หัวข้อเรื่อง
ความหมายของการประกันภัย
ประเภทของการประกันภัย
การเสี่ยงภัย
การบริหารการเสี่ยงภัย
ประโยชน์ของการประกันภัย
การเสี่ยงภัยที่อาจเอาประกันภัยได้
ความสำคัญของการประกันภัย
จุดประสงค์ของการประกันภัย
สาระสำคัญ
การประกันภัย เป็นวิธีการหนึ่งของการบริหารการเสี่ยงภัยที่มนุษย์ค้นคิดขึ้นเป็นเวลานับพันปีแล้วเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการเสี่ยงภัยต่าง ๆ เนื่องจากมนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ทุกคนต้องเผชิญกับการเสี่ยงภัย (Risk)นานัปการที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายและทรัพย์สินได้ตลอดเวลา การประกันภัยไม่ใช่การป้องกันภัยมิให้เกิดขึ้นแต่เป็นการให้คำมั่นสัญญาว่าถ้าเกิดความเสียหายจากภัยขึ้นแล้ว ผู้ที่ได้รับความเสียหายไม่ต้องรับภัยพิบัตินั้นไว้คนเดียว
สำนักงานคณะกรรมการการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)ได้รวบรวมและสรุปไว้ ดังนี้
1. การประกันภัย คือ การที่คนจำนวนมากได้ตกลงกันที่จะร่วมกันชดใช้หรือแบ่งเบาความเสียหายที่สมาชิกคนใดคนหนึ่งในกลุ่มอาจได้รับ โดยตั้งเป็นกองทุน (Pool) ขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นคนกลางรวบรวมเงินทุนหรือเรียกว่าเบี้ยประกันภัยจากสมาชิกทุกคนเข้าสู่กองทุนและกองทุนจะทำหน้าที่จ่ายเงินจากกองทุนให้แก่สมาชิกผู้ต้องประสบความเสียหาย
2.การประกันภัย คือ แผนเฉลี่ยความเสี่ยงร่วมกัน โดยบุคคลจำนวนหนึ่งตกลงกันว่าหากบุคคลในกลุ่มนั้นได้รับการสูญเสีย เนื่องจากภัยที่กำหนดไว้ ทุก ๆ คนในกลุ่มจะเฉลี่ยค่าสูญเสียให้แก่ผู้ประสบภัย
3. การประกันภัย คือ การกระทำของบุคคลหมู่หนึ่ง ทำการรับโอนความเสี่ยงภัยของสมาชิกแต่ละคนเพื่อที่จะกระจายไปยังสมาชิกผู้ที่ได้รับความเสียหายทุกคน
4. การประกันภัย คือ การเปลี่ยนสิ่งที่ไม่แน่นอน (Uncertainty) ให้เป็นสิ่งที่แน่นอน(Certainty) โดยการนำเอาการเสี่ยงภัยที่เกิดขึ้นแล้วของบุคคลส่วนน้อยไปเฉลี่ยให้บุคคลส่วนมาก
5. การประกันภัยเป็นเครื่องมือของสังคมในการก่อให้เกิดการสะสมทรัพย์ เพื่อเผชิญกับความสูญเสียทางการเงินที่เกิดขึ้น เนื่องจากความไม่แน่นอนโดยการโอนความเสี่ยงภัยของสมาชิกที่ตกอยู่ภายใต้การเสี่ยงภัยอย่างเดียวกันไปยังบุคคลอีกคนหนึ่งหรือคนอีกหมู่หนึ่ง
สรุป การประกันภัยเป็นการประกันว่าเมื่อมีภัยเกิดขึ้นผู้ที่ได้รับภัยนั้นไม่ต้องแบกรับความเสียหายเพียงผู้เดียว โดยจะมีบุคคลอื่นหรือกลุ่มบุคคลอื่นเข้ามาเฉลี่ยความเสียหายเพื่อชดใช้ให้กับผู้เสียหาย
ในปัจจุบันภัยที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สินและมนุษย์รุนแรงมากขึ้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้ความเจริญทางด้านวัตถุก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว สิ่งที่มนุษย์พยายามสร้างขึ้นทั้งหมด นำมาซึ่งผลประโยชน์มากมายในขณะเดียวกันก็นำพาภัยต่าง ๆ มาด้วย เช่น พลังงานปรมาณู เป็นต้น ดังนั้นธุรกิจประกันภัยจึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ขึ้นมาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความมั่นใจ ในการที่ต้องเผชิญการเสี่ยงภัยต่าง ๆ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. การประกันภัยเกี่ยวกับบุคคล (Insurance of the person)
2. การประกันภัยเกี่ยวกับทรัพย์สิน (Property Insurance)
3. การประกันภัยเกี่ยวกับความรับผิดตามกฎหมาย (Liability Insurance)
สำหรับประเทศไทยได้แบ่งการประกันภัยออกเป็น 2 ประเภท คือ การประกันชีวิตและการประกันวินาศภัย
การประกันชีวิต (Life Insurance)
การประกันชีวิต คือ สัญญาประกันภัยระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้เอาประกันภัยตกลงจะส่งใช้เงินจำนวนหนึ่งเรียกว่าเบี้ยประกันภัย ให้กับบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้รับประกันภัยและเพื่อเป็นการตอบแทนเบี้ยประกันที่ได้รับ ผู้รับประกันภัยสัญญาว่าจะจ่ายจำนวนเงินตามสัญญาประกันภัยให้ ผู้เอาประกันภัยในกรณีผู้เอาประกันภัยทรงชีพอยู่หรือมรณะลงภายในระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา การประกันชีวิตเป็นการประกันภัยเกี่ยวกับบุคคล คือการประกันภัยซึ่งเอาชีวิตหรือร่างกายของผู้เอาประกันเป็นเหตุให้ชดใช้เงินตามกรมธรรม์ การประกันชีวิตแบ่งออกได้ 3 ประเภท คือ
1. ประเภทสามัญ เป็นการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยค่อนข้างสูงตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไป ในการพิจารณารับประกันชีวิตอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ตรวจสุขภาพขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทและมีการชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายปี ราย 6 เดือน ราย 3 เดือน หรือรายเดือน
