หัวข้อเรื่อง
ความหมายสัญญาประกันภัย
บุคคลที่เกี่ยวข้องในสัญญาประกันภัย
สาระสำคัญของสัญญาประกันภัย
หลักสำคัญของสัญญาประกันภัย
กรมธรรม์ประกันภัย
การออกกรมธรรม์ประกันภัย
สาระสำคัญ
สัญญาประกันภัย เกิดขึ้นเมื่อทั้งสองฝ่ายคือ ฝ่ายผู้เอาประกันภัยกับฝ่ายผู้รับประกันตกลงกัน สัญญาประกันภัยก็เกิดขึ้นแล้วเพราะกฎหมายไม่ได้กำหนดให้ต้องทำเป็นหนังสือแต่กฎหมายกำหนดให้ผู้รับประกันภัยต้องจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยที่มีเนื้อความถูกต้องตามสัญญาที่ตกลงกันไว้และต้องลงลายมือชื่อของผู้รับประกันมอบให้กับผู้เอาประกันภัย
ความหมายของสัญญาประกันภัย
สัญญาเป็นนิติกรรมสองฝ่าย (นิติกรรมคือการกระทำที่มุ่งให้เกิดผลทางกฎหมาย)สัญญาจะเกิดขึ้นได้ต้องมีองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้
1. ต้องมีคู่สัญญา คือ ต้องมีบุคคลตั้งแต่ 2 ฝ่ายขึ้นไป แต่มีสัญญาบางอย่างเรียกว่า “สัญญาฝ่ายเดียว” หมายความว่าเป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทน
2. ต้องมีการตกลงยินยอม คือ มีบุคคลฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาเป็น “คำเสนอ”และบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาเป็น “คำสนอง” ที่ถูกต้องตรงกับคำเสนอ
3. ต้องมีวัตถุประสงค์ ซึ่งวัตถุประสงค์นั้นต้องไม่ขัดกับกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน มิฉะนั้นสัญญาย่อมเป็นโมฆะ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 861 บัญญัติว่า “อันว่าสัญญาประกันภัยนั้นคือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ในกรณีวินาศภัยหากมีขึ้นหรือในเหตุอย่างอื่นในอนาคตดังได้ระบุไว้ในสัญญาและในกรณีนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่า เบี้ยประกันภัย
บุคคลที่เกี่ยวข้องในสัญญาประกันภัย
สัญญาจะเกิดขึ้นได้ต้องมีบุคคลตั้งแต่ 2 ฝ่ายขึ้นไป แต่ในสัญญาประกันภัยกฎหมายกำหนดว่า (ม.861) ให้มีบุคคลที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย 3 ฝ่าย คือ
1. ฝ่ายผู้รับประกันภัย หมายถึง คู่สัญญาฝ่ายที่ตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ในกรณีวินาศภัยหากเกิดขึ้นหรือในเหตุอย่างหนึ่งในอนาคต ดังได้ระบุไว้ในสัญญานั้นซึ่งตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัยและพระราชบัญญัติประกันชีวิตกำหนดว่าต้องเป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทจำกัดมหาชน
2. ฝ่ายผู้เอาประกัน หมายถึง คู่สัญญาฝ่ายที่จะส่งเบี้ยประกันภัยเป็นการตอบแทนการที่ผู้รับประกันภัยตกลงเข้ารับเสี่ยงภัยให้และเนื่องจากการเข้าทำสัญญาประกันภัยเป็นการทำนิติกรรมอย่างหนึ่ง ดังนั้นผู้เอาประกันภัยต้องเป็นผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้วตามกฎหมายและต้องเป็นผู้ที่มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยทั้งในขณะทำสัญญาและขณะเกิดภัยด้วยกรณีประกันวินาศภัยส่วนได้เสียเฉพาะที่ประมาณเป็นเงินได้เท่านั้นที่เอาประกันภัยได้ทั้งสิทธิตามกฎหมาย สิทธิตามสัญญา บุคคลสิทธิหรือทรัพย์สิน ส่วนกรณีประกันชีวิตผู้เอาประกันชีวิตเพียงมีส่วนได้เสียในขณะทำสัญญาเท่านั้นก็เพียงพอ ทั้งสิทธิหน้าที่ที่บุคคลพึงมีต่อกันตามกฎหมายหรือตามสัญญาถือได้ว่ามีส่วนได้เสียที่เอาประกันชีวิตกันได้คือคู่หมั้น สามีภรรยา บิดา มารดากับบุตร ญาติพี่น้อง นายจ้างลูกจ้าง หุ้นส่วนต่อหุ้นส่วน กรณีเจ้าหนี้กับลูกหนี้นั้น เจ้าหนี้ถือว่ามีส่วนได้เสียเอาประกันชีวิตลูกหนี้ได้แต่ลูกหนี้ไม่มีส่วนได้เสียที่จะเอาประกันชีวิตเจ้าหนี้ได้ สรุปว่าเจ้าหนี้เอาประกันชีวิตลูกหนี้ได้แต่ลูกหนี้เอาประกันชีวิตเจ้าหนี้ไม่ได้
3. ฝ่ายผู้รับประโยชน์ หมายถึง บุคคลผู้จะพึงได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือรับจำนวนเงินใช้ให้ อาจเป็นตัวผู้เอาประกันภัยหรือบุคคลที่ผู้เอาประกันภัยกำหนดให้เป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยที่ได้ทำขึ้นถ้าผู้รับประโยชน์เป็นบุคคลเดียวกับผู้เอาประกันภัยก็มีสิทธิเรียกร้องประโยชน์จากผู้รับประกันได้ทันทีในฐานะคู่สัญญา แต่ถ้าผู้รับผลประโยชน์เป็นบุคคลภายนอกจะต้องแสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์จากผู้รับประกันภัยก่อนจึงจะมีสิทธิรับประโยชน์ ถ้าผู้รับประโยชน์ที่เป็นบุคคลภายนอกไม่แสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์ ในระหว่างนั้นมีเหตุเกิดขึ้นตามเงื่อนไขในสัญญาหากผู้รับประกันภัยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เอาประกันไปแล้วผู้รับประโยชน์จะมาแสดงเจตนาเพื่อให้เกิดสิทธิอีกไม่ได้
สาระสำคัญของสัญญาประกันภัย
สัญญาประกันภัยทุกประเภท นอกจากจะเป็นเอกเทศสัญญาลักษณะหนึ่งซึ่งจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และวิธีการในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นพิเศษแล้ว สัญญา
ประกันภัยยังมีสาระสำคัญที่เป็นลักษณะพิเศษอีก 5 ประการ ดังนี้
1. มีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทน
2. มีลักษณะเป็นสัญญาที่มีผลบังคับไม่แน่นอน
3. มีลักษณะเป็นสัญญาที่ต้องการความซื่อสัตย์อย่างยิ่ง
4. มีลักษณะเป็นสัญญาที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
5. มีลักษณะเป็นสัญญาที่ทางราชการควบคุม
หลักสำคัญของสัญญาประกันภัย
จุดประสงค์ของการประกันภัยที่แท้จริง คือ การช่วยแบ่งเบาภัยหรือความเสี่ยงภัยต่าง ๆ ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลไม่ใช่เพื่อแสวงหากำไรหรือเพื่อการพนัน ดังนั้นแนวความคิดพื้นฐานของสัญญาประกันภัย จึงมีหลักสำคัญ ดังนี้
1. หลักส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัย (Insurable Interest)
คำว่า “ส่วนได้เสีย” ในกรณีประกันวินาศภัย หมายถึง การที่ผู้เอาประกันภัยต้องมีความสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่งกับวัตถุที่เอาประกันภัย คือ มีกรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง หรือมีสิทธิที่จะใช้สอยหรือได้รับประโยชน์เนื่องจากวัตถุที่เอาประกันภัยนั้นยังคงมีอยู่ และต้องได้รับความเสียหายจากกรณีที่วัตถุที่เอาประกันภัยนั้นต้องสูญเสียหรือเสียหายไป ในการประกันภัยความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอกวัตถุที่เอาประกันภัยคือความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกในกรณีประกันชีวิตถ้าเป็นการประกันชีวิตคนอื่นผู้เอาประกันภัยต้องมีความสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่งกับ ผู้ถูกเอาประกันชีวิต โดยอาจเป็นความสัมพันธ์ทางด้านจิตใจ เช่น สามีกับภรรยา บิดามารดากับบุตร หรืออาจเป็นความสัมพันธ์ทางธุรกิจ เช่นนายจ้างกับลูกจ้าง ผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนเดียวกัน เป็นต้น หลักส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัย ได้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อป้องกันมิให้ผู้เอาประกันภัยเจตนาทุจริตเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากการประกันภัย
2. หลักสุจริตอย่างยิ่ง (Utmost good faith)
ผู้เอาประกันภัยต้องมีความสุจริตจริงใจในการเอาประกันภัยโดยต้องเปิดเผยข้อความจริงที่เป็นสาระสำคัญซึ่งจะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้รับประกันภัยหรือปฏิเสธการรับประกันและเป็นข้อสำคัญในการพิจารณากำหนดอัตราเบี้ยประกัน เช่น กรณีประกันอัคคีภัย อาคารที่เก็บสิ่งที่เป็นอันตรายไว้ในอาคาร เป็นต้น หลักสุจริตอย่างยิ่งได้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้ผู้เอาประกันภัยต้องเปิดเผยข้อเท็จจริง ไม่แถลงข้อความอันเป็นเท็จต่อผู้รับประกันภัย
3. หลักการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน (Indeminty)
การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในประกันวินาศภัย กฎหมายกำหนดให้ชดใช้ตามความเสียหายที่แท้จริง รวมถึงความบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้เพราะได้จัดการตามความสมควรเพื่อป้องกันความวินาศภัยและค่าใช้จ่ายอันสมควรซึ่งเสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้มิให้วินาศภัยเช่น ค่าจ้างขนของหนีไฟ ค่าสูบน้ำเพื่อการดับไฟ เสื้อผ้าเปียกน้ำเนื่องจากการฉีดน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงไม่ให้ไฟไหม้ เป็นต้น ในการประกันชีวิต ให้ชดใช้ตามจำนวนเงินซึ่งเอาประกันไว้ กรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัย จากรถหรือกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับในกรณีผู้ประสบภัยจากรถได้รับความเสียหายต่อชีวิตให้ผู้รับประกันชดใช้ให้เป็นจำนวนที่แน่นอนเช่นเดียวกับกรณีของการประกันชีวิต
หลักการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน กำหนดขึ้นเพื่อให้ผู้เอาประกันภัยหรือผู้ที่ได้รับความเสียหายกลับมีสภาพเหมือนเดิมเมื่อก่อนเกิดภัย แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินเอาประกันภัยด้วยว่าเพียงพอหรือไม่
วิธีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนมี 4 วิธี คือ
1. จ่ายเป็นเงิน (Cash payment)
2. ซ่อมแซม (Repair)
3. การหาของแทน (Replacement)
4. การกลับคืนสู่สภาพเดิม (Reinstatement)
4. หลักการรับช่วงสิทธิ (Subrogation)
