แซ็คมึงบ้าไปแล้วใช่ไหม จะถ่ายหนังสงคราม ในโรงถ่ายเนี่ย

หลังจุดกระแสหนังซอมบี้จนติดใน Dawn of the Dead แซ็ค สไนเดอร์


ก็วุ่นวายอยู่กับโปรเจ็คต่อไปของเขาอย่าง Battle of Thermopylae ซึ่งเป็นคอมมิคส์ของ แฟรงค์ มิลเลอร์ ที่ดัดแปลงมาจากประวัติศาสตร์อีกที ณ ตอนนั้นแม้ว่าหนังซอมบี้ Dawn of the Dead จะทำเงินไปเกินร้อยล้านด้วยทุนต่ำตม ทว่ายังไม่ค่อยมีใครเชื่อน้ำหน้าผู้กำกับมือใหม่อย่าง แซ็ค สไนเดอร์ ด้วยความที่หนังซอมบี้นั้นใครๆมันก็สามารถทำออกมาได้


ขอแค่เอารุนแรงเอาแหวะเข้าไว้เป็นพอ แซ็คถูกปฏิเสธแบบไร้เยื่อใยจากหลายๆสตูดิโอ รวมถึง Warner ด้วย ทำไมน่ะเหรอ เพราะดูจากขั้นตอนการพรีเซ้นต์ของเขาต่อบอร์ดบริหารค่ายหนังแล้ว ไม่มีใครจะบ้าลงทุนกับหนังพีเรียดที่ไม่มีฉากรบพุ่งกลางแจ้งแบบที่ Ben-Hur หรือ Troy เป็นหรอก อย่างน้อยๆก็ให้มันได้ซักเศษเสี้ยวหนึ่งของ ดูหนัง Braveheart ก็ยังดี แซ็คย้ำตลอดว่าเขาจะไม่ทำหนังที่มุ่งตรงสู่เวทีออสก้าร์ นี่มันคือหนังที่พูดถึงเรื่องมันส์ๆแมนๆของนักรบโบราณ มันคือหนังที่ถ่ายทำกันบนจอกรีนสกรีน เราจะไม่ให้นักแสดงออกไปตากแดดข้างนอก แต่จะใช้สตูดิโอถ่ายเนรมิตรฉากขึ้นมา จะว่าวิสัยทัศน์ของผู้สร้างล้าหลังก็ไม่เชิง เพราะในตอนนั้นใครมันจะไปนึกออกว่าหนังพีเรียดเกี่ยวกับสงคราม มันจะไม่ต้องออกกองถ่ายในโลเคชั่นต่างๆได้ยังไงวะ ทุกคนยังติดภาพความอลังการของ Ben-Hur และยังคงคิดว่าการสร้างหนังแบบ Troy ซึ่งมี แบรด พิตต์ โชว์เท่ในหนัง เป็นขนบที่ควรทำ ไม่ใช่มานั่งใช้ CGI

ดูหนัง

เมื่อพับโปรเจ็คไปด้วยใจอันบอบช้ำแล้วเตรียมควานหาโปรเจ็คใหม่ไปเสนอ

วันหนึ่งแซ็คได้รับสายว่า Warner สนใจที่จะสร้างมัน ไอ้หนังสงครามโบราณที่ถ่ายทั้งเรื่องในสตูดิโออะไรนั่นน่ะ ผู้สนใจที่จะลองของคือ มาร์ค แคนตัน และ เบอร์นี่ โกลด์แมน โปรดิวเซอร์ของหนังซอมบี้อีกเรื่องอย่าง Land of the Dead ของต้นตำรับเจ้าพ่อหนังซอมบี้ จอร์จ เอ.โรเมโร่ ซึ่งยอมรับตามตรงว่าพวกเขาสร้าง Land of the Dead


เพราะมี แซ็ค สไนเดอร์ เป็นตัวจุดกระแสให้หนังซอมบี้กลับมา จึงไปลากปู่จอร์จลุกจากเตียงให้ไปทำหนังซอมบี้อย่างที่เห็น แล้วทำไมพวกเขาจะไม่สนใจร่วมงานกับแซ็คในโปรเจ็คที่น่าสนใจนี้ล่ะ พวกเขาเองก็อยากเห็นอะไรแบบนั้นเช่นกัน มันอาจปฏิวัติโลกของหนังสงครามโบราณไปเลย งบราว 65 ล้านเหรียญ บวกกับนักแสดงโนเนมแทบทั้งหมด ถูกลากเข้าสตูดิโอถ่ายทำกันแบบงงๆ(เพราะบางคนไม่รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน เว็บดูหนัง มีแค่กรีนสกรีน และ บลูสกรีน กับจุดมาร์คคร่าวๆ) หนังใช้เวลาราวๆสองเดือนเศษๆก็เสร็จสิ้นการถ่าย พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น 300 ไอ้การเปลี่ยนชื่อหนังเป็นตัวเลขเพียวๆนี่แหละที่ทำให้ Warner ปวดขมับอีกรอบ วิสัยทัศน์ในการทำหนังของ แซ็ค สไนเดอร์ พิสูจน์ให้ผู้บริหาร Warner เห็นหลังจากฉายรอบทดลองให้พวกเขาดู เสียงปรบมือดังสนั่นโรง พร้อมๆกับคำถามข้อสุดท้ายว่า " นายจะใช้ชื่อ 300 จริงดิ " แซ็คตอบว่าใช่ เพราะเขาดึงชื่อมาจาก The 300 Spartans หนังปี 1962 ที่เขาประทับใจในวัยเด็ก มาถึงขนาดนี้แล้วจะมีใครไปขัดไอ้หมอนี่ได้ เพราะสิ่งที่ปรากฏบนจอมันช่างเจ๋งเหลือเกิน เอ้า! 300 ก็ 300 300 เข้าฉายในอเมริกาก่อนซัมเมอร์นิดหน่อย มันทำรายได้แค่เฉพาะในอเมริกากว่า 210 ล้านเหรียญ และทั่วโลกรวมเป็น 456 ล้านเหรียญ รายได้น้อยกว่า Troy ที่เป็นของ warner เช่นกัน นิดหน่อย แต่ทุนสร้างของ Troy มัน 185 ล้านโดยประมาณ เขาไม่ได้ทำหนังไปชิงรางวัลจริงๆ แต่ทุกคนที่ได้ดูต่างรับรู้ว่ามันเจ๋งแค่ไหน นั่นทำให้ แซ็ค สไนเดอร์ กลายเป็นลูกรักคนใหม่ที่ได้คุมโปรเจ็คใหญ่ๆให้ Warner เสมอๆ


หลังจากความสำเร็จของ 300 เทคนิคต่างๆก็ถูกหนังเรื่องอื่นๆในยุคหลังๆนำไปใช้บ้างเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโลเคชั่นฉากหลังขึ้นมา หรือใช้การถ่ายทำแบบที่ 300 ใช้เลย ยกตัวอย่างเช่น ฟงอวิ๋น ภาค 2 ของฮ่องกง ก็มาถ่ายกันในโรงถ่ายที่เมืองไทยนี่เอง