ทิพย์วรรณ์ อรุณศิริ

ด.ญ.ทิพย์วรรณ์ อรุณศิริ จำอดีตชาติได้

17/2 หมู่ที่ 3 ต.ดอนขวาง อ.เมือง จ.อุทัยธานี

(ชาติก่อนเป็นผู้รับใช้เจ้าแม่กวนอิม ทำผิดกฏสวรรค์ ต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์)

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ.2541 หนังสือพิมพ์ลงข่าว ด.ญ.ทิพย์วรรณ์ อรุณศิริ หรือ น้องจิ๋ว เด็กหญิงอายุ 13 ปี เขียนภาษาจีนได้โดยไม่มีใครสอนมาก่อน เธอพูดไม่ค่อยได้ แต่ไม่ถึงขั้นเป็นใบ้ แพทย์ตรวจแล้วระบุว่า เธอปกติดี ถึงแม้ว่าเธอจะพูดไม่ค่อยได้ แต่เธอสามารถเขียนตัวอักษรภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว เสียดายที่ไม่มีใครสามารถแปลตัวอักษรที่เธอเขียนได้ทั้งหมด มีผู้เชี่ยวชาญทดลองแปลตัวอักษรที่เธอเขียนแล้ว ปรากฏว่าสามารถแปลได้เป็นบางตัวอักษรและบางคำ ไม่สามารถแปลได้ทั้งประโยค มีหลายคนพยายามทำการพิสูจน์เธอและต่างคนก็มีความเห็นแตกต่างกัน บ้างก็ว่าเธอเขียนมั่ว บ้างก็ว่าเธออาจจำมาจากทีวีหรือป้ายชื่อร้านตามตลาดในตัวเมือง บ้างก็ว่าเป็นภาษาเกาหลีผสมกับภาษาจีน บ้างก็บอกว่าเธอเขียนภาษาเทพที่ใช้กันบนสวรรค์

ตอนนั้นทั้งหนังสือพิมพ์และทีวีต่างรุมกันขอสัมภาษณ์เธอ เช่น รายการตีสิบ รายการบ้านเลขที่ 5 เป็นต้น ส่วนหนังสือพิมพ์ก็ประโคมข่าวอยู่ประมาณ 5 วัน นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาจีน และผู้เชี่ยวชาญตำนานเจ้าแม่กวนอิมก็สรุปว่า เธอเป็นเด็กอัจฉริยะ แต่พระมหาเจ้าอาวาสวัดในจังหวัดอุทัยธานีคู่กรณีพิพาทของผู้เป็นพ่อ ไม่เชื่อ หาว่าเธอมั่วนิ่มเรื่องระลึกชาติ ส่วนภาษาจีนเด็กน่าจะเคยเรียนภาษาจีนมาก่อนหรือไม่ก็มีคนแอบสอนภาษาจีนให้