หลักการรับช่วงสิทธิ หมายถึง การที่ผู้รับประกันภัยเมื่อได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ไปแล้ว ย่อมมีสิทธิเข้าไปสวมสิทธิของผู้เอาประกันภัยที่มีต่อบุคคลภายนอกไปเรียกร้องเอากับบุคคลภายนอกเท่ากับจำ นวนค่าสินไหมทดแทนที่ได้จ่ายไป เช่น รถคู่กรณีชนรถยนต์คันเอาประกันภัย คู่กรณีจะต้องรับผิดชอบใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยมีทางเลือก 2 ทาง คือเรียกให้คู่กรณีชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือเรียกให้ผู้รับประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนถ้าเรียกให้คู่กรณีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับตนคุ้มค่าวินาศภัยแล้ว ก็ย่อมไม่มีค่าเสียหายอันใดก็จะเรียกร้องจากผู้รับประกันภัยได้อีก แต่ถ้าเรียกร้องให้ผู้รับประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยจนคุ้มความวินาศแล้วสิทธิที่จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากคู่กรณีย่อมโอนไปยังผู้รับประกันภัย สิทธิของผู้รับประกันภัยดังกล่าวเรียกว่า “การรับช่วงสิทธิ” หลักการรับช่วงสิทธิไม่สามารถนำ มาใช้กับการประกันชีวิตได้
หลักการรับช่วงสิทธิ กำหนดขึ้นเพื่อป้องกันมิให้ผู้เอาประกันภัยได้กำไรจากการประกันภัย เพราะหากผู้รับประกันภัยไม่สามารถรับช่วงสิทธิได้ ผู้เอาประกันภัยย่อมสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้ทั้งสองทาง ย่อมจะทำให้ผู้เอาประกันภัยได้รับค่าสินไหมทดแทนเกินความเสียหายที่แท้จริงและป้องกันมิให้บุคคลภายนอกผู้ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต้องลอยนวลไป การกระทำของบุคคลภายนอกจะเป็นโดยการจงใจหรือประมาทเลินเล่อก็ตามกฎหมาย เรียกว่า “ละเมิด ” และกฎหมายได้บัญญัติ ให้ผู้ทำการละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
5. หลักการร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทน (Contribution)
หลักการร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หมายถึง กรณีที่มีการประกันภัยซ้อนตั้งแต่ 2 รายขึ้นไป ผู้รับประกันภัยแต่ละรายจะร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเป็นจริงโดยแบ่งเฉลี่ยตามอัตราส่วนที่ตนได้รับประกันภัยไว้ ทั้งนี้เพื่อมิให้มีการแสวงหาผลประโยชน์จากการประกันภัย หลักการนี้ใช้เฉพาะสัญญาประกันวินาศภัยเท่านั้น โดยจะต้องมีองค์ประกอบ ดังนี้
5.1 มีกรมธรรม์ตั้งแต่ 2 ฉบับขึ้นไปโดยผู้รับประกันภัยต้องต่างบริษัทกัน
5.2 กรมธรรม์นั้นต้องคุ้มครองภัยเดียวกัน เช่น ประกันอัคคีภัยด้วยกัน เป็นต้น
5.3 กรมธรรม์ทุกฉบับต้องคุ้มครองส่วนได้เสียอันเดียวกันของผู้เอาประกัน เช่นถ้าเอาประกันอัคคีภัยบ้านของเขาในฐานะเจ้าของผู้ครอบครองต้องประกันภัยในส่วนได้เสียของเขาอีกดังนี้ เป็นการประกันภัยต่างส่วนได้เสียกัน
5.4 กรมธรรม์ทุกฉบับต้องคุ้มครองวัตถุที่เอาประกันภัยอันเดียวกัน
5.5 กรมธรรม์ทุกฉบับต้องมีผลบังคับในเวลาที่เกิดความเสียหาย ตัวอย่าง
เคนเอาประกันอัคคีภัยบ้านของเขาไว้กับบริษัทนครสวรรค์ประกันภัย จำกัด บริษัทอุทัยธานีประกันภัยจำกัด และบริษัทพิจิตรประกันภัย จำกัด โดยมีจำนวนเงินเอาประกันภัย 500,000 บาท, 300,000 บาท และ 200,000 บาท ตามลำดับ หากเกิดอัคคีภัยขึ้นตีราคาเสียหายได้600,000 บาท ทั้งสามบริษัทจะร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามส่วนเฉลี่ยที่แต่ละบริษัทได้รับประกันภัยไว้
