ฉากจบโคตรสะเทือนใจใน The Mist หากเป็นคุณจะคัดสินใจแบบไหน

The Mist ไม่ใช่หนังหักมุมในระดับชวนช็อกที่สุด


แต่มันเล่นกับความรู้สึกคนดูหนักมาก จนบางคนตกค้างหลังดูจบไปหลายวัน พร้อมคำถามในหัวมากมาย ทำไมวะ? ทำไมถึงเป็นแบบนี้วะ? ทำไมต้องจบแบบนี้วะ? กลับบ้านมาเข้าพันทิป พบว่ามีเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันไม่น้อย จน The Mist กลายเป็นหนังที่เสียงแตกกับตอนจบมากที่สุดเรื่องหนึ่ง หากเป็นคุณ จะตัดสินใจแบบตัวละครไหม?

ดูหนัง

ใครบางคนบอกว่า สู้มาแบบตาย แต่สุดท้ายมาจบแบบนี้ ส่วนเรายกมือเห็นด้วย ที่ผู้กำกับแฟรงก์ ดาราบอนท์ เลือกจบแบบนี้ อาจจะดูโรคจิต แต่มันจบได้สมบูรณ์แบบมาก กับการทุบคนดูให้เกิดภาวะสูญญากาศ เพราะตลอด 2 ชั่วโมง หนังไม่เคยหยิบยื่นความหวังให้แก่ตัวละคร หรือคนดูแม้แต่น้อย ถึงมีแสงริบหรี่ปลายอุโมงค์ ดูหนัง พร้อมจะกระทืบโอกาสนั้นๆ เสมอ ไม่ว่ากลุ่มพระเอกจะแก้สถานการณ์ยังไง ผลมักออกมาแย่ จนความสิ้นหวังมันสุกงอม แม้น้ำหนักจะเบาไปบ้าง ที่จะยอมแพ้ แต่เมื่อคุณสู้มาทุกรูปแบบ สู้จนไม่เหลือทางที่จะไป สัญญาที่ให้กับลูกไว้ ว่าจะไม่ให้สัตว์ประหลาดมาทำร้าย หรือทุกคนต้องตายอย่างทรมาน การจบแบบนี้คงดีที่สุด เหมือนที่ตัวละครหนึ่งพูดขึ้นมาว่า "คงไม่มีใครมาว่าเราได้ ว่าเราไม่ยอมสู้" ซึ่งผู้กำกับ แฟรง ดาราบอนท์ เคยเปรียบไว้ว่า The Shawshank Redemption พูดถึงคุณค่าของความหวัง แต่ The Mist เป็นขั้วตรงข้าม ที่พูดถึงความอันตรายของความสิ้นหวัง ที่สามารถทำให้มนุษย์ตัดสินใจสิ่งที่โง่ที่สุดได้ ไม่เพียงเท่านี้ หนังยังตลบหลัง เย้ยคนดูและพระเอกด้วยการให้ตัวละครที่ขอเสี่ยงตายออกไปหาครอบครัวในตอนแรก กลับรอดชีวิตต่อหน้าต่อตาพระเอก ตอกย้ำความสิ้นหวังสุดหดหู่แบบจมตีน นี่คือหนังมอนสเตอร์ที่มีหลายมุมมอง หากดูผ่านๆ ก็คือหนังสัตว์ประหลาดที่สนุก มีฉากจบที่ทุกคนจดจำ แต่ลึกลงไป หนังมีแก่นในการพูดถึงการต่อสู้เอาตัวรอด ความกลัว และความสิ้นหวัง เมื่อเกิดสามสิ่งนี้ มนุษย์จะเผยสันดานดิบ ความเห็นแก่ตัวออกมา มันคือสังคม คือภาพการเมืองย่อมๆ หนังฉลาดในการเซ็ตอัพเหตุการณ์ด้วยการต้อนคนกลุ่มหนึ่งมาอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ต โยนสถานการณ์กดดันต่างๆ จนเกิดการแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย เว็บดูหนัง คนเห็นต่างในแนวคิด วิธีการ จนมีเรื่องเผด็จการ ประชาธิปไตย บวกตัวละครคลั่งศาสนา ที่เอามาใช้เพื่อพิสูจน์ว่า เมื่อคนเราสติแตก ก็พร้อมจะถูกล้างสมอง และทำเรื่องโง่ๆ ได้ หรือคนที่ถูกผลักมาเป็นผู้นำของกลุ่ม ก็อาจหลงในอำนาจโดยไม่รู้ตัว และการท้าทายตัวละคร กับคนดูไปพร้อมๆ กันว่า เมื่อคุณเจอสถานการณ์ในแบบเดียวกัน จะรับมือกับมันยังไง และได้ดีแค่ไหน


หนังเรื่องนี้ คือกระจกที่สะท้อนความเป็นมนุษย์ได้จริงมากๆ เรื่องหนึ่ง ก็เหมือนหมอกหนาๆ ที่พรางให้เราไม่เห็นอันตรายที่ซ่อนอยู่ภายใน เปรียบกับมนุษย์ทุกคน ที่ดูไว้ใจได้แต่แอบซ่อนสันดานดิบเอาไว้