แนวคิด
สิ่งสำคัญของการประกอบธุรกิจ คือ ธุรกิจจะต้องมีรายได้ หรือกำไรจากการประกอบการ กิจกรรมที่นำมาซึ่งรายได้ ได้แก่กิจกรรมการขาย ถือเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการด้านการตลาด ผู้ประกอบการที่มีประสิทธิภาพจะสามารถบริหารงานด้านการตลาดได้อย่างเหมาะสม ทั้งในด้านของ
การผลิตผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค การกระจายสินค้าถึงมือผู้บริโภคอย่างทั่วถึง ทันเวลาที่ลูกค้าต้องการ และในปริมาณที่ถูกต้อง อีกทั้งยังต้องมีการพัฒนาปรับปรุงการบริหารงาน ด้านการตลาดให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย
สาระการเรียนรู้
1. ความรู้เกี่ยวกับการตลาดที่ผู้ประกอบการควรทราบ
2. การตลาดผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
3. การจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
4. แนวทางการบริหารการตลาดผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
1. แสดงความรู้เกี่ยวกับการตลาดที่ผู้ประกอบการควรทราบได้
2. วางแผนการตลาดผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นได้
3. วางแผนการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นได้
4. ประยุกต์ใช้แนวทางการบริหารการตลาดผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นได้
ความรู้เกี่ยวกับการตลาดที่ผู้ประกอบการควรทราบ
นอกจากเรื่องของการผลิต และการมีความรู้เกี่ยวกับสินค้าแล้ว ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ควรมีความรู้เกี่ยวกับการตลาดด้วย ความรู้เกี่ยวกับการตลาดที่ควรทราบ ได้แก่ หลักการตลาดเบื้องต้น และเทคนิคการขาย
หลักการตลาดเบื้องต้น
หลักการตลาดเบื้องต้นที่ผู้ผลิต ผู้ประการ OTOP รวมถึงผู้ประกอบการอื่น ๆ ควรทราบมีดังนี้
1 ผลิตภัณฑ์ ผู้ผลิต หรือผู้ประกอบการ OTOP ที่ประสบความสำเร็จ จะต้องผลิตผลิตภัณฑ์ ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งความต้องการของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา กิจการ จะต้องมีการปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ หรือขยายชนิดของผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อป้องกันคู่แข่งขันแทรกเข้ามา
2 ช่องทางการจำหน่าย การกระจายสินค้าออกสู่ผู้บริโภคการเลือกช่องทางการจัดจำหน่าย ที่เหมาะสม จะทำให้ชนะคู่แข่งขันและประสบความสำเร็จได้ สิ่งที่จะต้องศึกษาเกี่ยวกับช่องทางการ จัดจำหน่ายมีดังนี้
2.1 การขายและช่องทางการตลาด จะต้องมีการวางแผนการจำหน่ายและมีการตั้งเป้าหมาย สำหรับการจำหน่ายสินค้าแต่ละช่องทางว่าแต่ละช่องทางจะมีจำนวนเท่าใด
2.2 การกระจายสินค้า เป็นกระบวนการในการนำสินค้าออกสู่ตลาดไปถึงมือผู้บริโภค รวมถึงการไหลของข้อมูลไปยังจุด หรือหน่วยต่าง ๆ เพื่อให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพ เช่น ข้อมูลจำนวนสินค้าในคลัง ข้อมูลจำนวนสินค้าที่นำออกจากคลังในแต่ละครั้ง จะต้องให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทราบเพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการวางแผนงาน
2.3 การบริการลูกค้า เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของกิจการที่มีต่อลูกค้า รวมถึงความสม่ำเสมอ ของช่วงเวลาในการส่งสินค้า การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ความสามารถในการส่งสินค้าได้ทันเวลา ถูกต้องตรงกับความต้องการของลูกค้า
