การจดทะเบียนพาณิชย์ของผู้ประกอบการ
ผู้มีหน้าที่จดทะเบียนพาณิชย์ คือ บุคคลธรรมดาคนเดียวหรือหลายคน (ห้างหุ้นส่วนสามัญ)หรือนิติบุคคลรวมทั้งนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่มาตั้งสำนักงานสาขาในประเทศไทย
กฎหมายภาษีตามประมวลรัษฎากร
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีที่จัดเก็บจากบุคคลทั่วไป หรือจากหน่วยภาษีที่มีลักษณะพิเศษตามที่กฎหมายกำหนดและมีรายได้เกิดขึ้นตามเกณฑ์ที่กำหนดโดยปกติจัดเก็บเป็นรายปีรายได้ที่เกิดขึ้นในปีใดๆผู้มีรายได้มีหน้าที่ต้องนำไปแสดงรายการตนเองตามแบบแสดงรายการภาษีที่กำหนดภายในเดือนมกราคมถึงมีนาคมของปีถัดไป
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ได้แก่ ผู้ที่มีเงินได้เกิดขึ้นระหว่างปีที่ผ่านมาโดยมีสถานะอย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้
1. บุคคลธรรมดา
2. ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
3. ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี
4. กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง
5. วิสาหกิจชุมชน ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน
ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์รวมถึงนิติบุคคลอื่นๆที่ไม่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล มีดังนี้
1. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
2. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย
3. กิจการซึ่งดำเนินการเป็นทางค้า หรือหากำไร
4. กิจการร่วมค้า
5. มูลนิธิหรือสมาคม
6. นิติบุคคลที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร
นิติบุคคลที่ไม่ต้องการเสียภาษีเงินได้
1. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามข้อผูกพันที่ประเทศไทยมีอยู่ตามสัญญาว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
2. บริษัทจำกัดที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน
3. บริษัทจำกัดและนิติบุคคลที่มีสภาพเช่นเดียวกับบริษัทจำกัด
4.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่อยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศไทย
ฐานภาษีของภาษีเงินได้นินิบุคคล
1. กำไรสุทธิ
2. ยอดรายได้ก่อนหักรายจ่าย
3. เงินได้ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย
4. การจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ผู้ประกอบการที่ไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
1. ผู้ประกอบการที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
2. ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย
3.ผู้ประกอบการที่ให้บริการจากต่างประเทศและไดมีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร
4.ผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรและเข้ามาประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นครั้งคราว
5. ผู้ประกอบการอื่นตามที่อธิบดีจะประกาศกำหนดเมื่อมีเหตุอันสมควร
หน้าที่ของผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
1. เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ
2. จัดทำรายงานตามที่กฎหมายกำหนด
3. ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีตามแบบ ภ.พ.30
ภาษีธุรกิจเฉพาะ
ภาษีธุรกิจเฉพาะ เป็นภาษีตามประมวลรัษฎากร ที่จัดเก็บจากการประกอบกิจการเฉพาะอย่างแทนภาษีการค้าที่ถูกยกเลิก ภาษีธุรกิจเฉพาะเริ่มใช้บังคับใน พ.ศ.2535 พร้อมกันกับภาษีมูลค่าเพิ่ม
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ได้แก่ ผู้ประกอบกิจการที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะไม่ว่าผู้ประกอบกิจการดังกล่าวจะประกอบกิจการในรูปของ
1. บุคคลธรรมดา
2. คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
3. กองมรดก
4. ห้างหุ้นส่วนสามัญ
5. กองทุน
6. หน่วยงานหรือกิจการของเอกชนที่กระทำโดยบุคคลธรรมดาตั้งแต่สองคนขึ้นไปอันมิใช่นิติบุคคล
7. องค์การของรัฐบาล สหกรณ์ และองค์กรอื่นที่กฎหมายกำหนดให้เป็นนิติบุคคล
การยื่นแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะ
1. ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะ
2. แบบแสดงรายการที่ใช้
3. หน้าที่ในการจัดทำรายงาน
4. หน้าที่ในการเก็บรักษารายงานและเอกสารหลักฐาน
5. หน้าที่ในการออกใบรับ
สิทธิและหน้าที่เสียภาษีมีสิทธิตามกฎหมาย โดยสรุปดังนี้
1. การผ่อนชำระภาษี
2. การยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินภาษี
3. ขอทุเลาการชำระภาษีอากรโดยจัดให้มีหลักประกันการชำระหนี้ภาษีอากรค้าง
4. ของดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มภาษีอากร
5. ขอคัดเอกสารหรือขอสำเนาเอกสารเสียภาษี
การจดทะเบียนสิทธิบัตร
สิทธิบัตร คือหนังสือสำคัญที่ออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ หรือการอกแบบผลิตภัณฑ์การประดิษฐ์ คือผลการสร้างสรรค์ เกี่ยวกับการผลิตภัณฑ์
สถานที่ยื่นคำขอ ส่วนบริหารงานจดทะเบียน สำนักสิทธิบัตร กรมทรัพย์สินทางปัญญาหรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัด
การประดิษฐ์ คือ การคิดค้น หรือคิดทำขึ้นเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ หรือกรรมวิธีใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม
เงื่อนไขการขอรับอนุสิทธิบัตร มีดังนี้
1. ต้องเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม
2. สามารถประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรมได้
เครื่องหมายการค้า
เครื่องหมายการค้ามี 3 ประเภท ได้แก่
1. เครื่องหมายบริการ
2. เครื่องหมายรับรอง
3. เครื่องหมายร่วม
กฎหมายแรงงาน
กฎหมายแรงงาน หมายถึง กฎหมายที่บัญญัติถึงสิทธิและหน้าที่ของนายจ้าง ลูกจ้าง องค์กรของนายจ้างและองค์กรของลูกจ้าง รวมทั้งมาตรการที่กำหนดให้ปฏิบัติต่อกันเพื่อให้การจ้างงานและการใช้งานการประกอบกิจการและความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเป็นไปโดยเหมาะสม
สิทธินายจ้างและลูกจ้าง
1. เวลาทำงานปกติ
2. เวลาพัก
3. วันหยุด
4. การทำงานล่วงเวลา การทำงานในวันหยุด
5. วันลา
6. ค่าตอบแทนในการทำงาน
กฎหมายประกันสังคม
การประกันสังคม คือ การสร้างหลักประกันสังคมในการดำรงชีวิตในกลุ่มของสมาชิกที่มีรายได้และจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเพื่อรับผิดชอบในการเฉลี่ยความเสี่ยง
ผู้ประกันตน หมายถึง ลูกจ้างที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี บริบูรณ์ในวันเข้าทำงานและทำงานอยู่ในสถานประกอยการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป
เงินสมทบกองทุนประกันสังคม หมายถึง เงินที่นายจ้าง ลูกจ้าง จะต้องนำส่งเข้ากองทุนประกันสังคมทุกเดือน
หลักเกณฑ์และสิทธิประโยชน์
1. กรณีเจ็บป่วยทั่วไป ประสบอันตราย ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลที่เลือก โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ และได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ระหว่างที่หยุดพักรักษาตัวตามคำสั่งแพทย์ในจำนวนครึ่งหนึ่งของค่าจ้างตามจำนวนวันที่หยุดจริง ไม่เกินครั้งละ 90 วัน และไม่เกิน 180 วันในหนึ่งปี หากเจ็บป่วยเรื้อรังจะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ไม่เกิน 365 วัน
2. กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน
- ผู้ป่วยนอก สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น
- ผู้ป่วยใน สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นภายในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง ยกเว้น ค่าห้องและค่าอาหารเบิกไม่เกินวันละ 700 บาท
3. กรณีประสบอันตราย หรือบาดเจ็บฉุกเฉิน หากผู้ประกันตนได้รับอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บฉุกเฉินผู้ประกันตนสามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ไม่ได้ระบุไว้ตามบัตรรับรองสิทธิได้ โดยแจ้งให้โรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิทรายด้วยโดยเร็ว
4. กรณีประสงค์จะทำหมัน ผู้ประกันตนสามารถเข้าทำหมันได้ ในโรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิการรักษาพยาบาลที่ผู้ประกันตนเลือกไว้ในสถานพยาบาลนั้นๆ ผู้ประกันตนชาย ไม่เกิน 500 บาท ส่วนผู้ประกันตนหญิง จะจ่ายจริงไม่เกิน 1,000 บาทต่อราย
5. กรณีทันตกรรม ผู้ประกันตนสามารถยื่นเรื่องขอเบิกสิทธิประโยชน์กรณีทันตกรรมภายในปีที่เข้ารับบริการทางการแพทย์ได้ภายในระยะเวลา 1 ปี โดยนับตั้งแต่วันที่เข้ารับบริการทางการแพทย์ที่ระบุในใบรับรองแพทย์เป็นหลัก
6. กรณีคลอดบุตร ผู้ที่สามารถเบิกค่าคลอดบุตรในแต่ละครั้งได้ต้องเป็นผู้ที่จ่ายเงินสมทบครบ7เดือน
ภายใน15เดือนเดือนคลอดบุตร เช่น ผู้ประกันตนหญิงรายหนึ่งใช้สิทธิเบิกค่าคลอดบุตรคนแรกไปเมื่อ พ.ศ.2550
ตั้งครรภ์มา 5 เดือน และคลอดเมื่อเดือนมีนา พ.ศ.2551 นับย้อนไป15เดือน จากเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2551 ผู้ประกันตนรายนี้มีเงินสมทบเพียง3เดือน จึงไม่มีสิทธิเบิกค่าคลอดบุตรคนที่2
7. กรณีทุพพลภาพ ผู้ประกันตนที่ประสบอุบัติเหตุทุพพลภาพ เช่น ป่วยเป็นโรคเบาหวานและมีภาวะแทรกซ้อน
ทำให้ตาบอดทั้ง2ข้าง หรือประสบอันตรายจนถึงขั้นทุพพลภาพและไม่สามารถทำงานได้สามารถขอรับเงินชดเชยได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่จ่ายเงินสมทบมาครบ3เดือน ภายในระยะเวลา15เดือน ก่อนที่สำนักงานประกันสังคมกำหนดให้เป็นผู้ทุพพลภาพ ทั้งนี้ สิทธิที่ผู้ทุพพลภาพจะได้รับประกอบด้วย
8. กรณีเสียชีวิต ผู้ประกันตนที่เสียชีวิตจากสาเหตุที่ไม่เกี่ยวกับการทำงาน และจ่ายเงินสมทบมาแล้ว 1เดือน ภายในระยะเวลา6เดือน ก่อนเดือนที่เสียชีวิต ผู้จัดศพ สามารถขอรับค่าทำศพได้ 40,000บาท
9. กรณีว่างงาน หากผู้กันตนได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า6เดือน ภายในระยะเวลา15เดือนก่อนการว่างงาน สามารถติดต่อขอรับเงินชดเชยกรณีว่างงานได้ โดยต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานที่สำนักงานจัดหางานของรัฐภายใน30วันนับตั้งแต่วันที่ว่างงาน โดยไม่ต้องรอหนังสือรับรองการออกจากงาน และต้องรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่สำนักจัดหางานไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง