หัวข้อเรื่อง
แนวความคิดเกี่ยวกับธุรกิจประกันภัย
การบริหารความเสี่ยงของธุรกิจประกันภัย
วัตถุประสงค์กับการบริหารความเสี่ยง
การบริหารความเสี่ยงตามแบบ COSO
ประเภทของความเสี่ยงของบริษัทประกันภัย
ลักษณะของความเสี่ยง
การประเมินความเสี่ยง
การเลือกบริษัทประกันภัย
การประกันภัยขั้นพื้นฐาน
ลักษณะของกรมธรรม์ประกันภัยแบ่งเป็น ประกันชีวิต และประกันวินาศภัย
อัตราเบี้ยประกันภัย
ช่องทางการประกันภัย
สาระสำคัญ
ธุรกิจประกันภัยมีความสำคัญมากในภาคเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ดังจะเห็นได้จากการที่ภาครัฐได้ตั้งหน่วยงานอิสระ (คปภ.) เพื่อเป็นผู้กำหนดกรอบการดูแลบริหารงานของธุรกิจประกันภัย บริษัทประกันภัยจะต้องมีความพร้อมต่อการนำกรอบการดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (Risk-bases Capital Frame-work) มาใช้อย่างเคร่งครัด
แนวความคิดเกี่ยวกับธุรกิจประกันภัย
การเปิดเสรีประกันภัย หากพิจารณาด้วยหลักพื้นฐานทางการตลาด คือ ผลิตภัณฑ์ราคา ช่องทางการจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาดแล้วผู้ที่ได้รับประโยชน์คือผู้บริโภคสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจประกันภัยจะต้องเผชิญกับภาวะการณ์แข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นเพราะการเปิดเสรีประกันภัยจะทำให้มีบริษัท ต่างชาติเข้าตลาดมากขึ้นดังนั้นบริษัทประกันภัยของไทยจะต้องเร่งปรับตัวให้แข่งขันได้ในทุกมิติของการดำเนินธุรกิจทั้งเชิงรับและเชิงรุกมีการปรับกลยุทธ์ในการบริหารจัดการ การพัฒนาระบบการบริหารความเสี่ยง การควบคุมต้นทุน การรักษาฐานลูกค้าเดิมและการหาตลาดใหม่ การบริการหลังการขาย การเพิ่มเงินกองทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรับประกันภัย การพัฒนาระบบสารสนเทศ และการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ นอกจากนั้นบริษัทควรมีการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีสู่สาธารณชน หรือบริหารจัดการด้วยกลยุทธ์ “SPOIL” คือ
1. การให้บริการที่ดีต่อลูกค้า (Service)
2. การกำหนดราคาที่สมเหตุสมผล (Pricing)
3. การปรับกระบวนการคิดและพัฒนาองค์กร (Organization)
4. การนำนวัตกรรมใหม่มาใช้ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค (Innovation)
5. การให้ความสำคัญกับสภาพคล่องของบริษัท (Liquidity)
การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)
ความเสี่ยง (Risk) คือ เหตุการณ์/การกระทำใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ซึ่งเหตุการณ์/การกระทำนั้นเกิดขึ้นแล้วจะส่งผลกระทบทั้งทางด้านการเงินและที่มิใช่การเงินขององค์กร โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นสามารถเป็นได้ทั้งเชิงบวกและเชิงลบ
การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) คือ กระบวนการการวางแผนจัดการและควบคุมกิจกรรมหลักของบริษัทแบบบูรณาการ (Integrated Risk Management) เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนที่มีต่อบริษัท โดยคำนึงถึงลักษณะ ขนาดและความซับซ้อนของบริษัทและการบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของบริษัทเป็นสำคัญ
วัตถุประสงค์ของการบริหารความเสี่ยง
1. เพื่อลดผลกระทบจากความเสียหาย โดยการระบุและบริหารสภาวะภัย (Hazard)
2. เพื่อให้ผู้ถือหุ้นมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าบริษัทมีความสามารถในการจัดการความเสี่ยง
3. เพื่อเป็นแนวทางในการวัดขนาดความเสี่ยง
การบริหารความเสี่ยงตามแบบ COSO
COSO (Committee of Sponsoring Organizations of the Treachery Commission)คือ คณะทำงานประกอบด้วยสถาบันวิชาชีพต่างๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อทำหน้าที่กำหนดแม่แบบการควบคุมภายใน ซึ่งสามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ ดังนี้
1. การบริหารความเสี่ยงขององค์กรเป็นกระบวนการที่ต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง
2. ผู้บริหารขององค์กรมีบทบาทสำคัญที่จะทำให้การบริหารความเสี่ยงขององค์กรประสบความสำเร็จ
3. ระบบการบริหารความเสี่ยงขององคก์ รต้องสามารถระบคุ วามเสีย่ งและจดั การความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ (Risk Appetite)
ประเภทความเสี่ยงของบริษัทประกันภัย
ตามมาตรฐานขั้นต่ำของสำนักงาน คปภ. สามารถแบ่งออกได้เป็น 6 ประเภท ดังนี้
1. ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ (Strategic Risk) คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากการกำหนดนโยบาย แผนกลยุทธ์ แผนการดำเนินงาน และการนำไปปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสม หรือไม่สอดคล้องกับปัจจัยภายในและสภาพแวดล้อมภายนอก
2. ความเสี่ยงด้านการประกันภัย (Insurance Risk) คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของความถี่ ความรุนแรง และเวลาที่เกิดความเสียหายเบี่ยงเบนจากสมมติฐานที่ใช้ในการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัย การคำนวณเงินสำรอง และการพิจารณารับประกันภัย
3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากการที่บริษัทไม่สามารถชำระหนี้สินและภาระผูกพันเมื่อถึงกำหนด เนื่องจากไม่สามารถเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นเงินสดได้ หรือไม่สามารถจัดหาเงินทุนได้เพียงพอ หรือสามารถจัดหาเงินทุนได้แต่ด้วยต้นทุนที่สูงเกินกว่าที่จะยอมรับได้
4. ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติการ (Operational Risk) คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากความล้มเหลว ความไม่เพียงพอ หรือความไม่เหมาะสมของบุคลากร กระบวนการปฏิบัติงานภายใน ระบบงาน หรือเกิดจากเหตุปัจจัยภายนอก
5. ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk) คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของราคาตลาดของสินทรัพย์ที่ลงทุน อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศราคาตราสารทุน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์
6. ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากคู่สัญญาไม่สามารถปฏิบัติตามภาระที่ตกลงไว้กับบริษัทรวมถึงโอกาสที่คู่สัญญาจะถูกปรับลดอันดับความเสี่ยงด้านเครดิต
ลักษณะของความเสี่ยง
ความเสี่ยงของบริษัทประกันภัยสามารถแบ่งออกได้เป็น 6 ลักษณะ ดังนี้
1. ความเสี่ยงภัย (Exposure) คือ ความเสียหายสูงสุดที่เป็นไปได้ ที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์/การกระทำใดๆ
