การออมเป็นการเก็บสะสมเงินรายได้ในส่วนต่าง ๆ ไว้ใช้จ่ายในอนาคตรวมถึงการสะสมสิ่งที่มีค่าเป็นตัวเงินและมีประโยชน์ต่อครอบครัว ซึ่งเป็นการสร้างหลักประกันความมั่นคงให้กับตนเอง และก่อให้เกิดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การออมจึงมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะมีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ครอบครัวและชุมชน จึงถือว่าการออมเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
เมื่อกำหนดเป้าหมายในการออมเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องกำหนดจำนวนเงินที่จะออม ซึ่งมีวิธีคำนวณแบบง่ายๆ คือ นำรายจ่ายหักออกจากรายรับ
- ผลตอบแทนที่ได้รับ ถ้าผลตอบแทนในการออมเพิ่มขึ้นก็จะจูงใจให้บุคคลมีการออมเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
- มูลค่าของอำนาจซื้อของเงินในปัจจุบัน ผู้ออมจะตัดสินใจออมเงินมากขึ้น หลังจากพิจารณาถึงอำนาจซื้อของเงินที่มีอยู่ในปัจจุบันว่าจะมีความแตกต่างจากมูลค่าของเงินในอนาคต
- รายได้ส่วนบุคคลสุทธิ ผู้ที่มีรายได้แน่นอนทุกเดือนในจำนวนที่ไม่สูงมาก จำนวนเงินออมที่กันไว้อาจเป็นเพียงจำนวนน้อยตามอัตราส่วนของรายได้ที่มีอยู่
ความแน่นอนของจำนวนรายได้ในอนาคตหลังเกษียณอายุ ถ้าทุกคนทราบว่าเมื่อใดก็ตามที่แต่ละบุคคลไม่มีความสามารถหารายได้ต่อไป ก็จะไม่มีปัญหาการเงินเกิดขึ้น เนื่องจากหน่วยงานที่ทำงานอยู่อาจมีนโยบายช่วยเหลือในวัยชราหลังเกษียณอายุ หรือภายหลังออกจากงานก่อนกำหนด
ปัญหาในการออมเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่งของประเทศ เนื่องจากชาวไทยจำนวนมากจะมีอายุยืนประมาณ 80-90 ปี แต่ส่วนมากก็ยังไม่มีการออมอย่างเพียงพอเพราะแต่ละคนก็จะมีปัญหาเรื่องการออม และท้อแท้ที่จะพยายามออมต่อไป ปัญหาในการออมเงินที่เห็นได้ชัดเจนก็คือการไม่ตั้งใจ หรือไม่มี
การวางแผนในการออม ซึ่งการวางแผนการออม (Saving Plan) เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้บุคคลประสบความสำเร็จตามเป้าหมายในชีวิต ซึ่งแต่ละบุคคลควรจัดสรรรายได้ของตนเองเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายปัจจุบัน และเป็นเงินออมในอนาคตเป็นจำนวนเท่าใด สิ่งที่สำคัญในการวางแผนการออมคือการประมาณรายได้และรายจ่าย เช่น บุคคลต้องการซื้อบ้านจะต้องวางแผนการออมโดยกำหนดจำนวนเงินและระยะเวลาที่สะสมเงินออมเพื่อให้ได้ตามจำนวนที่ต้องการ เงินออมยังช่วยบรรเทาความเดือดร้อนทางการเงินในยามฉุกเฉิน แสดงให้เห็นว่าการออมเป็นรูปแบบของการลงทุนอย่างหนึ่ง ทุกคนจึงควรบริหารเงินออมอย่างรอบคอบ
รูปแบบของการวางแผนการออม ดังนี้
1. การฝากเงินกับธนาคาร (Deposit)
2. การประกันชีวิต (Life Insurance)
3. การออมทรัพย์กับสหกรณ์
4. การซื้อพันธบัตรรัฐบาล
5. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund: PVD)
- คำว่า “เกษียณ” หมายถึง สิ้นไป ซึ่งศัพท์ทางราชการจะใช้คำว่า “เกษียณอายุ” หมายถึง ครบกำหนดอายุรับราชการ หรือสิ้นกำหนดเวลารับราชการ เมื่อบุคคลนั้นมีอายุครบ 60 ปี ในปัจจุบันแม้จะมีผู้ลาออกตามนโยบายเออร์ลี่รีไทร์ (Early Retired) ของรัฐบาลไปก่อนอายุจะครบ 60 ปีก็ตาม แต่ข้าราชการก็ยังอยู่จนครบอายุเกษียณ
การกำหนดรายได้ให้เพียงพอกับรายจ่ายเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นมาก เพราะในวัยเกษียณอายุ ทุกคนสามารถนำเงินที่เก็บสะสมไว้มาใช้ได้อย่างสะดวกสบายเพื่อการดำรงชีวิตต่อไป หากแต่ละบุคคลมีเงินออมเก็บสะสมไว้ เพื่อเป็นทุนสำรองไว้ใช้จ่ายสำหรับวัยเกษียณ วิธีที่ดีที่สุด คือ การวางแผนเพื่อการเกษียณอายุไว้ตั้งแต่เริ่มต้นอย่างมีระบบตามขั้นตอน ซึ่งแต่ละคนสามารถกำหนดแผนงานและขั้นตอนแตกต่างกันออกไปตามความเหมาะสมกับสภาพการดำรงชีวิต ดังนี้
1) กำหนดความต้องการใช้เงิน
2) กำหนดความต้องการของรายได้ที่สามารถหามาได้
3) เปรียบเทียบความต้องการเงินทุน กับความสามารถในการหารายได้
การออมเพื่อเกษียณอายุในประเทศไทย
แสดงการคำนวณเงินออมเพื่อเกษียณอายุ ซึ่งทุกคนควรเตรียมความพร้อมในอนาคตด้วยตนเอง จึงต้องมีเงินออมไว้จำนวนหนึ่งเพื่อใช้จ่าย จึงต้องสำรวจตนเองว่าปัจจุบันอายุเท่าไร สุขภาพเป็นอย่างไร พฤติกรรมการใช้จ่ายเป็นอย่างไร มีรายได้ต่อเดือนเท่าไหร่ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่จะนำมาพิจารณาวางแผนว่าในอนาคตต้องมีเงินออมจำนวนเท่าใดจึงจะพอใช้ ซึ่งไม่มีสูตรที่แน่นอน แต่ก็พอประมาณได้ดังนี้
บทบาทของการวางแผนเกษียณอายุ โดยการวางแผนเกษียณอายุ มีเป้าหมายที่จะแสดงถึงความมั่นคงทางการเงิน ความสะดวกสบายและมาตรฐานการดำรงชีวิตที่ดีทั้งปัจจุบันและอนาคต ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้นั้นก็คือผู้ที่มีการวางแผนไว้อย่างรอบคอบซึ่งเป็นการเพิ่มความมั่นคงให้กับตนเองและครอบครัว ซึ่งขั้นตอนของการวางแผนมีดังนี้
6.1 กำหนดเป้าหมายหรือสิ่งที่ต้องการหลังเกษียณอายุแล้ว เช่น รายได้ที่ได้รับ บ้าน รถยนต์ เป็นต้น ซึ่งจะเป็นแนวทางวางแผนวัยเกษียณและอาจจะเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมที่เปลี่ยนแปลง
6.2 กำหนดจำนวนเงินสะสมที่ต้องการเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายภายหลังเกษียณอายุ และเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายได้เงินตามที่ต้องการ
6.3 การจัดทำโครงการลงทุนที่สร้างเงินทุนที่ได้สะสมไว้ให้มีครบตามจำนวนที่ต้องการ และควรพิจารณาว่าควรนำเงินออมเหล่านี้ไปลงทุนอะไรได้บ้างเพื่อให้เงินที่มีอยู่เพิ่มมากขึ้น
วิธีวางแผนทางการเงินสำหรับการเกษียณอายุ โดยมีหลักในการคำนวณดังนี้
1) ตั้งเป้าหมาย
2) คำนวณเงินรวม
3) ตรวจสอบปริมาณเงินออมในปัจจุบัน
4) ศึกษาวิธีเตรียมเงินออมสำหรับเกษียณ
หลักวางแผนเกษียณอายุ ดังนี้
