แนวคิด
จากแนวคิดตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ประชาชนดำรงชีวิต อยู่โดยการพึ่งพาตนเอง จัดหาทรัพยากร
ที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาใช้ในการผลิตเพื่อกินใช้ในครัวเรือนหากเหลือ จึงนำออกขายเพื่อสร้างรายได้อีกทางหนึ่ง สอดคล้องกับโครงการหนึ่งตำบลหนึ่ง
ผลิตภัณฑ์ ที่ดำเนินการ เพื่อให้ชุมชนใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นผสานเข้ากับอัตลักษณ์และวัฒนธรรมหมู่บ้าน ผลิตผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญา สู่สากล
ซึ่งสามารถนำผลิตภัณฑ์ที่ชุมชนมีอยู่มาพัฒนาให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค และในส่วนของ การดำเนินงานการจัดการผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
จะต้องอาศัยความร่วมมือของชุมชน ร่วมกันคิด ร่วมกันผลิต และเติบโตขึ้นอาจขยายเป็นกิจการธุรกิจ SMEs การทำงานร่วมกันหรือการบริหารงาน
ให้ประสบความสำเร็จ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำหลักธรรมาภิบาลเข้ามาใช้
สาระการเรียนรู้
1. ความรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง
2. หลักปรัชญาพอเพียงกับการจัดการผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
3. หลักธรรมาภิบาล
4. การประยุกต์ใช้หลักธรรมาภิบาลในการจัดการผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
1. แสดงความรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงได้
2. ประยุกต์ใช้หลักปรัชญาพอเพียงกับการจัดการผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นได้
3. แสดงความรู้เกี่ยวกับหลักธรรมาภิบาลได้
4. การประยุกต์ใช้หลักธรรมาภิบาลในการจัดการผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นได้
ความรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทาง การดำเนินชีวิตของพสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอด ทรงเน้นย้ำแนวทางให้ประชาชนชาวไทยหาทางเพื่อให้ รอดพ้น และสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้หลังจากเกิดเหตุการณ์วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้ถึงแนวทางการดำรงอยู่และการปฏิบัติตนของประชาชนทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว จนถึงระดับรัฐ ทั้งการบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลางโดยเฉพาะการพัฒนา เศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวหน้าทันต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัตน์
คำนิยามของเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy) เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงชี้แนะ แนวทางการดำรงชีวิตและปฏิบัติตนของประชาชนทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึง ระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปตาม ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ทันต่อยุคโลกาภิวัตน์
“ความพอเพียง” หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมี ระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและ ภายใน ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน และจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎีและนักธุรกิจทุกระดับให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี
กล่าวโดยสรุปปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นหลักคิด และหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตเพื่อนำ ไปสู่ความพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้ถึงแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของคนไทย สังคมไทย เพื่อให้ ก้าวทันต่อยุคโลกาภิวัตน์ เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าไปพร้อมกับความสมดุลและพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ ด้านสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านวัฒนธรรม ถ้าใช้หลัก ความพอเพียงเป็นหลักคิดและหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิต ก็สามารถอยู่ได้อย่างรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง ต่าง ๆ ปรับตัวและพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงได้
เศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข
คำนิยามเศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ประกอบด้วยคุณลักษณะ 3 ประการที่เป็นห่วง ประสานกันเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ และเงื่อนไข 2 ประการเพื่อการตัดสินใจและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียง
คุณลักษณะ 3 ประการ ที่เป็นห่วงประสาน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติมีดังนี้
1 ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี ไม่น้อยเกินไป หรือมากเกินไป ไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคอยู่ใน ระดับพอประมาณ
2 ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไป อย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการ กระทำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ
3 การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ และการเปลี่ยนแปลง ด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งใกล้และไกล
เงื่อนไข 2 ประการ เพื่อการตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียง ซึ่งต้องอาศัยความรู้ และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน ดังนี้
1 เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและ ความระมัดระวังในขั้นปฏิบัติ
2 เงื่อนไขคุณธรรม คุณธรรมที่จะต้องเสริมสร้างประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต
นอกจากคุณลักษณะ 3 ประการ และเงื่อนไข 2 ประการแล้ว เศรษฐกิจพอเพียงยังมีองค์ประกอบ สำคัญอื่น ๆ อีก ได้แก่ พึ่งพาตนเอง เดินสายกลาง มีภูมิคุ้มกัน มีเหตุผล เป็นคนดี และรู้จักสามัคคี
ความสำคัญของเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางการแก้ไขเพื่อให้ประเทศไทยสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างยั่งยืน ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในทุกด้าน ดังนั้นจึงเน้นการปฏิบัติที่ไม่ประมาท กล่าวคือ เน้นให้ดำเนินชีวิตบนทางสายกลาง ก็คือ ความพอเหมาะพอดี ดังนี้
1 ความพอมีพอกิน เช่น ปลูกพืชสวนครัวเอง ปลูกไม้ผล เป็นต้น ซึ่งเป็นความเพียงพอที่จะมี ไว้รับประทานกันภายในครัวเรือน หากเหลือก็นำไปขายได้
2 ความพออยู่พอใช้ เช่น ทำให้บ้านน่าอยู่ ปราศจากสารเคมีกลิ่นเหม็นใช้แต่ของที่เป็นธรรมชาติ (ใช้จุลินทรีย์ผสมน้ำถูพื้นบ้าน จะสะอาดกว่า
ใช้น้ำยาเคมี) รายจ่ายลดลง สุขภาพจะดีขึ้นทำให้ประหยัด ค่ารักษาพยาบาลอีกด้วย
3 ความพอใจ ทุกคนต้องรู้จักพอ รู้จักประมาณตน ไม่ใคร่อยากใครมีเช่นผู้อื่น เพราะอาจจะหลงติด กับวัตถุทำให้ปัญญาไม่เกิด ดังพระราชดำรัส ว่า “การจะเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรา พออยู่พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกิน หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง”
ประโยชน์ของเศรษฐกิจพอเพียง มีดังนี้
1. ให้ประชาชนพออยู่พอกินสมควรแก่อัตภาพในระดับที่ประหยัด ไม่อดอยากและเลี้ยงตนเองได้ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
2. ประชาชนสามารถนำน้ำที่กักเก็บไว้ มาใช้ในหน้าแล้งที่มีน้ำน้อย เพื่อปลูกพืชผักต่าง ๆ โดยไม่ต้องเบียดเบียนชลประทาน
3. ทฤษฎีใหม่สามารถสร้างรายได้ให้กับประชาชน ในปีที่ฝนตกตามฤดูกาลโดยมีน้ำใช้ได้ตลอดปี
4. ในกรณีที่เกิดอุทกภัยก็สามารถที่จะฟื้นตัวและช่วยตนเองได้ในระดับหนึ่ง โดยทางราชการ ไม่ต้องช่วยเหลือมากเกินไป อันเป็นการประหยัดงบประมาณด้วย
หลักปรัชญาพอเพียงกับการจัดการผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
การนำปรัชญาพอเพียงมาใช้ในการพัฒนาชุมชน เป็นการพัฒนาความสามารถของประชาชนให้มี ประสิทธิภาพมากขึ้น การพัฒนาชุมชนตามปรัชญาพอเพียงมีดังนี้
1 การมีส่วนร่วมของประชาชน (People Participation) การให้ประชาชนมีส่วนร่วมใน กิจกรรมต่าง ๆ เป็นหัวใจของงานพัฒนาชุมชน การมีส่วนร่วมดังกล่าว ได้แก่ การมีส่วนร่วมในการคิด การตัดสินใจ การวางแผน การปฏิบัติการและร่วมบำรุงรักษา
2 การช่วยเหลือตนเอง (Aided Self-Help) ตามปรัชญาพอเพียง ต้องพัฒนาให้ประชาชน พึ่งตนเองให้มากขึ้น โดยรัฐเป็นหน่วยช่วยเหลือ สนับสนุน ในส่วนที่เกินขีดความสามารถของประชาชน ตามความเหมาะสม
3 ความคิดริเริ่มของประชาชน (Initiative) การทำงานกับประชาชนต้องยึดหลักการที่ว่า ความคิดริเริ่มต้องมาจากประชาชน ซึ่งต้องใช้วิถีแห่งประชาธิปไตย และหาโอกาสกระตุ้นให้ประชาชน เกิดความคิด และแสดงออกถึงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน
4 ความต้องการของชุมชน (Felt-Needs) การพัฒนาชุมชนต้องอยู่บนรากฐานความต้องการ ของชุมชน เพื่อให้เกิดความคิดว่า งานเป็นของประชาชน และช่วยกันดูแลรักษาต่อไป
5 การศึกษาภาคชีวิต (Life-Long Education) งานพัฒนาชุมชนถือเป็นกระบวนการ ให้การศึกษาภาคชีวิตแก่ประชาชน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคนการให้การศึกษาต้องให้การศึกษาอย่างต่อเนื่อง กันไปตราบเท่าที่บุคคลยังดำรงชีวิตอยู่ในชุมชน
การนําหลักเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้ในการพัฒนาชุมชน
จากหลักปรัชญาพอเพียงที่ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้าง ความเข้มแข็งแก่ชุมชน การพัฒนาชุมชนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงจึงเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม ในการพัฒนาด้วยตนเอง โดยมุ่งสร้างความเข้มแข็งให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ แนวทางการสร้าง ความเข้มแข็งของชุมชน มีดังนี้
1 การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนชนบทเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม การดำเนินการเพื่อให้ชุมชนมีความพร้อมต่อการตอบรับการเข้ามาร่วมสนับสนุน ของทั้งภาครัฐและเอกชน มีดังนี้
1.1 การเตรียมความพร้อมของชุมชน โดยการจัดวิทยากรฝึกอบรม มีการแลกเปลี่ยน ความรู้ระหว่างกัน ทำให้คนในชุมชนมีความเข้มแข็ง มีความเป็นผู้นำ มีประสิทธิภาพในการจัดการ และมีทักษะที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังมีการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนองค์กรชุมชนเพื่อส่งเสริม การรวมกลุ่มทุกรูปแบบ และส่งเสริมให้องค์กรชุมชนเป็นตัวกลางในการรับการสนับสนุนและความช่วยเหลือ จากรัฐ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และการทำงานร่วมกัน
1.2 การเพิ่มศักยภาพขององค์กรชุมชน ด้วยการกระจายข้อมูลข่าวสาร และแลกเปลี่ยน ประสบการณ์การดำเนินชีวิตของครอบครัวและชุมชน ตลอดจนสนับสนุนให้มีการริเริ่มทำธุรกิจที่ชุมชน เป็นเจ้าของ และบริหารจัดการเอง ภายใต้ความร่วมมือจากองค์กรต่าง ๆ รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ในการบริหารจัดการด้านธุรกิจระหว่างชุมชน และนอกจากนี้ยังควรส่งเสริมให้สตรีมีบทบาท ในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชุมชนด้วย
1.3 การสนับสนุนแหล่งเงินทุนสำหรับการพัฒนาชุมชน โดยการขยายการดำเนินงานกองทุน พัฒนาชนบท เพื่อสนับสนุนการออมทรัพย์ในระดับชุมชน และส่งเสริมกิจกรรมพัฒนาชุมชนและท้องถิ่น ให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง สนับสนุนการจัดตั้งกองทุนในรูปแบบต่าง ๆ และพัฒนาเครือข่ายกองทุน ในระดับชุมชน เช่น กองทุนสวัสดิการในชุมชน กองทุนพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กองทุนด้านค้นคว้าวิจัยเพื่อพัฒนาอาชีพเสริม เป็นต้น โดยให้ความรู้ด้านบริหารจัดการกองทุนและอื่น ๆ ที่จำเป็นให้มีประสิทธิภาพและเสริมสร้างศักยภาพของผู้บริหารกองทุนให้มากขึ้น
1.4 การสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้และขยายเครือข่ายการเรียนรู้ของประชาชน และชุมชนในชนบท มีการพัฒนากระบวนการเรียนรู้โดยส่งเสริมให้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสื่อสารมวลชน และสร้างเครือข่ายการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีสื่อสาร เพื่อการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ จัดให้มีการ ฝึกอบรมอาชีพด้านต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับศักยภาพของชุมชนและท้องถิ่น โดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ภายใต้ความร่วมมือขององค์กรชุมชนองค์กรพัฒนาเอกชน และสถาบันการศึกษาในท้องถิ่นรับรองวิทยฐานะ
การเรียนรู้ของชุมชน ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น โรงเรียนชุมชน วิทยาลัยชุมชน มหาวิทยาลัยชาวบ้าน โดยรัฐ ให้การช่วยเหลือตามความเหมาะสม เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ในการเลือกประกอบอาชีพ และการดำรงชีพผ่านสื่อต่าง ๆ ที่หลากหลาย เช่น ข้อมูลราคาสินค้า ข้อมูลด้านบริการทางสังคม เป็นต้น
1.5 การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนและท้องถิ่นในการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม มีการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการบริหารจัดการ และมีการเผยแพร่ข่าวสารให้ ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่จะเกิดขึ้นกับท้องถิ่นจากโครงการพัฒนาของรัฐ รวมทั้งสนับสนุนให้มีการประชาพิจารณ์ตามควรแก่กรณี และเปิดโอกาสให้องค์กรชุมชนมีบทบาทในการดูแล แก้ไขสิ่งแวดล้อมของชุมชนด้วย
1.6 การส่งเสริมบทบาทของครอบครัวและชุมชนในการจัดบริการสังคม สร้างกลไกและ ระบบที่จะเอื้อต่อการส่งเสริมบทบาทของชุมชนในการตรวจสอบบริการสังคมต่าง ๆ ที่ดำเนินการในชุมชน เช่น การรับเลี้ยงเด็กปฐมวัย การกำจัดขยะให้ได้มาตรฐาน ฯลฯ ตลอดจนสนับสนุนให้ชุมชนเป็นศูนย์กลาง การพัฒนาความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวและชุมชน โดยการจัดกิจกรรม เช่น จัดสวนสาธารณะและ บริการนันทนาการเพื่อให้สมาชิกได้รับประโยชน์ร่วมกัน
2 เพิ่มบทบาทของภาครัฐ ภาครัฐเข้ามามีบทบาทเพื่อส่งเสริมให้ชุมชนมีความเข้มแข็งมากขึ้นโดยการปฏิบัติ ดังนี้
2.1 การส่งเสริมความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจขององค์กรชุมชน มีการระดมทุน การปรับปรุง ระบบภาษี ส่งเสริมกิจการสหกรณ์ให้การสนับสนุนการประกอบกิจการโดยการให้สินเชื่อ และใช้มาตรการ ทางภาษีในการจูงใจ ให้ทำธุรกิจกับองค์กรชุมชนในลักษณะที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการจัดการ การตลาด และการแข่งขันของชุมชนให้สูงขึ้น นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญในการพัฒนาด้านความสามารถ ของสถาบันและกลุ่มเกษตรกรในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งด้านการสนับสนุนหลักสูตรการศึกษาทั้งในระบบและ นอกระบบให้สอดคล้องกับศักยภาพของภูมิปัญญาท้องถิ่น นำความรู้ ทักษะของเกษตรกรที่ประสบ ความสำเร็จมาเผยแพร่ มีการให้ความรู้ด้านบริการจัดการ สนับสนุนข่าวสารด้านการตลาด เพิ่มสินเชื่อ และแก้กฎหมายที่จำเป็นเพื่อให้การดำเนินธุรกิจของสถาบันเกษตรกรมีความคล่องตัวมากขึ้น
2.2 การส่งเสริมความเข้มแข็งขององค์กรชุมชนด้านสังคมและคุณภาพชีวิต โดยการ ให้โอกาสชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการกำหนดหลักสูตรการศึกษาให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม สนองความต้องการของท้องถิ่น เพิ่มโอกาสทางการศึกษาต่อแก่เด็กที่จบการศึกษาภาคบังคับอย่างทั่วถึง มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้แก่ประชาชน สนับสนุนเงินงบประมาณแก่องค์กรพัฒนาเอกชนและ องค์กรชุมชน เพื่อดูแลกลุ่มผู้ด้อยโอกาสที่รัฐดูแลไม่ทั่วถึง รวมถึงการให้บริการด้านสาธารณสุขทั้งด้าน ทรัพยากรและบุคลากร เพื่อลดความแตกต่างทางด้านคุณภาพเร่งปรับปรุงระบบภาษี เพื่อให้ท้องถิ่นและ ชุมชนมีรายได้เพียงพอในการบริหารจัดการด้านสังคมอย่างทั่วถึง
3 การส่งเสริมบทบาทของภาคธุรกิจเอกชน และองค์กรพัฒนาเอกชน ส่งเสริมเหภาคเอกชน มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน ดังนี้
3.1 การสนับสนุนธุรกิจเอกชนให้เข้าร่วมในการพัฒนาธุรกิจชุมชนตามความพร้อม ความถนัดและความสมัครใจของแต่ละองค์กรธุรกิจ ในระดับหมู่บ้านสนับสนุนให้มีการร่วมทุนระหว่าง ชุมชนและธุรกิจเอกชนในการหาตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้ธุรกิจเอกชน ให้การส่งเสริมด้านอาชีพนอกภาคการเกษตรในหมู่บ้าน การถ่ายทอดความรู้และทักษะเชิงธุรกิจ เช่น การผลิต การตลาด การจัดการ เพื่อวางรากฐานความคิดเชิงธุรกิจโดยยึดหลักการมีส่วนร่วมในชุมชน ให้ธุรกิจเอกชนเข้ามาช่วยอบรมฝีมือแรงงาน การผลิต การจำหน่าย และการจัดการอย่างเป็นระบบ ครบวงจร ให้ผู้ประกอบการปรับแนวความคิดมุ่งกำไร มาเป็นการพัฒนาสังคมควบคู่กันไปด้วย
3.2 การสนับสนุนองค์กรพัฒนาเอกชนให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน สนับสนุนให้ องค์กรพัฒนาเอกชนประสานงานการพัฒนาร่วมกับชุมชน และองค์กรท้องถิ่นในการให้การสนับสนุน ข้อมูลข่าวสารงบประมาณและสิ่งอำนวยความสะดวก ให้องค์กรพัฒนาเอกชนมีการทำวิจัยและถ่ายทอด เทคโนโลยี ความรู้เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน และสนับสนุนทุนแก่องค์กรพัฒนาเอกชนในการพัฒนา อาชีพและรายได้ของชุมชนในชนบท
แนวทางการพึ่งพาตนเอง
ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้ประชาชนปฏิบัติตนตามแนวทาง “พอประมาณ มีเหตุผล สร้างภูมิคุ้มกัน” และให้ประชาชนเน้นการพึ่งพาตนเอง แนวทางการพึ่งพาตนเอง มีดังนี้
1 การพึ่งพาตนเองด้านเศรษฐกิจ นำข้าวปลาผักผลไม้ในท้องถิ่นเพื่อการยังชีพและนำส่วนที่เหลือ มาเข้าร่วมการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ โดยมีแนวทางที่ผู้นำชุมชนเรียกว่า “เกษตรอินทรีย์วิถีชุมชน” หรือ “เกษตรอินทรีย์วิถีพอเพียง”
2 การพึ่งพาตนเองทางสังคม เสริมสร้างให้แต่ละชุมชนร่วมมือ และช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ปัจจัยพื้นฐานบางอย่างไม่สามารถพึ่งพาตนเองในครอบครัวได้ ต้องพัฒนาการพึ่งตนเองอย่างเป็นระบบ เช่น
• การผลิตอาหารบางอย่าง เช่น ข้าวสาร น้ำปลา เพื่อใช้สำหรับการบริโภค ไม่เน้นการผลิต เพื่อสนองตลาดวงกว้าง
• มีคลินิกหมอพื้นบ้าน ส่งเสริมให้หมอพื้นบ้านน้ำสมุนไพรมาใช้ในการบำบัดโรค อาจด้วยวิธีการนวด หรือวิธีการอื่นที่เหมาะสม
• มีระบบการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นศูนย์ที่เน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และปลูกฝังให้ชาวบ้าน “เรียนรู้สิ่งที่ต้องทำ เรียนรู้สิ่งที่ต้องรู้ และทำในสิ่งที่เรียนรู้แล้ว”
• มีระบบการจัดการทุนของตนเอง หรือ “ธนาคารเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นรูปแบบ การจัดการทุนของชุมชน ไม่เน้นผลกำไร แต่เน้นการสร้างความร่วมมือเพื่อให้สมาชิกพึ่งพาอาศัยกันด้านทุน เพื่อความมั่นคงในชีวิตและสวัสดิการสังคมเป็นผลตอบแทน
• มีการฟื้นฟูระบบและวิธีการจัดการทรัพยากร หรือทรัพย์สินของชุมชน เช่น โฉนดชุมชน ระบบเหมืองฝายแบบดั้งเดิม เน้นความสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างกัน ไม่ขูดรีดจากทรัพยากรธรรมชาติ และมีคุณธรรมทางสังคม เป็นต้น
3 การพึ่งพาตนเองด้านทรัพยากรธรรมชาติ การพึ่งพาตนเองบนฐานองค์ประกอบ 3 ประการ คือ คน ความรู้ และทรัพยากร โดยการพัฒนาศักยภาพของคน ค้นหาทรัพยากรในชุมชนท้องถิ่นมาพัฒนา ให้เกิดประโยชน์สูงสุดบนฐานความรู้ภูมิปัญญาของชุมชนท้องถิ่น เช่น การปลูกต้นไม้เพื่อแก้ไขปัญหา ความยากจน โดยวิธีการสำรวจทรัพยากรพันธุ์ไม้ในชุมชนท้องถิ่น วิเคราะห์ที่ดินของตนเอง สำรวจที่ดิน สาธารณะเพื่อให้ชาวบ้านที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองเข้าร่วมโครงการได้ เพาะขยายพันธุ์ไม้ วางแผน เพาะปลูกที่สัมพันธ์กับรายจ่าย การชำระหนี้ของครัวเรือน มีการวางแผนนำผลผลิตจากต้นไม้ มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ตามแนวทางวิสาหกิจชุมชน รวมถึงการเลี้ยงโคเนื้อเพื่อแก้ปัญหาความยากจน โดยการเลี้ยงโคเนื้อเพื่อแก้ปัญหาความยากจนนี้ มีการดำเนินการที่คล้ายคลึงกับการปลูกต้นไม้เพื่อ แก้ไขปัญหาความยากจน
4 การพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี ตัวอย่างที่ชุมชนศึกษาเป็นต้นแบบ คือกังหันน้ำชัยพัฒนา ประดิษฐกรรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้รับรางวัลระดับโลก ชาวบ้านศึกษา ทดลอง ทดสอบ เพื่อสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้ไม่ต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมากสำหรับการซื้อเทคโนโลยีที่ทันสมัย ไม่ทำให้เกิดการเสียดุลการค้า ตัวอย่างเทคโนโลยีที่คิดค้น เช่น การพัฒนาโรงเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อชุมชน การเพาะหวายให้งอกภายใน 7 วัน ระบบกาลักน้ำ ทดน้ำในอ่างเก็บน้ำโดยไม่ต้องใช้เครื่องสูบน้ำ การผลิต สมุนไพรทดแทนผงฟองซึ่งเป็นเคมีส่วนผสมในสบู่และแชมพูสระผม เป็นต้น
5 การพึ่งพาตนเองด้านจิตใจ ยึดหลักธรรมทางศาสนาหล่อหลอมการดำรงชีวิต ปฏิบัติกิจ ทางศาสนาอย่างสม่ำเสมอ นำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิต ไม่โน้มเอียง ไปตามกระแสต่าง ๆ และควรปลูกฝังให้ทุกคนปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง
การจัดการผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
การดำเนินการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น มีหลักพื้นฐานที่สำคัญ 3 ประการ ประการแรก ได้แก่ การนำภูมิปัญญาสากลสู่ท้องถิ่น คือการผลิตสินค้าที่คงไว้ซึ่งวัฒนธรรมท้องถิ่นและอัตลักษณ์ของชุมชน เพื่อสนองความต้องการของคนในชุมชน และยังให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้บริโภคอื่น ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยสินค้าที่ผลิตจะต้องเป็นสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานเป็นที่ยอมรับด้วย หลักพื้นฐานประการที่สอง ยึดหลักการพึ่งพาตนเอง ด้วยการปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนในท้องถิ่นรู้จัก พึ่งพาตนเอง พัฒนาท้องถิ่นของตนเอง ร่วมกันพิจารณาศักยภาพของชุมชน ร่วมกันใช้ความคิดสร้างสรรค์ คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่จากทรัพยากรในท้องถิ่นผสานกับเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น สร้างความแตกต่าง ไม่ผลิตสินค้าเหมือนกับชุมชนอื่น มีตลาดรองรับ ซึ่งภาครัฐมีบทบาทในการสนับสนุนให้ชุมชน ประสบความสำเร็จด้วย หลักพื้นฐานประการสุดท้ายคือ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นการส่งเสริมบุคลากร ในท้องถิ่นให้สามารถเรียนรู้ ค้นคว้า พัฒนาได้ด้วยตนเอง กระตุ้น ส่งเสริมให้มีความคิดสร้างสรรค์ ขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน
จากรายละเอียดของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และหลักพื้นฐานของการจัดการผลิตภัณฑ์ ท้องถิ่น สามารถสรุปความสัมพันธ์ได้ว่า
หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเน้นให้ชุมชนนำทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาผลิตสินค้า สำหรับกิน สำหรับใช้ในครัวเรือนถือเป็นการพึ่งพาตนเอง หากเหลือกินเหลือใช้ให้นำผลิตภัณฑ์นั้น จำหน่ายต่อเพื่อสร้างรายได้ ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง โดยมีการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพให้เหมาะสม มีเอกลักษณ์ผสมผสานกับวัฒนธรรมท้องถิ่น สามารถกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภคได้ โดยในการดำเนินการจะต้องรู้จักใช้ความรู้ทางวิชาการมาพิจารณาประกอบการวางแผน รวมถึง จะต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต อดทนและพากเพียร
การจัดการผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น นำพื้นฐานหลักการพึ่งพาตนเอง โดยการนำทรัพยากรที่ มีอยู่ในท้องถิ่นผสานเข้ากับวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของชุมชน จากการร่วมใช้ความคิดสร้างสรรค์ ของชุมชนผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่ายในตลาดภายนอกชุมชนทั้งในและต่างประเทศ มีการนำความรู้ด้านวิชาการมาใช้ในการวางแผน อีกทั้งปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต อดทนและพากเพียรเช่นเดียวกัน
หลักการจัดการผลิตภัณฑ์ได้น้อมนำเอาแนวคิดพื้นฐานหลักเศรษฐกิจพอเพียงทั้ง 5 ประการมาใช้ ได้แก่การมีส่วนร่วมของประชาชนการช่วยเหลือตนเองความคิดริเริ่มของประชาชน ความต้องการของชุมชน และการศึกษาภาคชีวิต
หลักธรรมาภิบาล
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี พ.ศ. 2542 กล่าวถึงรายละเอียดของธรรมาภิบาล ว่า ธรรมาภิบาล หมายถึง การบริหารกิจการบ้านเมือง และสังคมที่ดี
เป็นแนวทางสำคัญในการจัดระเบียบให้สังคมรัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน ซึ่งครอบคลุมถึงฝ่ายวิชาการ ฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายราชการ และฝ่ายธุรกิจให้สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มีความสามัคคี และก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ส่งผลให้เกิดความเข้มแข็งหรือสร้างภูมิคุ้มกันแก่ ประเทศ อันจะบรรเทาหรือแก้ไขเยียวยาภาวะวิกฤต ภยันตรายที่จะมีขึ้นในอนาคต เพราะสังคมจะรู้สึก ถึงความยุติธรรม ความโปร่งใสและความมีส่วนร่วม อันเป็นคุณลักษณะสำคัญของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สอดคล้องกับความเป็นไทย รัฐธรรมนูญ และกระแสโลกยุคปัจจุบัน
ความสำคัญของธรรมาภิบาล
ธรรมาภิบาล เป็นพื้นฐานที่ช่วยพัฒนาสังคมทั้งระบบให้มีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพ โดยยึดหลัก 6 ประการ ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ และหลักความคุ้มค่า
ความสำคัญของธรรมาภิบาลต่อองค์กรธุรกิจ ธรรมาภิบาลเป็นองค์ประกอบสำคัญของทุกองค์กร องค์กรที่ปฏิบัติงานโดยยึดหลัก 6 ประการจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน องค์กรธุรกิจสามารถ นำหลักธรรมาภิบาลทั้ง 6 ประการ มาแปรเป็นวิธีปฏิบัติสำหรับองค์กร 3 ด้าน คือ ด้านพนักงาน ด้านผู้บริโภค ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม
1 ด้านพนักงาน องค์กรควรปฏิบัติต่อพนักงานเพื่อให้พนักงานได้รับความสะดวก ความสุข มีขวัญและกำลังใจในการทำงาน ได้แก่ การจ่ายค่าตอบแทนตามกฎหมาย มีการเพิ่มค่าจ้างและให้ ผลประโยชน์แก่พนักงานตามความเหมาะสม การจัดสถานที่ทำงานและที่พักให้ถูกต้องตามสุขอนามัย มีสวัสดิการช่วยเหลือด้านต่าง ๆ มีระบบการพัฒนาพนักงาน ให้ความรู้ ตลอดจนรับฟังข้อคิดเห็นของ พนักงาน ฯลฯ
2 ด้านผู้บริโภค องค์กรควรปฏิบัติแก่ผู้บริโภคด้วยการผลิตสินค้าให้ถูกสุขอนามัย มีระบบควบคุม การผลิตให้ได้สินค้าตรงตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ และคุณภาพมาตรฐานนั้นก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภค แจ้งราคาสินค้าอย่างชัดเจน แสดงรายละเอียดสินค้า และรับผิดชอบต่อผลเสียที่อาจเกิดขึ้นกับลูกค้า โดยมีสาเหตุจากสินค้าด้วย
3 ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม องค์กรควรมีการดูแลและขจัดของเสียที่เกิดจากกิจการ มีระบบทำน้ำเสียให้สะอาด ทำลายเชื้อโรคเบื้องต้นของของเสียที่จะทิ้ง ปฏิบัติต่อชุมชนด้วยความจริงใจ ให้ความช่วยเหลือและคืนกำไรให้ชุมชนตามความเหมาะสม ไม่เอาเปรียบสังคม เสียภาษีตามที่รัฐกำหนด เป็นต้น
หลักการพื้นฐานของการสร้างธรรมาภิบาล
การส่งเสริมการสร้างธรรมาภิบาล ต้องได้รับความร่วมมือทั้งจากภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม กล่าวคือ รัฐเป็นผู้มีบทบาทในการวางรากฐาน และรักษากฎระเบียบต่าง ๆ ซึ่งการสร้างธรรมาภิบาล จะต้องอาศัยระบบการจัดการของภาครัฐที่มีประสิทธิภาพมีภาระรับผิดชอบใต้กฎหมาย มีนโยบายโปร่งใส ตรวจสอบได้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐจะต้องมีการปฏิรูประบบราชการ เพื่อปรับปรุงให้ การบริหารงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีความถูกต้องตามหลักเหตุผล มีความโปร่งใสในการปฏิบัติงาน และยกระดับการทำงานให้มีความทันสมัย
หลักการพื้นฐานของการสร้างธรรมาภิบาลในองค์กร ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วย การสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี พ.ศ. 2542 ประกอบด้วย 6 หลักการ ดังนี้
1 หลักนิติธรรม (The Rule of Law) คือ การปฏิบัติตามกฎหมาย และกฎระเบียบต่าง ๆ ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น ไม่ละเมิดกฎหมาย และไม่ทำตามอำเภอใจ
2 หลักคุณธรรม (Morality) คือ การยึดมั่นถือมั่นในคุณธรรม ความดี ความถูกต้อง ความซื่อสัตย์ สุจริต ความมีเมตตา กรุณา สำหรับในระดับกิจการ หลักคุณธรรม คือ การทำธุรกิจด้วยความมีจริยธรรม ทางธุรกิจอย่างมีมาตรฐาน ปัญหาจริยธรรมธุรกิจที่เกิดขึ้นกับกิจการ เช่น การปกปิดข้อเท็จจริง การตกแต่งตัวเลขทางบัญชีเพื่อหวังผลประโยชน์ การฟอกเงิน การหนีภาษี การเลือกปฏิบัติ การไม่ดูแล ด้านความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน เป็นต้น
3 หลักความโปร่งใส (Transparency) คือ ความถูกต้อง ชัดเจน ปฏิบัติตามหลักการที่ควรจะเป็น การสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน มีกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องได้ ให้และรับข้อมูลที่เป็นจริง ตรงไปตรงมาและทันเวลา ในระดับกิจการ ผู้บริหารจะต้องเต็มใจที่จะยอมรับความรับผิดชอบ รวมทั้ง สามารถชี้แจงเหตุผลเพื่ออธิบายการกระทำทั้งหมดที่ตนรับผิดชอบ |
4 หลักการมีส่วนร่วม (Participation) คือ การให้โอกาสบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วม ในการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ เปิดรับฟังความคิดเห็น รับคำแนะนำมาร่วมวางแผน และปฏิบัติให้บรรลุ วัตถุประสงค์ ส่วนในระดับสังคม ซึ่งประกอบด้วยบุคคลจำนวนมากและหลากหลาย อาจมีความคิดเห็น ที่แตกต่างกัน หลักการมีส่วนร่วมจะช่วยประสานความคิดเห็น หรือความต้องการที่แตกต่างกัน เพื่ออยู่บน พื้นฐานโดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมระดับกิจการ บริษัทกำหนดให้มีคณะกรรมการ ซึ่งแต่ละคน มีประสบการณ์หลากหลายมาร่วมกันบริหารองค์กรให้บรรลุวัตถุประสงค์
5 หลักความรับผิดชอบ (Responsibility) คือ ความรับผิดชอบในงานของตน ต่อการกระทำ ของตนเอง รวมถึงการตระหนัก และสำนึกในสิทธิและหน้าที่
6 หลักความคุ้มค่า (Cost-Effectiveness or Economy) คือ การบริหารจัดการให้เกิด ประโยชน์สูงสุดในระดับบุคคล ความคุ้มค่าเทียบเคียงได้กับความประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ ให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า และรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืน
สำหรับหลักความคุ้มค่าในระดับกิจการ คณะอนุกรรมการเพื่อพัฒนาระบบการกำกับดูแลกิจการ ที่ดี ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้กำหนดหลักสำคัญ ของการกำกับดูแลกิจการ เมื่อเดือนมกราคม 2543 โดยยึดถือภาวะผู้นำ 4 ประการ ดังนี้
