จาก http://www.gotoknow.org/blogs/posts/63319 ไม่ได้เกี่ยวกับหนังสือโดยตรงครับ แต่พูดถึงเรื่องการวิจัย
ด้านนายชาตรี สำราญ ครูผู้มีประสบการณ์การทำวิจัยในชั้นเรียน กล่าวว่า จากการเดินทางไปพูดคุยและอบรมเพื่อนครูทั่วประเทศพบว่า ครูจำนวนไม่น้อยมีปัญหาเรื่องจับประเด็นวิจัยไม่ได้ และที่สำคัญคือครูมองว่าการวิจัยเป็นเรื่องยาก เนื่องจากเข้าใจว่าการวิจัยในชั้นเรียนมีรูปแบบเดียวกับการวิจัยเชิงวิชาการที่ต้องใช้รูปแบบรายงาน 5 หรือ 6 บท ต้องมีการอ้างอิงทฤษฎีจำนวนมาก มีกลุ่มควบคุม กลุ่มทดลอง และสุดท้ายจบลงด้วยการใช้สูตรทางสถิติที่ซับซ้อนและใช้เวลาวิจัยนานนับปี ทั้งที่วิจัยในชั้นเรียนนั้นเป็นเพียงวิจัยเล็กๆ ที่ครูผู้วิจัยต้องการค้นหาคำตอบจากปัญหาเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนของตนเท่านั้น โดยมีองค์ประกอบสำคัญคือ ปมปัญหาคืออะไร ครูมีวิธีแก้ไขอย่างไร และเมื่อดำเนินการแก้ไขแล้วผลเป็นอย่างไร
ในหนังสือ วิจัยง่ายๆ สำหรับครู นายชาตรีแนะว่า ปัญหาที่ครูนำมาวิจัยนั้นจะต้องเป็นปัญหาแท้ คือเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักเรียนคนหนึ่งๆ หรือนักเรียนกลุ่มเล็กๆ ไม่ใช่นักเรียนกลุ่มใหญ่หรือนักเรียนทั้งห้องที่ปัญหาจะหลากหลายแตกต่างกันไป เมื่อระบุปัญหาได้ ครูต้องอธิบายลักษณะของปัญหาให้เห็นภาพชัดเจน พร้อมทั้งระบุสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหา แล้วเลือกสาเหตุที่สามารถแก้ได้มาทำการแก้ไข เพราะบางสาเหตุครูไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น พ่อแม่ยากจน ครอบครัวแตกแยก แต่ถ้าเพราะเด็กขาดความอบอุ่น ต้องการคนสนใจ ครูช่วยได้ จากนั้นครูจึงคาดเดาคำตอบ (หรือตั้งสมมุติฐาน) ว่าน่าจะได้คำตอบอย่างไร พร้อมกับตั้งจุดประสงค์ให้ชัดเจนว่ามีเป้าหมายอย่างไร
หลังจากนั้นจึงกำหนดวิธีการแก้ไขตามอาการของปัญหาที่ครูค้นพบ แล้วลงมือแก้ปัญหาขณะสอนนักเรียนทั้งชั้นเรียน ไม่ใช่แยกเด็กคนที่มีปัญหามาสอนต่างหาก ระหว่างนี้ครูต้องพยายามสังเกตพฤติกรรมเด็กคนที่มีปัญหาอย่างใกล้ชิด จดบันทึกพฤติกรรมทุกระยะ รวมถึงวิธีการแก้ไขและผลที่ปรากฏจากการแก้ไขเป็นระยะๆ ให้ละเอียด ตัวบันทึกพฤติกรรมนี้ครูสามารถนำมาอ่านทบทวน วิเคราะห์ และสังเคราะห์ให้เห็นภาพชัดเจนว่าแก้ไขแล้วได้ผลอย่างไร เพียงใด และอะไรคือตัวบ่งชี้ว่าได้ผลดี
ขั้นตอนสุดท้ายของการทำวิจัยในชั้นเรียนแต่ละเรื่องคือ การเขียนรายงานการวิจัย ครูจำนวนไม่น้อยมักวิตกกังวลกับขั้นตอนนี้ เพราะเข้าใจว่าจะต้องใช้ภาษาที่เป็นทางการในเชิงวิชาการ โดยลืมว่าเป้าหมายของการทำวิจัยในชั้นเรียนนั้นเพื่อแก้ปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียนในชั้นเรียนของครูผู้ทำวิจัย เมื่อทำเสร็จแล้วผู้ที่จะได้อ่านคือ ครูผู้ทำวิจัย เพื่อนำมาศึกษาและพัฒนาการจัดการเรียนการสอนต่อไป เพื่อนครูและผู้บริหาร รวมถึงผู้ปกครองของเด็กนักเรียนที่มีปัญหา เพื่อให้ผู้ปกครองได้รู้ว่าลูกหลานมีปัญหาอะไร ครูช่วยเหลืออย่างไร แล้วสุดท้ายเด็กได้พัฒนาอย่างไร ฉะนั้นรายงานการวิจัยในชั้นเรียนจึงต้องเขียนด้วยภาษาเรียบง่าย อ่านแล้วเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน แต่มีข้อมูลชัดเจน เชื่อถือและพิสูจน์ได้