ระวี ชางการ์ คุปตะ

กรณีของ ระวี ชางการ์ คุปตะ

( Ravi Shankar Gupta)

แผนที่ประกอบ : Chhipatti , Kanauj ; Uttar Pradesh

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๔ ได้เกิดเหตุฆาตกรรมอันน่าเสียวสยองขึ้นรายหนึ่ง ที่ตำบล ชะหิปัตติ จังหวัดคะนะอุช(Kanauj) แคว้นอุตตระประเทศ(Uttar Pradesh) เด็กชายอายุ ๖ ขวบ ที่ชื่อ อโศกกุมาร ชะเกษวาร์ ประสาท หรือที่เรียกกันเล่นๆว่า มุนนา บุตรชายของ นายศรี ชะเกษวาร์ ประสาท ช่างตัดผม ซึ่งกำลังเล่นอยู่คนเดียว ได้ถูกคนร้าย ๒ คน ล่อลวงไปฆ่าตัดคอจนเสียชีวิต

เด็กชายมุนนาเป็นบุตรคนเดียวของ นายศรี ชะเกษวาร์ ประสาท ตอนแรกทางตำรวจสงสัยว่าฆาตกรน่าจะเป็นญาติของพ่อเด็ก ฆ่าเด็กเพื่อหวังมรดก

วันนั้นมีผู้ไปพบศีรษะและเสื้อผ้าของเด็ก ซึ่งผู้เป็นพ่อเห็นก็จำได้ ตำรวจได้จับผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ได้ ๒ คน คนหนึ่งชื่อ นายชะวาหาร์ มีอาชีพเป็นช่างตัดผมเหมือนกับพ่อของเด็ก อีกคนหนึ่งชื่อ นายชะตุริ เป็นคนรับจ้างซักเสื้อ เนื่องจากมีพยานเห็นเด็กเดินไปกับชายสองคนนี้

ตอนแรก นายชะตุริ รับสารภาพกับตำรวจด้วยวาจาว่าเขาเป็นคนฆ่าเด็กเอง แต่ภายหลังเขากลับคำให้การปฏิเสธ คดีนี้ศาลเห็นว่าไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่า ผู้ต้องหาทั้งสองคนร่วมกันฆ่าเด็ก ศาลจึงสั่งยกฟ้อง และปล่อยตัวจำเลยทั้ง ๒ คนไป

ต่อมาอีก ๒-๓ ปี มีข่าวรู้มาถึง นายศรี ชะเกษวาร์ ประสาท ว่า ที่ตำบลหนึ่งในกรุงคะนะอุชซึ่งอยู่ติดกันกับตำบลที่เขาอยู่ มีเด็กคนหนึ่งจำอดีตชาติได้ ว่าเป็นบุตรชายของ นายศรี ชะเกษวาร์ มาเกิดใหม่ เด็กชายคนนั้นมีชื่อว่า เด็กชายระวี ชางการ์ คุปตะ เป็นบุตรของ นายศรี บาบูราม คุปตะ เขาเกิดเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๔ หกเดือนเศษ หลังจากที่ เด็กชายมุนนาเสียชีวิต เขามีรอยแผลเป็นที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิด เป็นทางยาวประมาณ ๕ ซม. กว้าง ๔-๕ มม. ที่บริเวณลำคอ ซึ่งแม่ของเขาสังเกตเห็นเมื่อตอนที่เขาอายุได้ประมาณ ๓-๔ เดือน

สำหรับบ้านของ เด็กชายระวี นั้นอยู่ไม่ไกลจากบ้านของ นายศรี ชะเกษวาร์ ประสาท นัก อยู่ห่างกันประมาณ ๘๐๐ เมตร เท่านั้น

พอเด็กชายระวีอายุได้ ๒-๓ ขวบ ก็เริ่มพูดถึงเรื่องราวความทรงจำในชาติก่อน ว่า ตัวเขาเป็นบุตรของ นายศรี ชะเกษวาร์ ช่างตัดผมที่อำเภอชะหิปัตติ พร้อมกับเล่าถึงเรื่องราวชีวิตของ เด็กชายมุนนา หลายอย่าง เขาบอกว่ารอยแผลเป็นที่ลำคอของเขานั้นเป็นรอยแผลที่คนร้ายมันเชือดคอเอา และเขามักจะรบเร้าพ่อแม่จะเอาของเล่นต่างๆ ซึ่งเขาบอกว่าที่บ้านก่อนนั้นเขาเคยมีของเหล่านั้น

เมื่อนายศรี ชะเกษวาร์ ประสาท ได้ทราบเรื่องนี้ ก็ได้ไปยังบ้านของ นายศรี บาบูราม คุปตะ ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก เพื่อจะสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่นายศรี บาบูราม คุปตะ ไม่พอใจที่ นายศรี ชเกษวาร์ มาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะกลัวว่า นายศรี ชะเกษวาร์ จะมาเอาเด็กชายระวีไป และเด็กชายระวีก็รบเร้าเรื่องของเล่นในชาติก่อนมาก นายศรี บาบูราม ถึงกับไม่ยอมพูดกับ นายศรี ชะเกษวาร์ เลย