2. ความผันผวน (Volatility) คือ ความเปลี่ยนแปลงของผลลัพธ์หรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ความผันผวนยิ่งมาก จะหมายถึงความเสี่ยงที่ยิ่งสูง
3. ความน่าจะเป็น (Probability) คือ โอกาสที่เหตุการณ์ความเสี่ยงจะเกิดขึ้นจริงยิ่งเหตุการณ์นั้นมีโอกาส/ความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นมากเท่าไร ความเสี่ยงก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
4. ความรุนแรง (Severity) คือ ระดับความเสียหายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจริงจากเหตุการณ์ความเสี่ยงหนึ่งๆ ความรุนแรง/ผลกระทบนั้นมีความหมายแตกต่างจากความเสี่ยง
5. ระยะเวลา (Time Horizon) คือ ระยะเวลาในการเผชิญความเสี่ยงภัย ถ้าระยะเวลาในการเผชิญความเสี่ยงภัยยาวมาก ความเสี่ยงภัยก็สูงตามไปด้วย
6. ความสัมพันธ์ (Correlation) คือ ความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงแต่ละตัวมีผลกระทบต่อความเสี่ยงโดยรวมขององค์กร ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทั้งทางบวกและทางลบ
- ความสัมพันธ์แบบบวก (Positive Correlation) หมายถึงความเสี่ยงตัวหนึ่งสูงขึ้นความเสี่ยงอีกตัวหนึ่งก็จะสูงขึ้นตาม
- ความสัมพันธ์แบบลบ (Negative Correlation) หมายถึง เมื่อความเสี่ยงตัวหนึ่งสูงขึ้นความเสี่ยงอีกตัวหนึ่งจะลดลง
การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment)
การประเมินความเสี่ยงภัยโดยการหาความสัมพันธ์ระหว่างความน่าจะเป็นที่จะเกิดเหตุการณ์และผลกระทบจากการเกิดเหตุการณ์นั้น ต่อจากนั้นนำผลที่ได้มาจัดลำดับความสำคัญ เพื่อใช้ในการพิจารณาตัดสินใจในการบริหารจัดการความเสี่ยงนั้นๆ
การเลือกบริษัทประกันภัย
นอกจากจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการมากที่สุดแล้วในด้านของเจ้าของผลิตภัณฑ์คือ บริษัทประกันภัยก็มีความสำคัญมากดังนั้นการพิจารณาว่าบริษัทประกันภัยใดเหมาะสมจึงควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ประกอบด้วย ดังนี้
1. ฐานะทางการเงินของบริษัทต้องมั่นคง
2. มีสาขาหรือศูนย์บริการครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อความสะดวกในการทำประกันภัยและติดต่อขอรับค่าสินไหมทดแทน
3. มีประวัติการให้บริการที่ดี โดยเฉพาะความรวดเร็วในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
4. มีตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัยที่มีความรู้ สามารถให้คำแนะนำในการเลือกทำประกันภัยตลอดจนอำนวยความสะดวกและให้บริการที่ดี
5. มีสถานที่ตั้งชัดเจน น่าเชื่อถือ สามารถติดต่อได้ง่าย
6. มีระบบเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัย
การประกันภัยขั้นพื้นฐาน
การประกันภัยขั้นพื้นฐานเป็นการประกันภัยย่อยหรือสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย –ปานกลางซึ่งมีลักษณะสำคัญ ดังนี้
1. เบี้ยประกันภัยไม่สูง
2. ความคุ้มครองเป็นแบบง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนและมีจำนวนคุ้มครองไม่สูงมาก
3. กรมธรรม์ประกันภัยเขียนด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย
4. การจ่ายเบี้ยประกันภัยตามลักษณะของรายได้ (รายวัน/รายเดือน/รายปี)
