หัวข้อเรื่อง
ความหมายของการประกันชีวิต
ประโยชน์ของการประกันชีวิต
ความสำคัญของการประกันชีวิต
ประเภทของการประกันชีวิต
แบบประกันชีวิต
สัญญาประกันชีวิต
สัญญาเพิ่มเติมแนบท้ายกรมธรรม์
ประกันชีวิต
สาระสำคัญ
การประกันชีวิตเป็นวิธีการที่บุคคลกลุ่มหนึ่งร่วมกันเฉลี่ยภัยอันเนื่องจากการตาย การสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพและการสูญเสียรายได้ในยามชรา โดยที่เมื่อบุคคลใดต้องประสบกับภัยเหล่านั้น ก็ได้รับเงินเฉลี่ยช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ตนเองและครอบครัวโดยบริษัทประกันชีวิตจะทำ หน้าที่เป็นแกนกลางในการนำเงินก้อนดังกล่าวไปจ่ายให้แก่ผู้เสียหาย
ความหมายของการประกันชีวิต
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 861 ได้บัญญัติว่า “ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใช้จำนวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง” อาจกล่าวได้ว่าเงื่อนไขแห่งการใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตแบ่งออกได้เป็น 2 กรณี คือ
1. การใช้เงินโดยอาศัยความทรงชีพของผู้ถูกเอาประกันชีวิต คือ ผู้เอาประกันชีวิตส่งเบี้ยประกันชีวิตเป็นระยะเวลา โดยมีข้อตกลงว่าถ้าผู้ถูกเอาประกันชีวิตมีอายุอยู่จนถึงเวลาที่ตกลงกำหนดไว้ บริษัทผู้รับประกันชีวิตก็จะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ สัญญาประกันชีวิตประเภทนี้มีข้อเสียตรงที่ว่าหากผู้ถูกเอาประกันชีวิตตายลงภายในระยะเวลาที่ตกลงกำหนดไว้ก็ไม่มีสิทธิได้รับเงินตามสัญญา
2. การใช้เงินโดยอาศัยความมรณะของผู้ถูกเอาประกันชีวิต คือ ผู้เอาประกันชีวิตส่งเบี้ยประกันชีวิตเป็นระยะเวลา โดยมีข้อตกลงว่า ถ้าผู้ถูกเอาประกันชีวิตตายลงภายในระยะเวลาที่ตกลงกำหนดไว้ บริษัทผู้รับประกันชีวิตก็จะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ สัญญาประกันชีวิตประเภทนี้มีข้อเสียตรงที่ว่า หากผู้ถูกเอาประกันชีวิตมิได้ตายลงภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ ผู้เอาประกันชีวิตก็ไม่มีสิทธิได้รับเงินตามสัญญา
จากข้อบกพร่องดังกล่าวทำให้การประกันชีวิตไม่เป็นที่นิยม ดังนั้นบริษัทผู้รับประกันชีวิต จึงแก้ไขจุดด้อยโดยกำหนดเป็นข้อสัญญาไว้ว่า “ไม่ว่าผู้ถูกเอาประกันชีวิตจะมีชีวิตอยู่หรือตายภายในกำหนดเวลาที่ตกลงกันก็ตาม ผู้รับประกันชีวิตจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้การประกันชีวิตแบบนี้เรียกว่าการประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์
ประโยชน์ของการประกันชีวิต
ประโยชน์ที่ผู้เอาประกันชีวิตจะได้รับ คือ
1. เป็นการออมเงินระยะยาว
2. ได้รับผลตอบแทนในรูปเงินปันผล
3. มีเงินช่วยบรรเทาความเดือดร้อน
ความสำคัญของการประกันชีวิต
การดำรงชีวิตของคนเรานั้นไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไร ฐานะเป็นอย่างไร ย่อมต้องการความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินทั้งนั้น แต่ทุกคนไม่สามารถหลบพ้นจากภัยและความไม่แน่นอนของชีวิตได้ การประกันชีวิตนับเป็นการสร้างหลักประกันความมั่นคงทางรายได้ที่ดีอีกวิธีหนึ่ง สามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนทางการเงินแก่ผู้เอาประกันภัยและครอบครัวได้ ด้วยเงื่อนไขและรูปแบบความคุ้มครองที่หลากหลายให้ทุกคนเลือกได้ตามความต้องการและเหมาะสมกับตนเองซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. การให้ความคุ้มครอง (Protection Function)
2. การออมทรัพย์ (Saving Function)
การให้ความคุ้มครอง (Protection function)
การเอาประกันชีวิตเป็นวิธีการป้องกันภัยของบุคคลอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถแยกตามความคุ้มครองได้เป็น 6 ประเภท ดังนี้