3 การส่งเสริมการขายและบรรจุภัณฑ์ การส่งเสริมการขายเป็นวิธีการทางการตลาดที่กระตุ้น ให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าในปริมาณที่มากขึ้น หรือผู้ที่ไม่เคยซื้อสินค้าได้ทดลองใช้สินค้า การสื่อสารโดยการ ส่งเสริมการขายอย่างมีประสิทธิภาพจะทำให้ภาพลักษณ์ของสินค้า ตราสินค้า รวมถึงภาพลักษณ์ขององค์กร และของผู้ผลิตดีในสายตาของผู้บริโภคด้วย ซึ่งจะทำให้ยอดขายสินค้าเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการออกแบบ บรรจุภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภคได้อีกด้วย
4 การลดต้นทุน การลดต้นทุนเป็นการลดค่าใช้จ่ายขององค์กร เนื่องจากบางครั้งการเพิ่มรายได้ หรือการเพิ่มยอดขายทำได้ยาก ผู้ผลิตจึงต้องพยายามลดค่าใช้จ่าย เพื่อให้องค์กรมีกำไร การลด ค่าใช้จ่ายดังกล่าวอาจกระทำได้โดยการนำทรัพยากรที่มีอยู่แล้วในองค์กรมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
5 การกำหนดราคา การกำหนดราคามีผลต่อรายได้และผลกำไรของกิจการ ผลกำไรเกิดจาก ราคาขาย ต้นทุน การกำหนดราคามีหลายวิธีผู้บริหารจะต้องพิจารณาเลือกใช้อย่างเหมาะสม
6 แรงกระทบทั้ง 5 ประกอบด้วย ผู้ขายวัตถุดิบ ผู้ซื้อสินค้า ผู้แข่งขันรายใหม่ สินค้าทดแทน และการแข่งขันระหว่างคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันแรงกระทบทั้ง 5ดังกล่าวมีผลต่อความสำเร็จขององค์กร ผู้บริหารกิจการจะต้องนำมาวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจถึงโครงสร้างแนวโน้มหลัก และแรงกระทำต่าง ๆ ที่จะมีผลต่อความสามารถในการทำกำไร ช่วยให้ทราบถึงจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภัยคุกคามที่เกิดขึ้น
7 แผนภูมิการเติบโต อัตราการเติบโต และส่วนแบ่งทางการตลาดของสินค้าแต่ละชนิดทำให้ ผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้เกี่ยวกับการวางแผนการผลิต กิจการที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลายสามารถนำ ข้อมูลการเติบโตของผลิตภัณฑ์มาตัดสินใจว่าผลิตภัณฑ์ชนิดใดควรผลิตต่อ และผลิตภัณฑ์ใดที่ควรยกเลิก การผลิต
กิจการที่ต้องการเป็นผู้นำทางการตลาด จะต้องมีส่วนแบ่งการตลาดที่ขนาดใหญ่พอ มี การเติบโตสูง และมีอัตราผลตอบแทนที่ดี หลักความคิดเกี่ยวกับการเติบโต และส่วนแบ่งการตลาด ที่นำมาใช้ในการพิจารณาความเติบโตของผลิตภัณฑ์ เป็นหลักความคิดที่แบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
1. ดวงดาว (Star) กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีการเติบโตสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของตลาด เป็นกลุ่มที่ต้อง เน้นการรักษาการเติบโตที่สูงและขยายตลาดในเวลาเดียวกัน
2. วัวนม (Cash Cow) กลุ่มที่มีการขยายตัวของตลาดต่ำ มีสัดส่วนการครองตลาดสูง สามารถสร้างรายได้ มีศักยภาพในการครองตลาด จึงต้องรักษาฐานการตลาดไว้อย่างมั่นคง)
3. เด็กมีปัญหา (Problem children) เป็นกลุ่มที่มีการขยายตัวสูงแต่ยังมีสัดส่วนการตลาดน้อย เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการครองตลาด
4. สุนัข (Dog) กลุ่มสินค้าที่อยู่ในช่วงถดถอย สินค้าไม่ติดตลาด สัดส่วนตลาดน้อย การขยายตัวต่ำต้องลดการลงทุน หรือหาผู้ลงทุนใหม่ และต้องมีการปรับยุทธศาสตร์ด้วย
การวิเคราะห์การเติบโตและส่วนแบ่งการตลาด จะทำให้สามารถวิเคราะห์ได้ว่าควรให้ ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ใด และผลิตภัณฑ์ใดควรเลิกผลิต