5. ขั้นตอนการจ่ายค่าสินไหมทดแทนไม่ยุ่งยาก
6. มีเงื่อนไขข้อยกเว้นน้อยที่สุด
ลักษณะกรมธรรม์ประกันภัยขั้นพื้นฐาน
กรมธรรม์ประกันภัยขั้นพื้นฐานมี 2 ประเภท คือ กรมธรรม์ประกันภัยชีวิตและกรมธรรม์ประกันภัยวินาศภัย
กรมธรรม์ประกันชีวิตมีลักษณะ ดังนี้
1. กรมธรรม์ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา (1-5 ปี) คุ้มครองการเสียชีวิตภายในระยะเวลาเอาประกันภัย โดยจำนวนเงินเอาประกันภัยคงที่ตลอดระยะเวลาเอาประกันภัย
2. กรมธรรม์ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์คุ้มครองการอยู่รอดหรือเสียชีวิตภายในระยะเวลาเอาประกันภัย ทั้งนี้ไม่รวมผลประโยชน์การยืมเงินระหว่างระยะเวลาเอาประกัน
3. สัญญาเพิ่มเติมการประกันสุขภาพ คุ้มครองผลประโยชน์ชดเชยรายได้ต่อวันระหว่างการเข้าพักรักษาตัวในฐานะผู้ป่วยในเนื่องจากการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ
4. สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลคุ้มครองการเสียชีวิตสูญเสียอวัยวะ สายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงจากอุบัติเหตุ
กรมธรรม์ประกันวินาศภัยมีลักษณะ ดังนี้
1.กรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลและชดเชยรายได้ระหว่างการเข้าพักรักษาตัวในฐานะผู้ป่วยในและค่าใช้จ่ายในการจัดการงานศพ คุ้มครอง ดังนี้
1.1 การเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ สายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงเนื่องจากอุบัติเหตุ
1.2 ผลประโยชน์ชดเชยรายได้ระหว่างการเข้าพักรักษาตัวในฐานะผู้ป่วยในเนื่องจากอุบัติเหตุ
1.3 ค่าใช้จ่ายในการจัดการงานศพ กรณีผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตเนื่องจากการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย
2. กรมธรรม์ประกันภัยสำหรับที่อยู่อาศัยแบบประหยัด คุ้มครองไฟไหม้ ฟ้าผ่าระเบิด และค่าเช่าสำหรับที่พักอาศัยชั่วคราว
3. กรมธรรม์ประกันภัยสำหรับร้านค้าย่อยคุ้มครองไฟฟ้า ฟ้าผ่า ระเบิด
4.กรมธรรม์ประกันภัยพืชผลจากภัยแล้งโดยใช้ดัชนีน้ำฝนและดัชนีความแห้งแล้งสำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ คุ้มครองพืชผลที่เอาประกันภัย (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) กรณีประสบภัยแล้ง
5. กรมธรรม์ประกันภัยพืชผลประเภทภัยแล้งโดยใช้ดัชนีน้ำฝน สำหรับการผลิตข้าว คุ้มครองพืชผลที่เอาประกันภัย (ข้าว) กรณีประสบภัยแล้ง
อัตราเบี้ยประกันภัยขั้นพื้นฐาน
กรมธรรม์ประกันภัยขั้นพื้นฐานเป็นการขยายฐานผู้บริโภคไปสู่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางจึงมีการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัย ดังนี้
1. อัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิต
1.1 เบี้ยประกันภัยไม่เกิน 1,000 บาทต่อปี ยกเว้นกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ เบี้ยประกันภัยไม่เกิน 500 บาทต่อเดือน
1.2 อัตราค่าใช้จ่ายสำหรับเบี้ยประกันภัยไม่เกินร้อยละ 25 ของเบี้ยประกันภัยรวมรายปี โดยกำหนดค่าบำเหน็จ (Commission) สำหรับเบี้ยประกันภัยที่ชำระครั้งเดียวไม่เกินร้อยละ 10 ของเบี้ยประกันภัยชำระครั้งเดียว และกำหนดค่ากำเหน็จสำหรับ
เบี้ยประกันภัยที่ชำระรายงวดไม่เกินร้อยละ 18 ของเบี้ยประกันภัยรวมรายปี
