เรื่องราวการจำอดีตชาติได้รายนี้ คุณเต็ม สุวิกรม เป็นผู้ได้เบาะแสโดยบังเอิญเมื่อตอนที่เดินทางไปสัมภาษณ์ข้อมูลการจำอดีตชาติได้ของ เด็กชายบงกช พรหมศิลป(ในขณะนั้น) ที่อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๘ ผู้ที่ให้เบาะแสเรื่องนี้ก็คือ คุณสุเทพ เจียมนุสรณ์ ข้าราชการกรมสรรพสามิต ที่ร่วมคณะไปกับ คุณเต็ม สุวิกรม ด้วย คุณสุเทพบอกกับคุณเต็มว่า มีญาติของเขาจำอดีตชาติได้เหมือนกัน อยู่ที่บ้านดอนกระเบื้อง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ตอนนี้เขาคนนั้นอายุได้ ๓๓ ปี แล้ว แต่ก็ยังจำอดีตชาติได้
คุณเต็ม สุวิกรม จึงเดินทางไปสอบถามเรื่องราวของผู้จำอดีตชาติได้รายนี้ พร้อมกับ คุณแส สายะเสวี และคุณฉัตร ศรีอุดม ซึ่งเป็นกรรมการฝ่ายจัดทำวารสารพุทธธรรม ของพุทธสมาคมแห่งประเทศไทยฯ โดยได้รับความอนุเคราะห์จาก เจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เป็นธุระช่วยติดต่อและติดตามผู้ที่เกี่ยวข้อง การสอบถามข้อมูลเหล่านี้จึงสำเร็จได้ด้วยดี
ที่ตำบลดอนกระเบื้อง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เมื่อประมาณ ปี พ.ศ.๒๔๗๘-๒๔๗๙ มีเด็กผู้ชายคนหนึ่ง อายุประมาณ ๓-๔ ขวบ พอพูดได้ เขาบอกว่า ตัวเขาเองเคยเกิดมาเป็นเด็กชายคนหนึ่ง บ้านอยู่ทางทิศใต้ของหมู่บ้านนี้ บ้านเดิมของเขาเป็นโรงตีเหล็ก ทำมีด และทำเคียวขาย
เด็กชายคนนั้นก็คือ เด็กชายทองสุก หรือ เด็กชายจุก แซ่อ๊วง ในขณะนั้น ซึ่งเขาจำอดีตชาติได้ว่า ในชาติก่อนเขาเคยเกิดเป็น เด็กชายบุญอยู่ แซ่โง้ว ซึ่งป่วยและเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน ขณะอายุได้ เพียง ๑๔ ปี
เด็กชายบุญอยู่ แซ่โง้ว บุคคลที่เสียชีวิตไปแล้วในอดีตที่ เด็กชายจุก บอกว่าเป็นตัวของเขาในอดีตชาตินั้น เกิดเมื่อปีมะเส็ง ปี พ.ศ.๒๔๖๐ เป็นลูกของ นายคุนโหมว แซ่โง้ว กับ นางอิน มีพี่น้อง ๓ คน เป็นชายทั้งหมด คือ นายยุ้ย เป็นพี่ชายคนโต เด็กชายบุญอยู่เป็นคนที่สอง และมีน้องชายอีกคนชื่อ นายพัฒน์ ครอบครัวนี้มีอาชีพค้าขายของเบ็ดเตล็ดต่างๆ และมีเตาเผา เครื่องมือตีเหล็ก สำหรับเอาไว้ใช้ตีมีดและเคียวจำหน่าย อยู่ที่สี่แยกตลาดบางแพ จังหวัดราชบุรี
ขณะยังมีชีวิต เด็กชายบุญอยู่ เกือบจะเสียชีวิตมาแล้วครั้งหนึ่ง ขณะนั่งเรือไปโรงเรียนแล้วเรือเกิดล่ม แต่โชคดีที่มีคนช่วยเอาไว้ได้ จึงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด หลังจากนั้นก็ล้มป่วยเป็นไข้ เขาป่วยอยู่ประมาณ ๑๕ วัน ก็เสียชีวิต เด็กชายบุญอยู่เสียชีวิตขณะอายุได้ ๑๔ ปี ศพของ เด็กชายบุญอยู่ ได้ทำพิธีเผาที่วัดท่าราบ ตำบลบางแพ จังหวัดราชบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของ เด็กชายบุญอยู่ ประมาณ ๑ กิโลเมตร ในขณะเผาศพก็มีเรื่องประหลาดอย่างหนึ่ง คือแผ่นเนื้อที่ต้นคอของ เด็กชายบุญอยู่ ไม่ไหม้ไฟ ซึ่งสำหรับพวกที่เชื่อถือเรื่องไสยศาสตร์ ก็จะบอกว่าเป็นลักษณะของคนที่ “ถูกคุณไสย” หลังจากที่ เด็กชายบุญอยู่ เสียชีวิต นางอิน ผู้เป็นแม่ฝันว่าได้เห็น เด็กชายบุญอยู่ เดินอยู่ที่ตลาด แต่นางร้องเรียกเท่าไหร่ก็ยอมไม่พูดด้วย