8 วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ แสดงถึงวิวัฒนาการของผลิตภัณฑ์ที่เคลื่อนที่ไปตามวงจร ซึ่งเมื่อ ผลิตภัณฑ์เคลื่อนที่ไป ความสามารถในการทำกำไรก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย กิจการจะต้องทราบว่าขณะนี้ ผลิตภัณฑ์อยู่ในช่วงวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ใด ซึ่งมีดังนี้
8.1 ขั้นแนะนำ เป็นช่วงที่ผลิตภัณฑ์กำลังเข้าสู่ตลาด
8.2 ขั้นเติบโต เป็นช่วงที่ผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดได้มากขึ้น ยอดขายเพิ่มขึ้น
8.3 ขั้นอิ่มตัว ยอดขายไม่เพิ่มขึ้น ขยายส่วนแบ่งการตลาดได้ยาก กิจการจะต้องมีการพัฒนา ปรับปรุงหรือใช้กลยุทธ์อื่น ๆ เข้ามาช่วย
8.4 ขั้นถดถอย เริ่มมีผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดมาก ทำให้ผลิตภัณฑ์ของกิจการมียอดขายลดลง ลูกค้าหันไปซื้อผลิตภัณฑ์ทดแทนหรือผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งมากขึ้นการพิจารณาและทราบว่าผลิตภัณฑ์ของกิจการอยู่ในช่วงวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ขั้นใด จะทำให้สามารถวางกลยุทธ์ และแผนการตลาดของผลิตภัณฑ์นั้นได้
9 การวิเคราะห์งบกระแสเงินสด การวิเคราะห์งบกระแสเงินสดทำให้ทราบถึงการได้มาและ การใช้ไปของเงินสด ทำให้มองเห็นภาพของธุรกิจชัดเจนขึ้น หากเจ้าของกิจการพบว่าเริ่มมีการฝืดเคืองของ กระแสเงินสด อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าธุรกิจกำลังประสบปัญหา
เทคนิคการขาย
เทคนิคการขาย คือ กลวิธีในการโน้มน้าวจิตใจด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อ สามารถปิดการขายได้เร็ว เทคนิคการขายที่ช่วยให้การขายมีประสิทธิภาพ มีดังนี้
1 เทคนิคที่ต้องใส่ใจก่อนการซื้อขาย ช่วงที่ก่อนการขายจะเกิดขึ้นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ หากเริ่มต้นดี การดำเนินการต่อไปก็จะดีตามไปด้วย สามารถปฏิบัติดังนี้
1.1 หาช่องทางการขายที่เหมาะสม ช่องทางการขายเป็นลู่ทางการกระจายสินค้าสู่ผู้บริโภค จึงต้องมีการพิจารณาว่าผลิตภัณฑ์ที่ขายคืออะไร จะขายให้ใคร และจะใช้ช่องทางการขายอย่างไรจึงจะ สามารถเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
1.2 การจัดเตรียมการส่งเสริมการตลาดกระตุ้นการซื้อ การส่งเสริมการตลาดเป็นข้อเสนอ พิเศษที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อ กระทำหลังจากที่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับช่องทางการจัดจำหน่าย แล้ว ช่วงเวลาของการจัดการกิจกรรมการส่งเสริมการตลาดทำได้ตลอดเวลา เช่น ปีใหม่ วาเลนไทน์ ตรุษจีน ฉลองเปิดร้านใหม่ เป็นต้น กิจกรรมการส่งเสริมการตลาดที่นิยมนำมาเป็นเทคนิคการขาย เช่น การแถม การลดราคา การเป็นสมาชิก การสะสมแต้ม เป็นต้น
1.3 การสร้างความน่าเชื่อถือให้ร้านค้า วิธีการสร้างความน่าเชื่อถือให้ร้านค้า กระทำได้ หลากหลาย เช่น การโฆษณา การบอกกล่าวของลูกค้าเก่าเพื่อให้ลูกค้าอื่นเกิดความรู้สึกที่ดีต่อกิจการ การสร้างความน่าเชื่อถือควรเน้นที่การขายสินค้าที่มีคุณภาพ ผู้ขายมีจรรยาบรรณ บริการรวดเร็ว ซึ่งหาก ลูกค้าเกิดความประทับใจจะนำไปบอกต่อกัน
2 เทคนิคการขายระหว่างทำการซื้อขาย ระหว่างการซื้อขายผู้ขายสามารถนำเทคนิคการขาย มาใช้ได้ตลอดเวลา เทคนิคการขายดังกล่าว ได้แก่
2.1 การให้ข้อมูลและคำแนะนำที่ดี ก่อนการตัดสินใจซื้อ ลูกค้ามักต้องการข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคนิคการใช้สินค้านั้น ผู้ขายที่ให้ข้อมูลที่ดี ถูกต้อง ตอบคำถามด้วยความเต็มใจ ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่แสดงกิริยาไม่ดีแม้ว่าลูกค้าจะไม่ตัดสินใจซื้อ การบริการที่ดี ก่อให้เกิดความประทับใจ ที่ทำให้ลูกค้ากลับมาอีกครั้ง