เมื่อ วันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ.2541 ตอนนั้นผู้เขียนเริ่มทำการสัมภาษณ์เก็บข้อมูล ผู้ที่จำอดีตชาติได้ในหมู่บ้านตะคร้อบ้านเกิดของผู้เขียนไปบ้างแล้ว เมื่อทราบข่าวของน้องจิ๋วจึงคิดว่าจะไปพบเธอสักครั้ง ครั้งแรกที่ผู้เขียนไปพบเธอ วันนั้นมีผู้คนที่ทราบข่าวทั้งใกล้ไกลมาที่บ้านของเธอกันมากรวมทั้งรายการบ้านเลขที่ 5 ซึ่งเป็นรายการตอนเช้าทางช่อง 5 ในขณะนั้นก็มาถ่ายทำเรื่องราวล่วงหน้า ก่อนที่จะเชิญเธอและครอบครัวไปออกรายการสดที่สถานี วันนั้นในบ้านของเธอวุ่นวายพอสมควร ต่างคนต่างสอบถามและให้เธอเขียนภาษาจีนให้ดู คณะถ่ายทำบ้านเลขที่ 5 ก็กำลังสาละวนจับภาพเหตุการณ์และผู้คนภายนอกบ้าน และกำลังจะเข้าไปถ่ายทำข้างในบ้าน โดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน ขณะนั้น ด.ญ.ทิพย์วรรณ์ อรุณศิริ หรือ น้องจิ๋ว กำลังนั่งพูดคุยอยู่กับผู้เขียนและผู้ที่สนใจอยู่ที่โต๊ะหินหน้าบ้าน เมื่อเธอเห็นว่ามีคนหลายคนเข้าไปในบ้าน เธอก็เริ่มหันซ้ายหันขวา ท่าทางหงุดหงิดไม่ค่อยพอใจ ทันใดนั้น แบ็ตเตอร์รี่ที่ใช้กับมอนิเตอร์ของกองถ่าย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่น้องจิ๋วนั่งอยู่ ก็มีควันพวยพุ่งออกมา ปรากฏว่าแบ็ตเตอร์รี่ไหม้ไม่สามารถถ่ายทำต่อไปได้ ทั้งๆที่เพิ่งจะเริ่มถ่ายทำกันไม่นาน นางประทุมวัน อรุณศิริ แม่ของน้องจิ๋วเห็นดังนั้นก็บอกกับทีมงานว่า ให้มาขออนุญาตน้องจิ๋วก่อน เพราะเมื่อตอนเช้าของวันนี้ก็เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับนักข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ที่มาถ่ายภาพของน้องจิ๋วโดยที่ไม่ได้ขออนุญาต ตอนนั้นน้องจิ๋วตกใจ ทันใดนั้นฟิล์มซึ่งเพิ่งใส่เข้าไปใหม่ๆยังถ่ายได้ไม่กี่ภาพ ก็กรอกลับเองโดยไม่ทราบสาเหตุ ช่างภาพของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ต้องขออนุญาตเธอจึงถ่ายได้ตามปกติ เรื่องราวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น อาจเกิดขึ้นเพราะความบังเอิญหรือเพราะสาเหตุใด เป็นเรื่องที่เกินจะคาดเดาได้ แต่เมื่อรายการบ้านเลขที่ 5 มาขออนุญาตน้องจิ๋วเข้าไปถ่ายทำในบ้าน ก็สามารถถ่ายทำต่อไปได้โดยไม่ติดขัดแต่อย่างใด

หลังจากเหตุการณ์สงบลง น้องจิ๋ว ผู้เขียน แม่ของเธอ และคนอื่นอีก 2-3 คน ก็เริ่มสนทนากันต่อ น้องจิ๋วพยายามเขียนตัวอักษรจีนเพื่อที่จะสื่อสารให้พวกเราได้รู้ เธอเขียนอักษรจีนได้อย่างคล่องแคล่ว เธอพยายามชี้ และพยายามจะออกเสียงให้พวกเราได้เข้าใจความหมายของคำที่เธอเขียน แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจ เธอเริ่มมีอาการหงุดหงิดที่ไม่มีใครเข้าใจเธอ พอดีมีอาแปะคนหนึ่งแกพอจะอ่านภาษาจีนได้ แกก็ลองอ่านตัวอักษรที่น้องจิ๋วเขียนดูก็อ่านได้ สามารถแปลความหมายแยกทีละตัวได้ แต่แปลความหมายไม่ได้ทั้งประโยค

ผู้เขียนได้ส่งกระดาษเปล่าให้น้องจิ๋วเขียน เธอก็เขียนตัวอักษรจีนทั้งหมด 2 แถว แถวแรกมีตัวอักษร 15 ตัว ในแนวตั้ง แล้วชี้มือเหมือนจะบอกว่าเธอมาจากข้างบน และอีกแถวหนึ่งเธอเขียนตัวอักษรทั้งหมด 6 ตัว ในแนวตั้งเช่นเดียวกัน ภายหลังผู้เขียนได้นำตัวอักษรที่เธอเขียนมาให้ชาวไต้หวันคนหนึ่งแปล ชาวไต้หวันคนนั้นก็สามารถแปลแยกแต่ละตัวอักษรได้หลายตัว แต่แกบอกว่าตัวอักษรบางตัวน่าจะผสมกับตัวอื่นจึงจะได้ความหมาย ไม่น่าจะเขียนตัวเดียวโดดๆ เพราะจะแปลความหมายไม่ได้ ชาวไต้หวันคนนั้นบอกกับผู้เขียนว่า เขาสังเกตดูจากลักษณะการเขียนแล้ว ต้องเป็นผู้มีความรู้ด้านภาษาดีมากๆ จึงจะเขียนได้อย่างนี้