1) การหาระยะเวลาแห่งช่วงชีวิต ในปัจจุบันช่วงชีวิตโดยเฉลี่ยของผู้ชายคือ 72 ปี และของผู้หญิง คือ 75 ปี แต่ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้น สามารถยืดอายุของคนไปได้อีก 20 ปี จากค่าเฉลี่ยนั้น
2) ระดับเงินเฟ้อที่มีแนวโน้ม หรือคาดว่าน่าจะเป็นไปในช่วงเวลาของการเกษียณอายุ ซึ่งทำให้ เงินออมที่หามาได้ในแต่ละปีด้อยค่าไป
3) ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพที่เพิ่มมากขึ้นเมื่อเริ่มอายุมาก โดยทั่วไปทุกคนต้องการเงินประมาณ 70–75% ของรายได้ก่อนการเกษียณอายุ เพื่อเอาไว้ใช้จ่ายเมื่อยามเกษียณอายุ ซึ่งอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตของแต่ละคนที่วางแผนเอาไว้
ปัญหาในการวางแผนเกษียณอายุดังนี้
1) เริ่มต้นวางแผนเกษียณอายุช้าเกินไป
2) จำนวนเงินที่สะสมแต่ละปีก่อนเกษียณน้อยเกินไปไม่พอกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นหลังเกษียณ
3) นำเงินทุนที่ได้สะสมไว้นี้ไปลงทุนที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
การประมาณรายได้และรายจ่ายเพื่อเกษียณอายุ ซึ่งบุคคลที่มีการวางแผนเงินไว้ล่วงหน้าเพื่อเป็นทุนสำรองไว้ใช้จ่ายในวัยชราเกษียณ ย่อมจะได้รับความสะดวกสบาย จึงควรวางแผนการเงินไว้อย่างรอบคอบเพื่อเกษียณอายุ ประกอบด้วย
1) การกำหนดความต้องการใช้เงินหลังเกษียณ
2) การประมาณรายได้หลังวัยเกษียณอายุ
3) การจัดหาเงินสำรองไว้สำหรับส่วนที่ขาด
4) แหล่งที่มาของรายได้หลังเกษียณอายุ
แนวทางในการแก้ปัญหาหลังการเกษียณอายุ
1) รายได้และรายจ่าย เมื่อเกษียณแล้วรายได้ต่างๆ ก็ลดน้อยลง มีแต่รายได้ที่เกิดจากเงินออม เงินประกันสังคมและอื่น ๆ หากไม่วางแผนการใช้จ่า่ให้ดี หรือยังติดยึดอยู่กับตำแหน่งฐานะเดิม แม้เกษียณแล้วก็พยายามทำตนให้เหมือนเดิมอยู่ ก็ย่อมจะก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจได้ ดังนั้นผู้เกษียณจึงต้องทำใจ อย่ายอมให้สังคมมาเป็นผู้กำหนด หรืออย่านำตัวไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น
แนวทางในการแก้ปัญหา ต้องมีการวางแผนการเงินไว้ล่วงหน้า ดูรายรับรายจ่ายให้สมดุลกัน รู้จักทำบัญชีหรือควบคุมค่าใช้จ่ายให้รัดกุม รู้จักประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือยใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น เช่น เสื้อผ้าเครื่องสำอาง อาหารบางชนิด เหล้า บุหรี่ หรือการเที่ยว เป็นต้น หากต้องส่งเสียลูกเรียน ต้องผ่อนบ้านหรือผ่อนรถ เป็นต้น ก็ควรมีการวางแผนตั้งแต่ก่อนเกษียณ เพื่อมิให้เกิดความเครียดจนกลายเป็นปัญหาครอบครัว ควรปรึกษาสมาชิกในครอบครัวตั้งแต่เริ่มต้น ว่าจะทำอะไรต่อไปหลังเกษียณแล้ว
2) เวลา เมื่อออกจากงานจะทำให้มีเวลาว่างมากขึ้น จึงเป็นโอกาสที่จะใช้เวลาทำในสิ่งที่ตนเองอยากทำ อย่าปล่อยให้ว่างเพราะอาจจะก่อให้เกิดความสูญเสียหลายอย่าง ทั้งจิตใจและรายได้แนวทางในการแก้ปัญหา ต้องรู้จักเลือกใช้เวลาให้เกิดประโยชน์
3).สภาพจิตใจ การเกษียณอายุจะทำให้บุคคลได้รับความกระทบกระเทือนด้านจิตใน เนื่องจากรายได้ลดลงอย่างรวดเร็ว เงินบำเหน็จบำนาญ เงินสะสม เงินเลี้ยงชีพ จะช่วยให้สภาพจิตใจดีขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจอารมณ์ของผู้สูงอายุ อาจเกิดจากมีเวลาว่างมากเกินไป เพราะเกษียณอายุจากการทำงานแล้วจึงรู้สึกว่าตัวเองถูกลดคุณค่าลง ความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวเริ่มมีน้อยลง ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวและเศร้าซึม อาจเป็นผลมาจากความเจ็บป่วยและการเสื่อมของระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้มีอารมณ์แปรปรวนง่าย หงุดหงิด ใจน้อย โกรธง่าย เป็นต้น แนวทางในการแก้ปัญหา ไม่ควรแยกตัวออกจากสังคม หรือเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในบ้าน ควรใช้เวลาว่างไปทำงานอดิเรกที่ชอบ หัดเต้นรำ ฝึกใช้คอมพิวเตอร์ เป็นอาจารย์สอนพิเศษ เป็นต้น อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอาชีพและให้ประสบการณ์ใหม่อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
4) สภาพร่างกาย เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณสุขภาพย่อมทรุดโทรมลง ควรรักษาสุขภาพให้ดีอาจทำประกันสุขภาพไว้ก็ได้ แนวทางในการแก้ปัญหา ผู้เกษียณอายุควรหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยอาจจะไปตามฟิตเนต ศูนย์การค้าหรือสวนสาธารณะ การไปออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บป่วย จิตใจแจ่มใส รู้สึกดี และทำให้ได้เพื่อนใหม่ๆ หากเป็นวัยเดียวกันก็พูดคุยปรึกษาปัญหาที่คล้ายกันได้ เพียงแต่ต้องยอมรับซึ่งกันและกันเพราะเพื่อนแต่ละสถานที่ ก็จะมีบุคลิกลักษณะแตกต่างกันไป แต่ถ้าชอบสมาคมก็จะมีความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ซึ่งเพื่อนกลุ่มออกกำลังกาย หลายคนก็กลายมาเป็นเพื่อนเที่ยวได้ ผู้เกษียณอายุควรดูแลความสะอาดและควรแต่งตัวให้สวยงามและเหมาะสม จะทำให้ได้รับการยอมรับ ทำให้จิตใจสดชื่น สบายใจ เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้ตนเองได้
รูปแบบการออมเพื่อการเกษียณของประเทศไทย โดยธนาคารโลก (World Bank) ได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับระบบการออมเพื่อเกษียณอายุหรือระบบบำเหน็จบำนาญ เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางสังคมของประเทศที่เรียกว่า “สามเสาหลักของระบบเงินออมเพื่อวัยเกษียณ” (Three Pillars หรือ The Multi Pillar of Old Age Security) โดยยึดหลักการสร้างระบบบำนาญสมดุลและรองรับภาระในอนาคตที่จะต้องเลี้ยงดูผู้เกษียณอายุได้ในระดับที่เหมาะสมและไม่เพิ่มภาระภาษีให้กับประชาชนของประเทศ ขณะเดียวกันช่วยสร้างรายได้ของประเทศโดยใช้เงินออมของคนในประเทศเป็นตัวขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุน
รูปแบบการออมเพื่อการเกษียณของประเทศไทยปัจจุบัน ได้ขยายขอบเขตความคุ้มครองครอบคลุมประชากรโดยทั่วไปนอกเหนือจากข้าราชการ เพื่อสร้างความสามารถในการพึ่งพอตนเองในวัยเกษียณให้แก่ประชาชน ตามทฤษฎีระบบเงินออมของธนาคารโลก โดยเฉพาะกลุ่มข้าราชการซึ่งสามารถเข้าถึงระบบบำนาญที่เป็นหลักประกันได้ทั้ง 3 เสาหลักได้แก่
เสาหลักที่ 1 รัฐจัดให้ เป็นระบบบำนาญภาคบังคับที่รัฐบาลของแต่ละประเทศจัดให้แก่ประชาชน เรียกว่า Pay-as-you-go (PAYG) ซึ่งจะกำหนดผลประโยชน์ที่จะจ่ายให้แก่สมาชิกแน่นอน (Defined Benefit) จนกระทั่งเสียชีวิต โดยจ่ายจากเงินภาษีที่เก็บจากประชาชนมาจัดสรรเป็นงบประมาณ เพื่อสร้างหลักประกันเพื่อการชราภาพขั้นพื้นฐานของประเทศ ซึ่งกำหนดผลประโยชน์ขั้นต่ำของรายได้ให้เพียงพอแก่การยังชีพ ที่ควรจะต้องไม่ต่ำกว่าเส้นความยากจน (Poverty Line)
เสาหลักที่ 2 ภาคบังคับ เป็นระบบเงินออมภาคบังคับ (Mandatory System) ที่รัฐบาลบังคับให้ประชาชนออมขณะทำงาน อาจบริหารโดยเอกชนหรือหน่วยงานอิสระของรัฐ มีเงินกองทุนและมีการส่งเงินสะสมของสมาชิก และมีการสมทบจากนายจ้างเข้ากองทุนในบัญชีของสมาชิกแต่ละคน ส่วนใหญ่จะกำหนดให้มีการนำส่งเงินสะสมเข้ากองทุนในอัตราที่แน่นอน ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะยกระดับรายได้ของผู้เกษียณให้สูงกว่าเส้นความยากจนเพื่อให้มีรายได้ที่ดีขึ้นตามมาตรฐานการดำรงชีวิตอย่างปกติ
เสาหลักที่ 3 ภาคสมัครใจ เป็นระบบการออมภาคสมัครใจ (Voluntary System) และรัฐบาลให้การส่งเสริม ซึ่งมีการบริหารโดยภาคเอกชน มีเงินกองทุนและมีการส่งเงินสะสมของสมาชิกในจำนวนที่แน่นอน ในบางกรณีอาจมีเงินสมทบจากนายจ้างเข้ากองทุนในบัญชีของแต่ละคน โดยมีวัตถุประสงค์ให้ผู้ออมมีทางเลือกในการออมเงินไว้ใช้ในยามเกษียณมากขึ้น มีความเพียงพอของเงินออมในการดำรงชีวิตในอนาคต ในการเข้าถึงความสะดวกสบายและการดูแลรักษาพยาบาลที่สูงกว่ามาตรฐาน
ระบบการออมเพื่อการเกษียณ หรือระบบบำนาญ คือ ระบบการจัดการเพื่อจ่ายเงินสำหรับวัยเกษียณให้แก่ผู้มีสิทธิรับเงินเมื่อครบอายุเกษียณ และมีวัตถุประสงค์อย่างชัดเจนเพื่อสร้างความมั่นคงด้านรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุหลังเกษียณ มิให้มีมาตรฐานการดำรงชีพที่ตกต่ำเมื่อเข้าสู่ภาวะที่ไม่มีรายได้ นอกจากนี้ยังอาจรวมถึงการจัดสิทธิประโยชน์อื่นเพิ่มเติมด้วย เช่น เงินช่วยเหลือกรณีทุพพลภาพ เจ็บป่วย และเงินช่วยเหลือทายาทในกรณีผู้มีสิทธิรับบำนาญเสียชีวิต เป็นต้น ทั้งนี้กองทุนการออมเพื่อการเกษียณของ ประเทศไทย มีดังนี้
1) กองทุนประกันสังคม (Social Security Fund
2) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (Government Pension Fund)
3) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund)
4) กองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund)
5) กองทุนการออมแห่งชาติ (National Savings Fund)