ชื่อของฝรั่งบางครั้งชื่อพ่อกับชื่อลูกเหมือนกัน เนื่องจากเขานิยมเอานามสกุลขึ้นหน้าชื่อ เขาจึงมีวิธีเรียกชื่อไม่ให้ซ้ำกันโดยใช้วิธีเติมคำว่า จูเนียร์(น้อย) และ ซีเนียร์(ใหญ่) เช่นในเรื่องต่อไปนี้มีบุคคลที่ชื่อ วิลเลี่ยม ยอร์ช อยู่สองคนเป็นปู่เป็นหลานกัน คนที่ชื่อ วิลเลี่ยม ยอร์ช ซีเนียร์ คือปู่ ส่วนคนที่ชื่อ วิลเลี่ยม ยอร์ช จูเนียร์ คือหลาน
วิลเลี่ยม ยอร์ช ซีเนียร์ เป็นชาวอลาสก้า มีชื่อเสียงความสามารถในการจับปลามาก ตอนที่วิเลี่ยมอายุประมาณ ๕๐ กว่าๆ เขาชอบพูดกับลูกชายคนโปรดที่ชื่อ เรยินาล ยอร์ช และภรรยาของ เรยินาล บ่อยๆว่า “ถ้าฉันได้กลับมาเกิดอีก ฉันจะมาเกิดเป็นลูกของ เรยินาล” และมีหลายครั้งที่เขามักจะพูดว่า “ให้สังเกตดูว่าจะเป็นตัวของฉันมาเกิดอีกจริงหรือไม่ โดยให้ดูว่าเด็กนั้นมีรอยปานเหมือนกับที่ฉันมีหรือไม่” แล้วเขาก็ได้ให้บุตรชายดูรอยปาน ๒ แห่งที่ตัวของเขา ซึ่งเขามีปานเป็นรูปวงกลมขนาดกว้างประมาณครึ่งนิ้วที่บริเวณไหล่ซ้ายแห่งหนึ่ง และที่ท่อนบนของแขนซ้ายอีกแห่งหนึ่ง
ต่อมาเมื่อ วิลเลี่ยม ยอร์ช ซีเนียร์ อายุประมาณ ๖๐ ปี ในฤดูร้อน ปี พ.ศ.๒๔๙๒ เขาได้พูดเรื่องที่จะกลับมาเกิดเป็นลูกของ เรยินาล ลูกชายของเขาอีก และได้เอานาฬิกาเรือนทองคำแบบพก ซึ่งเขาได้รับมรดกมาจากมารดาของเขามาให้ลูกชาย แล้วบอกให้ลูกชายเก็บนาฬิกาพกนั้นไว้ให้เขาด้วย
เรยินาล ยอร์ช บุตรชายก็ได้นำนาฬิกาพกนั้นกลับไปบ้าน และเล่าให้ภรรยาฟังถึงเรื่องที่บิดาพูดถึงความตั้งใจที่จะกลับมาเกิดใหม่และฝากให้เก็บนาฬิกาไว้ให้ด้วย ซึ่งภรรยาของ เรยินาล ได้เก็บนาฬิกาเรือนนั้นไว้ในหีบเพชรพลอย และไม่ได้นำนาฬิกานั้นออกไปไหนเลย
หลังจากนั้นอีกประมาณ ๒-๓ สัปดาห์ ต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๔๙๒ วิลเลี่ยม ยอร์ช ได้นำเรือออกไปจับปลาพร้อมกับลูกเรือ แต่ปรากฏว่าขณะที่กำลังล่องจับปลาอยู่นั้น วิลเลี่ยม ยอร์ช ได้หายไป ลูกเรือพยายามค้นหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ พวกลูกเรือจึงเชื่อว่าเขาอาจจะพลัดตกจากเรือแล้วถูกกระแสน้ำพัดร่างของเขาจากอ่าวไปสู่ทะเลใหญ่ เนื่องจากน้ำบริเวณอ่าวในอลาสก้านั้นไหลเชี่ยวมาก