ภาพตัวอักษรที่น้องจิ๋วเขียน ให้ผู้เขียนดูในวันนั้น

หลังจากนั้นผู้เขียนได้เดินทางไปพบกับน้องจิ๋วอีกครั้งหนึ่ง และได้ขอยืมสมุดที่น้องจิ๋วเขียนตัวอักษรจีนมาด้วย 1 เล่ม จากที่เธอเขียนไว้ทั้งหมดกว่า 10 เล่ม เพื่อนำมาให้ผู้ที่เชี่ยวชาญภาษาจีนแปล วันนั้นผู้เขียนได้ขอให้น้องจิ๋ววาดรูปให้ดูว่า เรื่องราวในแต่ละหน้ากระดาษนั้นเธอเขียนถึงอะไรบ้าง เธอก็ได้วาดรูปบอกเล่าเรื่องราวในแต่ละหน้ากระดาษให้ผู้เขียนดู ซึ่งมีทั้งเรื่องราวของซุ้มประตู ผลไม้ต่างๆ รูปสัตว์ และสิ่งของต่างๆ ต่อมาผู้เขียนได้ถ่ายสำเนาไว้ แล้วส่งสมุดเล่มนั้นคืนให้กับน้องจิ๋ว น่าเสียดายที่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว สำเนาเอกสารนั้นได้สูญหายไปขณะที่ผู้เขียนย้ายบ้าน ผู้เขียนพยายามติดต่อไปที่เบอร์โทรศัพท์ที่มีก็ไม่สามารถติดต่อได้ เลยมีแค่ภาพตัวอักษรที่เธอ เขียนไว้ในกระดาษเปล่าสดๆต่อหน้าผู้เขียนเพียงแค่ 2 แถว เท่านั้น

ข้อมูลประวัติของน้องจิ่ว

ด.ญ.ทิพย์วรรณ์ อรุณศิริ หรือ “น้องจิ๋ว” เกิดเมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.2528(ในทะเบียนบ้านแจ้งว่าเกิดวันที่ 12 มกราคม 2528) เธอเป็นบุตรคนที่สองของ นายสมควร และ นางประทุมวัน อรุณศิริ อยู่บ้านเลขที่ 17/2 หมู่ที่ 3 บ้านหนองตางู ต.ดอนขวาง อ.เมือง จ.อุทัยธานี มีพี่น้องทั้งหมด 3 คน คือ

1. น.ส.พิรุณทิพย์(หนึ่ง) อรุณศิริ

2. ด.ญ.ทิพย์วรรณ์(จิ๋ว) อรุณศิริ

3. ด.ญ.วรรณภา(กบ) อรุณศิริ

สำหรับชื่อ “น้องจิ๋ว” นั้นเป็นชื่อที่พวกพี่ๆพยาบาลที่ทำคลอดเธอตั้งให้ซึ่งเรียกกันเต็มๆว่า “น้องจิ๋วมหัศจรรย์” พ่อแม่ของน้องจิ๋วมีอาชีพเลี้ยงปลาและเพาะพันธ์ปลาขาย มากว่า 30 ปี นายสมควร อรุณศิริ ได้รับการยกย่องจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกร(ธกส.)ให้เป็นเกษตรกรคนเก่ง ผู้ประสบความสำเร็จใน การเลี้ยงปลาสวายด้วยอาหารผสมเอง

ภาพครอบครัว อรุณศิริ

ความฝันบอกเหตุ

ก่อนที่จะทราบว่าตั้งท้อง น้องจิ๋ว นางประทุมวัน แม่ของเธอฝันว่า มีมือใหญ่มือหนึ่ง(เห็นแต่มือ)โผล่ยื่นสายสร้อยเส้นใหญ่มากมาให้ ที่สายสร้อยมีพระยืนองค์ใหญ่ มีแสงรัศมีออกจากองค์พระสวยงามมาก นางประทุมวันจึงจับมาดูและจะเอาคล้องคอ ปรากฏว่าสายสร้อยเส้นนั้นขาดมาตั้งแต่เดิม ไม่สามารถห้อยคอได้ เธอจึงได้แต่ถือไว้เฉยๆ จนกระทั่งรู้สึกตัวตื่น