นางแช่ม แซ่อ๊วง แม่ของ เด็กชายทองสุข(จุก) เป็นแม่ม่ายสามีเสียชีวิต มีลูกติด ๓ คน เป็นชาย ๑ คน หญิง ๒ คน อยู่ที่บ้านดอนกระเบื้อง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ต่อมานางแช่มได้สามีใหม่เป็นคนจีนชื่อ นายเหลือง แซ่อ๊วง มีอาชีพค้าขายโดยการไป “ตกข้าว” ชาวนาเอาไว้ก่อน เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็จะออกไปเอาข้าวเปลือกตามที่ตกลงกัน นางแช่ม อยู่กินกับสามีใหม่จนมีลูกด้วยกัน ๓ คน คือ
๑. นายเสริม แซ่อ๊วง
๒. นายทองสุก(จุก) เชาวน์ฉลาด (นายจุกใช้นามสกุลสามีเก่าของแม่)
๓. นายเจริญ แซ่อ๊วง
นายทองสุก(จุก) เชาวน์ฉลาด เป็นบุตรคนที่ ๒ ของ นายเหลือง และ นางแช่ม แซ่อ๊วง เกิดเมื่อ ปีวอก พ.ศ.๒๔๗๕ มีชื่อเรียกกันเล่นๆ ว่า “จุก”สำหรับนามสกุลนั้นเดิมใช้ว่า “แซ่อ๊วง” แต่เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ นายทองสุก ไม่อยากใช้ “แซ่” จึงขอเปลี่ยนมาใช้ นามสกุล “เชาวน์ฉลาด” ตามพี่ชายและพี่สาวต่างบิดากัน
เรื่องราวการจำอดีตชาติได้ ของ นายทองสุก(จุก) เชาวน์ฉลาด นี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ นายจุก หรือ เด็กชายจุก ในขณะนั้น อายุได้ประมาณ ๓ - ๔ ขวบ เริ่มพูดได้ชัดถ้อยชัดคำ เด็กชายจุก เริ่มพูดแปลกๆ ให้พ่อแม่งุนงงสงสัย โดยเด็กบอกว่าจะไปบ้านอีกบ้านหนึ่งซึ่งไม่ใช่บ้านนี้ แล้วชี้ไปทางทิศใต้ของหมู่บ้านคือทิศที่ตั้งของ ตำบลบางแพ นายเหลืองกับนางแช่มถามว่าเป็นบ้านใคร เด็กชายจุกบอกว่าเป็นบ้านของเขาเอง เป็นโรงตีเหล็กด้วย แต่บอกไม่ถูกว่าเป็นตำบลอะไร
ตอนนั้น เด็กชายจุก พูดถึงบ้านเก่าของตัวเองเกือบทุกวัน ทำให้นายเหลืองกับนางแช่มเริ่มแน่ใจว่าลูกชายคงไม่ได้พูดเล่นๆ ไปตามประสาเด็กแน่ ต่อมามีหญิงผู้หนึ่งชื่อ นางเบี้ยว เป็นหลานสาวของ นางสัง ซึ่งเป็นเพื่อนกับนางแช่ม มาเที่ยวที่บ้าน นางเบี้ยว มีบ้านเรือนอยู่ทางใต้ของบ้านดอนกระเบื้อง นางแช่ม ได้สอบถาม นางเบี้ยว ว่า ทางใต้มีโรงตีเหล็กอยู่บ้างหรือไม่ นางเบี้ยวตอบว่า “มีสิ โรงตีเหล็กของเจ๊กโหมว เมียแกชื่ออิน” พอเด็กชายจุกได้ยินผู้ใหญ่พูดกันดังนั้น ก็พูดสอดขึ้นมาว่า “พ่อผมชื่อโหมว แม่ผมชื่ออิน ถูกแล้ว” และรบเร้านางแช่มให้พาไปหาพ่อแม่ในอดีตชาติ ระยะนั้นเป็นฤดูฝน นางแช่มบอกว่าถ้าจะไปต้องไปเรือ แต่เด็กชายจุกไม่ยอมลงเรือเพราะกลัวจมน้ำ(อาจเป็นเพราะตอนที่เป็น เด็กชายบุญอยู่ เคยเรือล่มจมน้ำ เกือบเสียชีวิตมาแล้วในชาติก่อน)