1. เพื่อชำระภาระทางการเงิน เพราะในขณะที่บุคคลใดถึงแก่ความตายหรือเจ็บป่วยจำเป็นจะต้องใช้จ่ายเงิน เพื่อการปลงศพหรือค่ารักษาพยาบาล
2. เพื่อรายได้สำหรับครอบครัว ในกรณีที่หัวหน้าครอบครัวถึงแก่ความตายทำให้ครอบครัวขาดรายได้ และสมาชิกในครอบครัวอาจได้รับความเดือดร้อน
3. เพื่อรายได้เมื่อเกิดทุพพลภาพ เมื่อบุคคลใดประสบเหตุทำให้เกิดทุพพลภาพจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ย่อมเกิดการสูญเสียรายได้ของครอบครัว นอกจากนั้นยังเกิดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาและการดำรงชีวิต
4. เพื่อค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล เมื่อเกิดการเจ็บป่วยต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลจำเป็นต้องมีเงินจำนวนหนึ่งเพื่อใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลอาการเจ็บป่วยนั้นสำหรับประเทศไทยการประกันสุขภาพจัดอยู่ในประเภทประกันวินาศภัย แต่เมื่อซื้อประกันชีวิตแล้วสามารถซื้อความคุ้มครองควบคู่ไปด้วยได้
การออมทรัพย์ (Saving Function)
การประกันชีวิตแต่ละประเภทมีส่วนของการออมทรัพย์ไม่เท่าเทียมกัน ประเภทการออมทรัพย์ มีการออมทรัพย์แฝงอยู่มากกว่าประเภทอื่น เพราะการออมทรัพย์เป็นวัตถุประสงค์ประการหนึ่งของการประกันชีวิตประเภทนี้ การออมทรัพย์มีความสำคัญมากต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ การออมทรัพย์ด้วยการประกันชีวิตมีลักษณะพิเศษ คือ
1. มีลักษณะกึ่งบังคับ คือ ต้องออมทรัพย์ตามระยะเวลาที่กำหนด เนื่องจากการบอกเลิกการเอาประกันชีวิตจะทำให้สูญเสียการคุ้มครองและมูลค่าเวนคืนเงินสดที่ได้รับคืนมีจำนวนน้อยกว่าจำนวนเบี้ยประกันชีวิตที่จ่ายไปแล้ว ซึ่งมีผลทำให้ผู้ออมทรัพย์โดยวิธีนี้เป็นผู้มีวินัยในการออมอย่างแท้จริง
2. จำนวนเงินที่ชำระเบี้ยประกันภัยที่จ่ายจริงสามารถนำไปหักลดหย่อนเงินได้ที่ใช้ในการคำนวณภาษีสูงสุดถึง 100,000 บาท (ระยะเวลาเอาประกันไม่ต่ำกว่า 10 ปี)
ประเภทของการประกันชีวิต
ธุรกิจประกันชีวิตในปัจจุบันนี้มีการออกแบบความคุ้มครองที่หลากหลายรูปแบบมาก ทั้งนี้ก็เพราะว่าธุรกิจประกันภัยมีการแข่งขันกันมากขึ้นจึงต้องออกผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลาเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าผู้เอาประกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อจูงใจให้คนเอาประกันมากขึ้น ในจำนวนรูปแบบการประกันชีวิตที่หลากหลายเมื่อรวมทั้งหมดแล้วสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. ประเภทสามัญ เป็นการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยค่อนข้างสูงตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ระดับปานกลางขึ้นไป ในการพิจารณารับประกันชีวิตอาจมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ตรวจสุขภาพก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทผู้รับประกันภัยและมีการชำระเบี้ยประกันเป็นรายปี, ราย 6 เดือน , ราย 3 เดือน หรือรายเดือน
2. ประเภทอุตสาหกรรม เป็นการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยต่ำโดยทั่วไปตั้งแต่ 10,000 – 30,000 บาท เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ระดับปานกลางลงมาถึงรายได้ระดับต่ำ การชำระเบี้ยประกันภัยจะชำระเป็นรายเดือนและไม่มีการตรวจสุขภาพฉะนั้นจึงมีระยะเวลารอคอยถ้าในช่วงระยะเวลารอคอยนี้ ผู้เอาประกันเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บตามธรรมชาติ บริษัทจะไม่จ่ายจำนวนเงินเอาประกันให้ แต่จะคืนเบี้ยประกันที่ผู้เอาประกันภัยได้ชำระแล้วทั้งหมด
