าสู่พิธีแต่งงานกับ หญิงสาวอีกคนหนึ่ง ชื่อ โพธิเมนิเก อยู่ตำบลนาวเนลิยะ พิธีแต่งงานกระทำ ณ บ้านเจ้าสาว แล้วได้เกิดเหตุการณ์การฆาตกรรมที่บ้านเจ้าสาวแห่งนี้เอง
เด็กชายวิชรัตนี บอกกับนายติเรรัตนีบิดาว่า เขาได้ฆ่าภรรยาด้วยมือของเขาเอง ความจริงจะใช้คำว่าภรรยาก็ไม่ถูกนัก เพราะพิธีแต่งงานยังไม่สำเร็จสมบูรณ์ ด้วยยังไม่ได้ส่งตัวเจ้าสาว ฝ่ายเจ้าสาวขออยู่ที่บ้านเดิมไม่ไปอยู่กับเจ้าบ่าว เมื่อใกล้จะถึงเวลาส่งตัว เจ้าบ่าวได้ไปยังบ้านเจ้าสาว อ้อนวอนให้เจ้าสาวไปอยู่กับเขาที่บ้าน ฝ่ายเจ้าสาวไม่ยอมจะอยู่ที่บ้านของตัวเอง เจ้าบ่าวสงสัยอยู่แล้วว่า เจ้าสาวคงจะมีคู่รักติดพันอยู่ ซึ่งเป็นชายที่อยู่ในบ้านของนางเอง ชื่อ โมหัตติ ฮามี และเจ้าบ่าวสงสัยว่าชายคนนี้คงยุแหย่ไม่ให้นางไปอยู่กับเขา เมื่อนางปฏิเสธเขาก็เดินกลับบ้าน ซึ่งอยู่หางกันประมาณ ๘ กิโลเมตร เมื่อมาถึงบ้านเขาก็เอากริชไปลับที่หลังบ้านใต้ต้นส้ม แล้วกลับไปยังบ้านของเจ้าสาว เด็กชายวิชรัตนียังชี้ที่ที่ตนลับกริชให้นางรัตรันมารดาดู ก่อนจะไปฆ่าเจ้าสาวเขายังขอยืมเงินพี่ชายจำนวน ๕๐ รูปี ไปใช้หนี้ช่างสร้างบ้านซึ่งเขาเป็นหนี้อยู่ให้เสร็จสิ้นไป
เมื่อมาถึงบ้านเจ้าสาว เขามองเห็นชายซึ่งเขาคิดว่าเป็นคนรักของเจ้าสาว เขาคิดว่าเพราะเจ้าคนนี้นี่เองเจ้าสาวจึงไม่ยอมไปอยู่กับเขาที่บ้าน เขาจึงตรงเข้าไปแทงเจ้าสาวทันที ที่เหนืออกข้างขวา เขาถูกชายผู้นั้นทุบตีด้วย ในการต่อสู้คดีเขาให้การว่า ได้เกิดทะเลาะวิวาทต่อสู้กันขึ้น โดยฝ่ายเจ้าสาวเป็นผู้ก่อเหตุก่อน เพื่อนของเจ้าสาวตีเขา เจ้าสาวเป็นคนจับตัวเขาไว้ไม่ให้หนี เขาจึงเกิดโทสะแทงนางโดยมิได้ตั้งใจจะฆ่านางเลย
ฝ่ายพวกเจ้าสาวให้การว่า เขาเป็นผู้แทงนางก่อน แล้วพวกของนางจึงได้ตีเขา ศาลรับฟังฝ่ายโจทก์ พิพากษาประหารชีวิตให้ตายตกไปตามกัน เมื่อศาลพิพากษาแล้วนายติเลรัตนีพี่ชายก็ไปเยี่ยมนายรัตรันน้องชายของเขา นายรัตรัน บอกว่า เขาไม่กลัวตายหรอก เขารู้แล้วว่าเขาจะต้องตาย เขาเป็นห่วงแต่พี่ชายเท่านั้น นายติเลรัตนีบอกว่าน้องชายเป็นคนว่าง่าย สาเหตุที่ลงมือฆ่าเจ้าสาวของตัวเองนั้น เด็กชายวิชรัตนี บอกว่าตอนเขานั้นเคืองแค้นมาก อดใจไว้ไม่ไหว ไม่คิดถึงโทษทัณฑ์ที่จะได้รับเลย เด็กชายวิชรัตนีบอกกับ ดร.เอียน สตีเวนสัน ว่าที่ถูกแขวนคอนั้นศาลตัดสินถูกต้องแล้ว ส่วนเรื่องเหตุผลที่เขาฆ่าภรรยาเป็นการถูกต้องสมควรหรือไม่ เขาตอบว่าแม้ชาตินี้เขาก็คิดว่าที่ฆ่าผู้หญิงผู้ไม่ตามสามีไปเป็นการถูกต้องแล้ว เด็กชายวิชรัตนี เล่าว่า ก่อนเขาจะถูกแขวนคอตามคำพิพากษา ๕ วัน พี่ชายของเขาคือนาย เอช เอ ติเลรัตนี ได้ทำบุญให้แก่เขา เด็กจำได้ว่า มีการเลี้ยงพระจำนวน ๑๐ รูป ตอนที่ทำบุญเลี้ยงพระให้เขานี้เอง เขาได้บอกกับพี่ชายว่าเขาจะกลับมาเกิดอีก เด็กชายวิชรัตนีบอกกับดร.เอียนว่า เขาพูดกับพี่ชายว่าจะมาเกิดเป็นลูกชายของพี่