ตอนนั้น นางเบี้ยว นายเหลือง และนางแช่ม คิดว่าเด็กชายจุกจะต้องจำอดีตชาติได้แน่ และอยากรู้ว่าเป็นความจริงแค่ไหนเหมือนกัน จึงตั้งใจว่าหน้าแล้งน้ำลดจะพาเขาไปพิสูจน์ความจริงที่บ้านของนายคุนโหมว ต่อมา นางเบี้ยว ได้บอกข่าวนี้ให้กับครอบครัวของ นายคุนโหมวและนางอิน ได้ทราบ
เมื่อเข้าหน้าแล้งดินแห้งดีแล้ว พวกเขาจึงเดินทางไปพิสูจน์ความจริงตามที่ตั้งใจไว้ โดยที่ทางบ้านของนายคุนโหมวและนางอิน เมื่อทราบข่าวจาก นางเบี้ยว ว่าเด็กชายจุกจะมาพบก็รอคอยที่จะได้พิสูจน์ เด็กที่อ้างว่าเป็น เด็กชายบุญอยู่ ลูกชายที่เสียชีวิตไปแล้วมาเกิดเช่นกัน
วันนั้น นางแช่ม ได้พาเด็กชายจุกกับ นางแอ๊ว ลูกสาวที่เกิดจากสามีคนก่อนไปด้วยกัน โดยใช้เกวียนเทียมวัวเป็นพาหนะ เพราะนางแช่มจะไปเก็บข้าวเปลือกจากชาวนาที่ได้เอาอ้อยและยาสูบไปแลกไว้ก่อนแล้วด้วย ระยะทางจาก บ้านดอนกระเบื้อง อำเภอบ้านโป่ง ถึงตลาดบางแพ อำเภอโพธาราม ห่างกันประมาณ ๒๐ กิโลเมตร
เมื่อเดินทางมาถึงบริเวณหน้าบ้านของ นายคุนโหมว และ นางอิน แซ่โง้ว เด็กชายจุก ซึ่งขณะนั้น อายุประมาณ ๓ – ๔ ขวบ บอกกับนางแช่มผู้เป็นแม่ว่า “ไปถูกแล้ว” แล้วเดินลากอ้อยลำเล็กๆซึ่งจะเอามาฝากพ่อแม่ในชาติก่อน นำหน้าไปถึงบ้านเดิมได้ถูกต้อง โดยมีนางแอ๊วพี่สาวตามไปติดๆ เมื่อเข้าไปในบ้านแล้ว นางแอ๊วบอกกับเด็กชายจุกว่า “เตี่ยหนูอยู่ไหนล่ะ เข้าไปไหว้เสียสิ” เด็กชายจุกก็เดินตรงเข้าไปหา นายคุนโหมว โดยไม่ลังเลแล้วยกมือไหว้ เสร็จแล้วก็เข้าไปหานางอิน ไหว้นางอินแล้วร้องไห้ เด็กชายจุกแสดงออกเหมือนกับว่าเคยรู้จักคุ้นเคยกับทั้งสองคนมาก่อน และคืนนั้น เด็กชายจุกได้นอนค้างอยู่กับ นายคุนโหมวและนางอิน
นางอิน เล่าถึงเหตุการณ์ในวันที่ เด็กชายจุกเดินทางมาหาที่บ้านให้ คุณเต็ม สุวิกรม ฟังว่า ตอนที่เด็กชายจุกเดินทางมาหาตนนั้น เด็กชายจุกอายุประมาณ ๓ ขวบ มากับพี่สาวชื่อว่านางแอ๊ว เด็กเดินนำหน้ามาที่ห้องที่ตนอยู่ ลากอ้อยลำเล็กๆมาหนึ่งลำด้วย มาหยุดอยู่เฉยๆ ที่หน้าบ้านแล้วพี่สาวที่พามาบอกว่า “เตี่ยอยู่ไหนไปไหว้ซิ” เด็กชายจุกก็เดินตรงเข้ามาหาเตี่ย คือ นายคุนโหมว แซ่โง้ว สามีของตน ไหว้เตี่ยแล้วเดินเข้ามาหาตน ยกมือไหว้แล้วก็ร้องไห้ และคืนวันนั้น เด็กชายจุกก็ได้นอนค้างคืนที่นี่
ตอนกลางคืนของคืนนั้นเด็กชายจุกถามตนว่า “แม่เรือเราอยู่ไหน” ตนก็ชี้ให้ดู เรือที่จอดอยู่ เด็กชายจุกบอกว่า “ไม่ใช่ของเราไม่ใช่ลำนี้” ก็เป็นความจริงตามที่ เด็กชายจุก แย้ง เพราะเรือลำเก่าที่เด็กชายจุกเมื่อตอนที่เป็นเด็กชายบุญอยู่เคยเห็นนั้น ผุพังไปเสียแล้ว ตนจึงได้ซื้อลำใหม่มาไว้ใช้แทนลำเก่า และมีตอนหนึ่งขณะที่ตนนอนคุยเล่นกันกับลูกชายอีก ๒ คน ของตน เด็กชายจุก ก็อยู่ด้วย ตนได้พูดขึ้นว่า “ถ้าลูกชายแม่อยู่พร้อมกันทั้งสามคนก็จะดีนะ” เด็กชายจุกกอดนางอินแล้วพูดว่า “ก็ผมเป็นลูกอยู่แล้วนี่ไง ทำไมไม่ว่าเป็นลูกอีกล่ะ” ตนถามว่า “ทำไมไม่มาเข้าท้องแม่อีกล่ะ” เด็กชายจุกตอบว่า “ก็ผมเข้าบ้านไม่ได้ มันมีสายสิญจน์ล้อมบ้านอยู่ ผมรออยู่ข้างนอกแม่ก็ไม่ออกมา ผมรอไม่ไหวผมก็ไปที่ปากบ่อ เห็นแม่แช่มผ่านมา ผมก็เลยเกาะไปเกิด”