3. ประเภทกลุ่ม เป็นการประกันชีวิตที่กรมธรรม์หนึ่งจะมีผู้เอาประกันชีวิตร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปส่วนมากจะเป็นกลุ่มของพนักงานบริษัท ในปัจจุบันการประกันชีวิตกลุ่มได้มีการพัฒนารูปแบบไปเป็นความคุ้มครองบุคคลที่มีอาชีพเดียวกัน หรือบุคคลที่อยู่ในองค์กรเดียวกัน เช่น ครู นักเรียน เกษตรกร เป็นต้น การพิจารณารับประกันภัยอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ตรวจก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัท การประกันชีวิตกลุ่มนี้ อัตราเบี้ยประกันชีวิตจะต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับการประกันชีวิตทั้ง 3 ประเภท ดังกล่าว
แบบประกันชีวิต
ธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทย พยายามจะเติบโตขึ้นสู่การเข้าไปมีส่วนร่วมในธุรกิจการเงินโดยการสร้างรูปแบบประกันชีวิตใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาดมากขึ้นแต่ละบริษัทมีการกำหนดชื่อเฉพาะรูปแบบกรมธรรม์ของตนเองลักษณะกรมธรรม์พร้อมอัตราดอกเบี้ย จากนั้นนำเสนอต่อนายทะเบียนประกันชีวิตเมื่อได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียนประกันชีวิตแล้วจึงจะนำออกเสนอขายแก่ประชาชนได้ เช่น ประกันชีวิตบุตรสุดรัก เป็นต้น ดังนั้นผู้เอาประกันจึงต้องศึกษารูปแบบประกันชีวิตที่ตอบสนองความต้องการและศักยภาพในการส่งชำระเบี้ยแต่โดยหลักวิชาการรูปแบบประกันชีวิตที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถสรุปได้ ดังนี้
1. แบบประกันชีวิตแบ่งตามลักษณะความคุ้มครองหรือผลประโยชน์ สามารถแบ่งออกเป็น 6 แบบ คือ
1.1 แบบชั่วระยะเวลา (Term) เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในระยะเวลาประกันภัยที่ระบุแน่นอนโดยมีวัตถุประสงค์เมื่อคุ้มครองการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร การประกันชีวิตแบบนี้ไม่มีส่วนของการออมทรัพย์เบี้ยประกันจึงต่ำกว่าแบบอื่น ๆ และไม่มีเงินเหลือคืนให้หากผู้เอาประกันชีวิตมีชีวิตอยู่จนครบกำหนดสัญญา การประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลานี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีความต้องการความคุ้มครองช่วงเวลาหนึ่ง เช่น ช่วงที่ผู้เอาประกันอยู่ระหว่างการเริ่มต้นสร้างครอบครัว โดยมีภาระหนี้สินในการผ่อนบ้านที่อยู่อาศัย เป็นต้น แต่เมื่อมีการผ่อนชำระแล้วยอดหนี้สินย่อมลดลงทุกครั้งที่มีการผ่อนชำระ ฉะนั้นความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยจึงมีการกำหนดให้ลดลงอย่างสอดคล้องกันด้วย เรียกการประกันภัยแบบนี้ว่าการประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลาจำนวนเงินเอาประกันภัยลดลงหรือการประกันชีวิตแบบคุ้มครองการจำนอง ประเด็นสำคัญในการซื้อการประกันชีวิตแบบนี้มี 2 ประเด็น เพื่อให้จำนวนเงินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ เพียงพอที่จะชำระหนี้สินได้หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต คือ
ประเด็นที่หนึ่ง ระยะเวลาเอาประกันภัยหรือระยะเวลาคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยจะต้องเท่ากับระยะเวลาผ่อนชำระหนี้สิน
ประเด็นที่สอง อัตราดอกเบี้ยในการผ่อนชำระหนี้สินควรเป็นอัตราเดียวกันหรือมากกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ใช้ในการคิดลดจำนวนเงินเอาประกันภัย เพื่อให้จำนวนเงินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยเพียงพอที่จะชำระหนี้สินได้ หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตการประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา ถ้าซื้อความคุ้มครอง 1 ปี เบี้ยประกันภัยจะสูงขึ้นเมื่ออายุผู้เอาประกันภัยมากขึ้น เนื่องจากความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงขึ้นตามอายุ ถ้าซื้อความคุ้มครองหลายปีเบี้ยประกันภัยจะชำระเท่ากันทุกปี เพราะหลักในการคำนวณเบี้ยประกันภัยจะเป็นการถัวเฉลี่ยให้เท่ากันทุกปีตลอดอายุสัญญาเมื่อครบกำหนดตามสัญญา กรมธรรม์ก็จะสิ้นสุดความคุ้มครองแต่ถ้าเป็นกรมธรรม์ฯ ชนิดต่ออายุได้ก็อาจจะต่ออายุตามระยะเวลาและชำระเบี้ยประกันภัยตามอัตราที่กำหนดใหม่ โดยไม่ต้องตรวจสุขภาพ แต่กรมธรรม์ประเภทที่ต่ออายุได้มักจะต้องชำระเบี้ยประกันสูงขึ้นตามระยะเวลา และอายุของผู้ทำประกันภัยอาจจะสูงเกินไปที่จะต่ออายุใหม่