นางประทุมวัน เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ตอนที่ฝันนั้นเธอคิดว่าน่าจะเป็นช่วงที่เธอตั้งท้อง น้องจิ๋ว พอดี แต่เธอไม่รู้ว่าตัวเองตั้งท้องเพราะรอบเดือนก็มาเป็นปกติทุกเดือน จนกระทั่ง 3 เดือนหลังจากนั้น เธอรู้สึกว่าท้องเริ่มใหญ่ขึ้นและมีอาการแพ้ท้อง จึงไปให้แพทย์ตรวจ ปรากฏว่าเธอตั้งท้องได้ 3 เดือนแล้ว ตอนนั้นเธอรู้สึกแปลกใจเพราะรอบเดือนยังมาตามปกติ จนกระทั่งเดือนที่ 4 รอบเดือนของเธอมามากกว่าปกติและมาติดต่อกันหลายวัน เมื่อถึงเดือนที่ 5 รอบเดือนของเธอก็ออกมาเป็นก้อนเลือดเหมือนกับคนตกลูก เธอไปให้แพทย์ตรวจ แพทย์บอกว่าเด็กในท้องยังปกติดีและได้ฉีดยาบำรุงครรภ์ให้ด้วย หลังจากนั้นประมาณเดือนกว่าๆเธอก็ปวดท้องเหมือนกับจะคลอดลูก นายสมควรสามีของเธอจึงพาไปที่ โรงพยาบาลชัยนาท และเธอก็ได้คลอดน้องจิ๋วออกมาขณะที่ตั้งท้องได้เพียง 6 เดือนเศษเท่านั้นเอง

กำเนิดน้องจิ๋ว มหัศจรรย์

จากรายงานเอกสารทางการแพทย์ระบุว่า น้องจิ๋วคลอดแบบผิดปกติ(Breech Assisting) คือเด็กไม่เอาหัวลงเหมือนการคลอดปกติทั่วไป น้องจิ๋วคลอดออกมาโดยเอาเท้าออกมาก่อนซึ่งถือว่าอันตรายมากสำหรับผู้เป็นแม่ น้ำหนักแรกเกิดของเธอ 1,120 กรัม เวลาแรกคลอด 05:39 น. ของวันที่ 5 มกราคม 2528 เนื่องจากน้องจิ๋วคลอดก่อนกำหนดและมีน้ำหนักน้อยมากแพทย์จึงนำเข้าตู้อบ

สองอาทิตย์หลังจากคลอดออกมา น้ำหนักตัวของน้องจิ๋วลดลงเหลือเพียง 800 กรัมเท่านั้น แพทย์ต้องให้น้ำเกลือและใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา น้องจิ๋วมีชีวิตอยู่ในตู้อบนานถึง 2 เดือน จนกระทั่งวันหนึ่งแพทย์ได้บอกกับนายสมควรและนางประทุมวันว่า อาการของน้องจิ๋วแย่ลงทุกวัน มีอาการหายใจขาดช่วง ต้องปั้มหัวใจช่วย มีโอกาสรอดชีวิตน้อยมาก แพทย์คิดว่าเด็กคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินคืนนี้ ขอให้พ่อกับแม่เด็กเตรียมใจไว้

วันนั้น นายสมควร และ นางประทุมวัน ยืนมองดูบุตรสาวอยู่นาน น้ำตาของผู้เป็นพ่อเป็นแม่เอ่อล้นดวงตา จากนั้นก็ขอตัวกลับบ้าน เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะมารับศพของบุตรสาวไปทำพิธีทางศาสนา

เป็นที่น่าอัศจรรย์ กลางดึกของคืนนั้น น้องจิ๋วทั้งร้องทั้งดิ้น จนสายน้ำเกลือและสายออกซิเจนหลุด และถีบตู้อบจนเปิดออก พยาบาลเวรเห็นดังนั้นก็คิดว่าน้องจิ๋วคงจะไม่รอดแน่แล้ว จึงอุ้มออกมาจากตู้อบ รออยู่นาน ลมหายใจของน้องจิ๋วก็ยังคงเป็นปกติ อาการของน้องจิ๋วดีขึ้นเป็นลำดับและแข็งแรงขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ แพทย์และพยาบาลเฝ้าดูอาการของน้องจิ๋วอยู่จนกระทั่งรุ่งเช้า น้องจิ่วมีอาการเหมือนกับเด็กปกติทั่วไปเธอแข็งแรงเกินคาด ผิดจากเมื่อตอนหัวค่ำของคืนวันนั้น จากเหตุการณ์ในคืนนั้นเองพยาบาลที่ รพ.ชัยนาท ที่อยู่ในเหตุการณ์พากันตั้งชื่อให้เธอว่า “น้องจิ๋ว มหัศจรรย์”

พ่อแม่มารับศพ

รุ่งเช้าวันต่อมา นายสมควรและนางประทุมวัน ตื่นขึ้นมาด้วยความเศร้าสร้อย ทั้งสองคนเตรียมที่จะไปรับศพบุตรสาวที่โรงพยาบาล เมื่อไปถึงโรงพยาบาลทั้งสองคนตรงไปที่ตู้อบที่ลูกสาวอยู่ทันที แต่ไม่พบลูกสาวนอนอยู่ในตู้นั้นแล้ว หัวใจของผู้เป็นพ่อเป็นแม่แทบจะสลาย น้ำตาเอ่อไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว พวกเขาตรงเข้าไปสอบถามเจ้าหน้าที่พยาบาล เจ้าหน้าที่พยาบาลแจ้งว่า ขณะนี้บุตรสาวมีอาการดีขึ้นจนเป็นปกติแล้วให้รับกลับบ้านได้ ตอนนั้นพวกเขาแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง จึงถามย้ำกับพยาบาลคนนั้น ก็ได้รับคำตอบเหมือนเดิม น้ำตาของผู้เป็นพ่อเป็นแม่เอ่อไหลออกมาอีกครั้ง แต่เป็นน้ำตาแห่งความปิติ ไม่ใช่น้ำตาแห่งความเศร้าหมองเหมือนอย่างในตอนแรก

เจ้าหน้าที่พยาบาลได้นำน้องจิ๋วมาส่งให้กับ นางประทุมวัน และบอกให้ไปทำเรื่องรับกลับบ้านได้ แต่นางประทุมวันและนายสมควรขอฝากบุตรสาวไว้กับพยาบาลอีกสักหนึ่งวัน เพราะพวกเขาไม่ได้เตรียมของใช้เด็กอ่อนอะไรมาเลย เตรียมมาแต่สิ่งของที่จะมารับศพลูกสาวกลับไปทำพิธีที่บ้านเท่านั้น น้องจิ๋วเลยต้องอยู่ที่โรงพยาบาลอีกหนึ่งวัน เช้าวันต่อมานางประทุมวันและนายสมควรจึงมารับน้องจิ๋วกลับบ้าน ด้วยความปิติยินดี

ไม่ดื่มนมวัวและไม่กินเนื้อวัว

นางประทุมวัน เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เมื่อรับน้องจิ๋วกลับมาอยู่ที่บ้านเธอก็เป็นปกติเหมือนกับเด็กทั่วไปทุกอย่างน้ำหนักก็เพิ่มขึ้นจนเป็นปกติ แต่มีข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ เมื่อแรกเกิด พยาบาลได้ชงนมผงให้ทางสายยาง แต่ร่างกายน้องจิ๋วไม่ยอมรับ อาเจียนออกตลอด บางครั้งก็ต้องดูดเอานมออก ตอนที่น้องจิ๋วอายุได้ 3 เดือน นางประทุมเคยให้ดื่มนมวัว ปรากฏว่าน้องจิ๋วมีอาการท้องผูก ถ่ายไม่ออก และอาเจียนออก นางประทุมวันพยายามเปลี่ยนนมแล้วหลายยี่ห้อก็ไม่หาย ท้องผูกไม่ถ่ายหลายวัน ต้องใช้วิธีสวนทวารหนักออก นางประทุมวันจึงลองเอาน้ำข้าว(หุงข้าวแบบรินน้ำ)ใส่ขวดนมให้ดื่ม ก็ปรากฏว่าท้องไม่ผูกดื่มได้ปกติ เธอจึงให้น้องจิ๋วเลิกดื่มนมวัว แล้วให้ดื่มน้ำข้าวแทน เมื่อโตขึ้นมาหน่อยก็บดกล้วยสุกให้กิน เธอก็กินได้และไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เป็นที่น่าสังเกตว่า น้องจิ๋วไม่ค่อยถูกกับนมวัว เธอไม่กินเนื้อวัวมาตั้งแต่เด็กๆ แม้กระทั่งเนื้อสัตว์อื่นๆเธอก็ไม่ชอบกิน

