แนวคิด
จากแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่งเสริมให้ประชาชนพึ่งพาตนเอง ผลิตสินค้าเพื่อใช้ในครัวเรือนเป็นการลดรายจ่าย หากมีมากพอก็สามารถนำไปเพื่อขายสร้างรายได้ในอดีตที่ผ่านมา ประเทศไทยเคยประสบปัญหาวิกฤตทางเศรษฐ์กิจรัฐบาลจึงได้นำโครงการหนึ่งผลิตภัณฑ์มาดำเนินการในประเทศไทยเพื่อให้ชุมชนได้นำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการผลิตสินค้าเพื่อให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตัวเองได้
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
1. แสดงความรู้เกี่ยวกับแผนพัฒนาเศรษฐ์กิจและสังคมแห่งชาติกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นได้
2. แสดงความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
3. แสดงความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย
สาระการเรียนรู้
1. แผนพัฒนาเศรษฐ์กิจและสังคมแห่งชาติกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
2. ความเป็นมาของผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
3. ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทย
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 ให้ความสำคัญกับทุกฝ่ายในการร่วมกันพัฒนาทุกภาคส่วนของประเทศ ทั้งในระดับชุมชน ระดับภาค และระดับประเทศ มีการร่วมกันกำหนดวิสัยทัศน์และทิศทางของการพัฒนาประเทศร่วมกันจัดทำรายละเอียดยุทธศาสตร์ของแผน เพื่อมุ่งสู่การอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ด้วยความภาคเสมอภาค เป็นธรรม และมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง
การพัฒนาประเทศภายใต้แนวทางตามแผนพัฒนาและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 เป็นการนำภูมิคุ้มกันที่มีอยู่ พร้อมกับเร่งสร้างภูมิกันในประเทศให้เข้มแข็งขึ้น เตรียมความพร้อมของคนสังคม และระบบเศรษฐกิจให้สามารถรองรับกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสมโดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยให้มีคุณภาพ มีโอกาสเข้าถึงทรัพยากร และได้รับประโยชน์จากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นธรรม มีการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจด้วยฐานความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ บนพื้นฐานการผลิตและการบริโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย แนวทางการดำเนินการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดังกล่าว สอดคล้องกับโครงการต่างๆ ที่ดำเนินการ เช่น โครงการธนาคารประชาชน โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ โครงการไทยเข้มแข็ง เป็นต้น
กาพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จากกาที่ประเทศไทยได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ในทุกภาคส่วน ด้านการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของประชาชน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเน้นย้ำให้ประชาชนชาวไทยหาทางเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้แม้จะเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ให้ประชาชนยึดหลักการดำเนินชีวิตด้วยทางสายกลาง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวดำเนินชีวิตแบบพออยู่พอกินตามอัตภาพ
ด้วยประการทั้งหลายเหล่านี้ กรมพัฒนาชุมชนได้ดำเนินการส่งเสริมให้ประชาชนในท้องถิ่นร่วมกันพิจารณา สร้างสรรค์ โดยนำทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาพัฒนาให้เกิดผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น เพื่อจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่สนใจเป็นการสร้างรายได้พร้อมกับสามารถช่วยสร้างชื่อสร้างแก่ชุมชนซึ่งสอดคล้องกับโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ที่ดำเนินการมาแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2540
นอกจากนี้โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์แล้ว ยังมีโครงการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ชุมชนและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น เช่น โครงการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน เป็นต้น
โครงการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน
สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ได้จัดโครงการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
1. เพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้ได้รับการรับรอง และแสดงเครื่องหมายการรับรอง
2. เพื่อส่งเสริมด้านการตลาดของผลิตภัณฑ์ให้เป็นยอมรับอย่างแพร่หลาย และสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ชุมชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
3. เพื่อเน้นให้มีการพัฒนาแบบยั่งยืน อีกทั้งสนับสนุนนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งภัณฑ์
สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมมีการจัดการประชุมสัมมนาเพื่อรับฟังข้อคิดเห็นในการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนสำหรับกำหนดเงื่อนไขที่เป็นธรรม และได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย
การดำเนินการตามโครงการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนก่อให้เกิดประโยชน์ดังนี้
1. ผู้ผลิตรายย่อยมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพได้รับการยอมรับด้านการตลาดในการจัดจำหน่าย
2. สนองตอบนโยบายเร่งด่วนของโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ในด้านการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์
3. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์เพื่อยกระดับให้มีการปรับปรุงการผลิตให้ดียิ่งขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของธุรกิจชุมชน
4. ส่งเสริมด้านการตลาดให้เป็นที่ยอมรับและเพิ่มความเชื่อถือของผู้ซื้อทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โครงการไทยเข้มแข็ง
ตามมติของคณะรัฐมนตรีที่ได้มีการประชุมลงความเห็นให้มีการดำเนินการเพื่อก่อให้เกิดความเข็งแข็งของประเทศ โดยมีการสรรงบประมาณสำหรับการดำเนินการของกระทรวง และหน่วยงานต่างๆ ดำเนินงานตามหน้าที่ของหน่วยงานนั้น เพื่อการบรรลุวัตถุประสงค์สร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้น
กระทรวงและหน่วยงานต่างๆ ได้มีการดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาระรับผิดชอบของหน่วยงาน มีการจัดสรรงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเพื่อใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
ความเป็นมาของผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากชาวบ้านในแต่ละท้องถิ่นที่นำวัตถุดิบและทรัพยากรภายในท้องถิ่นมาประดิษฐ์เป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ โดยสืบเนื่องมาจากโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (One Tambon One Product : OTOP) ที่ต้องการให้แต่ละหมู่บ้านหรือแต่ละตำบลมีผลิตภัณฑ์หลัก 1 ประเภท สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นอกจากนั้นยังช่วยลดปัญหาการย้ายถิ่นที่อยู่เพื่อไปหางานทำในเมืองใหญ่อีกด้วย
ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากชาวบ้าน
โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็นโครงการที่รับแนวความคิดจากโครงการของประเทศญี่ปุ่น โดยนายโมริฮิโกะ ฮิรามัทซึ ผู้ว่าราชการจังหวัดโออิตะ (Oita) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์จนประสบความสำเร็จ และเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก แต่เดิมที่จังหวัดโฮอิตะเป็นจังหวัดเล็กๆ บนเกาะคิวชูอยู่ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่นใกล้กับประเทศไต้หวัน เป็นเขตที่ประชาชนยากจนและล้าหลัง เนื่องจากพื้นที่เกษตรมีเพียง 10% และโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมหลักด้อยกว่าจังหวัดอื่น ทำให้มีปัญหาการอพยพย้ายถิ่นของแรงงาน จากปัญหาดังกล่าวทำให้นายโมริโฮโกะ ฮิรามัทซึ พยายามทุ่มเท และวางแผนแนวทางในแต่ละหมู่บ้านมีผลิตภัณฑ์หลัก 1 ชนิด โดยใช้วัตถุดิบที่เป็นทรัพยากรภายในท้องถิ่น