1.3 ตารางมรณะกำหนดให้ใช้อัตรามรณะร้อยละ 100 ของอัตรามรณะตามตารางมรณะประเภทอุตสาหกรรม แยกตามเพศ
1.4 อัตราดอกเบี้ยกำหนดให้ใช้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 2 ต่อปี ในการคำนวณเบี้ยประกันภัย
2. อัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับกรมธรรม์ประกันวินาศภัย
2.1 เบี้ยประกันภัยไม่เกิน 1,000 บาทต่อปี ยกเว้นกรมธรรม์ประกันภัยพืชผลจากภัยแล้งโดยใช้ดัชนีน้ำฝนและดัชนีความแห้งแล้ง สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกรมธรรม์ประกันภัยพืชผลประเภทภัยแล้งโดยใช้ดัชนีน้ำฝน สำหรับการผลิตข้าวกำหนดเบี้ยประกันภัยประมาณร้อยละ 5 ของวงเงินความคุ้มครอง
2.2 อัตราค่ากำเหน็จสำหรับกรมธรรม์ประกันวินาศภัย ข้อ 1), ข้อ 4) และข้อ 5) ไม่เกินร้อยละ 18 และกรมธรรม์ประกันวินาศภัย ข้อ 2) และ ข้อ 3) ไม่เกินร้อยละ 23ช่องทางการซื้อประกันภัยขั้นพื้นฐานบุคคลที่ต้องการซื้อประกันภัยขั้นพื้นฐาน สามารถซื้อผ่านช่องทางการขายปกติเหมือนกรมธรรม์ประกันภัยทั่วไป แต่ได้เพิ่มช่องทางการจำหน่ายพิเศษ คือ ผ่านตัวแทนประกันภัยขั้นพื้นฐาน
ช่องทางการซื้อประกันภัยขั้นพื้นฐาน
บุคคลที่ต้องการซื้อประกันภัยขั้นพื้นฐาน สามารถซื้อผ่านช่องทางการขายปกติเหมือนกรมธรรม์ประกันภัยทั่วไป แต่ได้เพิ่มช่องทางการจำหน่ายพิเศษ คือ ผ่านตัวแทนประกันภัยขั้นพื้นฐาน
ประโยชน์ของการบริหารความเสี่ยง
1. การมีมาตรการจัดการเหตุการณ์และความเสียหายที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้
2. การช่วยให้องค์กรสามารถจัดการกับเหตุการณ์ความไม่แน่นอนซึ่งอาจนำมาซึ่งความเสียหายต่อองค์กร ก่อนที่ความเสียหายนั้นจะเกิดขึ้นจริง
3. การจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
4. การกำหนดกลยุทธ์อย่างเหมาะสม
5. การควบคุมภายในขององค์กรที่สอดคล้องกับการบริหารความเสี่ยง
6. กระบวนการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ และมีการตอบสนองการเปลี่ยนแปลงอย่างมีระบบ
แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงภาคธุรกิจ
แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในองค์กรภาคธุรกิจที่เกิดขึ้นในปี 2554 โดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจได้มีการสำรวจความคิดเห็นผู้นำองค์กรภาคธุรกิจไทยจำนวน 100 คน ถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของธุรกิจ ที่มีผลต่อการก้าวหน้าในองค์กรต่อไป ซึ่งผลสำรวจตามลำดับความสำคัญ ดังนี้
1. สร้างนวัตกรรมธุรกิจ ผู้นำองค์กรภาคธุรกิจได้ให้ความสำคัญกับการวิจัยและ
สร้างสรรค์นวัตกรรมในธุรกิจเป็นอันดับหนึ่ง เพราะความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้การแข่งขันด้วยรูปแบบและวิธีการเดิม ๆ ไม่สามารถสู้กับเพื่อนบ้านที่มีเทคโนโลยีเหนือกว่าหรือการแข่งขันด้วยราคาอีกต่อไปได้ การสร้างนวัตกรรมในมุมมองของผู้นำองค์กรอาจเป็นการผสมผสานระหว่างของเดิมประยุกต์ให้เข้ากับของใหม่ ถือเป็นจุดแข็งของธุรกิจที่คู่แข่งไม่สามารถลอกเลียนแบบได้