6. หลักสาเหตุใกล้ชิด (Proximate Cause)
สัญญาประกันภัยเป็นสัญญาที่ผู้รับประกันภัยตกลงจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อมีภัยเกิดขึ้นตามที่ระบุไว้ในสัญญาแต่บางครั้งก็เป็นเรื่องยากแก่การพิสูจน์หรือยากแก่การวินิจฉัย เช่น ผู้เอาประกันภัยแจ้งว่าโรงเรือนที่เอาประกันภัยได้รับความเสียหายเพราะแรงกระเทือนจากแรงระเบิดของโรงงานสรรพาวุธซึ่งอยู่ห่าง 1 กิโลเมตร เหตุที่เกิดขึ้นจึงต้องเป็นเหตุใกล้ชิดโดยต้องพิจารณาระหว่างเหตุกับผล และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องต่อเนื่องไม่ขาดตอน
กรมธรรม์ประกันภัย
กรมธรรม์ประกันภัยไม่ใช่สัญญาประกันภัยกรมธรรม์ประกันภัยเป็นเพียงเอกสารซึ่งฝ่ายผู้รับประกันภัยจัดทำขึ้นตามข้อบังคับของกฎหมายที่กำหนดให้ผู้รับประกันภัยต้องจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยอันมีเนื้อความถูกต้องตามสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้และต้องลงลายมือชื่อของผู้รับประกันภัยจากนั้นให้ส่งมอบกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหนึ่งฉบับทั้งนี้เนื่องจากสัญญาประกันภัยกฎหมายไม่ได้กำหนดให้ต้องทำเป็นหนังสือซึ่งถ้าหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงการฟ้องร้องให้ศาลบังคับคดีก็จะต้องอาศัยการสืบพยานบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยากและไม่เป็นการดีแน่นอนและอาจก่อให้เกิดความไม่ยุติธรรมขึ้นได้
กรมธรรม์ประกันภัยเป็นเอกสารที่ลงลายมือชื่อผู้รับประกันภัยไว้เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงว่าสัญญาประกันภัยได้เกิดขึ้นแล้วในกรมธรรม์ต้องปรากฏข้อความจำเป็นตามที่กฎหมายกำหนดและข้อความที่ฝ่ายผู้รับประกันภัยกับฝ่ายผู้เอาประกันภัยตกลงกัน การลงลายมือชื่อของผู้รับประกันภัยต้องลงลายมือชื่อจริง ๆ จะใช้พิมพ์ลายนิ้วมือหรือสิ่งใดแทนไม่ได้
ข้อความจำเป็นที่กฎหมายกำหนดให้ต้องมีปรากฏอยู่ในกรมธรรม์ประกันภัย มีดังต่อไปนี้
1. วัตถุที่เอาประกันภัย คือ ตัววัตถุที่ตกลงทำสัญญาประกันภัย เช่น ระบุตัวทรัพย์ที่เอาประกันภัยในกรณีประกันวินาศภัยหรือระบุชื่อเจ้าของชีวิตที่เอาประกันภัยในกรณีประกันชีวิต
2. ภัยที่ผู้รับประกันรับเสี่ยง คือ เงื่อนไขแห่งความรับผิดในการที่ผู้รับประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
3. ราคาแห่งมูลประกันภัย คือ ราคาของส่วนได้เสียที่เอาประกันภัย
4. จำนวนเงินที่เอาประกันภัย คือ จำนวนเงินที่กำหนดไว้เมื่อผู้รับประกันภัยต้อง
ใช้ให้ถ้าหากภัยที่เสี่ยงเกิดขึ้น
5. จำนวนเบี้ยประกันภัยและวิธีส่งเบี้ยประกันภัย
6. ถ้าหากสัญญาประกันภัยมีกำหนดเวลาต้องลงเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดไว้ด้วย
7. ชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับประกันภัย
8. ชื่อหรือยี่ห้อของผู้เอาประกันภัย
9. ชื่อของผู้รับประโยชน์ที่พึงมี
10. วันทำสัญญาประกันภัย
11. สถานที่และวันที่ได้ทำกรมธรรม์ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นวันเดียวกับวันที่ทำสัญญาประกันภัย
