เจสัน บลัม ชาบผู้ทำหนังสยองขวัญ เข้าชิงออสก้าร์

ขอนำเสนอเรื่องราวที่อาจสร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆคนได้ เกี่ยวกับ เจสัน บลัม ยอดนักทำหนังสยองขวัญผู้ใช้มันสมอง มากกว่าทุนสร้าง

ว่ากันว่า เจสัน บลัม แห่งสตูดิโอ Blumhouse คือ แจ็คผู้ฆ่ายักษ์ ที่แท้จริงในวงการภาพยนตร์ เขาเริ่มต้นจากการเป็นผู้ผลิตหนังเบาสมองทุนต่ำ รับทำหนังให้สตูดิโอยักษ์ใหญ่หลายๆเจ้า ด้วยความเชื่อที่ว่า สักวันจะถูกหวยเบอร์ใหญ่ จากทุนสร้างอันน้อยนิด อาจมีหนังสักเรื่องฟันกำไรงามๆเน้นๆ ด้วยทุนสร้างต่ำเตี้ย


ถึงแม้เจ็บตัวก็ไม่น่าจะเจ็บเท่าหนังทุนหนาจากสตูดิโอยักษ์ใหญ่ จนแล้วจนรอด หนังที่เขาสร้างก็ไม่ได้ดีไปกว่าหนังตลกทุนต่ำทั่วไป หนังที่ใช้นักแสดงไม่คุ้นหน้า มันพร้อมจะถูกร่อนลงแผ่น DVD หรือขายลิขสิทธิ์ให้ช่องเคเบิลท้องถิ่น ดูหนังฟรี ไปแบบไม่มีใครจดจำได้อีกเลย เขาเคยรับใช้ บ๊อบ และ ฮาร์วี่ย์ ไวน์สตีน ซึ่งเป็นค่ายลูกหม้อของ Warner อีกที จนกระทั่งปี 2006 เจสัน บลัม จึงได้ก่อตั้งสตูดิโอเต็มรูปแบบ แต่ยังใช้งบน้อยเหมือนเดิม พร้อมด้วยบุคลากรที่จำกัด แต่เปี่ยมล้นด้วยไอเดีย และการคัดกรองทีมงานเพื่อมาทำงานให้สตูดิโอแบบฟรีแลนซ์ ในนามบริษัท Blumhouse พวกเขาเปิดตัวหนังเรื่องแรกด้วย Griffin & Phoenix เป็นหนังโรแมนติกคำวิจารณ์เยี่ยม เจสัน บลัม จะมีรถตู้คันเล็กๆของเขาที่ใช้ไปไหนมาไหนสะดวกรวดเร็ว เขามักจอดมันอยู่ในบริเวณกองถ่าย ภายในรถตู้เขาตกแต่งมันให้เป็นห้องปฏิบัติการณ์ส่วนตัวเล็กๆของเขา อันประกอบไปด้วยคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆที่เกี่ยวกับโปรดักชั่น เขาดูภาพรวมการถ่ายทำจากในรถคันนี้ เมื่อพบเจอบางอย่างไม่ชอบมาพากลหรืออยากนำเสนอไอเดียที่ขาดหายไป เขาจะลงจากรถตู้แล้วเข้าไปหน้าเซ็ตเพื่อแสดงทัศนคติให้ทีมงาน เขาถือเป็นโปรดิวเซอร์ที่บ้างาน หากว่า เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์ คือโคตรโปรดิวเซอร์ของหนังฟอร์มใหญ่ที่มีเก้าอี้ประจำตำแหน่งในกองถ่ายข้างๆผู้กำกับ เจสัน บลัม ก็คงไม่ต่างกัน แต่ต่างกันตรงที่ เจสัน บลัม ใช้เหยื่อขนาดเล็กเพื่อตกปลาตัวบักเอ้ก! จนกระทั่งการมาของ Paranormal Activity โปรเจ็คมวยป่าที่วางทุนสร้างไว้เพียง 15,000 เหรียญเท่านั้น แต่หนังทุนน้อยที่ถ่ายทำแบบจำลองเอากล้องวงจรปิดมาดำเนินเรื่อง มันสามารถทำรายได้ทั่วโลกไปมากถึง 193 ล้านเหรียญ และนี่เองที่ทำให้โลกของฮอลลีวู้ดได้รู้จักสตูดิโอเล็กๆอย่าง Blumhouse ไปพร้อมๆกับโปรดิวเซอร์ตัวแสบไอเดียล้นอย่าง เจสัน บลัม ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังมีงานหนังตลกเบาสมองติดพันอยู่หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือ Tooth Fairy ปี 2010 ที่นำแสดงโดย เดวย์น จอห์นสัน แต่ชื่อของ เจสัน บลัม ได้ขึ้นไปอยู่ในทำเนียบผู้ทำหนังสยองขวัญทุนน้อยแต่ต่อยเจ็บไปแล้ว เพราะกำไร 12,800 เท่าจากทุนสร้างของ Paranormal Activity ทำให้เขาเป็นที่ต้องการตัวจากสตูดิโอยักษ์ใหญ่ต่างๆ Tooth Fairy คือหนังทุนสร้างมากที่สุดที่ เจสัน บลัม ได้บริหาร ทว่ามันไม่ใช่แนวทางของเขาเลย แม้ว่าหนังจะลงเอยด้วยการไม่ขาดทุน แต่เขาก็ดูเหมือนจะเข็ดกับการร่วมงานกับดาราใหญ่และทุนสร้างมหาศาล ปีเดียวกันนั้นเองเขาจับมือกับ เจมส์ วาน ผู้กำกับจาก Saw อันลือลั่น เข้าสู่โลกแห่งวิญญาณด้วย Insidious หนังผีทุน 1.5 ล้านเหรียญที่ทำเอาคอหนังขนลุกขนพองจนมันสามารถกวาดรายได้ไปกว่า 100 ล้านเหรียญ และนี่เองทำให้ Blumhouse กลายเป็นสตูดิโอสร้างหนังเขย่าขวัญที่น่าจับตา หลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่าสตูดิโอเล็กๆแห่งนี้จะฉุดไม่อยู่ ด้วยการส่งหนังผี หนังฆาตรกร รวมไปจนถึงการผลิตรายการทีวี หนังสารคดีต่างๆ ออกมานับไม่ถ้วน แต่ทว่า เจสัน บลัม ยังคงยึดวิถีเดิมของเขาที่มีมาแต่ต้นคือ ใช้มันสมองมากกว่าทุนสร้าง เขายังใช้รถตู้คิดงานและสร้างผลงาน รวมถึงขับมันออกกองถ่าย โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ ทำหนังเขย่าขวัญยังไงให้ได้เข้าชิงออสก้าร์ ฟังดูเป็นเรื่องตลกขบขันฝันเฟื่องของนักทำหนังตัวเล็กๆ(ที่ตอนนี้ไม่เล็กแล้ว) แม้แต่คนดูอย่างเราๆก็มองว่าเป็นไปไม่ได้ หนังเขย่าขวัญของBlumhouse เนี่ยนะจะเข้าชิงออสก้าร์ แต่มันเกิดขึ้นแล้วกับ Get Out งานมาสเตอร์พีซชั้นเยี่ยมที่เป็นหน้าเป็นตาแก่สตูดิโอที่ทำหนังผีเป็นหลักแห่งนี้ โดยมีผลงานหนังเขย่าขวัญในลิสต์ ล้วนแล้วแต่เป็นป๊อปคัลเจอร์แห่งยุคแทบทั้งสิ้น ทั้ง Paranormal Activity(2007) Insidious(2010) sinister(2012) The Purge(2013) Whiplash(2014) Ouija(2016) Split(2016) Get Out(2017) Halloween(2018) ในส่วนของ Whiplash นั้นถือเป็นหนังเขย่าขวัญในศาสตร์ดนตรี ตัวละครครูเฟลชเชอร์ ของ เจ.เค.ซิมมอนส์ เปรียบได้กับ เจสัน วอร์ฮีส์ ในโลกแห่งดนตรีดีๆนี่เอง