2.2 การนำเสนอ/สาธิต/ให้สัมผัส ลูกค้าส่วนใหญ่จะตัดสินใจซื้อเมื่อได้หยิบ สัมผัส สินค้านั้นก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้านั้นตรงกับความต้องการของตน ผู้ขายควรยินดีให้บริการเมื่อลูกค้า ต้องการสัมผัส หรือให้ผู้ขายแสดงวิธีการใช้งานสินค้านั้น ,
2.3 การรับมือการต่อรอง การต่อรองราคา หรือการต้องการผลประโยชน์อื่น ๆ เพิ่ม เป็นสิ่งที่ลูกค้ามักปฏิบัติ ผู้ขายจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับการต่อรองโดยที่กิจการไม่เสีย ผลประโยชน์มาก และลูกค้าพึงพอใจ
2.4 การปิดการขาย เทคนิคการปิดการขาย เป็นวิธีการที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อโดยเร็ว ที่สุด เทคนิคการขายที่พนักงานขายนิยมใช้ เช่น ของดีมีน้อย รับของแถมเมื่อตัดสินใจซื้อวันนี้ การถามสี หรือจำนวนที่ต้องการ เป็นต้น
3 เทคนิคการขายหลังการซื้อ เป็นบริการหลังการขาย เมื่อลูกค้าตัดสินใจซื้อแล้ว ผู้ขายควรดูแล ให้คำปรึกษา เพื่อให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจสูงสุด
การตลาดผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น หรือผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ผ่านมา พบว่า ยังมีปัญหาหลายประการ กรมการพัฒนาชุมชนทราบถึงปัญหานั้นและได้มีการดำเนินการปรับปรุงแก้ไข เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความสมบูรณ์สามารถเข้าสู่การแข่งขันในตลาดที่ใหญ่ขึ้นได้ สิ่งที่ได้ปฏิบัติมาแล้ว เช่น การจัดตั้งเครือข่ายองค์ความรู้ เพื่อให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ได้มาใช้บริการ หาความรู้เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จด้วย
การผลิตผลิตภัณฑ์ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด
การผลิตที่ไม่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคเป็นปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้น เนื่องจากผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP เริ่มต้นจากการพิจารณาทรัพยากรในท้องถิ่น ผสานกับอัตลักษณ์ และวัฒนธรรม ของท้องถิ่น จึงยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับความต้องการของตลาด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการดำเนินการ ด้านการตลาด ดังนั้นกรมการพัฒนาชุมชนจึงต้องส่งเสริมให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ทำการวิจัยตลาด หรือ ให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ได้ข้อมูลความต้องการของผู้บริโภค สำหรับนำมาใช้ในการปรับปรุง พัฒนา ผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการ
ผลิตภัณฑ์ขาดเอกลักษณ์
ผลิตภัณฑ์ที่ขาดเอกลักษณ์ทำให้ขาดความน่าสนใจ เป็นปัญหาหนึ่งที่ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ประสบ การผลิตผลิตภัณฑ์จะต้องพยายามหาเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ เพื่อสื่อสารให้ผู้บริโภครับรู้และ เห็นถึงความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เอกลักษณ์ดังกล่าว เช่น สรรพคุณของผลิตภัณฑ์ เรื่องราวของผลิตภัณฑ์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น
การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