นางอินกล่าวว่า ตอนนั้นเด็กชายจุกได้มาค้างแรมกับตนถึง ๓ คืน จึงได้กลับไปบ้าน ต่อจากนั้นมา เด็กชายจุกก็ไปมาหาสู่ที่บ้านของตน ปีหนึ่งหลายๆครั้ง มาคราวหนึ่งๆก็ค้างอยู่หลายคืน ไปมาเหมือนเป็นบ้านของตัวเองจนถึงทุกวันนี้ (พ.ศ.๒๕๐๙)
เด็กชายทองสุก หรือ เด็กชายจุก ในขณะนั้นได้พูดและแสดงออกว่าตัวเขาคือ เด็กชายบุญอยู่ สืบชาติมาเกิดหลายครั้ง เท่าที่ คุณเต็ม สุวิกรมรวบรวมได้มีดังนี้
เด็กชายจุกจำ นายยุ้ย พี่ชายคนโตและ นายพัฒน์ ซึ่งเป็นน้องชายในชาติก่อนได้โดยไม่มีใครแนะนำ เขาเรียกนายยุ้ยว่าพี่ แต่ไม่ยอมเรียกนายพัฒน์ว่าพี่ เรียกออกชื่อเฉยๆ และชอบทำตัวเป็นพี่ชายเหมือนชาติก่อน ทั้งๆที่ขณะนั้นนายพัฒน์ มีอายุมากกว่าเขาเกือบ ๗ ปี
นางอินเคยทดลองให้ เด็กชายจุก ชี้รูปถ่ายซึ่งเป็นรูปหมู่ที่เด็กชายบุญอยู่ถ่ายร่วมกับเพื่อนนักเรียนและครู เด็กชายจุกสามารถชี้รูปถ่ายของ เด็กชายบุญอยู่ ได้ถูกต้อง และยังบอกชื่อของครูที่อยู่ในรูปได้ถูกต้องอีกด้วย
มีเรื่องน่าประหลาดอยู่เรื่องหนึ่ง คือคราวที่เกิดไฟไหม้ที่ตำบลบางแพ จังหวัดราชบุรี(เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๔๗๘-๒๔๗๙) ซึ่งบ้านของ นายคุนโหมวและนางอิน พ่อแม่ในอดีตชาติของเด็กชายจุก ก็ไหม้ไปด้วย ตอนนั้นเด็กชายจุกไปนอนค้างอยู่กับนายคุนโหมวและนางอินพ่อแม่ในอดีตชาติที่บ้าน ซึ่งโดยปกติแล้วเขามักจะนอนค้างที่นี่คราวละหลายๆวัน แต่ตอนกลางวันก่อนที่จะเกิดไฟไหม้ในคืนนั้น เด็กชายจุก บอกว่าจะต้องกลับบ้าน ไม่ยอมนอนค้างคืนที่นี่อีก เด็กชายจุกบอกกับนางอินว่า อยู่ไม่ได้ เขาเห็นไฟไหม้บนยอดไผ่ที่อยู่หน้าบ้าน แต่นางอินและคนอื่นๆมองไม่เห็นและไม่ได้เฉลียวใจ เด็กชายจุกรบเร้าจะกลับบ้านที่ดอนกระเบื้องให้ได้ นางอินก็ตามใจ และได้ให้คนไปส่งที่บ้านดอนกระเบื้อง พอตกกลางคืนได้เกิดไฟไหม้ที่ตลาดบางแพขึ้นจริงๆ และไฟได้ลุกลามมาไหม้บ้าน นายคุนโหมวและนางอิน ไปด้วย สำหรับบ้านที่นางอินอยู่ปัจจุบันนี้(พ.ศ.๒๕๐๙) เป็นบ้านหลังใหม่ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเดิมประมาณ ๓๐๐ เมตร เด็กชายจุกรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าจะเกิดไฟไหมได้อย่างไร เป็นเรื่องที่น่าสนใจ
พี่ๆของนายจุก เล่าให้ฟังว่า ตอนที่เด็กชายจุกเป็นเด็กๆ เขามีความผูกพันกับกบอย่างประหลาด เมื่อไรที่เด็กชายจุกไปอยู่ที่ริมน้ำ มักจะเห็นกบเข้ามาหาเขา และเขาก็จะเล่นหัวกันกับกบได้ ซึ่งผิดธรรมชาติของกบที่มักจะกลัวไม่กล้าเข้าใกล้คน แต่สำหรับกับเด็กชายจุก กบกลับยอมให้เด็กชายจุกจับตัวมาเล่นแต่โดยดี จนมีคนพูดกันว่าถ้าใครอยากเห็นกบก็ให้เด็กชายจุกไปอยู่ที่ริมน้ำ จะได้เห็นกบทันที และเป็นที่น่าสังเกตว่า เด็กชายจุกรักกบมาก และกบก็ดูเหมือนจะรักเขาเหมือนกัน เด็กชายจุกไม่ยอมกินกบ หรือหากเห็นใครจับกบมาขังไว้เขาก็จะแอบเอากบไปปล่อยจนหมด นี่คือความสัมพันธ์ประหลาดที่เห็นว่าผิดปกติธรรมชาติโดยทั่วไป