2. ประเภทอุตสาหกรรม เป็นการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยต่ำโดยทั่วไปตั้งแต่ 10,000-30,000 บาท เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงรายได้ต่ำ การชำระเบี้ยประกันภัยจะชำระเป็นรายเดือนและไมมี่การตรวจสุขภาพ ฉะนั้นจึงมีระยะเวลารอคอยคือระยะเวลาปลอดความรับผิดชอบ ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บตามธรรมชาติ บริษัทจะไม่จ่ายจำนวนเงินที่เอาประกันภัยให้ผู้เอาประกันแต่จะคืนเบี้ยประกันภัยที่ได้ชำระมาแล้วทั้งหมด
3. ประเภทกลุ่ม เป็นการประกันชีวิตที่กรมธรรม์หนึ่งจะมีผู้เอาประกันชีวิตร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ส่วนมากจะเป็นกลุ่มของพนักงานบริษัท ในการพิจารณารับประกันอาจมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ตรวจก็ได้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัท การประกันชีวิตกลุ่มนี้อัตราดอกเบี้ยจะต่ำกว่าประเภทสามัญและประเภทอุตสาหกรรม
การประกันวินาศภัย คือ สัญญาประกันภัยระหว่างบุคคลทั้งสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้เอาประกันภัยตกลงจะสั่งใช้เงินจำนวนหนึ่ง เรียกว่าเบี้ยประกันให้กับบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้รับประกันภัยและเพื่อเป็นการตอบแทนเบี้ยประกันภัยที่ได้รับผู้รับประกันภัยสัญญาว่าจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือจำนวนเงินในสัญญา ในกรณีหากเกิดวินาศภัยหรือเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดที่ตกลงในสัญญาขึ้น
การประกันวินาศภัยแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
1. การประกันทรัพย์สิน คือ การประกันภัยให้ความคุ้มครองหรือความเสียหายที่เกิดแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัย
2. การประกันภัยความรับผิดชอบ คือ การประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองหรือความเสียหายที่เกิดแก่ทรัพย์สินหรือชีวิต และร่างกายของบุคคลอื่นและผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ดังกล่าวประกันวินาศภัยในปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้ 4 ประเภท คือ
1. การประกันอัคคีภัย เป็นการประกันภัยที่คุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากไฟไหม้หรือภัยเพิ่มเติมอื่น ๆ ต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้ เช่น ภัยน้ำท่วม ภัยลมพายุ ภัยระเบิด เป็นต้น ซึ่งการทำประกันภัยนี้สามารถใช้ได้กับทรัพย์สินที่มีการใช้งานในทุกๆ ลักษณะไม่ว่าจะเป็น อาคาร สำนักงาน โรงแรม ห้างสรรพสินค้าร้านค้า ฯลฯ ยกเว้นแต่เพียงกรณีที่เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งจะมีกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย สำหรับที่อยู่อาศัยแยกออกไปต่างหาก
2. การประกันภัยรถยนต์ เป็นการประกันภัยที่คุ้มครองความเสียหายแก่ร่างกายและทรัพย์สิน ทั้งของผู้เอาประกันภัยและบุคคลภายนอกจึงนับได้ว่าการประกันภัยรถยนต์เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยบรรเทาความสูญเสียหรือเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งในปัจจุบันการประกันภัยรถยนต์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
2.1 การประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ การประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับหมายถึง การประกันภัยรถประเภทที่กฎหมาย (พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถพ.ศ. 2535) บังคับให้เจ้าของรถทุกคันซึ่งใช้หรือมีรถไว้ใช้ต้องจัดทำประกันภัยเพื่อคุ้มครองและช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากการใช้รถโดยมีความคุ้มครอง ดังนี้
2.2 การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ เป็นการประกันภัยที่กฎหมายไม่ได้บังคับให้ต้องเอาประกันภัย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้เอาประกันภัยที่เห็นถึงความเสี่ยงภัยของตนและมีความคิดที่จะกระจายความเสี่ยงภัยออกไปยังบุคคลอื่น ซึ่งอัตราเบี้ยประกันภัยสามารถแยกได้ตามชนิดประเภทกรมธรรม์ประกันภัยและรวมถึงปัจจัยต่างๆที่ใช้ในการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยแบ่งออกได้เป็น ดังนี้
2.2.1 กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 (Comprehensive) คือกรมธรรม์ประกันภัยที่มีความคุ้มครอง ดังนี้
• ความคุ้มครองความรับผิดต่อชีวิตร่างกายและอนามัยของบุคคลภายนอก
• ความคุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก
• ความคุ้มครองความรับผิดต่อความเสียหายของตัวรถยนต์
• ความคุ้มครองความรับผิดต่อความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์