1.2 แบบสะสมทรัพย์ (Endowment) เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันให้แก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญาหรือจ่ายเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตลงภายในระยะเวลาประกันภัย การประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์เป็นส่วนผสมของการคุ้มครองชีวิตและการออมทรัพย์ ส่วนของการออมคือส่วนของผู้เอาประกันภัยจะได้รับคืนเมื่อสัญญาครบกำหนดการประกันภัยประเภทนี้เบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยชำระจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนแรกให้ความคุ้มครองการเสียชีวิต ส่วนที่สองให้ความคุ้มครองการยู่รอด ดังนั้นบริษัทจึงต้องสำรองเบี้ยประกันภัยไว้จ่ายผลประโยชน์ในกรณีอยู่รอด ทำให้เมื่อผู้เอาประกันภัยจ่ายชำระเงินค่าเบี้ยประกันชีวิตไประยะหนึ่ง กรมธรรม์จะมีมูลค่าเงินเวนคืน ที่ผู้เอาประกันภัยสามารถใช้ประโยชน์ได้ เช่น
1.2.1 การกู้เงินตามกรมธรรม์ โดยผู้เอาประกันภัยสามารถกู้ได้ไม่เกินมูลค่าเวนคืนซึ่งถ้าผู้เอาประกันภัยไม่ชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย บริษัทจะหักเงินจำนวนดังกล่าวจากผลประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อเสียชีวิตหรือกรณีที่ผู้เอาประกันภัยขอยกเลิกกรมธรรม์ฯ บริษัทก็จะหักส่วนที่ผู้ประกันภัยกู้ยืมออกจากมูลค่าเงินเวนคืนที่ผู้เอา.ประกันภัยจะได้รับและสิ่งสำคัญที่ผู้เอาประกันภัยต้องระวัง คือ ต้องชำระเบี้ยประกันชีวิตให้ตรงตามกำหนดเพื่อป้องกันกรมธรรม์ขาดอายุ
1.2.2 ชำระเบี้ยประกันภัยที่ค้างจ่ายหรือในเงื่อนไขกรมธรรม์ฯ ใช้คำว่าการกู้ชำระเบี้ยประกันภัยโดยอัตโนมัติจากมูลค่าเงินเวนคืน
1.2.3 ยกเลิกกรมธรรม์ฯ และขอรับเงินเวนคืนเพื่อนำเงินมาใช้ตามความจำเป็น
1.3 แบบตลอดชีพ (Whole Life) เป็นการประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีพ ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตเมื่อใดในขณะที่กรมธรรม์ฯ มีผลบังคับ บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์ วัตถุประสงค์เบื้องต้นของการประกันภัยแบบนี้ เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับจุนเจือบุคคลที่อยู่ในความอุปการะ เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต หรือเพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการเจ็บป่วยครั้งสุดท้าย และค่าทำศพ ทั้งนี้เพื่อมิให้ตกเป็นภาระของผู้อื่น
การชำระเบี้ยประกันภัยตลอดชีวิต เบี้ยประกันภัยสำหรับผู้เอาประกันชีวิตที่อายุน้อยกว่าจะต่ำกว่าผู้เอาประกันชีวิตที่อายุมากกว่า (จำนวนเงินเอาประกันชีวิตที่เท่ากัน) เพราะว่าระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัยจะยาวนานกว่า
กรมธรรม์ประกันชีวิตแบบตลอดชีพบางแบบจะกำหนดให้ผู้เอาประกันภัยชำระเบี้ยประกันภัยในระยะเวลาที่สั้นลง เช่น 15 ปี หรือจนกระทั่งผู้เอาประกันชีวิตอายุ 55 ปี หรือ 60 ปี เป็นต้น กรมธรรม์ประกันชีวิตแบบตลอดชีพมีมูลค่าเงินเวนคืนเช่นเดียวกับแบบสะสมทรัพย์ และผู้เอาประกันภัยสามารถใช้ประโยชน์ได้เช่นเดียวกัน