ปี พ.ศ. 2544 ประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ ประชาชนทุกระดับประสบปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะประชาชนที่มีรายได้น้อยซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ และมีปัญหาความยากจนมากรัฐบาลในสมัยนั้นจึงนำแนวความคิดโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์มาดำเนินการเพื่อให้แต่ละชุมชนนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการผลิตสินค้า โดยรัฐบาลให้ความช่วยเหลือด้านความรู้ที่สมัยใหม่ และการบริหารจัดการเพื่อเชื่อมโยงสินค้าจากชุมชนสู่ตลาด
รัฐบาลได้เชิญนายโมริฮิโกะ ฮิรามัทซึ มาบรรยายแนวคิดและหลักการ โครงการ One Village One Product หรือ OVOP ของประเทศญี่ปุ่น ให้ผู้บริหาร ข้าราชการทุกหน่วยงาน ทุกกระทรวง ได้เรียนรู้เข้าใจและนำมาเป็นแนวทางในการดำเนินโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ในประเทศไทย โดยเฉพาะการดำเนินงานตามแนวความคิดหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ภายใต้หลักพื้นฐาน 3 ประการ ได้แก่
1. ภูมิปัญญาสู่ท้องถิ่นสากล (Local Yet Global : Think Globally, Act Loca)เป็นการคิดระดับโลก แต่ทำระดับท้องถิ่น หมายถิ่น การผลิตสินค้าที่คงไว้ซึ่งวัฒนธรรมท้องถิ่นและอัตลักษณ์ของชุมชน ไม่เพียงแต่ผลิตเพื่อสนองความต้องการของคนในชุมชนเท่านั้น แต่เป็นการผลิตที่สามารถเข้าถึงรสนิยมของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ โดยพิจารณาความต้องการของตลาดเป็นสำคัญสินค้าที่ผลิตขึ้นต้องเป็นสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ มีเอกลักษณ์เฉพาะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทำให้ผู้ผลิตมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย
2. การพึ่งพาตนเอง (Self-reliance and Creativity) ปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนในท้องถิ่นรู้จักพึงพาตนเอง พัฒนาท้องถิ่นของตนเอง
การจัดกิจกรรมต่าง ๆ จากความต้องการของชุมชนโดยคนในชุมชนเป็นผู้ตัดสินใจ ร่วมพิจารณาว่าท้องถิ่นมีศักยภาพ และมีสิ่งใดที่มีเฉพาะในท้องถิ่น ชุมชนต้องร่วมกันใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากการนำทรัพยากรในท้องถิ่น ผสานกับเอกลักษณ์เฉพาะของท้องถิ่น เพื่อสร้างความแตกต่าง และสร้างมูลค่าในเชิงเศรษฐกิจ ไม่ผลิตภัณฑ์เหมือนกับชุมชนอื่นอันจะทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคา แต่ละชุมชนอาจมีผลิตภัณฑ์หลายประเภท หากคนในชุมชนเห็นชอบตกลงร่วมกันผลิต โดยจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการนำเสนอความเป็นตัวแทนของท้องถิ่นเป็นความภาคภูมิใจรวมถึงการมีตลาดรองรับ ซึ่งภาครัฐจะมีบทบาทในการสนับสนุนให้ชุมชนประสบความสำเร็จด้วย
3. พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development) ส่งเสริมบุคลากรในท้องถิ่นให้สามารถเรียนรู้ ค้นคว้า พัฒนาได้ด้วยตนเอง กระตุ้นและส่งเสริมให้ทำสิ่งใหม่ๆ มีความคิดสร้างสรรค์เพราะบุคคลในชุมชนเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนให้ท้องถิ่นเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน
การดำเนินการตามโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เริ่มเป็นรูปธรรมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศโดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
1. สร้างงานและเพิ่มรายได้แก่ชุมชน
2. เสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน
3. ส่งเสริมการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น
4. ส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
5. ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของชุมชน ในยุคนี้มีการตั้งคณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ พ.ศ. 2544 (กอ.นตผ.) บริหารงาน OTOP ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคได้กำหนดสัญลักษณ์ OTOP เป็นรูปปลาตะเพียน ส่วนภูมิภาคได้กำหนดสัญลักษณ์ OTOP เป็นรูปปลาตะเพียน
ปี พ.ศ. 2545 กรมการพัฒนาชุมชน จัดงานมหกรรมหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ การจัดเทศกาลสุราแช่ไทย เป็นการสร้างช่องทางการจำหน่ายสินค้าโอทอป ซึ่งเป็นกิจกรรมการส่งเสริมการตลาดสำหรับสินค้าโอทอป ผลการตอบรับจากผู้ซื้อ มียอดจำนวนถึง 16,714 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2546 มีการคัดสรรสินค้าโอทอปจากสินค้าสุดยอดจังหวัด ภาค และประเทศโดยการกำหนดกรอบในการคัดสรรสินค้า OTOP product Champion : OPC ไว้ 4 ด้าน ได้แก่