ส่วนนายศรี ชะเกษวาร์ ก็ไม่ได้ละความพยายาม คอยหาโอกาสตอนที่ นายศรี บาบูราม ไม่อยู่บ้านไปหาภรรยาของ นายศรี บาบูราม แทน เพื่อขอพบและพูดคุยกับ เด็กชายระวี

จนกระทั่งสบโอกาสเมื่อ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๘ เขาได้แอบไปพบกับ เด็กชายระวี ชางการ์ ขณะที่ นายศรี บาบูราม ไม่อยู่บ้าน ตอนนั้นเด็กชายระวี อายุได้ประมาณ ๔ ขวบ วันนั้นมีหลายคนไปร่วมพิสูจน์ความจริง ในนั้นมียายของเด็กชายมุนนาไปด้วย เมื่อเด็กชายระวี เห็นก็ร้องทักทันทีว่า “ยาย” แต่พอ นายศรี ชะเกษวาร์ บอกว่า “ที่รัก มานี่ เธอชื่ออะไร เธอรู้จักฉันไหม” เด็กชายระวีไม่ตอบ นายศรี ชะเกษวาร์ พูดอยู่หลายครั้ง

เด็กชายระวี ไม่ยอมตอบอะไร แต่มีท่าทางเอียงอายและดูเหมือนจะสะอื้นร้องไห้ นายศรี ชะเกษวาร์ พูดว่า “หนูไม่ต้องกลัวหรอก จำไม่ได้หรือ ว่าหนูเคยขอเงินฉันเสมอ” เด็กชายระวีไม่ตอบและนิ่งเฉยอยู่ประมาณ ๒๐ นาที เขาจึงขยับเข้าไปใกล้ นายศรี ชะเกษวาร์ เขานั่งลงบนตักแล้วพูดว่า “พ่อผมเคยเรียนหนังสือที่โรงเรียนชะหิปาติ กระดานไม้ผมเก็บไว้ในตู้ ผมมีกระเป๋านักเรียน ผมเคยมีปืนด้วย” (สำหรับเรื่องปืนนั้นมีแต่ของเด็กชายมุนนา ของเด็กชายระวีไม่มี เนื่องจากราคาค่อนข้างแพง และครอบครัวของ นายศรี บาบูราม ก็ค่อนข้างยากจนไม่มีเงินซื้อให้ลูกเล่น) ตอนที่ ดร.เอียนสตี เวนสัน ไปสอบเรื่องนี้ เขาได้เห็นปืนที่เป็นของเล่นของมุนนาด้วย

เด็กชายระวียังบอกต่อไปอีกว่า “ผมมีช้างไม้ มีตุ๊กตารูปพระกฤษณะ มีลูกหนังผูกเชือกดึงเล่นด้วย พ่อเคยให้แหวนทอง ผมเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะ และผมเคยมีนาฬิกาข้อมือเรือนหนึ่ง” ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น

เมื่อสอบถามเรื่องราวการเสียชีวิตของ เด็กชายมุนนา เด็กชายระวีก็เล่าให้ฟังว่า วันนั้นก่อนที่เขาจะถูกฆ่าตาย เขากำลังกินขนมอยู่ แล้วคนร้ายทั้งสองคนก็มาหลอกชวนให้เขาไปเล่นเกริด้วย (มีผู้เล่าว่า เด็กชายมุนนาชอบเล่นเกริกับคนทั้งสองอยู่ก่อนแล้ว) วันนั้นเขาถูกพาไปที่ริมฝั่งแม่น้ำ แล้วนำตัวไปฆ่าในสวนใกล้ๆกับวัดจินตะมินี คนร้ายตัดคอเขา แล้วเอาตัวไปฝังที่หาดทราย

เด็กชายระวี บอกชื่อคนร้ายทั้งสองคน ที่ฆ่าตัดคอเด็กชายมุนนา และบอกด้วยว่าคนร้ายคนหนึ่งเป็นช่างตัดผม ส่วนอีกคนรับจ้างซักผ้า เขาเล่าเหตุการณ์ในวันที่เขาหรือเด็กชายมุนนาถูกฆ่าโดยละเอียด เหมือนกับว่าเขาได้ประสบกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นมาด้วยตัวของเขาเองจริงๆ ซึ่งก็สอดคล้องกันกับคำรับสารภาพของผู้ต้องหาคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะกลับคำให้การปฏิเสธในภายหลัง

