น็อตตัวเดียว ไม่สำคัญเท่าโลโก้รถ

ดูหนังฟรี

หนังที่สร้างจากเรื่องจริง และมันมีสปอยล์ในตัวอยู่แล้วตามประวัติศาสตร์ บทความนี้จึงอาจไม่ซีเรียสเรื่องสปอยล์แต่อย่างใด


หนังมันทับซ้อนอารมณ์ของการดำเนินเรื่อง ให้ออกมาเหมือนลักษณะการขับรถของ เคน ไมลส์ (คริสเตียน เบล)ในหนังนั่นแหละ คือมันมีช่วงเหยียบคันเร่ง ช่วงแตะเบรค ช่วงเครื่องรวน มีอุปสรรคนานาประการ มีจิตใจตนเองที่ต้องเหยียบมิดไมล์ให้ทะยานข้ามผ่านไปให้ได้ แต่ดูเหมือนว่าวายร้ายที่ร้ายกาจที่สุด


กลับไม่ใช่อะไรๆที่กล่าวมานั่นเลย ไม่ใช่ยี่ห้อรถที่สองที่เป็นชื่อของหนังด้วย ทั้งที่มันควรจะเป็นวายร้ายหลักของหนัง อุปสรรคที่ใหญ่หลวงที่สุดกลับกลายเป็นยี่ห้อที่เป็นชื่อนำของหนังนั่นเอง นี่คือหนังที่อาจทำให้บรรพบุรุษตระกูล Ford สะดุ้งโหยง หัวฟัดหัวเหวี่ยง หากชีวิตหลังความตายมีจริงและพวกเขายังไม่ไปผุดไปเกิด


ผู้กำกับ เจมส์ แมนโกลด์ หน้ามึนเหลือเกินที่ทำ ดูหนังฟรี ที่มี Ford เป็นพระเอก แต่ลงเอยด้วยการใช้ประแจตีเข้าไปที่กกระจกหน้าของ Ford ตีมันทั้งๆที่ Ford กำลังฉลองชัยชนะตามท้องเรื่องของหนัง แล้วตามชี้หน้าด่า Ford ซ้ำไปอีกดอกว่าสุดท้ายแล้วมึงก็คือรถจ่ายตลาดของแม่บ้านอเมริกันอย่างที่เคยๆเป็นนั่นแหละ


นี่จึงเป็นจดหมายเหตุชั้นเยี่ยมที่ไม่ใช่แค่บันทึกว่า Ford เคยทาบรัศมี Ferrari มาแล้ว แต่มันยังบอกเล่าให้เรารู้ด้วยว่าทำไม Ford จึงเทียบบารมีรถแรงๆ จากฝั่งยุโรปหลายๆยี่ห้อไม่ติดในยุคนี้ ทั้งที่พวกเขาจะทำก็สามรถทำได้ การอยู่หลังพวงมาลัยไม่ใช่แค่การเหยียบคันเร่งให้มิด จึงจะสามารถคว้าชัยมาได้


แต่มันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างรวมไปจนถึงทัศนคติของคนในองค์กร หากจะบอกว่านี่คือการจำลองเอาเกมการเมืองใส่เข้าไปในหนังก็คงไม่ผิดเพี้ยนนัก มันจึงไม่ใช่แค่หนังที่ว่าด้วยการแข่งขันกับคู่แข่งเพียงอย่างเดียว อันที่จริงถ้าจะตั้งชื่อหนังว่า Ford v Ford ก็ย่อมได้ เผลอๆหากตั้งชื่อตามนี้ มันจะเข้ากับสถานการณ์ในหนัง


มากกว่าการตั้งชื่อหนังว่า Ford v Ferrari ด้วยซ้ำไป เพราะอย่างที่บอก นี่เป็นหนังที่ผู้ร้ายไม่ใช่ Ferrari หรือใครอื่นเลย เป็นคนในองค์กรด้วยกันเอง เป็นเกมการเมืองภายใต้ชายคาเดียวกัน "ผู้ร้าย" กับ "คู่แข่ง" ในหนังเรื่องนี้ จึงถูกแยกออกจากกันอย่างชัดเจน เพราะบางครั้งคู่แข่งในเกมกีฬา เมื่อการแข่งขันจบสิ้น หลังเส้นชัยเรา