การบรรจุภัณฑ์มีความสำคัญกับการดำเนินการทางการตลาด เช่นเดียวกับส่วนประสมทางการตลาด อื่น ๆ นอกเหนือจากการออกแบบเพื่อความเป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์แล้ว บรรจุภัณฑ์ยังช่วยบอก รายละเอียดของผลิตภัณฑ์ บอกเรื่องราวของผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และนอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์ที่ดียังช่วยอำนวยความสะดวกด้านประโยชน์การใช้งาน ซึ่งจะต้องออกแบบให้ สามารถสร้างความพึงพอใจแก่ผู้บริโภคได้ เช่น ผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าวพร้อมดื่ม ก็ควรออกแบบบรรจุภัณฑ์ ให้สะดวกสำหรับการดื่มได้ทันทีไม่ต้องเทแบ่งใส่แก้วอีก เป็นต้น
ระบบการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
กรมส่งเสริมการส่งออกดำเนินการด้านการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นดังนี้
1. ประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิต ผู้ประกอบการในแต่ละท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย โดยอาศัยสื่อมวลชนในการช่วยสร้างกระแส
2. พัฒนาผลิตภัณฑ์ดั้งเดิมในท้องถิ่นให้มีศักยภาพพอที่จะขายได้ทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ โดยทำการสำรวจความต้องการ พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสม และออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้น่าสนใจ
3. ขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่าง ๆ ช่วยสนับสนุนและผลักดันในเรื่องของกิจกรรม เช่น การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ และจัดกิจกรรมการจัดแสดงสินค้า เป็นต้น เพื่อให้สินค้าเป็นที่รู้จัก และ กระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการ
การจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
จากการที่กรมการพัฒนาชุมชนได้มีการจัดกลุ่มผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ง่ายต่อการพัฒนาด้านต่าง ๆ รวมถึงด้านการตลาดและการจัดจำหน่ายด้วย การจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สรุปได้ดังนี้
1 ตั้งศูนย์จำหน่ายประจำท้องถิ่น แต่ละท้องถิ่นมีศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์โอทอป เพื่อให้ผู้บริโภค หรือนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปท่องเที่ยวในแหล่งนั้นได้เลือกซื้อ
2 จัดกิจกรรมในท้องถิ่น ปัจจุบันท้องถิ่นมักมีการจัดงานต่าง ๆ ที่แสดงถึงเอกลักษณ์ หรือแสดงถึง จุดเด่นของชุมชน เช่น งานกินปลา จังหวัดสิงห์บุรี ประเพณีแข่งเรือยาว จังหวัดพิจิตร งานประเพณีผีตาโขน เป็นต้น รวมถึงงานกิจกรรมพิเศษที่จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวท้องถิ่น งานเหล่านี้สามารถเชื่อมโยง การจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเข้าไปด้วย โดยเฉพาะสินค้ากลุ่ม C ที่เป็นสินค้าคุณภาพต่ำ ราคาต่ำ ผลิตได้ในปริมาณมากเหมาะสมกับการจัดจำหน่ายโดยการจัดกิจกรรมในท้องถิ่นมาก