1.4 แบบเงินได้ประจำหรือแบบเงินรายปีหรือแบบบำนาญ (Annuity)เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเท่ากันสม่ำเสมอให้แก่ผู้เอาประกันภัยทุกเดือน แทนการจ่ายเงินผลประโยชน์ครบกำหนดสัญญาเป็นเงินก้อนใหญ่เพียงก้อนเดียว นับแต่ผู้เอาประกันภัยเกษียณอายุ หรือมีอายุครบ 55 ปี หรือ มีอายุครบ 60 ปีหรือทุพพลภาพ เป็นต้นไป แล้วแต่เงื่อนไขในกรมธรรม์ฯ ที่กำหนดไว้ สำหรับระยะเวลาการจ่ายเงินได้ประจำปีขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เอาประกันชีวิตที่จะเลือกซื้อประโยชน์ของการทำประกันชีวิต เช่น จนกว่าอายุครบ 85 ปี หรือจนกว่าจะเสียชีวิต เป็นต้น การประกันชีวิตแบบนี้เป็นการคุ้มครองรายได้ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเงินไว้ใช้จ่ายยามชรา และผู้ที่คาดว่าตนเองจะมีอายุยืนยาว
1.5 แบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life) เป็นการประกันชีวิตที่กำหนดผลประโยชน์การเสียชีวิตเป็นจำนวนที่แน่นอนจำนวนหนึ่ง แต่ผลประโยชน์การอยู่รอดไม่ได้เป็นจำนวนเงินที่แน่นอน แต่ขึ้นอยู่กับผลตอบแทนของบริษัทที่สามารถทำได้จากการนำเบี้ยประกันภัยไปลงทุน โดยจะมีการรับรองผลตอบแทนขั้นต่ำไว้ จึงมีผลทำให้มูลค่าเงินเวนคืนไม่ได้เงินจำนวนคงที่ ผู้เอาประกันภัยสามารถชำระเบี้ยประกันภัยในจำนวนที่ไม่เท่ากันได้ สามารถเพิ่มหรือลดผลประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อเสียชีวิตได้ การประกันชีวิตแบบนี้บริษัทจะนำเบี้ยประกันภัยส่วนที่เหลือหลังจากหักค่าใช้จ่าย และค่าประกันภัย (ค่าความคุ้มครองการเสียชีวิต) แล้วนำเข้าบัญชีของผู้เอาประกันภัย เพื่อจะนำไปลงทุนและเมื่อได้ผลตอบแทนมา บริษัทจะนำผลตอบแทนเข้าบัญชีให้กับผู้เอาประกันภัย ถ้าเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยชำระมารวมกับผลตอบแทนที่บริษัทคิดให้มากกว่าค่าใช้จ่ายและค่าการประกันภัย บัญชีของผู้เอาประกันภัยก็จะมียอดเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าเบี้ยประกันภัยรวมกับผลตอบแทนน้อยกว่าค่าใช้จ่ายและค่าการประกันภัย บัญชีของผู้เอาประกันภัยก็จะลดลง ถ้าบัญชีลดลงเรื่อยๆ จนจำนวนเงินในบัญชีไม่พอ กับค่าใช้จ่ายและค่าการประกันภัยความคุ้มครองก็จะหมดไป เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ความคุ้มครองหมดไป ผู้เอาประกันภัยสามารถเพิ่มเบี้ยประกันภัย หรือขอลดผลประโยชน์เมื่อเสียชีวิตได้
1.6 แบบยูนิตลิงค์ (Unit Linked) เป็นการประกันชีวิตที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับการประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ แตกต่างกันที่การลงทุนจะเป็นการลงทุนในหน่วยลงทุนที่ผู้เอาประกันภัยเป็นคนตัดสินใจ ผลตอบแทนจึงขึ้นอยู่กับราคาหน่วยลงทุน ฉะนั้นเมื่อเป็นการลงทุนในหน่วยลงทุนในบัญชีของผู้เอาประกันภัยจึงเป็นจำนวนหน่วยลงทุน การรับเบี้ยประกันภัยหรือการจ่ายค่าใช้จ่ายผลประโยชน์ตามกรมธรรม์จะเกี่ยวข้องกับการซื้อ การขายหน่วยลงทุน รวมทั้งการดำเนินธุรกิจของบริษัทประกันชีวิต และการขายของตัวแทน/นายหน้า จะต้องมีสำนักงานกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
2. การประกันชีวิตแบ่งตามลักษณะการออกกรมธรรม์ประกันภัย สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ
2.1 การประกันชีวิตรายบุคคล เป็นการออกกรมธรรม์หนึ่งฉบับ เพื่อให้ความคุ้มครอง ผู้เอาประกันชีวิตเพียง 1 คน แบ่งเป็นประเภทสามัญ ซึ่งเป็นกรมธรรม์ฯ ที่บริษัทจะกำหนดให้มีการตรวจสุขภาพ และประเภทอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นกรมธรรม์ฯ ที่ไม่ต้องตรวจสุขภาพ
2.2 การประกันชีวิตประเภทกลุ่ม เป็นการออกกรมธรรม์ 1 ฉบับ เพื่อให้ความคุ้มครอง ผู้เอาประกันชีวิตมากกว่า 1 คน บริษัทอาจจะกำหนดให้มีการตรวจสุขภาพหรือไม่มีการตรวจสุขภาพก็ได้ อัตราดอกเบี้ยประกันภัยค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับการประกันชีวิตรายบุคคล และเนื่องจากผู้เอาประกันภัยในแต่ละกรมธรรม์มีขนาดต่างๆ กัน จึงได้มีการให้ส่วนลดตามขนาดของจำนวนผู้เอาประกันภัยในกลุ่ม หรือตามขนาดของจำนวนเงินเอาประกันภัย การประกันชีวิตประเภทกลุ่ม จะเป็นการประกันชีวิตของลูกจ้างหรือพนักงานบริษัท และบุคคลที่มีอาชีพเดียวกัน นอกจากนี้ยังสามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมได้
สัญญาประกันชีวิต
การประกันชีวิตเป็นการประกันภัยประเภทหนึ่ง จึงมีหลักการโดยทั่วไปเหมือนกับการประกันวินาศภัยอื่นๆ และมีลักษณะพิเศษเฉพาะของการประกันชีวิตเท่านั้นเพิ่มเติมดังนั้นสัญญาประกันชีวิตจึงมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากสัญญาประกันวินาศภัยอื่นๆหลายประการ ดังนี้
1. เป็นสัญญาเสี่ยงโชค เนื่องจากข้อตกลงในสัญญาประกันภัยมีลักษณะเป็นการเสี่ยงโชคโดยคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต่างตระหนักดีว่า ฝ่ายหนึ่งอาจได้รับการตอบแทนไม่สมกับการตอบแทนที่เสียไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโอกาสหรือความไม่แน่นอนอันเป็นสาระสำคัญของการเสี่ยงโชค กล่าวคือ การกำหนดมูลค่าเบี้ยประกันภัยที่ได้รับมาในตอนเริ่มแรกของข้อตกลงนั้นเท่ากับผลประโยชน์ที่คาดว่าจะต้องชดใช้คืนตามสัญญา หากภัยที่รับเสี่ยงไว้เกิดขึ้นก่อนเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา เช่น ภัยที่รับเสี่ยงไว้เกิดขึ้นเมื่อผู้เอาประกันจ่ายเบี้ยประกันเพียงงวดเดียว ผู้รับประกันภัยต้องจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย
2. เป็นสัญญาฝ่ายเดียว สัญญาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
2.1 สัญญาฝ่ายเดียว เป็นสัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาแล้ว คือ ผู้เอาประกันภัยได้ชำระเบี้ยประกันภัยแล้วถือได้ว่าได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาแล้ว จึงตกเป็นหน้าที่ของผู้รับประกันภัยแต่เพียงฝ่ายเดียวที่จะต้องปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาต่อไป คือคำมั่นสัญญาที่จะชดใช้ค่าเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
2.2 สัญญาสองฝ่าย เป็นสัญญาที่คู่สัญญาต่างให้คำมั่นสัญญาต่อกันโดยทั้งสองฝ่ายยังมิได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญานั้น เช่น ได้มีการทำสัญญาประกันภัยแล้ว แต่ผู้เอาประกันภัยยังไม่ได้ชำระเบี้ยประกันภัย
3. เป็นสัญญามีเงื่อนไข โดยปกติเงื่อนไขมักจะแทรกอยู่ในสัญญาเพื่อประโยชน์ของผู้ตั้งเงื่อนไข ข้อสัญญาของผู้รับประกันภัยในสัญญาประกันชีวิต มีเงื่อนไขที่เป็นสาระสำคัญหลายประเด็น เช่น เงื่อนไขเกี่ยวกับการจ่ายชำระเบี้ยประกันภัย เงื่อนไขที่เป็นข้อยกเว้นความคุ้มครอง เป็นต้น
4. เป็นสัญญาสำเร็จรูป คือ คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่มีโอกาสรู้เห็นในการร่างสัญญานั้นเลย สัญญาประกันภัยหรือกรมธรรม์ประกันภัยที่บริษัทประกันภัยเสนอขายในตลาดบริษัทประกันภัยเป็นผู้ร่างขึ้นโดยกำหนดขอบเขตความคุ้มครอง เงื่อนไข ข้อยกเว้น หน้าที่ที่ผู้เอาประกันภัยต้องปฏิบัติ และข้อความอื่นๆ ทั้งหมดไว้สำเร็จรูปแล้ว บุคคลที่ต้องการจะเอาประกันภัย เพียงแต่เลือกว่าจะทำสัญญาหรือไม่เท่านั้น
5. เป็นสัญญาที่ต้องจ่ายเงินตามที่กำหนดไว้ เมื่อผู้เอาประกันชีวิตมีชีวิตอยู่จนถึงเวลาตามที่ตกลงกันไว้ ก็จะได้รับเงินจำนวนหนึ่งตามที่ตกลงกัน หรือในกรณีผู้เอาประกันชีวิตได้ตายลงภายในระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ และกรมธรรม์มีผลบังคับ ผู้รับประโยชน์จะได้รับเงินจำนวนหนึ่งตามที่ผู้เอาประกันชีวิตได้ตกลงไว้กับผู้รับประกันชีวิต
6. เป็นสัญญาที่รัฐบาลควบคุมดูแล การประกอบกิจการประกันชีวิตต้องได้รับอนุญาตจากรัฐบาลจึงจะสามารถดำเนินการได้ และรัฐบาลโดยนายทะเบียนยังต้องให้ความเห็นชอบในเรื่องแบบและข้อความของกรมธรรม์ประกันชีวิต เอกสารประกอบหรือแนบท้ายกรมธรรม์ และอัตราเบี้ยประกันชีวิตด้วย เมื่อนายทะเบียนเห็นสมควรปรับปรุงแก้ไขก็สามารถสั่งให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขใหม่ได้
สัญญาประกันภัย เป็นสัญญาที่กฎหมายไม่ได้กำหนดรูปแบบไว้แน่นอน และไม่ได้บังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือ ดังนั้นสัญญาประกันภัยจึงอาจทำได้ด้วยวาจา แต่ถ้าเกิดปัญหาและต้องการจะฟ้องร้องให้ศาลบังคับคดี จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือลงลายมือชื่อตัวแทนของฝ่ายที่ต้องรับผิด (ผู้รับประกันภัย)
สัญญาเพิ่มเติมแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัย
การประกันชีวิตจะให้ความคุ้มครองการตายหรือการมีชีวิตอยู่รอดตามที่กำหนดในกรมธรรม์ประกันชีวิตเท่านั้น แต่กรมธรรม์ฯ จะไม่คุ้มครองความเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุจนบาดเจ็บ สูญเสียอวัยวะซึ่งหากผู้เอาประกันภัยประสงค์จะได้รับความคุ้มครองเหล่านี้ สามารถซื้อเพิ่มได้ในลักษณะของสัญญาเพิ่มเติมแนบท้ายกรมธรรม์ประกันชีวิต ซึ่งเป็นการตกลงซื้อความคุ้มครองพิเศษเพิ่มเติม โดยผู้เอาประกันภัยต้องจ่ายเบี้ยสูงขึ้น โดยปกติเป็นการประกันภัยประเภทหนึ่ง ซึ่งในหลายประเทศอนุญาตให้ขายเป็นกรมธรรม์หลักได้ทั้งในบริษัทประกันชีวิต และในบริษัทประกันวินาศภัย สำหรับประเทศไทยในปัจจุบันกำหนดให้บริษัทประกันวินาศภัยเท่านั้นที่มีสิทธิขายกรมธรรม์ประกันคุ้มครองอุบัติเหตุ และกรมธรรม์ประกันสุขภาพเป็นกรมธรรม์หลัก ส่วนบริษัทประกันชีวิตจะต้องขายความคุ้มครองดังกล่าวแนบท้ายกรมธรรม์ประกันชีวิตเท่านั้น และเป็นสัญญารายปี ดังนั้นผู้เอาประกันภัยสามารถบอกเลิกสัญญาเพิ่มเติมหรือต่ออายุสัญญาเพิ่มเติมนี้ได้ โดยจะแบ่งเป็น ดังนี้
1. สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ (ค่ารักษาพยาบาล) ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะได้รับความคุ้มครอง ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1.1 สัญญาเพิ่มเติม ค่ารักษาพยาบาลในฐานะผู้ป่วยในโรงพยาบาล โดยมีสาเหตุมาจากผู้เอาประกันภัยเจ็บป่วย (ภายหลังทำสัญญาหรือต่ออายุสัญญา 30 วัน) หรือบาดเจ็บเนื่องจากอุบัติเหตุ ตามค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกินผลประโยชน์สูงสุดที่ได้ซื้อความคุ้มครองไว้
1.2 สัญญาเพิ่มเติมค่าชดเชยรายวัน จะให้ความคุ้มครองการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลโดยมีสาเหตุมาจากผู้เอาประกันภัยเจ็บป่วย (ภายหลังทำสัญญาหรือต่อสัญญา 30 วัน) หรือบาดเจ็บเนื่องจากอุบัติเหตุ โดยจะจ่ายผลประโยชน์เป็นรายวันตามที่ซื้อความคุ้มครองไว้ และตามจำนวนวันที่นอนในโรงพยาบาล เช่น ซื้อความคุ้มครองไว้วันละ 1,000 บาท หากผู้เอาประกันภัยเจ็บป่วยต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาลบาล เป็นเวลา3 วัน บริษัทจะจ่ายให้ 3,000 บาท เป็นต้น
นอกจากนี้ผู้เอาประกันภัยยังสามารถซื้อความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกเพิ่มจากสัญญาเพิ่มเติมค่ารักษาพยาบาลในฐานะผู้ป่วยในโรงพยาบาล และสัญญาเพิ่มเติมค่าชดเชยรายวันได้
1.3 สัญญาเพิ่มเติมคุ้มครองโรคร้ายแรง จะให้ความคุ้มครองผู้เอาประกันภัยเมื่อผู้เอาประกันภัยป่วยเป็นโรคร้ายแรงตามที่กำหนดในสัญญาเพิ่มเติม โดยบริษัทจะจ่ายผลประโยชน์ตามที่ซื้อไว้ให้เพื่อเป็นค่ารักษาพยาบาล
2. สัญญาเพิ่มเติมอุบัติเหตุ ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะได้รับการคุ้มครอง ดังรายละเอียดต่อไปนี้