2.2.2 กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 2 (Third Party Liability,Fire and Theft) คือ กรมธรรม์ประกันภัยที่มีความคุ้มครอง ดังนี้
• ความคุ้มครองความรับผิดต่อชีวิตร่างกายและอนามัยของบุคคลภายนอก
• ความคุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก
• ความคุ้มครองความรับผิดต่อความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์
2.2.3 กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 3 (Third Party Liability Only)คือ กรมธรรม์ประกันภัยที่มีความคุ้มครอง ดังนี้
• ความคุ้มครองความรับผิดต่อชีวิตร่างกายและอนามัยของบุคคลภายนอก
• ความคุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก
2.2.4 กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ คุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก คือ กรมธรรม์ประกันภัยที่มีความคุ้มครองเฉพาะความคุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก
2.2.5 กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ แบบคุ้มครองเฉพาะภัยคือกรมธรรม์ประกันภัยที่มีความคุ้มครองแบบกรมธรรม์ประกันภัยประเภท 2 หรือประเภท 3 และเพิ่มความคุ้มครองเสียหายของตัวรถยนต์เฉพาะภัยที่กำหนดเท่านั้น เช่น ให้ความคุ้มครองความเสียหายของตัวรถยนต์เฉพาะกรณีเฉี่ยวชนกับพาหนะทางบกเท่านั้น เป็นต้น
3. การประกันภัยทางทะเล เป็นการประกันความเสียหายแก่ทรัพย์สินและสินค้าที่อยู่ในระหว่างการขนส่ง รวมทั้งพาหนะและสิ่งอื่น ๆ ที่ใช้ในการขนส่งและยังขยายขอบเขตความคุ้มครองรวมไปถึงภัยทางบก และความสูญเสียในขณะการขนส่งโดยทางลำน้ำใน
ประเทศไทยด้วย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
3.1 การประกันภัยสินค้า ให้ความคุ้มครองการสูญเสียและความเสียหายของสินค้าระหว่างการขนส่งทั้งทางบก ทางอากาศ และการขนส่งทางพัสดุไปรษณีย์ ซึ่งเกิดจากอัคคีภัย การระเบิด และการชนกันของยานพาหนะ
3.2 การประกันตัวเรือ ให้ความคุ้มครองการสูญเสียและความเสียหายของตัวเรือ เครื่องจักรและอุปกรณ์เดินเรือต่าง ๆ ที่เกิดจากคลื่น ลมแรง เรือเกยตื้น เรือไฟไหม้ เรือจม ฯลฯ
4. การประกันภัยเบ็ดเตล็ด เป็นการประกันภัยประเภทหนึ่งของการประกันวินาศภัยการประกันภัยทุกชนิด นอกจากการประกันอัคคีภัย การประกันภัยทางทะเลและการประกันภัยรถยนต์ถือได้ว่าเป็นการประกันภัยเบ็ดเตล็ดทั้งสิ้น
ความแตกต่างของการประกันชีวิตกับการประกันวินาศภัย
ในประเทศไทยแบ่งการประกันภัยออกเป็น 2 ประเภท ซึ่งมีความแตกต่างกันในหลายประเด็นเพื่อให้มีความเข้าใจและศึกษาได้ง่ายขึ้น ดังนั้นจึงนำสาระสำคัญที่แตกต่างกันมาเปรียบเทียบในตารางเดียวกันได้ ดังนี้
ธุรกิจประกันภัยของอิสลาม
เนื่องจากในประเทศไทยมีประชาชนส่วนหนึ่งนับถือศาสนาอิสลาม แต่การประกันภัยที่มีอยู่ไม่สามารถให้บริการกับประชาชนส่วนนี้ได้ ดังนั้นจึงมีการพัฒนาระบบการประกันภัยของอิสลามหรือที่เรียกว่า ตะกาฟุลในประเทศไทยขึ้น ซึ่งธุรกิจประกันภัยอิสลามนี้มีการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในประเทศมุสลิมอย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน ซาอุดิอาระเบียเป็นต้น และประเทศที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ เช่น สหรัฐอเมริกาหรือประเทศที่ให้เสรีภาพในการเลือกนับถือศาสนาแก่ประชาชนเช่น ประเทศไทย เป็นต้นในกลุ่มประเทศที่มีการดำเนินธุรกิจประกันภัยของอิสลามทั้งหมด ประเทศมาเลเซียเป็นประเทศที่มีผู้ซื้อสัญญา ตะกาฟุล มากเป็นอันดับ 1 ของโลก
คำว่า “ตะกาฟุล (Takaful)” หมายถึง การค้ำประกันร่วมกัน ซึ่งเป็นรูปแบบการประกันภัยที่ศาสนาอิสลามให้การยอมรับบนพื้นฐานของความร่วมมือและการช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อไม่ให้เป็นการขัดต่อกฎหมายอิสลาม
ตะกาฟุล คือ สัญญาของคนกลุ่มหนึ่งที่ร่วมตกลงกันไว้ว่าจะช่วยเหลือสมาชิกภายในกลุ่มที่ประสบความเสียหายจากอุบัติภัยที่เกิดขึ้น ดังนั้น สัญญาหรือกรมธรรม์ประกันภัยตามหลักการอิสลามจึงต้องระบุชัดเจนว่า ผู้เอาประกันภัยจะจ่ายเบี้ยประกันจำนวนหนึ่งที่กำหนดไว้ให้แก่บริษัทตะกาฟุล โดยในเบี้ยประกันจำนวนนี้ผู้เอาประกันยินดีที่จะบริจาค
รูปแบบตะกาฟุลของประเทศไทยในปัจจุบัน
รูปแบบ “Mudarabah” หรือ “Mudarabah ประยุกต์” เป็นรูปแบบที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างหุ้นส่วนสองฝ่ายในบริษัทพาณิชย์ โดยเงินทุนนั้นได้มาจากฝ่ายหนึ่ง(สมาชิกผู้เข้าร่วมตะกาฟุล) ในส่วนของแรงงานผู้ประกอบการและผู้เชี่ยวชาญจะได้รับมาจากอีกฝ่ายหนึ่ง (ผู้ประกอบการตะกาฟุล) หากบริษัทสร้างผลกำไรขึ้นมาได้ กำไรทั้งหมดนั้นจะถูกแบ่งไปยังผู้ถือหุ้นเป็นจำนวนร้อยละที่ได้ตกลงกันไว้ เงินสมทบทั้งหมดจะถูกแบ่งแยกออกเป็น 3 หมวด ดังนี้
1. การบริจาค (Tabarru) เพื่อสาธารณกุศล
2. เงินปันผล ซึ่งเป็นส่วนเกินจากการบริหารจะจ่ายคืนแก่เหล่าสมาชิก
3. เงินสมทบ จะนำไปลงทุนในบัญชีสมาชิกและสมาชิกจะได้เงินคืนในรูปแบบส่วนแบ่งผลกำไรจากการลงทุน
การประกันภัยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงประกอบด้วยคุณลักษณะสำคัญ 3 ประการ คือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผลและการมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องตั้งอยู่บนฐานของเงื่อนไขสำคัญสองประการคือ ความรู้และคุณธรรม ซึ่งเมื่อประกอบกันแล้วจะนำไปสู่ความสมดุล การพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลง
การประกันภัยมีความเกี่ยวข้องกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้านการมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีคำว่า"ภูมิคุ้มกัน”ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึง “สภาพที่ร่างกายมีแรงต้านทานเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย” แต่ในทางเศรษฐกิจการมีภูมิคุ้มกันที่ดี หมายถึง ความสามารถในการรับมือกับสิ่งที่มากระทบหรือคุกคามชีวิตเราซึ่งเป็นผลมาจากเหตุธรรมชาติ ที่จะทำให้การดำเนินชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เสื่อมลงหากปราศจากภูมิคุ้มกัน
การประกันภัยเป็นเครื่องมือทางสังคมอย่างหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติสำคัญในการบรรเทาทุกข์ของผู้ที่ต้องประสบภัย มีส่วนช่วยเสริมสร้างให้ผู้ที่เอาประกันภัยได้มีความสามารถและพร้อมรับมือกับสิ่งที่มากระทบหรือคุกคามการดำเนินชีวิตได้ดีขึ้นหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือการมีภูมิคุ้มกันที่ดีไม่จำเป็นต้องมุ่งเน้นสะสมความมั่งคั่งอันจะเป็นการเปิดประตูให้กับความโลภเข้ามามีส่วนในการตัดสินใจต่าง ๆ เพราะในสังคมที่ระบบคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตอนามัยและทรัพย์สินยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์เพียงพอ คนที่ต้องการความมั่นคงจำเป็นต้องมีฐานะการเงินดีการประกันภัย สามารถช่วยให้ผู้เอาประกันสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างพอประมาณและมีเหตุผลมากยิ่งขึ้น ส่งเสริมการใช้ชีวิตตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้อย่างเป็นรูปธรรม
การเสี่ยงภัย (Risk)
การเสี่ยงภัย (Risk) คือ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการสูญเสีย เช่น รถยนต์ ต้องเสี่ยงต่อภัยการลักขโมย เป็นต้น การเสี่ยงภัยอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. การเสี่ยงภัยที่แท้จริง (Pure Risk) คือ การเสี่ยงภัยจากเหตุการณ์ที่ผู้เสี่ยงภัยไม่ต้องการให้เกิดขึ้น หรือไม่มีเจตนากระทำให้เกิดขึ้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือเป็นอุบัติเหตุ เช่น น้ำท่วม ความเจ็บป่วย ฯลฯ ซึ่งเป็นการเสี่ยงภัยที่เอาประกันได้
2. การเสี่ยงภัยเพื่อกำไร (Speculative Risk) คือ การเสี่ยงภัยต่อเหตุการณ์ที่อาจจะทำให้ผู้ที่ตกอยู่ภายใต้การเสี่ยงภัยได้กำไรหรือขาดทุน เช่น การซื้อหุ้น การกักตุนสินค้า ฯลฯ การเสี่ยงภัยประเภทนี้อาจเรียกว่า การเสี่ยงเทียมหรือการเสี่ยงเพื่อหวังผลการเสี่ยงภัยประเภทนี้ไม่อาจเอาประกันได้
การบริหารการเสี่ยงภัยของบุคคล
มนุษย์ทุกคนต้องการความมั่นคงเกี่ยวกับชีวิตและทรัพย์สิน ความรู้สึกของบุคคลเกี่ยวกับความมั่นคงเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น เวลา ฐานะ สภาพแวดล้อมต่าง ๆเป็นต้น เช่นในขณะที่ประเทศตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจเฟื่องฟูประชาชนของประเทศมีงานทำ มีรายได้เพียงพอในการดำรงชีวิต ความรู้สึกมั่นคงในชีวิตย่อมเกิดขึ้นตามมาด้วยจากทฤษฎีลำดับขั้นตอนความต้องการของมาสโลว์ (Maslow) ได้จัดลำดับความต้องการของมนุษย์ไว้ 5 ลำดับดังนี้
1. ความต้องการทางด้านร่างกายขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
2. ความต้องการทางด้านความมั่นคงและปลอดภัย
3. ความต้องการด้านความรักและการยอมรับ
4. ความต้องการด้านความเคารพ ยกย่อง นับถือ
5. ความต้องการด้านความสำเร็จของตน
จะเห็นได้ว่า ความต้องการด้านความมั่นคงและปลอดภัย เป็นความต้องการที่สำคัญมากสำหรับมนุษย์รองจากความต้องการทางด้านร่างกายขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตเท่านั้น
การบริหารความเสี่ยงในปัจจุบันนี้ได้พัฒนาขึ้นเป็นระบบ มีมาตรการและวิธีการเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น มนุษย์เราสามารถบริหารความเสี่ยงหรือวิธีการเผชิญภัยได้หลายวิธีดังนี้
1. หลีกเลี่ยงการเสี่ยงภัย เป็นวิธีการบริหารความเสี่ยงโดยการไม่ทำเหตุที่จะนำไปสู่ความเสี่ยงภัย วิธีนี้สามารถป้องกันภัยได้อย่างสิ้นเชิง แต่ในทางปฏิบัติทำได้ยากหรือไม่สามารถทำได้ เช่น การป้องกันอุบัติเหตุบนทางหลวงโดยการงดการเดินทาง เป็นต้น