เด็กชายจุก มีความแปลกกว่าผู้จำอดีตชาติได้รายอื่นๆอยู่อย่างหนึ่งคือ โดยปกติแล้วเด็กที่จำอดีตชาติได้มักจะลืมเรื่องราวชีวิตในอดีตชาติเมื่อ อายุได้ประมาณ ๕-๗ ขวบหรือมากกว่านั้นเล็กน้อย แต่สำหรับกรณีของเด็กชายจุกแม้ว่าจะผ่านมาหลายปีจนเขาจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เขาก็ยังสามารถจำเรื่องราวชีวิตในอดีตชาติได้ไม่ลืมเลือน เขายังจำได้แม่นยำทุกอย่าง ตั้งแต่เมื่อตอนที่เขาเกิดเป็น เด็กชายบุญอยู่ ขณะที่เด็กชายบุญอยู่ยังมีชีวิตอยู่ จนถึงเรื่องราวชีวิตหลังจากที่เด็กชายบุญอยู่เสียชีวิตไปแล้ว
นายจุก หรือ นายทองสุก เชาวน์ฉลาด เล่าให้ คุณเต็ม สุวิกรม ฟังเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๙ ขณะที่เขาอายุได้ ๓๔ ปีว่า เมื่อตอนที่เขาเป็นเด็กชายบุญอยู่และเสียชีวิตไปแล้ว หลังจากนั้น เขา(วิญญาณของเด็กชายบุญอยู่)มารู้สึกตัวอีกครั้งปรากฎว่า ตัวเองมาอยู่นอกบ้าน และได้เดินนำหน้าศพของเด็กชายบุญอยู่ไปที่วัดด้วย ซึ่งการเดินไปนั้นก็ไม่ได้เดินเหมือนมนุษย์ธรรมดา ตัวมันลอยไปเองโดยลอยเรี่ยๆไปบนยอดหญ้า เขาได้เห็นการเผาศพของตัวเองที่วัดท่าราบ ตำบลบางแพ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเดิมประมาณ ๒ กิโลเมตร
ตอนดูเขาเผาศพตัวเองนั้น เขานึกกลัวผู้ใหญ่จะตีเอาว่าเข้าไปวุ่นวาย จึงได้ขึ้นไปดูอยู่บนต้นสะแกเพราะเห็นว่าสูงดี
ตอนที่เขาทำบุญ ๗ วันให้ ก็ได้รู้ได้เห็น ตอนนั้นเขาอยู่นอกบ้าน รู้ด้วยว่าเขากำลังทำบุญให้กับตัวเอง แต่เข้าไปไม่ได้ด้วยเพราะกลัวด้ายสายสิญจน์
นายจุก เล่าให้ฟังต่อไปว่า ตอนนั้นเมื่อได้เห็นการเผาศพของตัวเองก็นึกเสียใจ ว่าตัวเองตายแล้ว จึงกลับมาบ้าน การเดินไปมานั้นก็ไม่ได้เดินอย่างมนุษย์ธรรมดา ตัวมันลอยไปเองเรี่ยๆกับยอดหญ้า เมื่อนึกจะไปไหนตัวก็ลอยไปเองตามประสงค์ เรื่องอาหารการกินก็ไม่ต้องกินไม่รู้สึกหิวรู้สึกอิ่มอยู่ตลอดเวลา ตอนนั้นตั้งใจว่าจะกลับมาบ้านเพื่อที่จะกลับเข้าไปในครรภ์ของแม่คนเดิมต่อไป พยายามร้องเรียกแม่อินที่หลังบ้าน แต่แม่ก็ไม่ได้ยิน จะเข้าบ้านก็เข้าไม่ได้ เพราะกลัวด้ายสายสิญจน์
ตอนนั้นรู้สึกเสียใจจึงออกเที่ยวไปเรื่อยๆ จนมาถึงทางสามแยก มีคนยื่นผลไม้ให้กิน ผลไม้นั้นมีลักษณะเหมือนลูกมะปราง แต่เขาไม่ยอมรับ และเดินเลยไป ตอนนั้นคิดว่านั่นเป็น “ลูกลืม” ถ้ารับมากินกลัวว่าจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างหมด คนที่ยื่นผลไม้ให้นั้นก็มีรูปร่างหน้าตาและการแต่งกายเหมือนกับคนธรรมดาๆ ไม่ได้ใส่อาภรณ์ผิดปกติหรือผิดแปลกแต่อย่างใด