3 เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จากโครงการพัฒนาหมู่บ้านโอทอปเพื่อการท่องเที่ยว ได้มีการส่งเสริมและพัฒนาหมู่บ้านหลายแห่งให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยมีจัดประกวดหมู่บ้านโอทอป เพื่อส่งเสริมให้หมู่บ้านดังกล่าวรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชม และมาใช้จ่ายในหมู่บ้าน รวมถึงการใช้จ่ายเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นด้วย นอกจากนี้การจัดจำหน่ายโดยการเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ยังสามารถใช้วิธีการนำสินค้าไปวางจำหน่ายบริเวณที่เป็นสถานที่ที่เป็นศูนย์รวมการเดินทาง หรือสถานที่ ที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เช่น สถานีขนส่ง สนามบิน เป็นต้น ซึ่งการจัดจำหน่ายโดยช่องทาง การเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเหมาะกับสินค้ากลุ่ม C ที่สามารถผลิตได้จำนวนมาก และต้องการ พัฒนาเข้าสู่ตลาดการแข่งขัน
4 การจัดงานนิทรรศการ การร่วมงานแสดงสินค้าเป็นช่องทางการจำหน่ายที่ทำให้ผู้บริโภคได้รู้จัก ผลิตภัณฑ์มากขึ้น การร่วมงานจัดแสดงสินค้า สามารถนำมาใช้ได้กับสินค้าทุกกลุ่ม โดยสามารถเข้าร่วม ในงานแสดงสินค้าที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้แก่ สินค้ากลุ่ม A เข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ สินค้ากลุ่ม B เข้าร่วมงานนิทรรศการและจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศร่วมกับสถานทูตไทยในต่างประเทศ เพื่อแสดงสินค้าเฉพาะกลุ่มอนุรักษ์ สินค้ากลุ่ม C เข้าร่วมแสดงสินค้าในระดับท้องถิ่น ระดับกลุ่มจังหวัด ระดับประเทศ สินค้ากลุ่ม D เข้าร่วมงานแสดงและจำหน่ายสินค้าระดับท้องถิ่น
5 การวางขายในร้านค้าปลีก เป็นช่องทางการจัดจำหน่ายที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ โดยที่ลูกค้าไม่ต้องเดินทางมายังแหล่งผลิต จากการจัดกลุ่มสินค้า ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP สามารถ นำสินค้าวางจำหน่ายได้อย่างเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย สินค้ากลุ่ม A เหมาะสมกับการวางจำหน่ายผ่าน ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่มีสาขาในต่างประเทศด้วย สินค้ากลุ่ม C วางจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกประเภทต่าง ๆ ทั้งขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก รวมถึงร้านสะดวกซื้อด้วยร้านค้าปลีกที่วางจำหน่าย เช่น เซเว่นอีเลฟเว่น บิ๊กซี โลตัส ท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต วิลล่ามาร์เก็ต เป็นต้น การวางขายในร้านค้ปลีกทำให้ได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับ ความต้องการของผู้บริโภค เพราะร้านค้าปลีกได้ใกล้ชิดกับผู้บริโภคโดยตรง จึงเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีแหล่งหนึ่ง
6 การส่งออก ผู้ผลิตสินค้า กลุ่ม A ซึ่งเป็นสินค้าดาวเด่น สามารถเข้าแข่งขันทางธุรกิจได้ หากมีศักยภาพ มีความพร้อม อาจใช้การจัดจำหน่ายไปยังต่างประเทศด้วยตนเอง ซึ่งผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP จะต้องมีความรู้ด้านกฎระเบียบเกี่ยวกับการส่งออก ภาษี ธุรกรรมต่างประเทศ พฤติกรรมผู้บริโภค แนวโน้มสินค้าในอนาคต สถานการณ์การแข่งขัน เป็นต้น
7 การจำาหน่ายทาง www.thaitambon.com กรมการพัฒนาชุมชนได้จัดทำเว็บไซต์ www. thaitambon.com จำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น หรือผลิตภัณฑ์โอทอป โดยผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP สามารถเข้าร่วมโดยการแจ้งรายละเอียดของสินค้า ผู้บริโภคสามารถเข้ามาเยี่ยมชม และสั่งซื้อสินค้าตาม รายละเอียดที่แจ้ง โดยเสียค่าสมาชิกเป็นรายปี
