สปีลเบิร์ก เคยปลอมเป็นเด็กกองถ่าย เลยทำให้เขา อยากทำหนังต้มตุ๋น

เชื่อไหมว่าหนังอย่าง Catch Me If You Can มันคือหนังอินดี้ ไม่ใช่หนังฟอร์มยักษ์อะไรเลย

เดิมที สตีเว่น สปีลเบิร์ก ไม่ใช่คนที่จะกำกับหนังที่สร้างจากชีวิต แฟรงค์ อบาเนล นักต้มตุ๋นชื่อดังเรื่องนี้ด้วยซ้ำ เขาแค่รับหน้าที่โปรดิวเซอร์ และวางตัวผู้กำกับดังหลายๆคนอาทิ เดวิด ฟินเชอร์ , กอร์ เวอร์บินสกี้ หรือ คาเมรอน โครว์ เป็นตัวเลือกแรกๆ แต่โปรเจ็คไม่คืบหน้า เหตุผลหลักๆเลยคือ แฟรงค์ อบาเนล อาจไม่ใช่ฮีโร่หรือบุคคลที่น่าเชิดชูนัก จนกระทั่งสปีลเบิร์กตัดสินใจกำกับมันเองกับมือ

สปีลเบิร์กปั้นโปรเจ็คนี้ขึ้นมาเพราะชื่นชอบการปลอมตัว การต้มตุ๋น มันเป็นปมสนุกๆในใจเขามาตั้งแต่วัยหนุ่ม สมัยอายุ 16 ปี เขาเคยปลอมตัวเป็นทีมงานเข้าไปแอบเรียนรู้งานเบื้องหลังการสร้างหนังในสตูดิโอฮอลลีวู้ด ไม่มีใครสามารถจับเขาได้ หลายๆคน เชื่อว่า หนังใหม่เต็มเรื่อง ไอ้หนุ่มน้อยคนนี้คือคนในวงการจริงๆ ตลอดช่วงซัมเมอร์ สปีลเบิร์กสนุกสนานกับการปลอมตัวเป็นคนในวงการมาก เขาปลอมตัวเป็นทั้งฝ่ายประสานงาน ไปจนถึงเป็นโปรดิวเซอร์ ได้พูดคุยกับดาราดังๆหลายคนในขณะนั้นด้วย ลิขสิทธิ์ถูกขายผ่านมือมาหลายมือมากตั้งแต่ปี 1980 แล้ว จากหนังสือที่ แฟรงค์ อบาเนล เขียนเรื่องตัวเองขึ้น มันมาตกอยู่ที่ DreamWorks Pictures ที่มี สตีเว่น สปีลเบิร์ก เป็นหัวเรือใหญ่ แล้วถูกแช่อยู่แบบนั้นนานพอดู มันน่าจะเป็นโปรเจ็คท้ายๆด้วยซ้ำที่สปีลเบิร์กจะขุดขึ้นมาสร้าง และไม่ได้จะกำกับเอง เขาแค่อุ้มโปรเจ็คไว้เพราะชื่นชอบเรื่องราวของนักต้มตุ๋นแค่นั้น ทว่าชะตาได้ลิขิตมาแล้วว่าเขาต้องกำกับมันเอง เขาจึงตัดสินใจทำให้มันจบๆไป เขามีแค่ ลีโอนาโด้ ดิคราปริโอ้ อยู่ในมือ หนังจะขายตัว แฟรงค์ อแบ็กเนล เพียวๆคนเดียว ทั้งที่โปรดิวเซอร์บางคนในทีมค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับตัวเลือกนี้ เพราะว่ากันว่า แฟรงค์ อแบ็กเนล เขาดูเป็นผู้ใหญ่เกินอายุมาตั้งแต่ยังวัยรุ่น แต่ลีโอนาโด้นั้นใครๆก็รู้ดีเรื่องความหน้าเด็กของเขา ทว่าสปีลเบิร์กยืนยันว่าลีโอนาโด้นี่แหละของจริง