ต่อมาเขาได้ไปสถานที่แห่งหนึ่ง มีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง แผ่กิ่งก้านสาขาร่มรื่น และบริเวณใต้ต้นโพธิ์มีมหรสพคือ ละคร ลิเก งิ้ว กำลังเล่นอย่างสนุกสนาน มีผู้คนไปดูกันเหมือนในเมืองมนุษย์ ในบริเวณนั้นมีแท่นอยู่แท่นหนึ่งยาวขนาดที่ตักบาตรกลางแจ้งตามวัดในชนบท แต่แปลกที่บนแท่นนั้นมีหมอนขวานมีแสงแวววาวอยู่ด้วย เขาขึ้นไปนอนเล่นบนแท่นนั้นและหลับไป ตื่นขึ้นมาก็ออกเที่ยวต่ออีก คราวนี้ได้พบกับที่ลงโทษทัณฑ์ทรมานผู้ทำบาปด้วย เขาได้เห็นการนำผู้ทำบาปมาย่างไฟ บนแคร่ที่มีกองไฟสุมอยู่ด้านล่าง เขาเห็นผู้ที่ถูกย่างไฟเจ็บปวดทรมานบิดตัวไปมาอย่างน่าสังเวชมาก ทำให้เขารู้สึกกลัวบาปกรรมขึ้นมากทีเดียว
เมื่อออกจากที่ทรมานคนบาปมา ก็ได้พบกับชีปะขาวผู้หนึ่งยืนอยู่ ที่เรียกว่าชีปะขาว ก็เพราะว่า เป็นชายชรา มีหนวดเครายาวมาก นุ่งขาว ห่มขาว ชีปะขาวถามเขาว่า “ไปไหนมา” เขาตอบว่า “ไปเที่ยวมา” ชีปะขาวผู้นั้นได้ชักชวนให้เขามาอยู่ด้วยกันกับท่าน เขาบอกว่า “ผมยังคิดถึงแม่ จะไปอยู่กับแม่ก่อน” แต่ก็รับปากว่า อีก ๒ เดือนเขาจะกลับมาอยู่กับชีปะขาว ชีปะขาวยินดีมาก บอกว่าจะรับเขาเป็นบุตรบุญธรรมของท่าน
นายจุก อธิบายเรื่องเวลาที่พูดรับปากกับชีปะขาวว่า ระยะเวลา ๒ เดือนนั้น เขาคิดว่าน่าจะตรงกับเมืองมนุษย์ ๖๐ ปี เพราะที่เรียกว่าเดือนในที่นั้น เดือนหนึ่งๆมี ๓๐ วัน ก็จริง แต่ ๑ วันของที่นั่นคือ ๑ ปีของมนุษย์ ดังนั้นที่นายจุกรับปากกับชีปะขาวว่า ขอผลัดไปอีก ๒ เดือนนั้น ก็จะเท่ากับ ๖๐ วันของที่นั่น หรือเท่ากับ ๖๐ ปี ในเมืองมนุษย์ ดังนั้นจึงหมายความว่า ตัวเขาจึงน่าจะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ ๖๐ ปี แล้วจึงจะเสียชีวิตและไปอยู่กับชีปะขาวต่อไป ตามที่ได้รับปากไว้
นอกจากนี้ชีปะขาวยังขอให้นายจุกปฏิบัติตามสัญญาอีก ๓ ข้อ คือ ห้ามฆ่าคน ไม่ให้ฆ่าสัตว์ใหญ่ และไม่ให้กินของวัด เมื่อเขา(วิญญาณของเด็กชายบุญอยู่)ลาจากชีปะขาวแล้ว ก็กลับไปบ้าน ตั้งใจว่าจะกลับไปเกิดกับแม่เดิมอีก แต่ก็เข้าบ้านไม่ได้เพราะกลัวด้ายสายสิญจน์ จึงออกจากบริเวณบ้านไปรออยู่ที่ข้างบ่อน้ำ ซึ่งบ่อน้ำนี้เดิมเป็นบ่อปูนอยู่ข้างลำคลอง ที่เจาะเป็นบ่อลงไปเพื่อให้ชาวบ้านได้ตักน้ำใช้ในฤดูที่มีน้ำน้อย รออยู่นานนางอินผู้เป็นแม่ก็ไม่มาสักที จนกระทั่งได้เห็น แม่แช่มแม่ในปัจจุบันชาติ หาบกระบุงกลับจากไปแลกข้าว ผ่านมาทางนั้น จึงเกาะกระบุงที่แม่แช่มหาบมา พอแม่แช่มเดินมาถึงวักเตาอิฐ ซึ่งอยู่ห่างจากตำบลบางแพ ประมาณ ๓ กิโลเมตร แม่แช่มได้หยุดพักแวะดื่มน้ำที่คูน้ำข้างวัด วิญญาณของเขาจึงเข้าไปในน้ำที่แม่แช่มดื่มเข้าไป ในท้อง จากนั้นความรู้สึกของเขาก็ดับวูบไป