เมื่อ นายศรี บาบูราม ทราบเรื่องที่ นายศรี ชะเกษวาร์ พาคนแอบมาสอบถามเรื่องการจำอดีตชาติได้ของ เด็กชายระวี ขณะที่เขาไม่อยู่บ้าน ก็ไม่พอใจมาก เฆี่ยนตี เด็กชายระวี เสียยกใหญ่ และห้ามไม่ให้พูดถึงเรื่องราวในชาติก่อนอีก แม้แต่ได้ยินเพื่อนบ้านพูดถึง เรื่องนี้ เขาก็ไม่พอใจ เขาพยายามให้ใครๆเลิกพูดถึงเรื่องที่เด็กชายระวี จำอดีตชาติได้เสียที บางครั้งถึงกับทะเลาะกับเพื่อนบ้านเพราะเรื่องนี้เลยก็มี เขาพยายามทำทุกอย่างแม้แต่ส่งเด็กชายระวี ไปอยู่ที่อื่นเสียปีกว่าๆ เพื่อให้ใครๆลืมเรื่องนี้เขาก็ทำ จนกระทั่งเขาเสียชีวิต

เด็กชายระวี ยังได้เล่าเรื่องเหล่านี้ให้ครูของเขาฟังเมื่อตอนที่เขาอายุได้ประมาณ ๕ ขวบเศษ ซึ่งครูของเด็กชายระวีได้บันทึกเรื่องราวที่เขาเล่าให้ฟังไว้ และส่งเรื่องนี้ไปให้ ศาสตราจารย์คนหนึ่งที่ชื่อ บี แอล อะตริยะ ครูของเด็กชายระวียังบอกด้วยว่า เขาสังเกตเห็นว่าหลังจากเด็กชายระวีถูกผู้เป็นพ่อเฆี่ยนตี และห้ามไม่ให้พูดถึงเรื่องในชาติก่อน เด็กชายระวีก็ไม่กล้าเล่าเรื่องในชาติก่อนให้ครูฟัง เหมือนเมื่อก่อน คงเป็นเพราะกลัวจะถูกเฆี่ยน

เด็กชายระวี มีอาการกลัวคนที่ฆ่าเด็กชายมุนนามาก มีครั้งหนึ่ง เขาเห็นคนร้ายคนหนึ่งที่ฆ่ามุนนา เขากลัวจนตัวสั่น เขาเคยบอกกับครูว่า เขากลัวช่างตัดผมและคนซักเสื้อมาก เห็นเข้าต้องวิ่งหนี มีครั้งหนึ่งเด็กชายระวีไปร่วมงานบุญแห่งหนึ่ง แล้วได้เห็น นายชะตุริ ซึ่งเป็นคนร้ายคนหนึ่งที่ฆ่าเขา เขาบอกกับเพื่อนเด็กๆด้วยกันว่า เขาเห็นคนที่ฆ่าเขาแล้ว เขาจะต้องแก้แค้น

นายศรี ชะเกษวาร์ ยังแค้นใจในเรื่องที่เด็กชายมุนนาถูกคนร้ายฆ่าตายมาก เขาและภรรยา พยายามจะเอาเรื่องราวที่เด็กชายระวีพูดถึงเหตุการณ์ในวันที่เด็กชายมุนนาถูกฆ่าตาย ไปบอกกับตำรวจให้ดำเนินคดีกับคนร้ายทั้งสองคนใหม่ แต่ก็ไม่มีใครเป็นพยานให้ เพราะกลัวจะถูกคนร้ายแค้นเคืองและทำร้ายเอา

ดร.เอียน สตีเวนสัน ไปสอบเรื่องนี้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๗ และยังได้เห็นรอยแผลเป็นที่บริเวณลำคอของ เด็กชายระวี ชางการ์ ซึ่งเป็นรอยแผลเป็นยาวประมาณ ๒ นิ้ว กว้าง ๑/๔ ถึง ๑/๘ นิ้ว เป็นรอยเหมือนถูกมีดจริงๆ แม่ของเด็กชายระวีบอกว่าเมื่อก่อนรอยแผลเป็นนี้อยู่ต่ำกว่านี้ แต่เมื่อเด็กโตขึ้นมันก็เลื่อนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ และค่อยๆจางลง

เป็นที่น่าสังเกตว่า เด็กชายระวี ชางการ์ เกิดหลังจากที่ เด็กชายมุนนา เสียชีวิตได้เพียง ๖ เดือนกว่าๆเท่านั้น แสดงว่าเขาได้เกิดเป็นทารกในครรภ์ก่อนแล้วอย่างน้อย ๒-๓ เดือน ก่อนที่จะเสียชีวิต และน่าสังเกตเกี่ยวกับรอยแผลเป็นที่ติดตัวเขามาตั้งแต่แรกเกิดว่าเกิดมีขึ้นตั้งแต่ระยะใดของทารกในครรภ์ และรอยแผลเป็นนั้นเป็นรอยยาวประมาณ ๒ นิ้วเท่านั้น ไม่ได้เป็นรอยรอบลำคอ สันนิษฐานว่าเป็นรอยเฉพาะบาดแผลที่ทำให้เสียชีวิตเท่านั้น ส่วนบาดแผลที่คนร้ายได้ตัดคอและแยกศีรษะไปนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว