บทหนัง Back to the Future ถูกปฏิเสธ จากสตูดิโอต่างๆ ถึง 44 ครั้ง

ไม่มีใครหลงไหลหนัง Back to the Future (1985) ได้เท่า บ๊อบ เกล ผู้ที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาอีกแล้ว

ในวันหนึ่งหลังจากที่เขากลับไปเยี่ยมเยือนโรงเรียนเก่าของพ่อและแม่ เขาค้นพบสมุดบันทึกของคุณพ่อ แล้วคิดในหัวว่าถ้าเขาย้อนเวลากลับไปในอดีตได้ เขากับพ่อจะเป็นเพื่อนกันได้ไหมนะ นั่นเองคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ บ๊อบ เกล เริ่มเขียนโครงเรื่องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่ย้อนเวลากลับไปเจอพ่อแม่ตัวเองเมื่อสมัยเป็นวัยรุ่น


และมันพัฒนาขีดสุดจนถึงขั้นเป็นหนังไซไฟ-กึ่งประวัติศาสตร์ บ๊อบเขียนบทร่วมกับเพื่อนรักอย่าง โรเบิร์ต เซเมคคิส แล้วมอบหน้าที่ให้เพื่อนรักกำกับมัน โดยที่ตัวบ๊อบเองนั่งแท่นโปรดิวเซอร์ แต่อะไรที่มันง่ายขนาดนั้นมันก็ไม่เป็นตำนาน เพราะบทหนัง Back to the Future ถูกปฏิเสธจากสตูดิโอผู้สร้างหลายๆเจ้ารวมกันกว่า 44 ครั้ง รวมไปจนถึง ดูหนังสด Disney ค่ายที่รักษาภาพลักษณ์ยิ่งชีพ เพราะพวกเขาไม่มีวันซื้อบทหนังที่แม่ตัวเองตกหลุมรักลูกชายแน่ๆ เพราะเหตุเดียวกันนี้เอง สตูดิโออื่นๆล้วนปฏิเสธเพราะเนื้อหาค่อนข้างบาป บ๊อบ เกล ไม่เชื่อว่าประเด็นสุ่มเสี่ยงนี้จะมีผลต่อความสนุกของหนัง เพราะก่อนหน้านั้น Star Wars ก็มีฉากพี่น้องแท้ๆจูบปากกัน มันยังกลายเป็นตำนานหนัง แห่งมวลมนุษยชาติได้เลย ในเวลานั้น สตีเว่น สปีลเบิร์ก ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับ โรเบิร์ต เซเมคคิส และ บ๊อบ เกล เขามีบริษัทหนังอย่าง Amblin Entertainment อยู่แล้ว แต่ทว่า บ๊อบ และ โรเบิร์ต ไม่คิดที่จะเอางานไปขายให้ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เพราะเกรงเรื่องการใช้เส้นสาย พูดง่ายๆว่าพวกเขาเกรงใจเพื่อนนั่นแหละ และโรเบิร์ตคิดไม่ตกหลังจากถูกปฏิเสธจากค่ายหนังทั้งฮอลลีวู้ด เขาเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าหนัง Back to the Future เรื่องนี้จะไปโลด ถ้าหากว่ามันดับ เขาอาจหมดสิทธิ์ทำหนังอีกต่อไป เพราะในยุคนั้น โรเบิร์ต เซเมคคิส ถือว่ากำลังสร้างชื่อ โครงการ Back to the Future ถูกพับเก็บไป พร้อมๆกับที่ โรเบิร์ต เซเมคคิส ดีลงานกับ ไมเคิล ดั๊กลาส ได้สำเร็จกับหนังผจญภัย Romancing the Stone ที่ ไมเคิล ดั๊กลาส ลงทุนสร้างเอง มันคือหนังที่ทำกำไรงดงาม ด้วยทุนสร้างเพียง 10 ล้านเหรียญ Romancing the Stone ฟันกำไรไปเน้นๆ 115 ล้านเหรียญ ส่งผลให้ชื่อของ โรเบิร์ต เซเมคคิส เป็นผู้กำกับที่น่าจับตา เนื้อหอมหำหอมขึ้นมาทันที

ดูหนังสด

ความมั่นใจจาก Romancing the Stone นี่แหละที่ทำให้ โรเบิร์ต เซเมคคิส

กลับไปกระชากตัว บีอบ เกล ลุกมาจากเตียง ไอ้เกลอเอ๊ย...เราจะมาสร้าง Back to the Future กัน และระหว่างที่พับโปรเจ็คไป บ๊อบ เกล เองก็ได้เกลาบทหนังของเขาให้มีความคมคายยิ่งขึ้น ทั้งคู่เข้าพูดคุยกับ สตีเว่น สปีลเบิร์ก แล้วหนังก็พร้อมจะเปิดกล้องทันที เพราะสปีลเบิร์กชอบบทหนังเรื่องนี้มาก