1 ความโปร่งใส (Transparency หรือ Openness) ความโปร่งใสขององค์กร ส่งผลให้ องค์กรนั้นเป็นที่ไว้วางใจระหว่างองค์กรกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ผู้ถือหุ้น กิจการที่เป็นคู่ค้า เป็นต้น ในภาวการณ์แข่งขันเช่นปัจจุบัน ความโปร่งใสมีส่วนช่วยให้เกิดประสิทธิผลขององค์กร และช่วยให้ คณะกรรมการขององค์กรสามารถแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิผลและเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นและผู้เกี่ยวข้อง วิเคราะห์องค์กรได้อย่างถี่ถ้วน
2 ความซื่อสัตย์ (Integrity) หมายถึง การทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา ภายใต้กรอบจริยธรรมที่ดี รายงานผลการดำเนินงานอย่างถูกต้อง
ครบถ้วน ซึ่งความน่าเชื่อถือได้ของรายงานขึ้นอยู่กับความซื่อสัตย์ สุจริตของผู้จัดทำและนำเสนอ
3 ความรับผิดชอบต่อการปฏิบัติงานตามหน้าที่ (Accountability) ความรับผิดชอบต่อผล การปฏิบัติงานตามหน้าที่มีความสำคัญต่อคณะกรรมการและผู้ถือหุ้น คณะกรรมการควรแสดงความรับผิดชอบ ต่อการปฏิบัติงาน โดยมีบทบาทในการเสนอรายงานต่อผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับผลการปฏิบัติงานขององค์กร
4 ความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness) องค์กรที่มีความสามารถในการแข่งขัน ก่อให้เกิดความสำเร็จขององค์กร องค์กรที่ยึดหลักธรรมาภิบาลจะช่วยเสริมสร้างให้เกิดความสามารถ ในการแข่งขัน เป็นที่นิยม มีภาพลักษณ์ที่ดี หลักธรรมาภิบาลทั้งในระดับรัฐและระดับกิจการล้วนเป็นกลไก ควบคุม ติดตาม ตรวจสอบ และสนับสนุนให้มีการปฏิบัติตามสำนึกที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
การประยุกต์ใช้หลักธรรมาภิบาล ในการจัดการผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
ธรรมาภิบาล คือ การปกครอง การบริหาร การจัดการ การควบคุมดูแลกิจการให้ถูกต้องตามทำนอง คลองธรรม นอกจากนี้ยังหมายถึง การบริหารการจัดการที่ดี สามารถนำมาใช้ได้ทั้งองค์กรของรัฐและเอกชน ธรรมที่ใช้ในการบริหารนี้มีความหมายรวมถึงศีลธรรม จริยธรรม และความถูกต้องตามทำนองครองธรรม ที่บุคคลควรปฏิบัติ
การจัดการผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น เป็นการดำเนินการที่เกิดจากชุมชนร่วมมือร่วมใจ คิดสร้างสรรค์ ผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรของท้องถิ่น ผสมผสานกับวัฒนธรรม อัตลักษณ์ของชุมชน ให้ผลิตภัณฑ์ มีความโดดเด่น พร้อมกับมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของตลาด จากการรวมตัวของชุมชนดังกล่าวเมื่อ ประสบความสำเร็จ อาจต้องมีการขยายเป็นวิสาหกิจชุมชน หรือเติบโตเป็นกิจการเพื่อรองรับการผลิตที่มี ประสิทธิภาพ และทันตามคำสั่งซื้อ
หลักธรรมาภิบาลมีความสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารงานของกิจการหรือองค์กร ช่วยสร้างสรรค์ และส่งเสริมองค์กรให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพ เช่น หากบุคคลในองค์กรต่างตั้งใจทำงาน รับผิดชอบหน้าที่ของตน มีความซื่อสัตย์ ขยันหมั่นเพียร ย่อมทำให้ผลประกอบการขององค์กรขยายตัว และยังส่งผลให้บุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องเกิดความศรัทธาและเชื่อมั่นในองค์กรด้วย องค์กรที่มีภาพลักษณ์ ที่ดีย่อมได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนเข้าร่วมมทำธุรกิจด้วย
การนำหลักธรรมาภิบาลมาใช้ในการจัดการผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น มีแนวทางดังนี้
1 รับผิดชอบตรวจสอบได้ บุคคลในองค์กร ผู้มีหน้าที่ตัดสินใจ หรือมีหน้าที่ในการบริหารงาน ต้องมีภาระรับผิดชอบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำ กิจกรรม หรือการตัดสินใจใด ๆ กล่าวคือ ควรเปิดเผย ข้อมูลที่ควรจะต้องเปิดเผย มีความยุติธรรมต่อทุกฝ่าย ปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความเสมอภาคและตรวจสอบได้ โปร่งใส และอยู่ภายใต้กฎหมาย
2 ความโปร่งใส การตัดสินใจดำเนินการด้านต่าง ๆ ควรอยู่บนระเบียบอย่างชัดเจน การดำเนิน นโยบายต่าง ๆ ผู้เกี่ยวข้องสามารถรับทราบ และเกิดความมั่นใจว่าการดำเนินงานนั้นมาจากความตั้งใจ เพื่อให้งานบรรลุวัตถุประสงค์
3 การปราบปรามทุจริตและการประพฤติมิชอบ ปฏิบัติงานด้วยความสุจริต ทั้งสุจริตต่อ องค์กรของตนเอง ต่อองค์กรภายนอก และต่อกฎหมายบ้านเมือง ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานให้เกิด ความโปร่งใส รวมถึงการมีเครื่องมือในการปราบปรามฉ้อฉล และเสริมสร้างธรรมาภิบาล
4 การสร้างการมีส่วนร่วม การมีส่วนร่วมเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีบทบาท ในการตัดสินใจดำเนินนโยบาย มีส่วนร่วมในการควบคุมการปฏิบัติงาน มีส่วนร่วมในการก่อให้เกิด กระบวนการตรวจสอบ และเรียกร้องในกรณีที่เกิดความสงสัยในกระบวนการดำเนินงานได้
เป็นอย่างดี
5 การมีกฎเกณฑ์และข้อบังคับที่ชัดเจน การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล จะต้องไม่เลือก ปฏิบัติ มีการให้ความเสมอภาค ความเท่าเทียม และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย มีกฎเกณฑ์ ข้อบังคับ และการลงโทษอย่างชัดเจน เพื่อเป็นเครื่องมือป้องกันไม่ให้เกิดการละเมิดหรือฝ่าฝืน
6 การตอบสนองที่ทันกาล ธรรมาภิบาล หมายถึง การให้การตอบสนองที่ทันกาล ต่อผู้มีส่วน เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในเวลาที่ทันกาล
7 ความเห็นชอบร่วมกัน หลักธรรมาภิบาลมีหน้าที่เป็นตัวกลางเมื่อบุคคลในองค์กรมีความคิดเห็น ที่แตกต่างกัน หลักธรรมาภิบาลจะช่วยประสานความต้องการที่แตกต่างเหล่านั้นให้อยู่บนพื้นฐานของ ประโยชน์ส่วนรวม และขององค์กรเป็นหลัก
8 ประสิทธิภาพและประสิทธิผล ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในหลักธรรมาภิบาล ต้องมีการใช้ ทรัพยากรต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่า
9 ความเสมอภาคและความเกี่ยวข้อง การที่แต่ละบุคคลได้มีส่วนร่วม หรือเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร จะก่อให้เกิดพลังที่ยิ่งใหญ่ขึ้น และช่วยกันนำพาความสำเร็จสู่องค์กรได้ ซึ่งหลักธรรมาภิบาล เป็นหลัก บริหารที่เน้นให้ทุกคนในองค์กรรู้สึกมีส่วนร่วมหรือรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร จึงทุ่มเทหรือใช้ ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ประสบความสำเร็จ
ปัจจัยในการดำเนินงานการจัดการผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นให้ประสบความสำเร็จ จะต้องอาศัยความร่วมมือ จากหลายฝ่าย ได้แก่ ผู้นำชุมชน บริษัท องค์กรประชาชน และระบบราชการ โดยการจัดการผลิตภัณฑ์ ท้องถิ่นนั้น จะต้องมีผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง และบริหารงานด้วยหลักธรรมาภิบาล ซึ่งจะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพ ในการบริหารงาน สนับสนุนให้ปฏิบัติตามสำนึกที่ดี ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่สิ้นเปลือง และมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งจะสร้างความน่าเชื่อถือและไว้วางใจแก่บุคคลหรือหน่วยงาน ภายนอกที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นแรงสนับสนุนให้การจัดการผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นประสบความสำเร็จได้
ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกับหลักธรรมาภิบาล
จากการขยายตัวของธุรกิจครอบครัว เป็นธุรกิจชุมชน หรือกิจการชุมชนเข้าสู่ธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (SMEs) หรืออาจมีการเติบโตขึ้นอาจเปลี่ยนแปลงเป็นรัฐวิสาหกิจ เป็นบริษัทมหาชน ตามวัฏจักรของธุรกิจซึ่งต้องมีการเติบโตขึ้นลงทุนมากขึ้น การดำเนินงานมีความซับซ้อนมากขึ้น อาจต้องจ้าง ผู้มีความสามารถมาช่วยบริหารองค์กร มีบุคคลที่มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) เข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น แต่ละบุคคลย่อมต้องการผลประโยชน์จากการเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรทั้งสิ้น การบริหารงานจึง จำเป็นต้องมีระบบการบริหารจัดการที่ดี เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องได้รับประโยชน์สูงสุด
หลักธรรมาภิบาลถือเป็นหลักพื้นฐานในการปกครองที่ผู้บริหารกิจการ SMEs จำเป็นอย่างยิ่งที่จะ ต้องนำมาใช้ในการบริหารจัดการ ช่วยให้สามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดความสุข แก่พนักงานในองค์กร และยังช่วยสร้างขวัญและกำลังใจที่ดีแก่พนักงานด้วย
ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมนำหลักธรรมาภิบาลมาใช้เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์แก่องค์กรได้ ดังนี้
1 ระบบการบริหารจัดการที่ดี ผู้บริหารควรรับฟังความคิดเห็นของพนักงาน ใช้หลักการ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ทำให้สามารถเข้าถึงความต้องการของผู้ใต้บังคับบัญชาได้เป็นอย่างดี และนำมาซึ่ง ความเคารพและนับถือที่ลูกน้องมีต่อผู้บังคับบัญชาโดยไม่ต้องออกแรงบังคับ ก่อให้เกิดผลดี ในการทำงานร่วมกัน ระบบการจัดการดังกล่าวสอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาลด้านการใช้หลักคุณธรรม และความเสมอภาค
2 การบริหารจัดการที่โปร่งใส การบริหารงานอย่างโปร่งใส ทำให้บุคคลทั้งภายในและภายนอก สามารถตรวจสอบซึ่งกันและกันได้ การบริหารงานอย่างโปร่งใส คือ การเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณชนรับรู้ ถึงวัตถุประสงค์เรื่องต่าง ๆ ของการดำเนินธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลจะช่วยสร้าง ความเชื่อมั่น อันจะนำพาให้กิจการก้าวหน้าต่อไป
3 ได้รับการยอมรับและความน่าเชื่อถือในสายตาของผู้อื่น การบริหารงานโดยยึดหลัก ธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด ย่อมสร้างชื่อเสียงให้เกิดขึ้นต่อกิจการถึงเรื่องของประสิทธิภาพในการควบคุม และการบริหารจัดการ มีมาตรฐานการทำงานสูง และเป็นที่ยอมรับทำให้บุคคลภายนอกยินดีที่จะเข้าไป ติดต่อหรือร่วมลงทุนด้วย
4 ได้รับประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงาน พนักงานที่มีความสุข ย่อมมีสมาธิการทำงานที่ดี ส่งผลให้ผลงานออกมามีคุณภาพ กิจการที่บริหารงานโดยยึดหลักธรรมาภิบาลจะทำให้บุคลากรทุกคน มีความสุข ผลงานที่ออกมาจึงมีคุณภาพสูงตามไปด้วย