หลังจากนั้นไม่นาน ภรรยาของ เรยินาล ก็ตั้งท้อง และให้กำเนิดลูกชาย เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ หลังจากที่ วิลเลี่ยม ยอร์ช เสียชีวิต ๙ เดือน ปรากฏว่าเด็กชายคนนี้ มีปานที่ไหล่ซ้ายและที่ใต้แขนซ้ายท่อนบนติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิด ตรงกันกับปานของ วิลเลี่ยม ยอร์ช ผู้เป็นปู่พอดี แต่ปานนั้นมีขนาดเล็กกว่าครึ่งหนึ่ง เพราะเหตุนี้เอง บิดามารดาของเขาจึงตั้งชื่อบุตรชายว่า วิลเลี่ยม ยอร์ช จูเนียร์ ชื่อเดียวกันกับผู้เป็นปู่
เมื่อ เด็กชายวิลเลี่ยม ยอร์ช จูเนียร์ อายุได้หนึ่งขวบ เขาเป็นไข้ปอดบวม และยังพูดไม่ได้ มาเริ่มพูดได้เอาเมื่ออายุราว ๓-๔ ขวบแล้ว เขาพูดได้ช้าแถมยังพูดติดอ่างอยู่หลายปี และจากการเฝ้าสังเกตของลักษณะหลายๆอย่างของ เด็กชายวิลเลี่ยม ทำให้เรยินาลและภรรยา เชื่อว่าเขาเป็นบิดาของ เรยินาล กลับชาติมาเกิดใหม่ เช่น ท่าทางการเดินของ เด็กชายวิลเลี่ยม มีลักษณะคล้ายกับผู้เป็นปู่ คือเมื่อครั้งยังหนุ่ม วิลเลี่ยม ยอร์ช ซีเนียร์ เคยเล่นบาสเก็ตบอลแล้วเกิดอุบัติเหตุทำให้ข้อเท้าแพลง ถึงแม้ต่อมาอาการเท้าแพลงจะหายแล้ว แต่เขาก็ยังเดินเหมือนคนขาเป๋ ซึ่ง เด็กชายวิลเลี่ยม ก็เดินในเหมือนคนขาเป๋เหมือนกัน ทั้งๆที่ขาของเขาก็ปกติดี แต่เขาก็เดินขาปัดท่าทางเหมือนกับปู่ที่เสียชีวิตไปแล้ว แถมเขายังมีหน้าตาคล้ายๆกับผู้เป็นปู่อีกด้วย
ส่วนนิสัยใจคอก็คล้ายๆกัน คือ เด็กชายวิลเลี่ยม เป็นคนชอบคิดวิตกกังวลและชอบสอนคนอื่น อีกทั้งเขายังมีความสามารถในเรื่องเรือจับปลาและการหาปลาเป็นมากอย่างไม่น่าเป็นไปได้ เมื่อโตพอที่จะลงเรือไปหาปลาได้ เด็กชายวิลเลี่ยม รู้จักวิธีการที่จะจับอวนใช้อวนโดยที่ไม่ต้องมีใครสอน แต่แปลกตรงที่เขาจะกลัวน้ำมากกว่าปกติ และเป็นคนช่างคิดช่างตรองดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว
มีครั้งหนึ่ง เรยินาล ผู้เป็นพ่อได้พา เด็กชายวิลเลี่ยม ออกเรือไปหาปลาด้วยกัน เด็กชายวิลเลี่ยม บอกกับผู้เป็นพ่อว่า ควรจะไปหาปลาที่อ่าวแห่งหนึ่ง บอกชื่ออ่าวแห่งนั้นด้วย เขาบอกว่าเมื่อก่อนเขาเคยจับปลาได้มากที่อ่าวแห่งนั้น
เรยินาล พ่อของ เด็กชายวิลเลี่ยม มีลูกพี่ลูกน้องอยู่คนหนึ่งชื่อ วอลเตอร์ เมย์ เมื่อ เด็กชายวิลเลี่ยม เห็นเข้าก็บอกว่า เมื่อก่อนนี้ วอลเตอร์ เคยไปหาปลาด้วยกัน ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะก่อนจะเสียชีวิต นายวิลเลี่ยม เคยออกไปหาปลากับ วอลเตอร์ เมย์ อยู่บ่อยๆ