2. รับเสี่ยงภัยเอง เป็นวิธีการบริหารการเสี่ยงภัยโดยผู้เสี่ยงภัยยอมรับการเสี่ยงภัยและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นไว้เอง ซึ่งอาจเกิดจากเจตนาจะรับเสี่ยงภัยเองหรือความไม่รู้ไม่เข้าใจหรือจำใจ เพราะหาผู้รับเสี่ยงภัยไม่ได้
3. การลดเหตุแห่งภัย เป็นวิธีการบริหารความเสี่ยงโดยการหาวิธีการและดำเนินการป้องกัน (Prevention) เช่น เมาไม่ขับ เป็นต้น
4. การรวมกลุ่ม เป็นวิธีการบริหารความเสี่ยงโดยการรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อประโยชน์ในการเฉลี่ยความเสียหายระหว่างสมาชิกในกลุ่มในรูปแบบต่าง ๆ เป็นการลดภาระการเสี่ยงภัยให้น้อยลง เช่น การประกันร่วม การค้ำประกันร่วม เป็นต้น
5. โอนการเสี่ยงภัยไปให้ผู้อื่น เป็นวิธีการบริหารความเสี่ยงโดยการโอนความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตให้แก่บุคคลอื่นจะเป็นทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ เช่นการเอาประกัน การซื้อขายล่วงหน้า เป็นต้น
6. การหลบเลี่ยงการเสี่ยงภัย เป็นวิธีการบริหารความเสี่ยงภัยวิธีหนึ่งที่ไม่ใช่วิธีการที่ดีอาจทำได้หลายวิธี เช่น การเจรจาต่อรอง เพื่อชดใช้ค่าเสียหายเพียงบางส่วน หรือการล้มละลายประเภทล้มรวยหรือล้มบนฟูก
ประโยชน์ของการประกันภัย
การประกันภัยนอกจากจะให้ประโยชน์โดยตรงในด้านการให้ความคุ้มครอง การเสี่ยงภัยหรือการลดและบรรเทาความเสียหายให้กับผู้ประสบภัยแล้ว การประกันภัยยังให้
ประโยชน์ทางอ้อมหลายประการ ดังต่อไปนี้
1. การประกันภัยก่อให้เกิดเสถียรภาพในการประกอบธุรกิจ ความมุ่งหมายของการลงทุนก็คือกำไร กำไรจะไม่แน่นอนหากต้นทุนการผลิตไม่แน่นอน การประกันภัยเป็นการลดการเสี่ยงภัยแท้ของผู้ลงทุน ทำให้ต้นทุนการผลิตแน่นอนขึ้น การลงทุนก็มีเสถียรภาพขึ้น
2. การประกันภัยก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการประกอบธุรกิจ คือเมื่อผู้ลงทุนสามารถลดการเสี่ยงภัยแท้ย่อมใช้ความสามารถและเวลาให้แก่ความเสี่ยงภัยเทียมหรือการเสี่ยงภัยแบบเสี่ยงโชค ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ของการลงทุนเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ธุรกิจนั้น
3. การประกันภัยเป็นรากฐานสำคัญของระบบสินเชื่อ ในระบบเศรษฐกิจปัจจุบันการให้สินเชื่อมีความสำคัญมากต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หากปราศจากการให้สินเชื่อแล้ว การผลิตและการซื้อขายเกือบทุกประเภททุกแขนงเศรษฐกิจจะไม่เกิดขึ้น ธนาคารหรือผู้ให้กู้ย่อมไม่รับใบประทวนสินค้าเป็นการประกันการกู้ยืม บริษัท ผู้ขายรถเงินผ่อนย่อมไม่ดำเนินการหากผู้เช่าซื้อรถไม่มีประกันภัยความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่รถที่ขายไปหรือพ่อค้าโรงสีย่อมไม่สำรองข้าวเปลือกตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์โดยสมบูรณ์หากไม่มีผู้รับประกันภัยข้าวเปลือกที่ต้องสำรองไว้
4. การประกันภัยช่วยป้องกันความเสียหาย ผู้รับประกันภัยย่อมไม่อยากให้เกิดภัยขึ้นแก่ชีวิตหรือทรัพย์สินที่รับประกันภัยไว้ การป้องกันความเสียหายย่อมเป็นประโยชน์มากกว่าการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ดังคำกล่าวที่ว่า “กันไว้ดีกว่าแก้” ด้วยเหตุนี้ผู้รับประกันภัยจะพยายามหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อป้องกันภัยหรือลดความเสียหายให้น้อยลงการป้องกันและลดความเสียหายได้กลายเป็นหน้าที่สำคัญของผู้รับประกันภัย โดยเฉพาะผู้รับประกันภัยบางประเภท เช่น การประกันชีวิตรายใหญ่ การประกันภัยจากการระเบิดของหม้อน้ำ หรือการประกันภัยของผู้รับเหมาก่อสร้าง เป็นต้น
5. การประกันภัยส่งเสริมการออมทรัพย์ การลดการเสี่ยงภัยเป็นการสร้างเสถียรภาพและประสิทธิภาพในการลงทุน นั่นคือเป็นการส่งเสริมการออมทรัพย์ เพราะการขยายการลงทุนย่อมเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีการขยายการออมทรัพย์ ในการประกันชีวิตทุกประเภทจะมีส่วนของการออมทรัพย์อยู่ด้วยไม่มากก็น้อย สำหรับประเภท สะสมทรัพย์(Endownment) เป็นการส่งเสริมการออมทรัพย์โดยตรง
6. การประกันภัยช่วยให้การคำนวณต้นทุนใกล้เคียงต่อความเป็นจริง ในการลงทุนประกอบธุรกิจผู้ลงทุนคำนวณความเสียหายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นต่อธุรกิจในอนาคตเข้าเป็นต้นทุนการผลิตด้วย เช่น ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากน้ำท่วม ไฟไหม้ ฯลฯ ถ้าหากภัยแต่ละหน่วยผลิตคำนวณค่าของการเสี่ยงภัยเหล่านี้เองแล้ว เนื่องจากขาดความรู้ความชำนาญอาจจะสูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริงแต่เนื่องด้วยการประกันภัยซึ่งมีผู้รู้ผู้ชำนาญทั้งในภาครัฐบาล (การควบคุมอัตราเบี้ยประกันภัย) และในภาคเอกชน (การกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัย) ทำให้อัตราเบี้ยประกันภัยที่เรียกเก็บใกล้เคียงต่อความเป็นจริงต่อสภาพของการเสี่ยงภัย ซึ่งจะเป็นผลให้ต้นทุนการผลิตในส่วนที่เกิดจากการเสี่ยงภัยได้แบ่งเฉลี่ยไปยังผลผลิตต่าง ๆ ตรงตามสภาพความเป็นจริงซึ่งในที่สุดผู้บริโภคก็จะรับภาระราคาซื้อที่เหมาะสมตามสภาพที่ควรเป็นจริง