2. บริหารต้นทุน เนื่องจากราคาวัตถุดิบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากราคาน้ำมันและค่าขนส่ง ดังนั้นธุรกิจจึงต้องมุ่งเน้นบริหารจัดการต้นทุนทั้งด้านระบบขนส่ง ต้นทุนวัตถุดิบ พัฒนาการเพิ่มผลผลิต และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และเพิ่มขอบข่ายให้กับบุคลากรเดิมเพราะบุคลากรเดิมที่มีศักยภาพจะเข้าใจในปรัชญาองค์กรและสามารถทำงานให้ลื่นไหลประหยัดกว่าการจ้างพนักงานใหม่
3. มีความรับผิดชอบต่อสังคม นักการตลาด นักบริหารและนักประชาสัมพันธ์มองว่าความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นสิ่งจำเป็นในการทำธุรกิจในยุคหน้าและเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องจากการสร้างแบรนด์ เพื่อเป็นการคืนกำไรสู่สังคมและการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนด้วยเหตุผลสำคัญ คือ ก่อนที่ธุรกิจจะอยู่ได้สังคมต้องอยู่รอดก่อน
4. ความรวดเร็วในการตอบสนองผู้บริโภค ปัจจุบันเทคโนโลยีที่รวดเร็วและเข้าถึงทุกเพศทุกวัย ดังนั้นธุรกิจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้รวดเร็วขึ้นเพื่อความได้เปรียบในการแข่งขัน
5. การสร้างแบรนด์และทำการตลาด ต้องสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งและได้ใจผู้บริโภค ส่วนการทำตลาดต้องประทับใจผู้บริโภค
6. ต่อต้านการทุจริต แม้จะมีความสามารถในการบริหารสูงเพียงใดก็ตามหากองค์กรไม่มีความโปร่งใสจะส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการทั้งภายในและภาพลักษณ์ภายนอก
7. การพัฒนาและรักษาบุคคลที่มีความสามารถ การสร้างบุคลากรให้เป็นคนเก่งต้องใช้เวลา ดังนั้นการพัฒนาและรักษาคนเก่งไว้กับองค์กรเป็นปัจจัยให้การดำเนินธุรกิจประสบความสำเร็จ
8. การรักษาสิ่งแวดล้อมและการเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะโลกร้อน โดยการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมหรือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
9. การสื่อสารกับผู้บริโภคโดยใช้สื่อสังคมเครือข่าย
สรุป
บริหารจัดการด้วยกลยุทธ์ “SPOIL” คือ
1. การให้บริการที่ดีต่อลูกค้า (Service)
2. การกำหนดราคาที่สมเหตุสมผล (Pricing)
3. การปรับกระบวนการคิดและพัฒนาองค์กร (Organization)
4. การนำนวัตกรรมใหม่มาใช้ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค (Innovation)
5. การให้ความสำคัญกับสภาพคล่องของบริษัท (Liquidity)
วัตถุประสงค์ของการบริหารความเสี่ยง
1. เพื่อลดผลกระทบจากความเสียหาย โดยการระบุและบริหารสภาวะภัย (Hazard)
2. เพื่อให้ผู้ถือหุ้นมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าบริษัทมีความสามารถในการจัดการความเสี่ยง
3. เพื่อเป็นแนวทางในการวัดขนาดความเสี่ยง
การบริหารความเสี่ยงตามแบบ COSO
1. การบริหารความเสี่ยงขององค์กรเป็นกระบวนการที่ต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง
2. ผู้บริหารขององค์กรมีบทบาทสำคัญที่จะทำให้การบริหารความเสี่ยงขององค์กรประสบความสำเร็จ
3. ระบบการบริหารความเสี่ยงขององค์กรต้องสามารถระบุความเสี่ยงและจัดการความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ (Risk Appetite)
ประเภทความเสี่ยงของบริษัทประกันภัย
ตามมาตรฐานขั้นต่ำของสำนักงาน คปภ. สามารถแบ่งออกได้เป็น 6 ประเภท ดังนี้
1. ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ (Strategic Risk)
2. ความเสี่ยงด้านการประกันภัย (Insurance Risk)