เด็กชายวิลเลี่ยม มักเรียกคนใกล้ชิดแบบไม่ให้ความนับถืออย่างที่ควรจะเป็น เช่น เรียกลุงและป้าในปัจจุบันว่า "ลูก" เรียกย่าคนหนึ่งซึ่งเป็นน้องสาวของภรรยาในชาติก่อนว่า "น้อง" เหมือนกับเขาคิดว่าตัวเขาคือนายวิลเลี่ยมจริงๆ ซึ่งพวกพี่น้องของเด็กชายวิลเลี่ยม ก็เรียกเขาว่า "คุณปู่" แต่เขาก็เฉยๆไม่ได้ค้านอะไร
มีครั้งหนึ่ง เด็กชายวิลเลี่ยม วิ่งเข้ามาบอกมารดาว่า เห็นน้องสาวเดินผ่านหน้าบ้านไป พอมารดาออกไปดูก็เห็นน้องสาวของ นายวิลเลี่ยม ยอร์ช ซีเนียร์ เดินผ่านหน้าบ้านไปจริงๆ
เมื่อ เด็กชายวิลเลี่ยม พูดถึงอดีตชาติบ่อยๆเข้า นายเรยินาล ผู้เป็นพ่อกลับรู้สึกไม่สบายใจ เพราะเห็นว่าลูกชายออกจะคิดถึงแต่เรื่องในชาติก่อนมาก และสังเกตเห็นว่าเด็กมักจะใจลอย ประกอบกับคนแก่คนเฒ่ามักจะมาเตือนว่า การที่เด็กพูดถึงนึกถึงแต่ชาติก่อนจะเป็นสิ่งไม่ดีกับตัวเด็ก ดังนั้น นายเรยินาล ผู้เป็นพ่อจึงคอยห้ามไม่ให้ เด็กชายวิลเลี่ยม พูดถึงเรื่องในอดีตชาติอีก
สำหรับนาฬิกาพกเรือนทองคำเรือนนั้น ตอนนั้นขณะที่ เด็กชายวิลเลี่ยม ยอร์ช จูเนียร์ อายุได้ ๔-๕ ขวบ วันหนึ่งมารดาของเขาได้เอาหีบเครื่องเพชรพลอยออกมาตรวจดูของที่เก็บไว้ อยู่ในห้องนอน และได้หยิบนาฬิกาพกเรือนทองคำที่เก็บไว้ออกมาวางด้วย ขณะที่แม่กำลังนั่งพิจารณาดูของต่างๆอยู่นั้นเอง เด็กชายวิลเลี่ยม สังเกตเห็นนาฬิกาเรือนนั้นเข้า เขาก็พูดขึ้นมาทันทีว่า "นาฬิกาของฉัน" และร้องจะเอานาฬิกานั้นให้ได้ แต่มารดาก็ไม่ยอมให้เพราะเห็นว่ายังเป็นเด็กอยู่ ในที่สุด เด็กชายวิลเลี่ยม ก็ยอมให้นำนาฬิกาเข้าเก็บไว้ในหีบเหมือนเดิม และตั้งแต่นั้นมา เด็กชายวิลเลี่ยม ก็เฝ้าขอนาฬิกาเรือนนั้นกับมารดาอยู่บ่อยๆ โดยจะพยายามอ้อนบอกว่าเขาโตแล้ว ใช้นาฬิกาได้แล้ว ในเรื่องนี้นายเรยินาลและภรรยายืนยันว่า ตั้งแต่ได้นาฬิกามาจาก นายวิลเลี่ยม ยอร์ช ซีเนียร์ พวกเขาก็เก็บมันไว้ในหีบมาตลอด ไม่เคยเอามันออกมาจากหีบเลยเป็นเวลาเกือบ ๕ ปี เพิ่งจะเอาออกมาดูหนนั้นหนเดียว แต่เมื่อ เด็กชายวิลเลี่ยม เห็นก็พูดขึ้นมาเองทันทีว่าเป็นของเขา และเด็กก็เห็นโดยบังเอิญ พวกเขาไม่ได้เอานาฬิกาออกมาให้เขาดูแล้วถามว่าเป็นของใคร
ขณะที่ ดร.เอียน สตีเวนสัน ไปสอบถามข้อมูลนั้น นายวิลเลี่ยม ยอร์ช จูเนียร์ อายุได้ ๒๐ ปีแล้ว และความทรงจำในอดีตชาติของเขาก็ได้รางเลือนไปมากแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเขายังคงรู้สึกผูกพันกับนาฬิกาเรือนนั้นอยู่ไม่เสื่อมคลาย