ชื่อวิทยาศาสตร์ Thunbergia laurifolia Lindle
ชื่อวงศ์ ACANTHACEAE
ชื่อทั่วไป กำลังช้างเผือก ขอบชะนาง เครือเขาเขียว ยาเขียว (ภาคกลาง), คาย รางเย็น (ยะลา), จอลอดิเออ ซั้งกะ ปั้งกะล่ะ พอหน่อเตอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน),ดุเหว่า (ปัตตานี), ทิดพุด (นครศรีธรรมราช) ,น้ำนอง (สระบุรี) ,ย่ำแย้ แอดแอ (เพชรบูรณ์) ว่านรางจืด
ลักษณะทางพฤษศาสตร์ 1.ต้นรางจืด เป็นไม้เลื้อยหรือไม้เถา ที่มีเนื้อแข็ง ลำต้นหรือเถานั้นจะกลมเป็นปล้อง มีสีเขียวสดหรือสีเขียวเข้ม
ลำต้นไม่มีขนและไม่มีมือจับเหมือนกับตำลึง และมะระ แต่อาศัยลำต้นในการพันรัดขึ้นไป รางจืดเป็นพืชในเขตร้อน และเขตอบอุ่นของทวีปเอเชีย จึงสามารถขึ้นได้ทั่วไปตามป่าดิบชื้นของประเทศไทยทั่วทุกภาค เจริญเติบโตได้เร็ว และขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เถาในการปักชำ
2.ใบรางจืด ใบเดี่ยวออกตรงข้ามกันเป็นคู่ รูปไข่ปลายเรียวแหลม ปลายใบแหลม หรือแหลมยาว โคนใบกลม ตัด
รูปหัวใจหรือคล้ายลูกศร ขอบใบเรียบ จักซี่ฟันตื้นๆ ห่างๆ แผ่นใบเกลี้ยง เส้นโคนใบส่วนมากมี 5 เส้น เส้นแขนงใบ ย่อยแบบร่างแหเห็นชัดเจน ใบยาว 4-18 เซนติเมตร หลังใบผิวเรียบมัน สีเขียวเข้ม ท้องใบเรียบสีอ่อนกว่า
เนื้อใบบาง ก้านใบยาวได้ประมาณ 6 เซนติเมตร ใบช่วงปลายกิ่งก้านใบสั้นมาก
3.ช่อดอกแบบช่อกระจะออกตามซอกใบหรือปลายกิ่ง ยาวได้ประมาณ 30 เซนติ
4.ดอกรางจืด ดอกรูปปากแตร สีม่วง ในช่อหนึ่งมีดอกย่อย 3-4 ดอก สีม่วงอมฟ้า กลีบดอกมี 5 กลีบ ขนาดเท่าๆ กัน โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดใหญ่สั้นๆ กลีบกลมหรือรูปไข่กว้าง ขนาดประมาณ 2-4 เซนติเมตร ภายใน
หลอดกลีบมีสีครีมหรือเหลือง หลอดกลีบดอกยาว 3-5 เซนติเมตร บานออกช่วงปลายใบประดับสีเขียวประแดง
กลีบรองดอกเป็นรูปถ้วย กลีบเลี้ยงรูปถ้วยขนาดเล็ก ขอบเกือบเรียบ มีต่อมน้ำต้อยตามขอบ เกสรเพศผู้ 4 อัน ติดที่ โคนหลอดกลีบ แยกเป็น 2 คู่ ไม่ยื่นเลยปากหลอดกลีบดอก ก้านเกสรเพศผู้ยาวประมาณ 1 เซนติเมตร อับเรณูยาว เท่าๆ ก้านเกสรเพศผู้ จานฐานดอกรูปเบาะสูงประมาณ 3 มิลลิเมตร รังไข่ รูปกรวย เกลี้ยง ยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร ก้านเกสรเพศเมียเรียวยาว ยาวกว่าเกสรเพศผู้ ยอดเกสรแผ่ออกคล้ายรูปแตร ก้านดอกยาว 1-3 เซนติเมตร
ใบประดับย่อยหุ้มกลีบเลี้ยง รูปขอบขนาน ยาวได้ประมาณ 3 เซนติเมตร
5.ผลรางจืด แบบแคปซูล รูปทรงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5 มิลลิเมตร ปลายผลมีจะงอยแหลมคล้าย
หัวนก ยาว 1.5-3 เซนติเมตร ผลอ่อนสีเขียว พอแก่เป็นสีน้ำตาลเกือบดำแล้วแตกอ้าออกเป็น 2 ซีก เมล็ด 2 เมล็ด
ในแต่ละซีก เกิดตามที่รกร้างว่างเปล่าทั่วไป ตามชายป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้ง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
6.เถาอ่อนสีเขียว กลม เป็นข้อปล้อง เถาแก่สีน้ำตาล
สรรพคุณ ราก เป็นยาถอนพิษ
แหล่งอ้างอิง http://www.bookmuey.com