8 วางขาย ณ ที่ทำการไปรษณีย์ ที่ทำการไปรษณีย์เป็นแหล่งหนึ่งที่ผู้บริโภคเข้ามาใช้บริการ ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นหลายประเภทที่นำมาวางขายผ่านที่ทำการไปรษณีย์ ซึ่งสามารถสร้างความ สะดวกให้แก่ผู้บริโภคเช่นเดียวกับการวางจำหน่ายในร้านค้าปลีก
9 การจำหน่ายผ่านสื่อ เช่น TV Shop Channels เป็นต้น
แนวทางการบริหารการตลาดผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ที่มีศักยภาพเพียงพอสามารถดำเนินการด้านการตลาด หรือการจัดจำหน่ายด้วยตนเอง มีแนวทางการดำเนินการดังนี้
1 เป็นผู้จัดจำหน่ายเอง ผลิตภัณฑ์บางประเภทจำเป็นต้องมีการควบคุมด้านคุณภาพ หรือการให้บริการอย่างเข้มงวด เช่น กิจการสปา การนวดแผนโบราณ เป็นต้น เจ้าของจึงควรเป็น ผู้จัดจำหน่ายเอง ดังนี้
1.1 ตั้งร้านเอง ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ที่ตั้งร้านเอง จะต้องมีความรู้พื้นฐาน ด้านการจัดการร้านค้าปลีกทั้งในเรื่องการเงิน การจัดการ และการตลาด มีการสำรวจความต้องการของ ผู้บริโภคทั้งภายในและภายนอกชุมชน เพื่อหาข้อมูลสำหรับการพยากรณ์รายได้ของกิจการนำมาเปรียบเทียบ กับรายจ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เป็นแนวทางการตัดสินใจการดำเนินกิจการให้มีกำไร หลังจากการเปิด ดำเนินกิจการแล้วจะต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภคที่คาดว่าจะเป็นลูกค้าหลักของกิจการ เพื่อรายได้ที่ยั่งยืนต่อไป
1.2 ขายโดยพนักงานขาย ใช้พนักงานขายของกิจการเป็นผู้นำสินค้าไปเสนอขายสู่คนกลาง ที่เป็นพ่อค้าส่ง เพื่อให้นำสินค้าไปจำหน่ายต่อ คู่ค้าอาจเป็นผู้ค้ารายใหญ่ หรือรายย่อยลงมาซึ่งมีความสำคัญแตกต่างกันออกไป
1.3 การสร้างร้านค้าออนไลน์ หากผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก ในการนำรายละเอียดสินค้าเข้ามาบรรจุไว้ใน www.thaitambon.com ก็สามารถสร้างเว็บไซต์ของ ตนเองได้
2 ให้พันธมิตรช่วยกระจายสินค้า พันธมิตรที่ช่วยกระจายสินค้า ได้แก่ คนกลางประเภทต่าง ๆ ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้บริโภคในพื้นที่มากกว่า จึงสามารถกระจายสินค้าได้ดีกว่า พันธมิตรที่ ช่วยกระจายสินค้ามีดังนี้
2.1 คนกลาง คนกลางที่ช่วยกระจายสินค้าเป็นได้ทั้งพ่อค้าปลีก ซึ่งได้แก่ การนำสินค้าไป วางจำหน่ายในร้านค้าปลีกประเภทต่าง ๆ ทั้งร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ ร้านสะดวกซื้อ รวมถึงร้านค้าปลอดภาษี ซึ่งเป็นแหล่งที่มีนักท่องเที่ยวผ่านเข้าออกเป็นจำนวนมาก ตัวแทนจำหน่ายที่รับสินค้าจากแหล่งผลิตเพื่อ นำไปจำหน่ายทั่วประเทศ เช่น บริษัทดีทแฮล์ม บริษัทยูนิลีเวอร์ เป็นต้น
2.2 การขายผ่านบริษัทขายตรง ปัจจุบันมีบริษัทขายตรงเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก จะเลือก บริษัทให้เป็นพันธมิตรขึ้นอยู่กับการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ หากเป็นผลิตภัณฑ์ราคาต่ำ ใช้ได้ใน หมู่ผู้บริโภคทั่วไป อาจเลือกบริษัทเอวอน กิฟฟารีน มิสทิน เป็นต้น หากผลิตภัณฑ์ราคาสูงขึ้นมาอาจเลือก บริษัทแอมเวย์ บริษัทนูสกิน เป็นต้น
3 การร่วมทุนเพื่อสร้างตลาดใหม่ สามารถกระทำได้ ดังนี้
3.1 การให้สิทธิทางการค้า (Franchise Model) เมื่อผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ประสบความสำเร็จแล้ว อาจให้สิทธิทางการค้าแก่ผู้อื่นที่สนใจ และอยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกลออกไป หรือไม่มีความชำนาญ อาจใช้วิธีให้สิทธิทางการค้าซึ่งนอกจากจะทำให้สินค้าเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแล้ว ยังมีรายได้จากการให้สิทธิทางการค้าด้วย
