๑. เริ่มต้นของการภาวนา ให้นึกคำบริกรรม “พุทโธ” กำหนดที่ตั้งของจิตไว้บริเวณหัวใจ (จะใช้ฐานที่ตั้งอื่นก็ได้ตามแต่ถนัด) แล้วสังเกตดูที่ผู้บริกรรมว่าใครเป็นผู้บริกรรม “พุทโธ” ให้บริกรรมไปเรื่อยๆ จนกว่าอารมณ์จะสงบลง เมื่อจิตคิดไปถึงเรื่องภายนอกเรื่องอะไรก็ให้กำหนดรู้เท่าทัน ไม่ปล่อยจิตให้คิดไปตามเรื่องต่างๆ นั้น พยายามประคองรักษาอารมณ์ภาวนาให้รวมอยู่ที่ฐาน กำหนดอยู่เรื่อยๆ เมื่ออารมณ์สงบแล้ว คำบริกรรมก็จะขาดไปเอง ไม่ต้องบริกรรมอีก ให้สังเกตดูความรู้สึกที่ฐานกำหนดอยู่เช่นนั้น
บริกรรมเพื่อรวมอารมณ์ให้เป็นหนึ่ง สังเกตดูว่าใครเป็นผู้บริกรรม “พุทโธ”
๒. ดูจิตเมื่ออารมณ์สงบแล้ว ให้สติจดจ่ออยู่ที่ฐานกำหนดเดิมเช่นนั้น เมื่ออารมณ์อะไรเกิดขึ้นก็ให้ละอารมณ์นั้นทิ้งไป ให้มาดูที่จิตต่อไปอีกไม่ต้องกังวลใจ พยายามประคองอารมณ์ให้อยู่ในฐานที่ตั้งเสมอๆ ใช้สติคอยกำหนดควบคุมอยู่อย่างเงียบๆ (รู้อยู่) ไม่ต้องวิจารณ์กิริยาใดๆ ที่เกิดขึ้น เพียงกำหนดรู้และละไปเท่านั้น ทำเช่นนี้อยู่เรื่อยๆ แล้วเราก็จะค่อยเข้าใจในกิริยาของจิตได้เอง (จิตปรุงกิเลสหรือกิเลสปรุงจิต)
“ทำความเข้าใจในอารมณ์ความนึกคิด สังเกตอารมณ์ทั้งสามอย่างคือ ราคะ โทสะ โมหะ”
๓. อย่าส่งจิตออกนอก พยายามกำหนดรู้อยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น ไม่พยายามคิดสัดส่ายไปถึงเรื่องภายนอก เมื่อจิตเผลอคิดไปก็ให้ตั้งสติระลึกถึงฐานกำหนดเดิม และรักษาสัมปชัญญะให้สมบูรณ์อยู่ที่กายเสมอๆ (รูปนิมิตให้ยกไว้ ส่วนนามนิมิตทั้งหลายอย่าได้ใส่ใจกับมัน)
“ระวังจิตไม่ให้คิดถึงเรื่องภายนอก สังเกตดูการหวั่นไหวของจิตตามอารมณ์ที่รับมาทางอายตนะทั้งหก”
๔. จงทำญาณให้เห็นจิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป เมื่อเราสังเกตกิริยาของจิตไปเรื่อยๆ จนเข้าใจถึงเหตุปัจจัยของอารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ได้แล้ว จิตก็จะค่อยๆ รู้เท่าทันการเกิดของอารมณ์ต่างๆ อารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ก็จะค่อยๆ ดับไปเรื่อยๆ จนจิตสว่างจากอารมณ์ แล้วจิตก็จะเป็นอิสระอยู่ต่างหากจากเวทนาจากรูปกาย อยู่ที่ฐานกำหนดเดิมนั่นเอง การเห็นนี้เป็นการเห็นด้วยจักษุปัญญา
“คิดเท่าไร เท่าไรก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิดให้ได้จึงจะรู้”
๕. แยกรูปถอดด้วยวิชชา มรรคจิต เมื่อสามารถเข้าใจได้ว่า จิต กับ กาย อยู่คนละส่วนได้แล้ว ให้ดูที่จิตต่อไปว่ายังมีอะไรหลงเหลืออยู่ที่ฐานที่กำหนด (จิต) อีกหรือไม่ “แต่ก็ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละถึงจะรู้” พยายามใช้สติสังเกตดูที่ จิต ทำความสงบภายในจิตอยู่เรื่อยๆ จนสามารถเข้าใจพฤติของจิตได้ตาม
ขั้นตอน (เข้าใจในเรื่องเหตุผลว่า เกิดจากความคิดนั่นเอง และความคิดนั้นมันออกไปจากจิตนี่เอง ไปหาปรุง หาแต่ง หาก่อ หาเกิด ไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นมายาหลอกลวงให้คนหลง) แล้วจิตก็จะเพิกถอนสิ่งที่มีอยู่ในจิตออกไปเรื่อยๆ จนหมด หมายถึง เจริญจิตจนสามารถเพิกรูปปรมาณูวิญญาณที่เล็กที่สุดภายในจิตได้ “คำว่าแยกรูปถอดนั้น หมายความถึง แยกรูปวิญญาณนั่นเอง”