3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk)
4. ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติการ (Operational Risk)
5. ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk)
6. ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk)
ลักษณะของความเสี่ยง
ความเสี่ยงของบริษัทประกันภัยสามารถแบ่งออกได้เป็น 6 ลักษณะ ดังนี้
1. ความเสี่ยงภัย (Exposure)
2. ความผันผวน (Volatility)
3. ความน่าจะเป็น (Probability)
4. ความรุนแรง (Severity)
5. ระยะเวลา (Time Horizon)
6. ความสัมพันธ์ (Correlation)
การประเมินความความเสี่ยง (Risk Assessment)
การประเมินความเสี่ยงภัยโดยการหาความสัมพันธ์ระหว่างความน่าจะเป็นที่จะเกิดเหตุการณ์และผลกระทบจากการเกิดเหตุการณ์นั้น
การบริหารจัดการความเสี่ยง
1. การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (Risk Avoidance)
2. การลด/ควบคุมความเสี่ยง (Risk Reduction)
3. การหาผู้ร่วมรับความเสี่ยงหรือการโอนความเสี่ยง (Risk Sharing)
4. การยอมรับความเสี่ยง (Risk Acceptance)
วิธีการเลือกประกันภัยซึ่งมีข้อควรพิจารณา ดังนี้
1. พิจารณาว่าตนเองมีความเสี่ยงภัยด้านใดบ้าง
2. เลือกทำประกันตามความจำเป็นและสอดคล้องกับความสามารถในการชำระเบี้ยประกันภัย
3. เปรียบเทียบเบี้ยประกันภัย เงื่อนไขความคุ้มครองหลาย ๆ บริษัท
การเลือกบริษัทประกันภัย
ปัจจัยที่ใช้เพื่อการพิจารณาตัดสินใจเลือกบริษัทประกันภัย มีดังนี้
1. ฐานะทางการเงินของบริษัทต้องมั่นคง
2. มีสารทหรือศูนย์บริการครอบคลุมทั่วประเทศ
3. มีประวัติการให้บริการที่ดี
4. มีตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัยที่มีความรู้
5. มีสถานที่ตั้งชัดเจน
6. มีระบบเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัย
การประกันภัยขั้นพื้นฐานเป็นการประกันภัยรายย่อยหรือสำหรับผู้มีรายได้น้อย – ปานกลาง มีอัตราเบี้ยประกันต่ำ ซึ่งมีทั้งการประกันชีวิตและการประกันวินาศภัย
ช่องทางการซื้อประกันภัยขั้นพื้นฐาน สามารถซื้อผ่านช่องทางการขายปกติเหมือนกรมธรรม์ประกันภัยทั่วไปและตัวแทนประกันภัยขั้นพื้นฐาน
ประโยชน์ของการบริหารความเสี่ยง
1. การมีมาตรการจัดการเหตุการณ์และความเสียหายที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้
2. การช่วยให้องค์กรสามารถจัดการกับเหตุการณ์ความไม่แน่นอนซึ่งอาจนำมาซึ่งความเสียหายต่อองค์กร ก่อนที่ความเสียหายนั้นจะเกิดขึ้นจริง
3. การจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
4. การกำหนดกลยุทธ์อย่างเหมาะสม
5. การควบคุมภายในขององค์กรที่สอดคล้องกับการบริหารความเสี่ยง
6. กระบวนการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ และมีการตอบสนองการเปลี่ยนแปลงอย่างมีระบบ
แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงภาคธุรกิจ
1. สร้างนวัตกรรมธุรกิจ
2. บริหารต้นทุน
3. มีความรับผิดชอบต่อสังคม
4. ความรวดเร็วในการตอบสนองผู้บริโภค
5. การสร้างแบรนด์และทำการตลาด
6. ต่อต้านการทุจริต
7. การพัฒนาและรักษาบุคคลที่มีความสามารถ
8. การรักษาสิ่งแวดล้อมและการเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะโลกร้อน
9. การสื่อสารกับผู้บริโภคโดยใช้สื่อสังคมเครือข่าย