การเสี่ยงภัยที่อาจเอาประกันภัยได้
1. จำนวนของการเสี่ยงภัยที่มีสภาพและลักษณะคล้ายคลึงกันจะต้องมีจำนวนมากเพียงพอเพราะหลักของการประกันภัยขึ้นอยู่กับกฎว่าด้วยจำนวนมาก (Law of large Number) ซึ่งมีหลักว่าถ้าจำนวนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง (การเสี่ยงต่อภัยเดียวกัน) มีจำนวนมากแล้วย่อมจะสามารถประมาณหรือคาดคะเนจำนวนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ค่อนข้างใกล้เคียงความจริง การที่จะทราบได้ว่าจำนวนเท่าใดจึงจะมากเพียงพอและโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นจำนวนเท่าใดนั้นย่อมต้องอาศัยการสังเกตจากเหตุการณ์หรือวิธีการทางสถิติเข้าช่วย ดังตัวอย่างของการโยนเหรียญ
2. ภัยหรือการเสี่ยงนั้นจะต้องเกิดขึ้นจริงแท้แน่นอน ความตายเป็นภัยที่แน่นอนแต่ภัยบางประเภทอาจมีปัญหาว่าภัยนั้นได้เกิดขึ้นจริงตามที่ได้เอาประกันภัยไว้หรือไม่ เช่นการประกันทุพพลภาพเนื่องจากอุบัติเหตุ มักมีปัญหาเสมอว่าทุพพลภาพนั้นเกิดจากอุบัติเหตุหรือเกิดจากเหตุอย่างอื่นที่ไม่ใช่อุบัติเหตุตามที่ได้เอาประกันไว้ หรือการประกันสุขภาพอาจมีปัญหาว่าความเจ็บป่วยนั้นเกิดขึ้นจริงหรือแสร้งทำเป็นเจ็บป่วยย่อมต้องเข้ารักษาพยาบาลและเรียกร้องค่าชดใช้ซึ่งยากต่อการพิสูจน์หาความจริง
3. ภัยหรือการเสี่ยงนั้นจะต้องไม่เป็นภัยที่จงใจให้เกิดขึ้น คือ มิได้เกิดจากเจตนาของผู้เอาประกันภัย คือภัยหรือความเสียหายนั้นต้องไม่ใช่ภัยหรือความเสียหายที่อาจคาดการณ์ไว้ได้และอยู่นอกเหนือการควบคุมของผู้เอาประกันภัย ในการประกันชีวิต แม้ว่าความตายจะเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องประสบแต่ไม่มีใครรู้ว่าจะตายเมื่อใดและอย่างไร สำหรับการฆ่าตัวตายนั้นเมื่อเกิดขึ้นก็จะถูกปฏิเสธการชดใช้ เพราะถือว่าเป็นการกระทำโดยจงใจแต่เนื่องจากความตายเป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจที่สำคัญและความมุ่งหมายของการประกันชีวิตก็คือการประกันการสูญเสียทางเศรษฐกิจ สัญญาประกันชีวิตโดยทั่วไปจึงกำหนดให้การฆ่าตัวตายหลังจากที่สัญญามีผลบังคับมาแล้วระยะหนึ่ง (ตามกฎหมายกำหนดไว้ 1 ปี) จะได้รับการคุ้มครองซึ่งถือว่าเป็นข้อยกเว้นขององค์ประกอบที่ว่าภัยหรือการเสี่ยงนั้นจะต้องไม่อาจคาดหมายได้หรือต้องเกิดขึ้นโดยโอกาสมิใช่การจงใจ
4. ภัยที่เกิดขึ้นจะต้องไม่ใช่ภัยที่มีลักษณะเป็นมหันตภัย (Catastrophe) ซึ่งได้แก่ภัยที่ร้ายแรง เช่น แผ่นดินไหว เป็นต้น ภัยประเภทนี้จะทำลายกฎว่าด้วยจำนวนมาก(Law of Large Number) ได้เพราะความเสียหายที่เกิดจากมหันตภัยมากเกินกว่าที่คาดไว้บริษัทอาจจะต้องล้มละลายเพราะไม่อาจจะชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เอาประกันได้ แต่การประกันภัยต่อ (Re- Insurance) และการกระจายของภัยจะช่วยให้บริษัทสามารถรับประกันภัยเหล่านี้ได้
5. ภัยหรือการเสี่ยงภัยนั้นจะต้องไม่เป็นจำนวนน้อยเกินไป ทั้งนี้ เพราะภัยแต่ละแบบแต่ละฉบับย่อมจะต้องมีค่าใช้จ่าย เช่น ค่าใช้จ่ายในการออกกรมธรรม์ ค่าใช้จ่ายในการเก็บเบี้ยประกัน ค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ค่าใช้จ่ายในการสำรวจและประเมินราคาความเสียหาย ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของเบี้ยประกัน ดังนั้น ถ้าเป็นภัยหรือการเสี่ยงภัยที่เล็กน้อยก็จะไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เช่น การประกันภัยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับแว่นตาเพียงอันเดียวซึ่งมีราคาเพียงเล็กน้อย ย่อมไม่คุ้มกับเวลา แรงงานและค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไป
6. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการประกันภัยจะต้องไม่สูงเกินควร อัตราเบี้ยประกันภัยจะประกอบด้วยส่วนประกอบ 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นเบี้ยประกันภัยโดยแท้(Pure-premium) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ให้ความคุ้มครองโดยตรง กับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ รวมทั้งกำไรถ้าหากส่วนที่เป็นเบี้ยประกันภัยโดยแท้มีจำนวนเพียงเล็กน้อยและส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ก็ย่อมไม่คุ้มกับค่าที่จะต้องเอาประกันภัย เช่น ถ้าเบี้ยประกันรวมมีจำนวน 100 บาทในจำนวน 100 บาท นี้เป็นค่าใช้จ่ายและกำไรเสีย 90 บาท หรือส่วนที่เป็นเบี้ยประกันภัยโดยแท้เพียง 10 บาท เช่นนี้ย่อมไม่จำเป็นที่จะต้องมีการประกันภัย จำนวนเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสมและสามารถดึงดูดให้คนเอาประกันภัยได้นั้นอัตราส่วนของค่าใช้จ่ายและกำไรต้องไม่สูงเกินควร ซึ่งโดยทั่วไปไม่ควรสูงเกินกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนเบี้ยประกันภัยรวมดังเช่นบุคคลที่มีอายุ 99 ปี (ก็จะถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 100 ปี) ถ้าหากเอาประกันชีวิตเป็นจำนวนหนึ่งล้านบาทจำนวนเบี้ยประกันภัยแท้จริงอาจเป็นจำนวนถึงเก้าแสนแปดหมื่นบาทซึ่งถ้ารวมกับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ และกำไรแล้วอาจสูงเกินกว่าหนึ่งล้านบาท ซึ่งย่อมไม่คุ้มกับค่าที่จะต้องมีการเอาประกันภัย
7. เหตุการณ์ที่จะเกิดความเสียหายจะต้องไม่มากในขณะหนึ่ง ดังที่ได้ทราบแล้วว่าการประกันภัยเป็นการเฉลี่ย คือ คนจำนวนมากเฉลี่ยความเสียหาย (เบี้ยประกันภัย)คนละเล็กละน้อยเพื่อช่วยเหลือแบ่งเบาภาระทางเศรษฐกิจของบุคคลจำนวนน้อย ดังนั้นถ้าหากขณะใดขณะหนึ่งคนจำนวนมากต้องรับภาระในการเสี่ยงภัย คนกลุ่มน้อยย่อมไม่สามารถรับภาระให้การช่วยเหลือได้หรือถ้าหากต้องรับภาระก็จะทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน ซึ่งไม่สอดคล้องกับการประกันภัยดังเช่นสงครามหรือการจลาจลย่อมนำมาซึ่งความเสียหายในขณะใดขณะหนึ่งเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ในการประกันภัยสงครามและจลาจลจึงต้องอยู่ในข้อยกเว้นของการให้ความคุ้มครอง
8. ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นนั้น ต้องสามารถหาสาเหตุและประเมินความเสียหายเป็นตัวเงินได้หรือความเสียหายใดไม่สามารถกำหนดและทราบได้แล้ว ผู้รับประกันภัยย่อมไม่อาจกำหนดเบี้ยประกันภัยได้และย่อมไม่สามารถรับประกันภัยได้ ในปัจจุบันจึงแก้ไขโดยวิธีการตกลงเรื่องความเสียหาย การชดเชย และเบี้ยประกันภัยกันอย่างชัดเจน เพราะความเสียหายบางอย่างเห็นได้ชัดเจนใครจะแกล้งทำหรือสร้างหลักฐานเท็จขึ้นได้ยาก เช่นความตาย เป็นต้น แต่ก็มีความเสียหายบางประเภทยากต่อการพิสูจน์หาความจริง เช่น การเจ็บป่วย อุบัติเหตุ เป็นต้น
9. โอกาสที่จะเกิดความเสียหายสามารถคาดคะเนหรือคำนวณได้ โดยทางตรรกวิทยา(Logic) เช่น การโยนเหรียญบาท เหรียญบาทมีโอกาสที่จะออกหัวหรือก้อยเท่ากับ 1 ใน 2 เป็นต้น หรือบางเหตุการณ์อาศัยประสบการณ์ในอดีตคาดคะเนหรือคำนวณหาค่าของโอกาสที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การเกิดแผ่นดินไหว การชนกันของรถยนต์ เป็นต้น
10. การเสี่ยงภัยนั้นผู้เอาประกันภัยจะต้องมีส่วนได้เสียด้วย คำว่าส่วนได้เสียหมายถึง การที่ผู้เอาประกันภัยและสิ่งที่จะเอาประกันภัยจะต้องมีความสัมพันธ์ทางกฎหมาย ซึ่งถ้าหากสิ่งที่เอาประกันเกิดความเสียหายหรือสูญเสียก็จะทำให้ผู้เอาประกันภัยเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจหรือสูญเสียด้วย เช่น ผู้ที่จะนำบ้านที่อยู่อาศัยไปประกันอัคคีภัยได้ต้องเป็นเจ้าของบ้าน เป็นต้น
ความสำคัญของการประกันภัย
การประกันภัยมีความสำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมของบุคคลและกลุ่มบุคคลเนื่องจากการประกันภัยจะเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยบรรเทาหรือผ่อนคลายความเสียหายที่เกิดจากการสูญเสียอวัยวะ ชีวิต หรือทรัพย์สินจากภัยต่าง ๆ
1. ความสำคัญของการประกันภัยด้านเศรษฐกิจปัจจัยที่มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจส่วนมากมาจากปัจจัยด้านการผลิตการลงทุน เนื่องจากการขยายตัวด้านการผลิตและการลงทุน จะมีผลทำให้ผู้ผลิตวัตถุดิบแรงงาน และรัฐบาลมีรายได้และเกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ การประกันภัยจึงมีส่วนช่วยให้ระบบเศรษฐกิจดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
1.1ทำให้ระบบเศรษฐกิจขยายตัวเนื่องจากระบบประกันภัยทำให้สถาบันทางการเงินมีความมั่นใจและขยายสินเชื่อให้กับลูกค้านำไปประกอบธุรกิจ
1.2 ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจมีความมั่นใจและกล้าลงทุนมากขึ้น เนื่องจากการประกันภัยเข้ามาช่วยรองรับความเสี่ยงภัย
1.3 สถาบันประกันภัยเป็นแหล่งระดมทุนแหล่งเงินทุนที่สำคัญสำหรับการลงทุนในการเพิ่มผลผลิตและการจ้างงาน
2. ความสำคัญของการประกันภัยด้านสังคม
ในปัจจุบันการดำเนินชีวิตที่ปกติสุขตามอัตภาพนั้นเกิดจากการมีรายได้ที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตซึ่งรายได้ส่วนใหญ่เกิดจากค่าจ้างและผลประโยชน์จากทรัพย์สินดังนั้นหากผู้มีรายได้ของครอบครัวประสบภัยจนถึงแก่กรรมหรือทุพพลภาพบรรดาสมาชิกในครอบครัวก็จะได้รับความเดือดร้อนทำให้เป็นภาระกับสังคมที่จะต้องเข้ามารับผิดชอบการประกันชีวิตจึงเป็นทางออกทางหนึ่งที่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระของสังคมและครอบครัวผู้ประสบภัยได้ ส่วนกรณีรายได้มาจากผลประโยชน์จากทรัพย์สินหากทรัพย์สินนั้นประสบภัยก็อาจทำให้ผู้เป็นเจ้าของขาดรายได้ซึ่งการประกันวินาศภัยสามารถช่วยบรรเทาภัยให้กับเจ้าของทรัพย์สินได้ จึงอาจกล่าวได้ว่าการประกันภัยมีส่วนช่วยให้ครอบครัวและสังคมมีความมั่นคง
