Review ไทบ้าน x bnk48 (จากใจผู้สาวคนนี้)

ดูหนัง

เห็นบ่นกันเยอะ เลยเผื่อใจบ้าง แต่ลึกๆกูโคตรเชื่อมั่นทีม"เซิ้ง"


เลยว่ามันจะออกมาดี อาจไม่ไม่จักรวาลหลัก แต่เพราะจริตการทำหนังของทีมนี้มันค่อนข้างตรงกับรสนิยมส่วนตัว ก็เลยเผื่อใจไว้ 30% คืออีก 70% กูมั่นใจ แล้วก็เป็นตามนั้น ส่วนใหญ่คนที่บ่นนี่อาจมีข้อจำกัดเรื่องของภาษาด้วยแหละ เพราะมีศัพท์อีสานยากๆที่ลาวอย่างกูเก็ต แต่คนภาคอื่นๆอาจไม่เก็ต


มันเลยพาลให้ไม่โอเคกับหนัง การอ่านซับนี่มันดร็อปอารมณ์หนังได้เหมือนกันนะ คือเหมือนการดูหมอลำคณะเสียงอีสาน คนภาคอื่นอาจมองว่ามันตลกเพราะการแต่งเป็นคนแก่ของปอยฝ้าย การดัดเสียง การทำท่าทำทางต่างๆ แต่คนอีสานจะได้เปรียบกว่าตรงที่รับสาส์นความฮาได้เต็มๆมากกว่า เนื่องจากเป็นภาษาที่ใช้พูดใช้สื่อสารกันอยู่แล้ว อย่างคำว่า หมุ่นอุ้ยปุ้ย , มาตุ้มมาโฮม หรือแค่การไล่หมาให้ไปไกลๆ คนภาคอื่นอาจไม่เก็ตว่ามันตลกยังไง พาลทำให้ไม่ชอบหนังไปเลย แต่คนอีสานจะรู้ดีว่าการไล่หมาเขาจะร้อง เสะๆๆ เรื่องนี้หมาแม่งออกตลอดจนแทบจะเป็นนักแสดงสมทบหลัก ก้อง ห้วยไร่ เดอะ เบสต์ มาก!! MVP สัสๆ สนุกทุกซีน ทุกการเคลื่อนไหว คำพูดคำจาเก็บรายละเอียดกะเทยไทบ้านได้ทุกเม็ด เหมือนเก็บกดจากหนังห่วยๆเรื่องอื่นๆที่เล่นมา แล้วมาระเบิดฟอร์มกับเรื่องนี้ บทจะซึ้งก็ทำได้ไม่เลวเลย บทของเจ๊ก้องคือกะเทยไทบ้านที่เป็นนักร้องดังในเมืองกรุง เขาอยู่ในช่วงขาลง และเริ่มเปิดตัวว่าเป็นกะเทย คติประจำใจคือ "อย่าให้เสียงของคนอื่น มากลบเสียงในหัวใจของเรา" นั่นคือที่มาของการเริ่มเปิดๆให้คนรู้ว่ากูเป็นตุ๊ด ซึ่งบทนี้ถ้าวางน้ำหนักปูมหลังดีๆเชื่อว่ามันจะเป็นบทที่น่าจดจำมากกว่าการให้คนดูคาดหวังเสียงหัวเราะจาก ดูหนัง ก้อง ห้วยไร่ อย่างเดียว เอาจริงๆคือบทนี้เป็นการสวมทับชีวิตจริงที่บ้ามาก กล้ามาก เชื่อว่าคนอีสานตาสีตาสาที่ไม่ได้ตามวงการบันเทิงมากนัก รู้แค่ว่ามึงคือก้อง ห้วยไร่ ก็คงคิดกันไปไกลว่าก้อง ห้วยไร่ แกเป็นตุ๊ดจริงๆไปแล้ว ด้งเด้ง (จาลอด) รับหน้าที่เป็นผงชูรสในหนัง เป็นลูกหาบชั้นเยี่ยมของทั้งก้องและน้องๆbnkอีกที โดยมีบักมืด น้องชายตามทำแอสซิสต์ให้มาติดๆ รับส่งทำชิ่งมุกกันโบ๊ะบ๊ะ คือมุกคนอีสานเนี่ย ไม่ได้มีการ ปู ชง แล้วก็ตบ เหมือนๆตลกในเมืองเขาเล่นกันนะ มุกส่วนใหญ่จะเป็นการพูดเล่นพูดแซวพูดประชดด่าทอกันเสียมากกว่า มันมีความขบขันในตัวของมันอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น การให้จาลอดมันพูดแซวยายของมันแบบเล่นเอาล่อเอาเถิด อะไรประมาณนี้ แต่เอาจริงๆก็ดูเหงาๆโหวงๆเหมือนกันที่ข้างกายจาลอดไม่มีไอ้เซียงที่เป็นคู่หูระดับ ไมค์ กับ มาร์คัส ใน Bad Boys หนังจึงมีสภาพเป็นเหมือนภาคแยก American pie ที่มีแค่ สตีฟเลอร์ ที่ไร้เงาเพื่อนๆ (แต่ก็มีเพื่อนบางคนโผล่มาแจมซีนสองซีนให้หายคิดถึงอยู่เหมือนกัน) พูดถึงน้องๆ bnk อาจยังมีทื่อๆอยู่บ้าง น่าจะได้รับการบรีฟบทให้เล่นเป็นตัวเองให้มากที่สุด