3.2 การให้สิทธิในการดูแลเฉพาะพื้นที่ (Concessionaire Model) เป็นการให้สิทธิทาง การค้าเพื่อผูกขาดหรือให้สัมปทานในการดูแลพื้นที่เฉพาะ คือการเปิดโอกาสให้ผู้อื่นที่สนใจรับสัมปทาน การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ตลอดจนดูแลผลิตภัณฑ์ให้มีจำหน่ายเมื่อมีผู้บริโภคต้องการ เช่น การให้สิทธิตัวแทน ในการดูแลบริหาร และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประจำภาคเหนือ ผู้รับสิทธิจะมีหน้าที่บริหารจัดการ ในพื้นที่ของตนให้มีประสิทธิภาพ และสั่งผลิตภัณฑ์ให้เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า เป็นต้น การกระทำเช่นนี้ช่วยให้มีผลิตภัณฑ์จำหน่ายครอบคลุมไปทุกพื้นที่ ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับการจำหน่าย วิธีการนี้ เช่น ผลไม้อบแห้ง ทุเรียนทอด มะขามแก้ว เป็นต้น
3.3 การสร้างตัวแทนคู่ค้า (Horizontal Integration Model) เป็นกระบวนการผลิต อย่างครบวงจร ตั้งแต่การสร้างและจัดหาวัตถุดิบ จนผลิตภัณฑ์ถึงมือผู้บริโภค ตัวอย่างการจัดจำหน่ายวิธีนี้ เช่น บริษัทเจริญโภคภัณฑ์ จํากัด (มหาชน) ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์จากไก่ มีกระบวนการดำเนินงานที่ครบวงจร เริ่มตั้งแต่การให้ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงไก่แก่ผู้ที่สนใจ เป็นพี่เลี้ยงในการจัดหาพันธุ์ไก่ ดูแลเรื่องอาหาร ยารักษาโรค เมื่อไก่โตเต็มที่ บริษัทจะประกันราคาและรับซื้อ นอกจากนี้ยังตั้งโรงเชือดไก่เอง ดำเนินการทางการตลาดเอง ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP สามารถดำเนินการตามรูปแบบดังกล่าวได้ โดยเริ่มตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบจากผู้จัดหาวัตถุดิบรายอื่น ๆ ในท้องถิ่น นำมาผลิต และจัดการด้าน การตลาดด้วยตนเอง
3.4 การสร้างจุดแข็งทางการตลาด (Divertical Integration Model) เป็นการอาศัย ความเชี่ยวชาญของพันธมิตรที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการตลาด ดังนี้
1) พันธมิตรต้นน้ำ ได้แก่ การร่วมมือกับผู้ผลิตในการวิจัย และพัฒนาวัตถุดิบให้มี ประสิทธิภาพหรือมีมาตรฐานยิ่งขึ้น
2) พันธมิตรกลางน้ำ ได้แก่ ร่วมมือกับตัวแทนจำหน่ายในการคิดหาวิธีการกระจาย ผลิตภัณฑ์สู่ผู้บริโภคให้เร็วที่สุด
3) พันธมิตรปลายน้ำ ได้แก่ การร่วมมือเพื่อสร้างจุดแข็งในการบริการลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวก ความพึงพอใจ เป็นต้น
สำหรับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น สามารถสร้างจุดแข็งทางการตลาดได้เช่นเดียวกัน เช่น ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ด้านการบริการ การท่องเที่ยว ศิลปหัตถกรรม ร้านอาหาร สปา จะต้องพิจารณา องค์ประกอบตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ดังนี้
• พันธมิตรต้นน้ำร่วมมือกับบุคคลในท้องถิ่นเพื่อปลูกพืชสมุนไพร คัดเลือกและพัฒนา แหล่งท่องเที่ยว พัฒนาศูนย์หัตถกรรมภูมิปัญญาท้องถิ่น ผ้าทอท้องถิ่น พัฒนาอาหารแปรรูปพื้นบ้าน
• พันธมิตรกลางน้ำ โดยการจัดตั้งบริษัทนำเที่ยว อบรมมัคคุเทศก์ท้องถิ่น หรือจัดตั้งตัวแทนบริษัทนำเที่ยว เพื่อเชิญชวนลูกค้าเข้ามาท่องเที่ยวเป็นประจำ
• พันธมิตรปลายน้ำ โดยการสนับสนุนส่งเสริมการท่องเที่ยวในท้องถิ่น จัดงานเทศกาล เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ประสานงานด้านการให้บริการกับโรงแรมในท้องถิ่น เป็นต้น