จุดประสงค์ของการประกันภัย
การประกันภัยในปัจจุบันอาจมีวัตถุประสงค์แตกต่างกันตามประเภทของการประกันภัยซึ่งมีหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบประกอบด้วยผลิตภัณฑ์การประกันภัยที่หลากหลายที่ผู้เอาประกันสามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมกับตนเอง เช่น การประกันภัยบุตรสุดรักรับประกันภัยของเด็กตั้งแต่อายุ 15 วันถึง 10 ปี สำหรับผู้เอาประกันที่ต้องการสร้างความมั่นคงให้กับลูกอันเป็นที่รักของบริษัทไทยประกันชีวิต เป็นต้น เพราะอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอนตอนนี้เราอาจยังแข็งแรงมีความสามารถมีงานทำแต่พรุ่งนี้จะมีภัยอะไรเกิดขึ้นบ้างเราไม่อาจทราบล่วงหน้าได้ ซึ่งจุดประสงค์ของการประกันภัยที่แท้จริงนั้น เพื่อแบ่งเบาความเสี่ยงภัยจากบุคคล กลุ่มบุคคล หรือทรัพย์สินนั้น ๆ ออกเป็นส่วนโดยร่วมกันชดเชยเมื่อมีความสูญเสียเกิดขึ้นโดยยึดหลักสุจริตเป็นสำคัญและการทำประกันมิใช่สัญญาเพื่อการค้ากำไรหรือการพนันขันต่อ
การประกันภัยเป็นการประกันว่าเมื่อมีภัยเกิดขึ้นผู้ที่รับภัยนั้นไม่ต้องแบกรับความเสียหายเพียงผู้เดียวโดยจะมีบุคคลอื่นเข้ามาเฉลี่ยความเสียหายเพื่อชดใช้ให้กับผู้เสียหายการประกันภัยโดยทั่ว ๆ ไปแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
- การประกันภัยเกี่ยวกับบุคคล
- การประกันภัยเกี่ยวกับทรัพย์สิน
- การประกันภัยเกี่ยวกับความรับผิดตามกฎหมาย
ในประเทศไทยแบ่งการประกันภัยออกเป็น 2 ประเภท คือ การประกันชีวิตและการประกันวินาศภัยการประกันชีวิตแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
- ประเภทสามัญ
- ประเภทอุตสาหกรรม
- ประเภทกลุ่ม
การประกันวินาศภัยมี 2 แบบ คือ การประกันทรัพย์สินและการประกันความรับผิด ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
- การประกันอัคคีภัย
- การประกันภัยรถยนต์
- การประกันภัยทางทะเล
- การประกันภัยเบ็ดเตล็ด
ตะกาฟุล คือ การประกันภัยของอิสลามการประกันภัยถือเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงการเสี่ยงภัยมี 2 ประเภท คือ การเสี่ยงภัยที่แท้จริงและการเสี่ยงภัยเพื่อผลกำไร
การบริหารการเสี่ยงภัยมีหลายวิธี ดังนี้
1. หลีกเลี่ยงการเสี่ยงภัย
2. รับเสี่ยงภัยเอง
3. การลดเหตุแห่งภัย
4. การร่วมกลุ่ม
5. โอนการเสี่ยงภัยไปให้ผู้อื่น
6. การหลบเลี่ยงการเสี่ยงภัย
ประโยชน์ของการประกันภัยทางตรง คือ ให้ความคุ้มครองการเสี่ยงภัยหรือการลดและบรรเทาความเสียหายให้กับผู้ประสบภัย ส่วนประโยชน์ของการประกันภัยทางอ้อมมีหลายประการ ดังนี้
1. ก่อให้เกิดเสถียรภาพในการประกอบธุรกิจ
2. ก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการประกอบธุรกิจ
3. เป็นรากฐานสำคัญของระบบสินเชื่อ
4. ช่วยป้องกันความเสียหาย
5. ส่งเสริมการออมทรัพย์
6. ช่วยให้การคำนวณต้นทุนใกล้เคียงความเป็นจริงในการลงทุนประกอบธุรกิจ
การเสี่ยงภัยที่อาจเอาประกันภัยได้
1. จำนวนของการเสี่ยงภัยที่มีสภาพและลักษณะคล้ายคลึงกันจะต้องมีจำนวนมากพอ
2. ภัยหรือการเสี่ยงนั้นจะต้องเกิดขึ้นจริงแท้แน่นอน
3. ภัยหรือการเสี่ยงภัยนั้นจะต้องไม่เป็นภัยที่จงใจให้เกิดขึ้น
4. ภัยที่เกิดขึ้นนั้นจะต้องไม่ใช่ภัยที่มีลักษณะเป็นมหันตภัย
5. ภัยหรือการเสี่ยงภัยนั้นจะต้องไม่เป็นจำนวนเล็กน้อยเกินไป
6. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการประกันภัยจะต้องไม่สูงเกินควร
7. เหตุการณ์ที่จะเกิดความเสียหายจะต้องไม่มากในขณะหนึ่ง
8. ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นนั้นต้องสามารถหาสาเหตุและประเมินความเสียหายเป็นตัวเงินได้
9. โอกาสที่จะเกิดความเสียหายสามารถคาดคะเนหรือคำนวณได้
10. การเสี่ยงภัยนั้นผู้เอาประกันภัยจะต้องมีส่วนได้เสียด้วย
ความสำคัญของการประกันภัย การประกันภัยมีความสำคัญต่อประเทศชาติด้านเศรษฐกิจและสังคม ดังนี้
ความสำคัญของการประกันภัยด้านเศรษฐกิจ
1. ทำให้ระบบเศรษฐกิจขยายตัว
2. ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจมีความมั่นใจและกล้าลงทุนมากขึ้น
3. เป็นแหล่งระดมเงินทุนและแหล่งเงินทุน
ความสำคัญของการประกันภัยด้านสังคม คือ ทำให้ครอบครัวและสังคมมีความมั่นคง
จุดประสงค์ของการประกันภัย จุดประสงค์ของการประกันภัยที่แท้จริง คือ เพื่อแบ่งเบาความเสี่ยงภัยจากบุคคล กลุ่มบุคคลหรือทรัพย์สิน แต่ในปัจจุบันการประกันภัยมีความครอบคลุมที่กว้างมากขึ้นจึงทำให้มีจุดประสงค์เพิ่มขึ้นซึ่งแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เอาประกันให้เกิดความพอใจมากที่สุด