ดูหนังฟรี

อันที่จริงโดยพื้นฐานของ เจสัน บลัม คือคนทำหนังเบาสมอง

เขาเองก็ไม่ได้คิดว่าตนเองจะมีพรสวรรค์ในการทำหนังเขย่าขวัญขนาดนี้ แต่โดยพื้นฐานเขามีหนังในดวงใจมากมายที่เป็นหนังสยองขวัญในอดีต ทั้ง Tremors , Halloween , Boogeyman, Scream , I Know What You Did Last Summer หรือแม้กระทั่งหนังฮีโร่สายดาร์คอย่าง Spawn ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้


ที่กล่าวมาและยังไม่ได้กล่าวถึง กำลังถูก Blumhouse สตูดิโอเล็กสุดอู้ฟู่แห่งนี้กว้านซื้อลิขสิทธิ์เพื่อมารีเมคใหม่ภายใต้มันสมองของ เจสัน บลัม การทำงานของเขาไม่ใช่การรับหน้าที่กำกับโดยตรง แต่เป็นการโปรดิวเซอร์ หนังถ่ายทอดสด โดยคำว่าโปรดิวเซอร์ในความหมายของ เจสัน บลัม ผู้นี้ไม่ใช่แค่ผู้ระดมทุน ไม่ใช่ผู้ล็อบบี้รางวัล ไม่ใช่ผู้เจรจาการตลาด แต่หน้าที่ของเขาคือดูแลในทุกๆขั้นตอนของหนัง ควบคุมการผลิตทั้งหมด แม้กระทั่งเสื้อผ้าหลุดโทนไปจากหนัง เขาจะลงจากรถตู้มาว้ากฝ่ายคอสตูมทันที เขาเปิดรับมันสมองจากทุกคนให้เข้ามาคุยกันแล้วสร้างผลงานไปด้วยกัน เขาบอกมันทำงานง่ายกว่าการนั่งกำกับอย่างเดียว เขาไม่มีเวลามานั่งเขียนบท ไม่มีเวลามานั่งโฟกัสอยู่แค่หนังเรื่องเดียว เพราะวัตถุดิบในมือที่เขาเปิดรับจากผู้เขียนบทและผู้กำกับมากมายรอให้เขาไปสร้างมัน จอร์แดน พีล คือหนึ่งในผู้ได้รับโอกาสจาก เจสัน บลัม เขาเป็นนักแสดงตลกผู้มีวิสัยทัศน์ขัด กับหน้าฉากของเขามากนั่นคือเขามีคุณลักษณะของนักทำหนังสยองขวัญ ทว่าการนำเสนอโปรเจ็คให้สตูดิโอเป็นเรื่องที่ยากเย็น ดาราตลกไม่น่าจะเข็นโปรเจ็คอะไร ก็ไม่รู้ให้โปรดิวเซอร์เชื่อว่า มันจะออกมาเป็นหนังที่ดีได้ จนกระทั่งเขาเจอกับ เจสัน บลัม นี่เองจึงทำให้เกิดหนังสยองขวัญ ที่ได้เข้าชิงออสก้าร์อย่าง Get out ขึ้น จากผู้สร้างหนังเล็กๆที่มีแนวคิดคล้ายๆการซื้อหวย ปัจจุบันเขาเองและคอหนังต่างรู้แล้วว่ามันไม่ใช่การถูกหวยแต่อย่างใด แต่มันคือความเข้าใจในสิ่งที่ทำ โดยกว่าจะมาถึงในจุดนี้ได้ กว่าที่ Paranormal Activity จะประสบความสำเร็จ เจสัน บลัม ต้องใช้มันสมองในการวางแผนการตลาดอย่างหนักในโลกออนไลน์ โดยการสร้างไวรัลต่างๆขึ้นมา รวมไปจนถึงการใช้วิธีนำหนังไปฉายก่อนรอบจริงในที่ต่างๆจนได้รับกระแสปากต่อปาก และเมื่อมันได้เข้าฉายในวงกว้าง มันก็กลายเป็นหนังไฮคอนเซ็ปต์ที่ทำรายได้ถล่มทลายเมื่อเทียบกับทุนสร้างอันน้อยนิด และนี่คือเรื่องราวของสตูดิโอเล็กๆอย่าง Blumhouse ที่ผลกำไรไม่ได้เล็กตามเลย ปัจจุบันมีคอหนังสยองขวัญมากมายรอคอยผลงานใหม่ๆจากสตูดิโอแห่งนี้อย่างใจจดจ่อ และ Blumhouse ไม่เคยเปลี่ยนแนวทางในเรื่องของไอเดียมาก่อนทุนสร้างเสมอๆ เจสัน บลัม ทำหนังเรื่องแรกในฐานะโปรดิวเซอร์คือ Kicking and Screaming (1995) หนังเรื่องนี้ได้รับการผลักดันจากดาราตลก สตีฟ มาร์ติน เพราะคุณพ่อของ เจสัน บลัม คือเอเย่นต์ขายงานศิลปะให้ สตีฟ มาร์ติน ลุงสตีฟได้อ่านบทหนังและถาม เจสัน บลัม ว่าเขาจะช่วยอะไรได้บ้าง เจสัน บลัม จึงขอให้ลุงสตีฟเซ็นต์รับแรงและส่งบทหนังไปยังสตูดิโอต่างๆ นั่นคือก้าวแรกที่เขาได้รับโอกาสจากนักแสดงตลก ซึ่งต่อมาเขาก็ส่งหนัง Get out เข้าชิงออสก้าร์ จากฝีมือการกำกับของ จอร์แดน พีล ดาราตลกด้วยเช่นกัน


หนัง Halloween(2018) และ Halloween Kills ที่กำลังจะเข้าฉาย ก็ได้นักแสดงตลกอย่าง แดนนี่ แม็คไบรด์ เป็นคนเขียนบท เรียกได้ว่า เจสัน บลัม แอบถือเคล็ดบางอย่างนั่นคือ ให้โอกาสนักแสดงตลกได้มาทำหนังที่ไม่ตลก เพราะหนังเรื่องแรกที่เขาสร้างก็ได้โอกาสจาก สตีฟ มาร์ติน ที่เป็นนักแสดงตลก