ตอนนั้นเขารู้สึกว่าระยะเวลาตั้งแต่ที่เขา(เด็กชายบุญอยู่)เสียชีวิต และได้ท่องเที่ยวไป จนกระทั่งได้มาเกิดกับแม่ในปัจจุบันชาตินั้น มันใช้เวลาแค่วันเดียวเท่านั้น (เมื่อนำระยะเวลามาเปรียบเทียบกับระยะเวลาในโลกมนุษย์แล้ว ปรากฏว่า เด็กชายบุญอยู่ เสียชีวิตเมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๗๔ และมาเกิดใหม่ในปี ๒๔๗๕ เป็นเวลาห่างกัน ประมาณ ๑๑ เดือน(จากข้อมูลของคุณเต็ม สุวิกรม) ซึ่งถ้า ๑ วัน ในภพชาตินั้น เท่ากับ ๑ ปี ของมนุษย์ดังที่นายจุกกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ก็เห็นจะใกล้เคียงกัน แต่มีข้อสังเกตว่า แม่ของนายจุกตั้งท้องนายจุกได้ประมาณ ๑๐ เดือนจึงคลอดนายจุกออกมา ดังนั้นเวลาจึงหายไป ๑ เดือนก่อนหน้าที่วิญญาณของ เด็กชายบุญอยู่จะมาปฏิสนธิเป็นทารกในครรภ์ คุณเต็ม จึงคิดว่า เวลา ๑ วันในภพนั้น น่าจะเท่ากับ ๑ เดือนในโลกมนุษย์ ซึ่งก็จะไม่ตรงกันกับที่นายจุกเชื่อว่าเท่ากับ ๑ ปีในโลกมนุษย์ แต่ถ้าหากว่าเด็กทารกในครรภ์เกิดอยู่ในครรภ์ก่อนแล้ว และวิญญาณของ เด็กชายบุญอยู่ เพิ่งจะมาสวมร่างของเด็กเมื่อเด็กอยู่ในครรภ์ได้ ๑๐ เดือนใกล้คลอดแล้ว ก็เห็นจะใกล้เคียงกับที่นายจุกบอกไว้ ว่า ๑ วันในที่นั้น น่าจะเท่ากับ ๑ ปี ในโลกมนุษย์)
เมื่อตอนที่ คุณเต็ม สุวิกรม ไปสัมภาษณ์เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๙ นายจุกบอกว่า เวลานี้เขาอยู่มาได้ ๑ เดือนเศษแล้ว(๓๔ ปี) เหลืออีก ๑ เดือน(ประมาณ ๓๐ ปี) เขาก็ต้องกลับไปอยู่กับชีปะขาว ตามที่สัญญาเอาไว้
สำหรับเรื่องที่นางแช่มไปแลกข้าว แล้วเดินผ่านบ่อน้ำ จนกระทั่งไปแวะกินน้ำในคูหน้าวัดเตาอิฐ นางแช่มรับรองว่าเป็นความจริงตามที่นายจุกเล่า
ส่วนท่านชีปะขาวนั้น นายจุกกล่าวว่า ชีปะขาวท่านมาติดต่อกับตนอยู่เสมอ ทางความฝัน มีคราวหนึ่งตนเตรียมตัวจะไปเที่ยวที่จังหวัดชุมพร แต่ชีปะขาวได้มาฝันก่อน บอกว่าอย่าไปจะเกิดอันตราย ตนก็ตัดสินใจไม่ไปตามคำห้ามปรามนั้น อีกครั้งหนึ่งชีปะขาวท่านก็มาเข้าฝันบอกว่า เวลานี้มีเคราะห์ให้บวชต่ออายุ จะได้เป็นกุศล ให้กับพ่อแม่ในอดีตชาติอีกส่วนหนึ่งด้วย เพราะพ่อในชาติก่อนของตนจะต้องตายแล้ว การบวชของตนจะได้แผ่ส่วนกุศลให้บ้าง ตนจึงตัดสินใจบวช ที่วัดหนองอ้อ ที่บ้านดอนกระเบื้องใกล้บ้าน ตามที่ชีปะขาวบอก ในการบวชในครั้งนั้น ตนเตรียมเครื่องอัฏฐบริขารไว้พร้อมแล้ว โดยไม่ได้บอกให้ พ่อแม่ทั้งในปัจจุบันชาติและพ่อแม่ในอดีตชาติได้รู้ล่วงหน้าเลย เพราะอยากให้พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายน้อยใจกัน และที่สำคัญคือไม่ต้องการให้มีการจัดเลี้ยง ต้องฆ่าสัตว์มาทำอาหารเลี้ยงกัน ให้เป็นบาปเป็นกรรม และการบวชในครั้งนั้นเขาก็ขอสมทบบวชพร้อมกับนาคคนอื่นที่เขาจัดงานไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะไม่อยากให้พ่อแม่ลำบาก ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน นายคุนโหมว พ่อในอดีตชาติขอตนก็ ล้มป่วยและเสียชีวิต ตรงตามที่ชีปะขาวท่านมาเข้าฝันบอกไว้ก่อนหน้านี้จริงๆ
