ชื่อวิทยาศาสตร์ Croton cascarilloides Raeusch.
ชื่อวงศ์ Euphorbiaceae
ชื่อทั่วไป เปล้าหลังเงิน(ประจวบคีรีขันธ์ เปล้าเงิน(สงขลา) เป้าน้ำเงิน(นครราชสีมา สุราษฎร์ธานี)
กะโดนหิน(เลย)
ลักษณะทางพฤษศาสตร์
เปล้าน้ำเงินเป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก สูง ๑-๔.๕๐ เมตร กิ่งก้านเรียวเล็ก ใบติดหนาแน่นเป็นช่วงๆ ตามข้อและ ที่ปลายกิ่ง รูปขอบขนานแกมรูปใบหอก รูปขอบขนานแกมรูปไข่ รูปใบหอกกลับ หรือรูปข้าวหลามกลับ
ขนาดกว้าง ๓-๗ ซม. ยาว ๕-๑๖ ซม. โคนใบสอบแคบ โคนสุดมน ขอบใบเรียบหรือหยักเพียงเล็กน้อย ปลายใบ แหลมหรือเรียวแหลม ท้องใบปกคลุมด้วยเกล็ดสีเงิน มีสีน้ำตาลสลับบ้างประปราย หนาแน่น หลังใบเมื่อยังอ่อนอยู่ มีเกล็ด แต่จะหลุดร่วงไปจนเกลี้ยง ก้านใบยาว ๑-๖ ซม. มีเกล็ดปกคลุม ดอกออกเป็นช่อสั้นๆ ที่ปลายยอด
มักออกทีละ ๒ ช่อ ยาว ๑.๕-๗ ซม. ดอกย่อยขนาดเล็กมาก สีขาว ดอกตัวผู้และดอกตัวเมียอยู่บนช่อเดียวกัน ดอกตัวผู้รูปกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว ๓ มม.กลีบเลี้ยงมี ๕ กลีบ รูปไข่ ยาวราว ๒ มม. ขอบกลีบมีขน กลีบดอกมี ๕ กลีบ รูปไข่กลับ ขอบกลีบมีขน เกสรตัวผู้มี ๑๕ อัน โคนเกสรมีขน ดอกตัวเมียขนาดใหญ่กว่าดอกตัวผู้
กลีบเลี้ยงมี ๕ กลีบ รูปไข่หรือรูปขอบขนาน ปลายมน โคนเชื่อมติดกัน ยาว ๕-๖ มม. กลีบดอกมี ๕ กลีบ ลักษณะคล้ายเส้นด้าย ยาวราว ๒ มม. ผลรูปกลมแกมรูปสามเหลี่ยมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๖-๗ มม. สีเขียว เมล็ดรูปรี ด้านหนึ่งแบน ยาวราว ๔ มม.
สรรพคุณ
ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า น้ำต้มราก (หรือต้มรวมกับเปลือกต้น) มีรสเฝื่อน เป็นยาแก้ไข้และยาแก้อาเจียน น้ำต้มเปลือกต้นและแก่นเป็นยาบำรุงโลหิตสตรี