2.1 สัญญาเพิ่มเติมอุบัติเหตุคุ้มครองมรณกรรม บริษัทจะจ่ายผลประโยชน์ตามจำนวนเงินเอาประกันอุบัติเหตุ หากผู้เอาประกันภัยประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตภายใน180 วัน นับแต่วันประสบอุบัติเหตุ
2.2 สัญญาเพิ่มเติมอุบัติเหตุคุ้มครองมรณกรรม สูญเสียอวัยวะ บริษัทจะจ่ายผลประโยชน์เป็นร้อยละของจำนวนเงินเอาประกันอุบัติเหตุ หากผู้เอาประกันภัยประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต หรือสูญเสียอวัยวะภายใน 180 วัน นับแต่วันประสบอุบัติเหตุตามรายการเสียชีวิตและสูญเสียอวัยวะที่กำหนดในสัญญาเพิ่มเติม
2.3 สัญญาเพิ่มเติมอุบัติเหตุคุ้มครองมรณกรรม สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพและค่าศัลยกรรม บริษัทจ่ายผลประโยชน์เป็นร้อยละของจำนวนเงินเอาประกันอุบัติเหตุหากผู้เอาประกันภัยประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ และทุพพลภาพภายใน 180วัน นับแต่วันที่ประสบอุบัติเหตุตามรายการเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ และทุพพลภาพที่กำหนดในสัญญาเพิ่มเติม และในส่วนของศัลยกรรมบริษัทจะจ่ายค่าผ่าตัดให้เป็นร้อยละของจำนวนเงินเอาประกันอุบัติเหตุ ตามตารางค่าศัลยกรรมที่แนบในสัญญาเพิ่มเติม นอกจากนี้ผู้เอาประกันภัยสามารถซื้อความคุ้มครองฆาตกรรมและภัยจลาจลเพิ่มเติมได้
3. สัญญาเพิ่มเติมยกเว้นเบี้ยประกันภัย เป็นสัญญาเพิ่มเติมที่บริษัทจะชำระเบี้ยประกันแทนผู้เอาประกันภัย เมื่อผู้เอาประกันภัยทุพพลภาพสิ้นเชิงถาวร
4. สัญญาเพิ่มเติมผู้ชำระเบี้ยประกันภัย เป็นสัญญาเพิ่มเติมที่บริษัทจะชำระเบี้ยประกันภัย แทนผู้ชำระเบี้ยประกันภัย เมื่อผู้ชำระเบี้ยประกันภัยเสียชีวิต หรือทุพพลภาพสิ้นเชิงถาวร ซึ่งส่วนใหญ่สัญญาเพิ่มเติมนี้จะขายแนบกับกรมธรรม์ผู้เยาว์
สรุป
ความหมายของการประกันชีวิต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตราที่861 ได้บัญญัติไว้ว่า “ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใช้จำนวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง”
ดังนั้น การใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตจึงเกิดขึ้นได้ 2 กรณี คือ
- ผู้เอาประกันชีวิตมีอายุอยู่จนถึงเวลาที่ตกลงกำหนดไว้
- ผู้เอาประกันชีวิตตายลงภายในระยะเวลาที่ตกลงกำหนดไว้
ประโยชน์ของการประกันชีวิต
- เป็นการออมเงินระยะยาว
- ได้รับผลตอบแทนในรูปเงินปันผล
- มีเงินช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนเมื่อเกิดภัย
ความสำคัญของการประกันชีวิต เป็นการสร้างหลักประกันความมั่นคง และบรรเทาความเดือดร้อนทางการเงินแก่ผู้เอาประกันและครอบครัว ซึ่งแบ่งออกเป็นการให้ความคุ้มครองและการออมทรัพย์
ประเภทของการประกันชีวิต
- ประเภทสามัญ
- ประเภทอุตสาหกรรม
- ประเภทกลุ่ม
รูปแบบประกันชีวิตที่มีอยู่ในปัจจุบัน พอจะสรุปได้ คือ
แบ่งตามลักษณะ ความคุ้มครอง มีดังนี้
- แบบชั่วระยะเวลา
- แบบสะสมทรัพย์
- แบบตลอดชีพ
- แบบเงินได้ประจำหรือเงินรายปีหรือแบบบำนาญ
- แบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์
- แบบยูนิตลิงค์
แบ่งตามลักษณะการออกกรมธรรม์ประกันภัย
- การประกันชีวิตรายบุคคล
- การประกันชีวิตประเภทกลุ่ม
สัญญาประกันชีวิต มีส่วนที่เหมือนกับการประกันวินาศภัยอื่นๆ และมีส่วนเพิ่มเติมที่เป็นลักษณะพิเศษเฉพาะของสัญญาประกันชีวิต ดังนี้
- เป็นสัญญาเสี่ยงโชค
- เป็นสัญญาฝ่ายเดียว
- เป็นสัญญามีเงื่อนไข
- เป็นสัญญาสำเร็จรูป
- เป็นสัญญาที่ต้องจ่ายเงินตามที่กำหนดไว้
- เป็นสัญญาที่รัฐบาลควบคุมดูแล
สัญญาเพิ่มเติมแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัย แบ่งออกเป็น
- สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ
- สัญญาเพิ่มเติมอุบัติเหตุ
- สัญญาเพิ่มเติมยกเว้นเบี้ยประกันภัย
- สัญญาเพิ่มเติมผู้ชำระเบี้ยประกันภัย