ส่วนเรื่องที่รับปากสัญญากับท่านชีปะขาวว่าจะไม่กินของวัดนั้น นายจุกปฏิบัติเคร่งครัดมาก ซึ่งพ่อแม่ พี่ชาย และพี่สาวของนายจุกต่างยืนยันตรงกันว่า ตั้งแต่เด็กๆ เมื่อพาเด็กชายจุกไปวัดตอนมีงานทำบุญ ปกติเมื่อพระท่านฉันเสร็จแล้ว ญาติโยมก็จะกินข้าวปลาอาหารนั้นต่อ แต่เด็กชายจุกจะไม่ยอมกินอาหารของที่วัดเลย ยังไงก็ต้องกลับมากินอาหารที่บ้าน แม้กระทั่งปัจจุบันนี้(พ.ศ.๒๕๐๙) นายจุกก็ไม่กินของวัด นายจุกให้เหตุผลว่า ไม่ดี สัญญากับชีปะขาวไว้ เพราะของที่วัดไม่ใช่ของของเรา แต่ตอนที่บวชพระนั้นฉันอาหารที่วัดได้เพราะนั่นเป็นของเรา
นายจุก ยังเล่าแถมท้ายไว้ด้วยว่า เมื่อตอนที่เขาเกิดเป็น เด็กชายบุญอยู่นั้น เขามีเพื่อนผู้หญิงที่ชอบพอสนิทสนมมากคนหนึ่ง เรียนอยู่ห้องติดกัน เพื่อนผู้หญิงคนนี้ชื่อว่า “สมจิต” ซึ่งเขายังจำได้จนถึงทุกวันนี้ แต่ตอนนี้นางสมจิตอายุแก่กว่าเขามาก มีสามีแล้ว และประกอบอาชีพค้าขายอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี เมื่อเขาได้พบกับนางสมจิต นางสมจิตก็มักจะให้เงินเขาเสมอ
สำหรับ นายจุก ในชาติใหม่นี้ มีนิสัยเรียบร้อย เวลาพูดก็พูดช้าๆ เป็นหลักเป็นฐานน่าเชื่อถือ เป็นคนใจเย็น พ่อแม่พี่น้องของเขาบอกว่าถ้านายจุกถูกใครด่าว่า เขาก็คงจะยิ้ม มีความคิดมีจิตในการบุญการกุศล
เมื่อตอนที่ คุณเต็ม สุวิกรม ไปสัมภาษณ์เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๙ นายจุก ได้แต่งงานมีภรรยาแล้ว มีลูกด้วยกัน ๔ คน เป็นผู้ชาย ๒ คน ชื่อ วินัย และ วัฒนา เป็นผู้หญิง ๒ คน ชื่อ สุวาณี และอีกคนตอนนั้นเพิ่งจะคลอดยังไม่ได้ตั้งชื่อ เท่าที่คุณเต็มสังเกต นายจุกเป็นคนขยันและเป็นคนรักครอบครัว และเขามักจะตำหนิติเตียนคนที่ทำบาปทำกรรมว่า “ไม่รู้หรือว่าชาติหน้ามีจริง เวรกรรมมีจริง นะมึง"
ข้อมูลล่าสุดจากการสัมภาษณ์ คุณราตรี เชาว์ฉลาด บุตรสาวของ คุณตาทองสุก(จุก) เชาว์ฉลาด ทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๒ ทราบว่า คุณตาทองสุก(จุก) เชาว์ฉลาด ได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๔๘ ศิริอายุได้ ๗๔ ปี ส่วนภรรยาคือ คุณยายทองอยู่ เชาว์ฉลาด และลูกๆทั้ง ๗ คน คือ นายวินัย นายวัฒนา น.ส.สุวารี น.ส.ราตรี น.ส.นิตยา น.ส.รจนารถ และน.ส.พูนศรี เชาว์ฉลาด ของคุณตาทองสุกก็ยังคงอาศัยอยู่ ที่บ้านเลขที่ ๒๓ หมู่ ๑ ต.ดอนกระเบื้อง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี
สรุปว่าเมื่อนับเวลาจากตอนที่ คุณเต็ม สุวิกรม ไปสัมภาษณ์เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๙ นายจุกหรือนายทองสุก ก็มีชีวิตต่อมาอีก เกือบ ๔๐ ปี และถึงแม้เรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของ เด็กชายทองสุก เชาว์ฉลาด จะผ่านมานานกว่า ๗๐ ปี แล้วก็ตาม แต่เรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของคุณตาทองสุกหรือเด็กชายทองสุกในสมัยนั้น ยังคงเป็นเรื่องที่ชาวบ้านดอนกระเบื้องบอกกล่าวเล่าขานกันมาจนถึงทุกวันนี้