หนังใหม่เต็มเรื่อง

จุดเปลี่ยนอีกอย่างอยู่ตรงที่การมาของ ทอม แฮงคส์ ที่บังเอิญได้อ่านบทหนังเรื่องนี้แล้วชอบมาก

เขาจึงโทรขอร้องทั้งสปีลเบิร์ก และ ดิคราปริโอ ให้รับเขาเข้ามาในโปรเจ็ค ทีแรกสปีลเบิร์กไม่แน่ใจว่า ทอม แฮงคส์ จะรับได้หรือเปล่าที่ดาราบารมีระดับเขาจะยอมเล่นเป็นตัวสมทบ ทอม แฮงคส์ บอกไม่เป็นไร กระทั่งทีมเขียนบทต้องรื้อบทเพิ่มความเด่นให้บท คาร์ล แฮนแรตตี้ จากบท FBI ผู้ตามล่าตามจิก แฟรงค์ อบาเนล

จากตัวสมทบคนหนึ่งให้เป็นตัวหลักตีคู่กับบทแฟรงค์ อบาเนล เพราะพลังดาราของ ทอม แฮงคส์ ไม่ควรแค่รับบทสมทบธรรมดาๆ ถึงตอนนี้พวกเขาเป็นทีมที่แข็งแกร่งตั้งแต่ยังไม่เปิดกล้อง ทันทีที่ประกาศข่าวโปรเจ็คนี้ คนดูก็พร้อมจะควักเงินซื้อตั๋วกันแล้ว หนังออนไลน์ สปีลเบิร์ก + ดิคราปริโอ + ทอม แฮงคส์ นี่มันโคตรโปรเจ็คชัดๆ จากการที่เดิมทีสปีลเบิร์กไม่ได้ตั้งใจจะกำกับเอง เพราะเขาติดพันกับโปรเจ็คยักษ์อย่าง Minority Report ที่ทำกับ ทอม ครูซ ทำให้ Catch Me If You Can ถูกถ่ายทำกันอย่างเร่งรีบและงบที่จำกัด ระยะเวลาการถ่ายทำ 52 วัน หนังก็เสร็จสิ้น ซึ่งถือว่าเป็นหนังที่ถ่ายทำกันไวมากถ้าเทียบกับชื่อชั้นของทีมงาน มันอาจเป็นเพราะความเป็นมืออาชีพและความเป๊ะ ทำให้การถ่ายทำไม่สะดุดอะไรทั้งสิ้น Catch Me If You Can ถูกขนานนามโปรเจ็คว่าเป็นหนังอินดี้ที่เปลือกนอกคือหนังระดับบล็อคบัสเตอร์ คือไล่ดูชื่อทีมงานทั้งผู้กำกับและนักแสดง ใครๆก็คิดว่านี่มันโคตรโปรเจ็คทุน 100 ล้านขึ้นไป แต่เปล่าเลย มันคืองานทุนต่ำจนแทบจะเป็นหนังอินดี้ ส่วนหนึ่งเพราะสองดารานำต้องยอมลดค่าตัวลงเหลือไม่ถึงครึ่งจากที่ควรจะได้จากหนังเรื่องอื่น เพราะหนังถูกวางงบไว้แค่ 40 ล้าน แม้สุดท้ายงบจะเกินไปเป็น 50 ล้านก็ตาม ปี 2002 สตีเว่น สปีลเบิร์ก มีหนังของเขาเข้าฉาย 2 เรื่อง เรื่องแรก Minority Report ฉายช่วงกลางปี ทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญ ทำรายได้ไป 358 ล้านเหรียญ ถือว่าเกือบหลุดฟอร์มไปเหมือนกันเพราะคาดการณ์กันว่าหนัง ทอม ครูซ เรื่องนี้จะทำรายได้ระดับ 400-500 ล้าน

แต่กับหนังอินดี้อย่าง Catch Me If You Can ที่วางโปรแกรมฉายไว้ช่วงคริสมาสต์ กลับทำรายได้ไป 352 ล้านเหรียญทั่วโลก อย่างไรก็ดี หนังทั้งสองเรื่องของพ่อมดฮอลลีวู้ดก็ทำให้ทุกฝ่ายหน้าบานกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะเรื่องหลัง