สำหรับเหตุการณ์ตอนถูกประหารชีวิต เด็กชายวิชรัตนีเล่าให้ฟังดังนี้ วันนั้นก่อนที่เขาจะถูกแขวนคอ มีการชั่งตวงกระสอบทราย ณ บริเวณที่จะแขวนคอ ซึ่งเรื่องนี้เป็นความจริง คือก่อนประหารชีวิต ๑ วันจะต้องมีการทดสอบความเหนียวและความแข็งแรงของเชือกก่อน โดยวิธีเอาทราย ๑ กระสอบแขวนขึ้นถ่วงทดลอง วันนั้นก่อนที่จะมีการแขวนคอ มีพระภิกษุ ๑ รูปมาสวดภาวนาให้เขา ต่อมาเจ้าหน้าที่เอาถุงผ้าสีดำมาครอบศีรษะของเขาก่อนที่จะกระตุกเชือกรัดคอ เมื่อเจ้าหน้าที่กระตุกเชือกรัดคอ เขาคิดถึงพี่ชายของเขาคนเดียวเท่านั้น แล้วรู้สึกว่าคอของเขาถูกรัดแน่น แล้วรู้สึกว่าตัวของเขาตกลงไปกลางหลุมเพลิง ต่อจากนั้นเขาก็จำอะไรอะไรไม่ได้อีก จนมารู้สึกตัวเมื่ออายุ ๒ ขวบกว่า พ่อของเขาชาตินี้ก็คือพี่ชายของเขาในชาติก่อนนั่นเอง เขาบอกด้วยว่า ตอนเขาถูกประหารแขวนคอ เขาอายุได้ ๒๓ หรือ ๒๔ ปี
นอกจากเรื่องราวเหตุการณ์ในชาติก่อน ที่เด็กชายวิชรัตนีพูดถึงและจดจำได้แล้ว เขายังจดจำสิ่งของในอดีตชาติได้อีกด้วย คือก่อนจะเกิดเรื่องฆ่าเจ้าสาว นายรัตรัน ฮามี ได้เอาเข็มขัดหนังไปฝากกับน้าของเขาไว้ เมื่อนายรัตรันตายแล้วน้าของเขาก็เอาเข็มขัดหนังเส้นนั้นให้แก่บุตรชายของตัวเองใช้คาดเอว เมื่อครั้งที่เด็กชายวิชรัตนี อายุได้ ๖ - ๗ ขวบ เขาได้พบกับลูกพี่ลูกน้องคนนี้ เห็นเข็มขัดเข้าก็จำได้ว่าเป็นของตัวเอง เด็กชายวิชรัตนี บอกกับ ดร.เอียน สตีเวนสัน ว่า ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตในชาติก่อนของเขา แม้ว่าเขาจะอายุได้ ๑๔ ปีแล้ว ความทรงจำเหล่านั้นจะเลือนรางไปบ้าง แต่เขาก็ยังจดจำเรื่องราวในชีวิตช่วงสุดท้ายของเขาได้ชัดเจน กว่าชีวิตในปัจจุบันชาติของเขาเมื่อ ๑๐ ปีก่อนหน้านี้เสียอีก
เรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของเด็กชายวิชรัตนีนี้ เป็นหนึ่งในข้อมูลที่อยู่ในรายงานการวิจัย เกี่ยวกับการจำอดีตชาติได้ของ ศาสตราจารย์นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน ที่ท่านได้เขียนผลงานไว้ในหนังสือTwenty Cases Suggestive of Reincarnation ซึ่งพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1966 (พ.ศ.๒๕๐๙)....เป็นที่น่าสังเกตว่า รอยแผลเป็นตั้งแต่แรกเกิดที่หน้าอกด้านขวาของเด็กชายวิชรัตนีนั้น อยู่บริเวณเดียวกันกับ บาดแผลของนางสาวโพธิเมนิเก เจ้าสาวที่ถูกนายรัตรันแทงจนเสียชีวิต ส่วนมือข้างที่พิการของเด็กชายวิชรัตนี ก็เป็นมือข้างเดียวกันกับที่นายรัตรันใช้แทงเจ้าสาว ไม่ทราบว่าเป็นเพราะบาปเวรกรรม หรือเป็นความผิดปกติพิการที่บังเอิญตรงกัน....TK