การออกกรมธรรม์ประกันภัย
เมื่อบริษัทได้รับคำขอเอาประกันภัยพร้อมเบี้ยประกันภัยของผู้มุ่งหวัง หากบริษัทพิจารณาตอบตกลงรับประกันภัยรายใดให้บริษัทส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยอันมีเนื้อความถูกต้องครบถ้วนตามสัญญาให้แก่ผู้เอาประกันภัยโดยบริษัทจะต้องแนบเอกสารสรุปเงื่อนไขความคุ้มครองข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันภัยไปพร้อมกับกรมธรรม์ประกันภัยนั้นในกรณีเป็นการรับประกันภัยกลุ่ม ให้บริษัทส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยและเอกสารดังกล่าวข้างต้นให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยส่วนผู้ได้รับความคุ้มครองหรือสมาชิกผู้เอาประกันให้บริษัทออกหนังสือรับรองการประกันภัยพร้อมเอกสารสรุปเงื่อนไขความคุ้มครองข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้ได้รับความคุ้มครองหรือสมาชิกผู้เอาประกันภัยแต่ละราย
สรุป
สัญญาประกันภัยคือ สัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้กรณีวินาศภัยหากมีขึ้นหรือในเหตุอย่างอื่นในอนาคตดังได้ระบุไว้ในสัญญาและในกรณีนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่าเบี้ยประกันภัย
บุคคลที่เกี่ยวข้องในสัญญาประกันภัย ประกอบด้วย 3 ฝ่าย คือ
- ฝ่ายผู้รับประกันภัย
- ฝ่ายผู้เอาประกันภัย
- ฝ่ายผู้รับประโยชน์
สาระสำคัญของสัญญาประกันภัย มีลักษณะพิเศษ 5 ประการ ดังนี้
- มีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทน
- มีลักษณะเป็นสัญญาที่มีผลบังคับไม่แน่นอน
- มีลักษณะเป็นสัญญาที่ต้องการความซื่อสัตย์อย่างยิ่ง
- มีลักษณะเป็นสัญญาที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
- มีลักษณะเป็นสัญญาที่ทางราชการควบคุม
หลักสำคัญของสัญญาประกันภัย
- หลักส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัย
- หลักสุจริตอย่างยิ่ง
- หลักการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
- หลักสาเหตุใกล้ชิด
- หลักการรับช่วงสิทธิ
- หลักการร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
กรมธรรม์ประกันภัย
กรมธรรม์ประกันภัยไม่ใช่สัญญาประกันภัย เป็นเพียงเอกสารซึ่งฝ่ายผู้รับประกันภัยจัดทำขึ้นตามข้อบังคับของกฎหมาย ที่ต้องลงลายมือชื่อของผู้รับประกันจริง ๆ
ข้อความที่กฎหมายกำหนดให้ต้องมีปรากฏในกรมธรรม์ประกันภัย มีดังนี้
- วัตถุที่เอาประกัน
- ภัยที่ผู้รับประกันภัยรับเสี่ยง
- ราคาแห่งมูลประกันภัย
- จำนวนเงินที่เอาประกันภัย
- จำนวนเบี้ยประกันภัยและวิธีส่งเบี้ยประกันภัย
- ถ้าหากสัญญาประกันภัยมีกำหนดเวลาต้องลงเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดไว้ด้วย
- ชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับประกันภัย
- ชื่อหรือยี่ห้อของผู้เอาประกันภัย
- ชื่อของผู้รับประโยชน์ที่พึงมี
- สถานที่และวันที่ได้ทำกรมธรรม์ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นวันเดียวกับวันที่ทำสัญญาประกันภัย
การออกกรมธรรม์ประกันภัยต้องมีเนื้อความถูกต้องครบถ้วนตามสัญญาที่ตกลงกันและแนบเอกสารสรุปเงื่อนไขมอบให้ผู้เอาประกันภัย