Itaewon Class (Netflix 2020) ธุรกิจปิดเกมแค้น

สวัสดีครับ ทันบัมยินดีให้บริการ ทันทีที่ก้าวขาเข้าไปในร้าน หนังพาเราเข้าสู่โลกของอิแทวอน ย่านแสงสีเสียง ราตรีที่ไม่เคยหลับใหล


อิแทวอน จุดเริ่มของความสัมพันธ์ ความทรงจำ ความรัก ความผิดหวัง และการแก้แค้นทางธุรกิจร้านอาหาร "เจ้าลูกชาย เหล้ารสชาติเป็นยังไงบ้าง?" ประโยคคลาสสิคที่ผู้เป็นพ่อมักถาม พัคแซรอย คำตอบไม่ใช่รสสัมผัส แต่เป็นรสชาติชีวิตที่ถูกรินผ่านเรื่องราวแต่ละคน แก้วแรก : ชีวิต และความเจ็บปวด


Itaewon Class สะท้อนการดิ้นรนของมนุษย์ จุดไฟให้คนตัวเล็กๆ อยากเริ่มนับหนึ่งทำธุรกิจ แม้กระทั่งคนที่ประสบความสำเร็จบนจุดสูงสุด ก็ยังดิ้นรนไม่ให้มาตรฐานตก จนเป็นการต่อสู้ทางธุรกิจระหว่าง "ปลาเล็ก" และ "ปลาใหญ่" ที่เฉือนคมชิงความได้เปรียบกันแบบไม่มีใครยอมใคร ภายใต้ไฟนีออน หนังยังสะท้อนภาพชนชั้น การไม่ยอมรับเรื่องเพศสภาพ เชื้อชาติ ผ่านการอยู่ร่วมกันในสังคมจำลองในร้าน "ทันบัม" ดูหนัง ที่ต่างคน ต่างนิสัย ต่างความคิด และต่างการเติบโต โดยมี "เถ้าแก่" พัค แซ รอย ที่เป็น จุดศูนย์กลาง และไอ้ความอ่อนโยนของเถ้าแก่กับลูกน้อง มันพาให้คนดูเก็บความรู้สึกดีๆ ว่า คุณค่าในตัวเรา ไม่ได้อยู่ที่การตัดสินของใคร กำลังใจที่จะสู้กับสังคม และทัศนคติห่วยๆ ของใครบางคนต่อไป ขอชื่นชมการเขียนบทตัวละครที่มีเสน่ห์มาก ทำให้คนดูหลงรัก เห็นมิติด้านลึก และการเติบโต แทนที่จะเกลียดตัวละคร เรากลับเข้าใจแรงจูงใจในสิ่งที่ตัวละครทำ สงสาร และเอ็นดูในความไม่สมบูรณ์นั้นๆ เพราะนี่คือตัวละครที่สะท้อนมนุษย์ที่มีอยู่ในสังคม จากคนที่มีบาดแผล ทำให้ "พัคแซรอย" ยอมรับในความไม่สมบูรณ์ของคนอื่นมากขึ้น เถ้าแก่ใช้วิธีพัฒนาคน ไม่ใช่แก้ปัญหาด้วยการตัดสินคน เพราะเราต่างเป็นคนดีขึ้นได้ จากการได้รับโอกาส จากหัวหน้าที่ดี เพื่อนร่วมทีมที่ดี นี่คือครอบครัว "ทันบัม" ที่หน้าที่ของเถ้าแก่ ไม่ใช่แค่ทำร้าน แต่เป็นการปกป้องคนของตัวเองให้ดีที่สุด แก้วที่สอง : ความรัก ความสัมพันธ์ "รักสามเส้า" ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก คนหนึ่งคือรักแรกที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิต ทัศนคติ เป็นแรงขับให้ พัคแซรอย มีเป้าหมาย มีคำมั่นสัญญาว่าปลายทางจะทำเพื่อใคร แม้อีกฝ่ายจะเป็นศัตรู แต่พัคแซรอย ไม่เคยมองว่า "โอซูอา" ผิด เธอแค่มีชีวิตของตัวเองเท่านั้น แต่อีกคน แม้จะเข้าใจยากเหลือเกิน แต่ก็เข้ามาสร้างสีสัน เป็นความวุ่นวายประหลาดๆ ในชีวิตสีหม่นๆ ของ พัคแซรอย มีโทนสว่าง ในความต่าง มันดันกลายเป็นส่วนเติมเต็มในสิ่งที่ขาด คือคนที่คอยยืนอยู่เคียงข้าง พร้อมจะสู้ สร้างความฝัน ความสำเร็จไปพร้อมๆ กัน และพร้อมจะฆ่าทุกคนที่ขวางทาง เพราะฉันน่ะ...รักเถ้าแก่แทบคลั่ง

ดูหนัง

"ซีนโรแมนติก"

เรากลับชอบนัยยะฉากที่ทั้งสามคนวิ่งหนีไปบนถนนอิแทวอนอย่างไม่รู้จุดหมาย เหมือนแข่งมาราธอนระยะยาวที่มี "พัคแซรอย" เป็นเส้นชัย ผลัดกันแซงทำคะแนน แต่บางจังหวะ "พัคแซรอย" ก็วิ่งนำจนเหมือน "โอซูอา" และ "โชอีซอ" ไม่มีวันชนะได้ มันดูเป็นภาพความสัมพันธ์ของทั้งสามคนมากๆ


เมื่อถึงทางแยก เถ้าแก่จะเลือกทางไหน? หนังเล่นกับการถามหัวใจตัวเอง ไม่ใช่แค่การทุ่มทั้งชีวิตให้กับธุรกิจ และการล้างแค้น แต่กับความรัก ก็มีน้ำหนัก และควรค่าพอที่จะสู้เพื่อคนคนหนึ่งเช่นกัน ในวันที่ชนะทุกอย่าง แต่ไม่มีคนข้างๆ ก็ไม่มีความหมาย บางครั้งการรักใครสักคน ก็ทำให้เรายอมทิ้งศักดิ์ศรี ยอมเสียสละเพื่อคนที่เรารัก อย่าให้ความแค้นมาบังตาจนสูญเสียคนที่ดีที่สุด หรือคนที่สู้อยู่ข้างๆ เขาเสมอมา แก้วที่สาม : สนามธุรกิจและการแก้แค้น แม้ เว็บดูหนัง Itaewon Class จะโชว์การหักเหลี่ยม เฉือนคมทางธุรกิจกันแบบเข้มข้น แต่แก่นของมันคือ วัฒนธรรม ผู้คน เบื้องหลังความสำเร็จที่มาจากรากฐาน จิตวิญญาณ จนเป็นการสร้างองค์กรที่เป็นบทเรียนที่ดีมากๆ ท้ายที่สุด ไม่มีใครหนีสัจธรรมการ "ตกจากที่สูง" ได้ หากไม่มีความจริงใจ หนังยังแฝงแง่มุมการทำธุรกิจที่สนุก ดูง่าย เต็มไปด้วยกลยุทธ์การตลาดที่คนรุ่นใหม่น่าศึกษา บางครั้งชัยชนะ ความสำเร็จ อาจไม่ใช่การล้างแค้น แต่เป็นการบรรลุเป้าหมายตัวเอง แสวงหาความสุขกับคนรัก ครอบครัว และได้ทำอย่างที่เป็นตัวเอง เหมือนที่หนังชงมาอย่างเข้มเหล้าเพียวสองฝา แต่หาจุดแลนดิ้งได้อย่างสงบนิ่ง (หลายคนไม่ชอบบทสรุปแบบนี้) เมื่อฉากที่คนต้องการเห็นที่สุด สำคัญที่สุด ถูกนำเสนอแสนเรียบง่าย เหมือนที่หนังเทียบบริบทว่า การคุกเข่าให้ใครสักคน ไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าชีวิต และความเป็นความตาย แซรอยค้นพบว่า ความแค้น ได้ทำลายความสุขของเขาไปมากขนาดไหน บางที การวางศักดิ์ศรีลงได้ ไม่ยึดติด ก็อาจเป็นผู้ชนะ แก้วสุดท้าย : บทสรุป ในฐานะคนดูซีรีส์เกาหลีเลเวล 1 เราโดนหมัดน็อคหลายฉาก "เมจิค โมเมนต์" ที่ทำงานกับคนดู ซีนโรแมนติก ดราม่า ไดอะล็อกคำพูดที่ทำเอาเขินอาย การปลอบปะโลม ให้กำลังใจด้วยคำพูด การตบไหล่เชียร์อัพลูกน้องของเถ้าแก่ ฝ่ามือลูบหัว "โชอีซอ" ที่เปลี่ยนโลกทั้งใบของอีกคน มันละเมียดจนเราแอบลุ้น เอาใจช่วย จนเอาตัวเองไปอยู่ในโมเมนต์นั้นๆ ของตัวละคร โดยไม่ต้องพึ่งฉากจูบแม้แต่ครั้งเดียว คงมีแต่เกาหลี ที่สร้างโมเมนต์แบบนี้ได้เก่งมากกก ทั้งหวาน ขม เปรี้ยวซ่า และสะใจ ส่วนที่เสียดายที่สุด กราฟต์หนังมาตกเอาช่วงท้าย เล่าเรื่องรวบรัดไปสู่บทสรุปจนเหมือนทิ้งสิ่งที่ปูมาหลายๆ อย่างในช่วงแรก ความเข้มข้นการเฉือนคมแทบไม่เหลือ กลายเป็นหาทางลงด้วยสัจธรรมโลก มีความยืดยาดและละครจ๋ามาก แต่เมื่อประตูร้านปิดลง ป้ายไฟนีออน Open ดับลง เปลี่ยนเป็น Closed เป็นความอิ่มเอม ขมขื่น รอยยิ้ม ประสบการณ์สนุกๆ ที่เราได้เข้ามาตั้งวงแชร์เรื่องราวในผับทันบัมแห่งนี้


Itaewon Class จึงเหมือนเหล้าที่ทั้งหวาน ขม และสดชื่นเมื่อยามจิบ แต่พอจบตอน เริ่มที่จะกรึ่ม เราดันอยากที่จะรินโซจูเพื่อกระดกมันอีกครั้งใน EP. ต่อไป และคุณคงได้คำตอบแล้วว่า รสชาติเหล้าของคุณเป็นยังไง?