เดิมทีหนังวางตัว ไมเคิล เจ.ฟ็อกซ์ เป็นตัวเลือกแรกในการรับบท มาร์ตี้ แม็คฟลาย แต่เพราะโครงการล่าช้า คิวของเขาจึงไม่ว่าง บทจึงตกเป็นของดารารุ่นราวคราวเดียวกันอย่าง อีริค สโตลท์ซ การถ่ายทำเริ่มขึ้นทันที แต่ทว่า บ๊อบ และ โรเบิร์ต คิดว่าพวกเขาคิดผิดที่มอบบทนี้ให้ อีริค สโตลท์ซ เนื่องจากเขาไม่มีพลังพอ เว็บสตรีมหนัง สำหรับการเป็น มาร์ตี้ แม็คฟลาย และเขากลัวที่จะต้องเล่นสเก็ตบอร์ด บ๊อบอธิบายว่า " อีริค สโตลท์ซ เขาเป็นนักแสดงที่ดี แต่เขาแค่มาแสดงเป็น มาร์ตี้ แม็คฟลาย แต่ ไมเคิล เจ.ฟ็อกซ์ เขาคือ มาร์ตี้ แม็คฟลาย" ฟิล์มหนังที่ถ่ายทำไปถูกล้างไพ่ใหม่หมด พวกเขาไม่เอาฉากในส่วนของ อีริค สโตลท์ซ ทุนสร้างจึงงอกมากถึง 4 ล้านเหรียญ พร้อมๆกับที่ สตีเว่น สปีลเบิร์ก กุมขมับ พวกมึงกำลังเล่นอะไรกันอยู่ แต่ในเมื่อเพื่อนทั้งสองแน่ใจว่าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ สปีลเบิร์ก จึงต้องยอม ไม่ใช่แค่ สปีลเบิร์ก ที่ปวดหัว ในทางฝั่งของ คริสโตเฟอร์ ลอยด์ ผู้รับบท ดร.เอ็มเมตต์ บราวน์ เองก็ปวดหัวและไม่ค่อยแน่ในกับหนังเรื่องนี้ตั้งแต่อ่านบทแล้ว แถมยังมาเจอปัญหาเปลี่ยนตัวพระเอกอีก เพราะการล้างไพ่เปลี่ยนตัวพระเอกนี่เอง ทำให้พวกเขาต้องเร่งถ่ายทำเพิ่มเป็นเท่าตัว ไมเคิล เจ.ฟ็อกซ์ ต้องแบ่งเวลามาถ่ายหนัง Back to the Future มีค่าดำเนินการเสียเวลามากมายงอกขึ้นมา และท้ายที่สุดทุนสร้างที่วางไว้เพียง 14 ล้านเหรียญ มันงอกออกไปเป็น 19 ล้านเหรียญ การถ่ายทำราบรื่นดี ยิ่งถ่ายพวกเขายิ่งรู้ว่ากำลังทำอะไร คริสโตเฟอร์ ลอยด์ จากที่ไม่แน่ใจกับบทหนัง เหมือนเริ่มมองเห็นภาพ เขาการันตีด้วยตัวเองเลยว่าหนังเรื่องนี้มันจะเป็นหนังที่สุดยอด Back to the Future ทุนสร้าง 19 ล้านเหรียญ หนังที่มีปัญหาระหว่างการสร้างเรื่อยมาเรื่องนี้ มันทำเงินไปทั้งสิ้น 389 ล้านเหรียญ ส่งผลให้มีภาคต่อตามมาอีก 2 ภาค มันล้วนทำเงินทะลุทะลวงทั้งสิ้น แถมเป็นสุดยอด Pop Culture หนึ่งที่คนทั่วโลกไม่เคยลืมในยุค 80 ฝ่ากระแสเนื้อหาหมิ่นเหม่สำหรับเด็ก ซึ่งค่ายหนังหลายๆค่ายมองว่าหนังไม่มีทางประสบความสำเร็จได้


ในชีวิต บ๊อบ เกล ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสร้างหนังมากนัก เขาแค่ขายลิขสิทธิ์ให้ทีวี ช่องเคเบิ้ล หรือบริษัททำของเล่น ของที่ระลึกต่างๆ เท่านี้ก็ใช้เงินไม่ไหวแล้ว และเขายืนกรานว่า ถ้าเขากับ โรเบิร์ต เซเมคคิส ยังไม่ตาย ใครก็ห้ามเอา Back to the Future ไปรีเมค หรือ รีบูท ทั้งนั้น