ก็สามารถจับมือหรือสวมกอดกับคู่แข่งได้ แต่กับผู้ร้ายแล้ว เราไม่แม้แต่จะสามารถมองหน้ามันได้ด้วยซ้ำ ยิ่งถ้ามันคือคนในองค์กรเดียวกันด้วยแล้ว แต่นี่ไม่ใช่หนังที่เครียดเอาเป็นเอาตายตามที่กล่าวไปข้างต้น หนังถูกปรุงให้กลมกล่อมรวยอารมณ์ขันแมนๆ คริสเตียน เบล เดินด้วยท่าทางจ๋องๆไหล่ห่อๆตามประสาช่างซ่อมรถ


ที่เสื้อผ้าไม่เคยไม่เปื้อนคราบน้ำมัน แต่ให้ความรู้สึกว่าหมอนี่ทำไมมันแมนเอาเป็นเอาตายจังวะ ในขณะที่ แม็ต เดม่อน ในวัยกลางคนที่กำลังถูกใบหน้าของ มาร์ค วอห์ลเบิร์ก และ จอห์น ซีน่า ลักพาตัวไป เขาไม่ใช่ไอ้หนุ่มใน Good Will Hunting หรือหนังตระกูล Ocean อีกแล้ว และไม่ใช่คนที่พร้อมจะหักคอใครอย่าง เจสัน บอร์น ด้วย


เพราะก่อนหน้านี้แม้เขาจะรับบทที่โตขึ้นแค่ไหน เขายังทำให้เรารู้สึกว่าเป็นไอ้หนุ่มจาก Good Will Hunting อยู่ นี่จึงเป็นบทบาทที่ก้าวไปอีกขั้นของ มาร์ค วอห์ล เอ๊ย!! แม็ต เดม่อน เชื่อว่าในระบบการทำงานของทุกองค์กร อย่างเราๆถ้าเป็นพนักงานบริษัท ไม่ว่าจะเป็นในออฟฟิศ ในร้านอาหาร ในอู่ซ่อมรถ หรือแม้กระทั่งร้านลาบข้างทาง


เรามักก่นด่าระดับผู้บริหารกันอย่างมันส์ปากจากการโดนพวกเขากดขี่ คำว่า "โง่" จะถูกสำรอกออกจากปากเราๆเพราะเราเป็นคนที่ลงปฏิบัติงานโดยตรง ไม่ใช่พวกนั่งห้องแอร์ที่เอาแต่สั่งงานไปวันๆ โดยไม่รู้สี่รู้แปดหรือร้อนหนาวใดๆ เรามักเอาแต่ก่นด่าในใจไม่ก็นั่งบ่นกันเองว่า เจ้านายหรือพวกบอร์ดบริหารทำไมมันโง่สิ้นดี เลวบัดซบ นั่นแหละ


ทั้งหมดทั้งมวลเรา จะรู้สึกแบบเดียวกันไป ตลอดการ หนังออนไลน์ เรื่องนี้ ดังนั้น นี่น่าจะเป็นหนังที่อาจโดนใจพนักงานตัวนิดตัวน้อยในออฟฟิศ หรือเด็กเสิร์ฟจากร้านลาบ ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ อารมณ์ของหนังจึงเหมือนพาเราไประบาย ก่นด่า ถ่มถุยให้ระบบองค์กรงี่เง่าต่างๆอย่างมันส์มือ มีหลายครั้งที่ในหนังนั้นฝั่งที่เราเอาใจช่วยจะชนะ


เรารู้สึกสะใจ ปรบมือให้จบแสบไปหมด แต่อย่างที่บอก พนักงานตัวจ้อยมันก็ชนะได้แค่บางครั้งบางคราว ท้ายที่สุดเราก็ได้เป็นแค่น็อตตัวหนึ่งในรถแรงๆที่อาจถูกไอ้ตัวเป้งๆสั่งถอดเปลี่ยนไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ นี่จึงถือเป็นหนังที่อาจหาญกล้าที่จะนำเสนอแบบไม่ไว้หน้าใครเลย และน่าภาคภูมิใจแทน ที่หนังไม่ได้เลือกให้ Ford เป็นพระเอก


หากบางคนจะสร้างหนังมาสักเรื่องที่เกี่ยวกับ Ford แน่นอนว่าจะต้องสร้างหนังมาเพื่อเลีย Ford แต่สำหรับเรื่องนี้ หนังเลือกที่จะเชิดชูวีรกรรมของน็อตตัวเล็กๆในรถ Ford แทน แต่ความโหดร้ายคือ บางครั้งน็อตตัวเล็กๆที่หากขาดหายไปอาจทำให้รถไม่สมบูรณ์ แม่งก็ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญเท่ากับโลโก้ของ Ford ที่ติดหราอยู่บนรถทั้งคันนี่สิ นี่แหละที่หนังมันพยายามจะบอกเรา