1. สามารถส่งออกได้
2. ผลิตอย่างต่อเนื่องและคุณภาพคงเดิม
3. มีมาตรฐาน
4. มีประวัติความเป็นมาของผลิตภัณฑ์
นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนสัญลักษณ์โอทอปจากรูปปลาตะเพียน เป็นสัญลักษณ์ที่มีคำว่า “OTOP” ในปีนี้กรมการพัฒนาชุมชนมีนโยบายเพิ่มคุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ ได้ดำเนินการเป็นเจ้าภาพจัดงานเมืองแห่งภูมิปัญญาไทย หรืองาน OTOP City ครั้งที่ 1 มียอดจำหน่ายตลอดปี 2546 รวมเป็นเงิน 32,242 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2547 เป็นปีที่เริ่มสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการดำเนินโครงการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกลไกการทำงานของอนุกรรมการ OTOP ได้แก่ โครงการสร้างตำนานผลิตภัณฑ์ โครงการศิลปินโอทอป ในปีที่กระทรวงมหาดไทยมอบหมายให้กรมการพัฒนาชุมชนทดลองจัดตั้งและพัฒนาหมู่บ้านโอทอปต้นแบบ 4 ภาคละ 1 จังหวัด เป็นหมู่บ้านโอทอปนำร่องและได้มีการจัดงานเมืองแห่งภูมิปัญญาไทย (OTOP City) ครั่งที่ 2 มียอดจำหน่าย 46,506 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2548 คณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ ประกาศให้เป็นปีการส่งเสริมการตลาด โดยกำหนดแนวทางการดำเนินงานนโยบายเร่งด่วน การสร้างรายได้ เพิ่มบทบาทของอำเภอและจังหวัดในการบริหารจัดการสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และส่งเสริมให้ทั่วโลกรู้จักสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ในฐานะที่เป็นสินค้าที่มีรากเหง้าทางวัฒนธรรมที่ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน มีการสนับสนุนการรวมกลุ่มของชาวบ้านเพื่อจัดตั้งศูนย์โอทอปประจำจังหวัดและมีการจัดการเมืองแห่งภูมิปัญญาไทย (OTOP City) ครั้งที่ 3 มียอดจำหน่ายรวม 56,510 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2549 คณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ ประกาศให้เป็นปีแห่งการค้นหาสุดยอดผลิตภัณฑ์ มีกิจกรรมการค้นหาสุดยอดผลิตภัณฑ์โอทอป หมู่บ้านสุดยอดโอทอป และการคัดสรรสุดยอดผลิตภัณฑ์เด่นของจังหวัด กิจกรรมสร้างฐานความรู้ต่อยอดบริหารธุรกิจโดยมอบหมายให้กรมการพัฒนาชุมชน จัดประกวดหมู่บ้าน OTOP Village Champion : OVC ทั้ง 75 จังหวัด โดยใช้เกณฑ์การคัดสรร 4 P ประกอบด้วย
• People บุคคล
• Product ผลิตภัณฑ์
• Place สถานที่
• Preserve อนุรักษ
มีหมู่บ้านได้รับคัดเลือกเป็นหมู่บ้าน OVC ระดับประเทศ จำนวน 80 หมู่บ้าน มีการจัดงานOTOP Midyear Fair (The Best of OTOP) และงานเมืองแห่งภูมิปัญญา มียอดจำหน่ายรวม 68,868 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2550 มีการเปลี่ยนชื่อผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็น “ผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่น” มีนโยบายส่งเสริมให้มุ่งเน้นความสำคัญของชุมชนและผลิตภัณฑ์ เริ่มระบบการส่งเสริมอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อค้นหาผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพทางการตลาด ผ่านกระบวนการจับคู่ธุรกิจพัฒนาความสามารถของผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยทำงานกับภาคเอกชน กำหนดแนวทางพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการกระจายไปสู่ภูมิภาคเพื่อให้สามารถสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง รวมถึงการขยายเครือข่ายองค์ความรู้ในชุมชน และยกระดับมาตรฐานการจัดการวิสาหกิจชุมชน ผลการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่นในปี 2550 รวม 72,864 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2551 เน้นการส่งเสริมผู้ผลิต และผู้ประการ กรมการพัฒนาชุมชนได้จัดสรรงบประมาณในส่วนของกรมการพัฒนาชุมชน ตามยุทธศาสตร์กรมการพัฒนาชุมชน ปี 2551 เพื่อการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยดำเนินการจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่น ระดับจังหวัด 75 จังหวัด พัฒนาหมู่บ้านท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีก 8 หมู่บ้าน จัดงาน OTOP City ครั้งที่ 5 ผลการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP ปี 2551 รวม 77,882ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2552 มีการจัดประกาดผลงานเครือข่ายองค์ความรู้ KBO (Knowledge – Based OTOP) เพื่อค้นหา Best Practice และผลิตภัณฑ์ได้รับการยกระดับมาตรฐาน มีการจัดโครงการพัฒนาเยาวชนเพื่อการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น (Young OTOP Camp 2009) เพื่อพัฒนาเยาวชนให้มีความรู้ มีความรัก ความศรัทธา สามารถจัดการในการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น และในปีนี้ได้มีการจัดงาน OTOP 4 ภาค งาน OTOP ช้อปช่วยชาติ (OTOP Midyear 2009) และงาน OTOP City ครั้งที่ 6 ผลการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ รวม 65,753 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2553 ยังคงมุ่งส่งเสริมผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตาฐาน มีการคัดสรรสุดยอดผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP Product Champion : OPC) เพิ่มประสิทธิภาพกลุ่มอาชีพโอทอปเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่เครือข่ายองค์ความรู้ (Knowledge – Based OTOP : KBO) พัฒนาเครือข่าย OTOP พัฒนาเยาวชน ในปีนี้มีการจัดงาน OTOP ภูมิภาค OTOP Midyear 2010 ผลการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ รวม 68,208 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2554 เนื่องจากครบรอบ 10 ปี โอทอป มีนโยบายและแนวทางในการส่งเสริมพัฒนาโอทอปเชิงรุก มีการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายขึ้นอีกหลายช่องทาง เช่น
• OTOP DELIVERY
• OTOPPPPPP MOBILE TO THE FACTORY
• การจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP สานสัมพันธ์สองแผ่นดิน
• หมูบ้าน OTOP เพื่อการท่องเที่ยว
• การจัดงาน OTOP ภูมิภาค
• การสืบสานสุดยอดภูมิปัญญาไทยสู่เวทีโลก
• คลังภูมิปัญญา OTOP
• การพัฒนาเยาวชนเพื่อการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่าย OTOP ระดับประเทศ
• การประชาสัมพันธ์ช่องทาง TV Mahadthai Channel PRESS TOUR OTOP
• ห้องแสดงผลิตภัณฑ์ OTOP 2011
ในปีนี้มีการจัดงาน OTOP City ครั้งที่ 8 ผลการจำหน่าย ไม่ต่ำกว่า 70,000 ล้านบาท และนอกจากนี้ ยังมีการจัดงาน “OTOP ทั่วไทย รวมใจช่วยภัยน้ำท่วม” ซึ่งมีผู้เข้าชมงานเป็นจำนวนมากโดยมียอดจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 366,445,415 บาท
ปี พ.ศ. 2555 มีการจัดงาน “ศิลปาชีพประทีปไทย OTOP ก้าวไกล ด้วยพระบารมี” โดยนำผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพมาร่วมแสดง และจำหน่ายกับสินค้า OTOP ระดับ 3-5 ดาว เป็นครั้งแรกมียอดจำหน่ายสินค้า รวมกับยอดประมาณการมูลค่าการเจรจาทำธุรกิจร่วมกันระหว่างนักธุรกิจกับผู้ผลิตผู้ประกอบการ OTOP รวมทั้งสิ้น 784,592,697 บาท
ปี พ.ศ 2556 กรมการพัฒนาชุมชนดำเนินงานภายใต้นโยบายการส่งเสริมพาณิชย์เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ AEC มีการจัดงาน ณ ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ งานแสดงสินค้าที่จัดขึ้น มีดังนี้
• งาน OTOP Midyear 2013
• งานเทศกาลอาหาร OTOP และผลไม้
• งานศิลปาชีพประทีปไทย OTOP ก้าวไกล ด้วยพระบารมี
• งาน OTOP เพื่อสุขภาพ
ปี พ.ศ 2557 กรมการพัฒนาชุมชนยังคงดำเนินการภายใต้นโยบายส่งเสริมการพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง โดยการจัดงาน ณ ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ดังนี้
• งาน OTOP Midyear 2014
• งานศิลปาชีพประทีปไทย OTOP ก้าวไกล ด้วยบารมี
• งาน OTOP ภูมิภาค ในจังหวัดต่างๆ จำนวน 10 แห่ง
• งาน OTOP City 2014
ปี พ.ศ. 2558 ดำเนินการส่งเสริมการสร้างงานสร้างงานสร้างรายได้ชุมชน โดยการสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และการสร้างรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้เพิ่มขึ้น การสร้างผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพสูงขึ้น และมีการนำวัตกรรมมาใช้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์ด้วย