อย่าใช้แอ็คติ้งเหมือนเล่นหนังเล่นละคร เพราะตัวละครอย่างจาลอด บักมืด และ เจ๊ก้อง ไม่มีใครแอ็คติ้งมาแบบเล่นหนังเลย ทุกคนล้วนพูดจากันเหมือนๆกับที่พูดในชีวิตประจำวันนี่แหละ ไทบ้านมันเป็นอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่เริ่มจักรวาล ดังนั้นน้องๆ bnk ถ้ามาในแบบเล่นหนังเล่นละคร เชื่อว่ามันจะไม่เข้ากันอย่างแรง เด็กๆก็เลยเหมือนถูกตั้งกล้องให้เล่นเป็นตัวเองเหมือนๆที่น้องๆถูกตั้งกล้องในตู้ปลาให้คนดูนั่นแหละ แต่พอหลุดจากซีนที่ต้องเข้ากับเจ๊ก้อง หรือ จาลอด ไปเป็นการพูดคุยสนทนากันเอง ยังแอบมีหลุดแอ็คติ้งละครมาให้เห็นบ้าง ฉากน้องๆนอนปรับทุกข์กันในมุ้ง ถือว่าเกือบๆเป็นความหายนะ น้องเอาไม่อยู่ในฉากนี้จริงๆ ทั้งๆที่มันควรจะเป็นฉากที่ดีและสะเทือนใจกว่านี้ แต่กับซีนร้องไห้นี่พากันทำได้ดีนะ บางคนมีขี้มูกด้วย นี่ถ้าจ๊อบซังแกส่งทั้งน้องทั้งตัวเองไปเรียนแอ็คติ้ง หนังน่าจะออกมาเด็ดกว่านี้ นี่เป็นหนังที่เหมือนสวมทับเอาเรื่องราวในชีวิตจริง ชนิดที่ว่ากล้าดี เพราะมันพูดถึงการยอมรับสภาพขาลงและความเรื่องมากยุ่งยากของต้นสังกัดน้องๆ เหมือนทีมเซิ้งทำหนังหลอกด่า โปรแกรมหนัง bnk ของไทย แล้วทางจ๊อบซังก็หลอกด่าต้นสังกัดใหญ่ที่ญี่ปุ่นอีกที ด่ากันเป็นทอดๆ ถือว่าจ๊อบซัง ผู้บริหารใหญ่ของ bnk ยอมให้ทำอะไรแบบนี้ได้ก็นับว่าแทบไม่เชื่อสายตา ทั้งแนวทางของหนังที่เหมือนจ๊อบซังเองก็โดนเสียบไปด้วย แถมยังมีฉากปลัดขิกซึ่งไม่คิดว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ในจักรวาล bnk ผู้กำกับรู้จักตีวัวกระทบคราด ใช้ความเป็นอีสานของตนเองบอกให้ทั้ง bnk และคนดูรู้ว่า ทุกวันนี้อีสานกูขายได้นะ ขนาดวงดนตรีพรีเมี่ยมจากในกรุงอย่าง bnk ยังมา X กับพวกกูเลย แต่พวกมึงก็ไม่เห็นค่ามันอยู่ดีเพราะมัวแต่ห่วงภาพลักษณ์ กลัวหลุดโทนคาวาอี้ของพวกมึง รู้สึกหนังกล้าดี แต่ยังไม่กล้าพอที่จะใช้คำว่า ช่างแม่ง!! มันเลยแค่เกือบๆสุดในส่วนของดราม่า คือเข้าใจเลยว่าข้อแม้ กฏเกณฑ์ที่จะทำงานร่วมกับ bnk เยอะมาก จนแอบๆมีแกว่งไปบ้างในช่วงท้ายๆของหนัง นี่คือภาพทับซ้อนในชีวิตจริงของหนังที่บอกอะไรๆเราได้หลายอย่าง บางคนอาจหงุดหงิดที่เห็นเพลงอีสานใน youtue มียอดวิวเป็นร้อยๆล้าน แต่เพลงของคนกรุงกลับยอดวิวไม่ขยับ นั่นเพราะพวกมึงเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางมากไปไง อย่างที่หนังมันย้ำตลอดนั่นแหละว่า "ข้างนอกนั่นมีอะไร " " มีสิ่งใหม่ๆไง " ก็อีสานนี่แหละคือสิ่งใหม่ที่คนกรุงคนเมืองอย่างมึงต้องรับให้ได้ ถ้ามานั่งเหยียดกัน และคิดว่ามึงเก่งจริงก็ทำให้กูดูก่อน ทำให้ได้แบบกู แต่ถ้าทำไม่ได้ก็แค่มา X กัน ก็แค่นั้น เดี๋ยวจัดให้เอง เดี๋ยวกูฉุดๆกันขึ้นมา มึงได้อะไรใหม่ๆ ได้ใจแฟนๆ


ส่วนพวกกูได้ความพรีเมี่ยมเพิ่มขึ้น จะได้ไม่ต้องมีใครมาด่าว่าตลาดวัฒนธรรมอีสานเป็นตลาดล่างอีกแล้ว นี่แหละความจริงที่ทับซ้อนกับหนังอยู่ มันอาจโหดร้ายและไม่ตลกเลย ทั้งที่อันที่จริงแม่งเป็นอะไรที่โคตรตลก