๖. เหตุต้องละ ผลต้องละใช้ เมื่อเจริญจิตจนปราศจากความคิดปรุงแต่งได้แล้ว (ว่าง) ก็ไม่ต้องใช้หลักเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น จิตก็จะอยู่เหนือภาวะแห่งคลองความคิดนึกต่างๆ อยู่เป็นอิสระปราศจากสิ่งใดๆ ครอบงำอำพรางทั้งสิ้น
“สมุทเฉทธรรมทั้งปวง”
๗. หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด เมื่อธรรมทั้งหลายได้ถูกถ่ายทอดไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่าธรรม จะเป็นธรรมไปได้อย่างไร สิ่งที่ว่าไม่มีธรรมนั่นแหละ มันเป็นธรรมของมันในตัว (ผู้รู้นะจริง แต่สิ่งที่ถูกรู้ทั้งหลายนั้นไม่จริง) เมื่อจิตว่างจากพฤติต่างๆ แล้ว จิตก็จะมาถึง ความว่างที่แท้จริง ไม่มีอะไรให้สังเกตได้อีกต่อไป จึงทราบได้ว่าแท้ที่จริงแล้ว จิตนั้นไม่มีรูปร่าง มันรวมอยู่กับความว่าง ในความว่างนั้นไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณซาบซึมอยู่ในสิ่งทุกๆ สิ่ง และจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งๆ เดียวกัน
๘. ผู้ที่ตรัสรู้แล้วเขาไม่พูดหรอกว่าเขาไม่รู้ เพราะไม่มีอะไรที่จะให้ใครรู้ถึง เมื่อเจริญจิตจนเข้าใจสภาวะเดิมแท้ของมันได้แล้ว “จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง” จิตก็จะอยู่เหนือสภาวะสมมติบัญญัติทั้งปวง มันอยู่เหนือคำพูดและปราศจากการกล่าวอ้างใดๆ ทั้งสิ้นเป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสว่างรวมเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์ และสว่างของจักวาลเดิมเข้าเป็นหนึ่ง เรียกว่า “นิพพาน”
โดยปรกติ คำสอนธรรมะ ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล นั้น ท่านจะสอนธรรมแบบ “ปริศนาธรรม” มิใช่เป็นการบรรยายธรรม ฉะนั้น คำสอนท่านจึงสั้น จำกัดในความหมายของธรรม เพื่อไม่ให้เฝือหรือฟุ่มเฟือยมากนัก เพราะจะทำให้สับสน เมื่อผู้ใดซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติธรรมมาแล้ว เขาย่อมจะเข้าใจได้เองว่า กิริยา อาการของจิต ที่เกิดขึ้นนั้นมีมากมายหลายอย่าง ยากที่จะอธิบายได้หมดจด ด้วยเหตุนั้น หลวงปู่ท่านจึงใช้คำว่า “พฤติของจิต” แทนกิริยาทั้งหลายเหล่านั้น
คำว่า “ดูจิต อย่าส่งจิตออกนอก, ทำญาณให้เห็นจิต” เหล่านี้ล้วนมีความหมายครอบคลุมไปทั้งหมดตลอดองค์ภาวนา แต่เพื่อจะอธิบายให้เป็นขั้นตอน จึงจัดเรียงให้ดูง่าย เข้าใจง่ายเท่านั้น
ท่านผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา เมื่อเจริญภาวนาจิต ตามคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโลแล้ว หากเกิดปัญหาในระหว่างการปฏิบัติ ควรรีบเข้าหาครูอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระโดยรีบด่วน หากประมาทแล้วอาจเกิดผลเสียหายใหญ่หลวงตามมาภายหลังได้ เพราะคำว่า มรรคปฏิปทา นั้น จะต้องอยู่ใน มรรคจิต เท่านั้น มิใช่มรรคภายนอกต่างๆ นานา เลยการเจริญจิตเข้าสู่ที่สุดแห่งทุกข์นั้น จะต้องถึงพร้อมด้วยวิสุทธิศีลวิสุทธิธรรม พร้อมทั้งสามทวาร คือ กาย วาจา และใจ จึงจะยังกิจให้ลุล่วงถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
จากหนังสือพระพุทธปฏิภาณ และ จิตคือพุทธะและมรรคปฏิปทา
https://docs.google.com/document/d/1k6tXbIIWMx8imAkk-PPpd3xsxA_Lsy-SL4XFMBa8JEo/edit?usp=sharing