เรียนแค่ ป.2 พูดไม่ได้แต่เขียนภาษาจีนได้คล่อง

เมื่ออายุได้ประมาณ 2 ขวบ นางประทุมวันเห็นว่าน้องจิ๋วยังพูดไม่ได้ และมีอาการเหมือนลิ้นพันกัน จนเธอคิดว่าลูกสาวเป็นใบ้ เมื่อน้องจิ๋วอายุได้ 7-8 ขวบ ก็เริ่มพูดได้แต่พูดเป็นคำสั้นๆ ไม่เป็นประโยค และเธอเริ่มพูดภาษาอื่นที่พ่อแม่ไม่เข้าใจและฟังไม่รู้เรื่อง ตอนนั้นมีแต่ ด.ญ.วรรณภา(กบ) อรุณศิริ น้องสาวที่พอจะพอเดาได้ว่าน้องจิ๋วพูดว่าอะไร แต่บางครั้งบทที่เธอจะพูดได้เธอก็พูดออกเสียงได้ชัดเจน เช่น จู่ๆเธอเรียกนางประทุมวันว่า “แม่” อย่างชัดเจน แต่พูดไม่เป็นประโยค

เมื่ออายุ 7 ขวบ ถึงเกณฑ์ต้องเข้าโรงเรียน พ่อแม่ก็พาน้องจิ๋วไปเข้าโรงเรียนตามปกติเหมือนเด็กทั่วไป แต่ด้วยเหตุที่น้องจิ๋วไม่ค่อยพูดนี่เอง เวลาไปโรงเรียนเธอก็จะถูกเพื่อนๆล้อและมักจะเรียกเธอว่า “ไอ้ใบ้” เลยเป็นแรงกดดันทำให้เธอไม่อยากจะไปโรงเรียน แต่พ่อกับแม่ของเธอก็พยายามประคับประคองจนกระทั่งเธอจบ ป.1 เมื่อเลื่อนชั้นไปเรียน ป.2 เรียนไปเรียนมาเธอก็ถูกเพื่อนๆล้อเรียนว่า ไอ้ใบ้อีก จนเธอทนไม่ไหวตีหัวเพื่อนจนหัวแตก จากนั้นเธอก็ไม่ยอมไปโรงเรียนอีกเลย พ่อกับแม่ของเธอก็จนปัญญาจึงต้องปล่อยเลยตามเลย น้องจิ๋วจึงเรียนได้แค่ ป.1 ครึ่งไม่จบการศึกษาภาคบังคับ

ตอนนั้นคนในครอบครัวก็ยังไม่เห็นความผิดปกติอะไร จนกระทั่งเธออายุได้ประมาณ 10 ขวบ เธอเริ่มเขียนภาษาจีนโดยที่ไม่เคยมีใครสอนมาก่อน แต่ถ้าพ่อของเธอเห็น ก็จะตีมือไม่ให้เขียน เพราะคิดว่าลูกสาวเขียนอะไรมั่วๆ เดียวจำเอาไปเขียนก็จะยุ่งกันไปใหญ่ แม่ของเธอบอกกับผู้เขียนว่า ครั้งแรกที่พ่อกับแม่รู้ว่าน้องจิ๋วเขียนภาษาจีนนั้นปรากฏว่ามาทราบภายหลังว่า เธอเขียนภาษาจีนมาก่อนหน้าที่พวกเขาจะรู้แล้ว เขียนไว้เป็นเล่มสมุดปกแข็งเลยทีเดียว(ตอนที่ผู้เขียนไปสัมภาษณ์เห็นว่ามีอยู่ 4 เล่มสมุดปกแข็ง) แม่ของเธอบอกว่าเธอไม่ได้หัดเขียนภาษาจีนในเศษกระดาษหรือในสมุดหนังสือใดๆให้เห็นมาก่อน จู่ๆก็เห็นเธอเขียนได้เลย และนอกจากเธอจะชอบเขียนภาษาจีนแล้วเธอยังชอบวาดเฉพาะภาพคนจีนและภาพเจ้าแม่กวนอิมในอิริยาบทต่างๆ ซึ่งเป็นภาพที่ไม่ได้วาดขึ้นมาเรียนแบบตามภาพต้นแบบ แต่เป็นการวาดขึ้นมาจากภาพของความทรงจำเสียมากกว่า เพราะเธอสามารถชี้มือพยายามบอกเล่าอธิบายให้ผู้เขียนเข้าใจได้ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยพูดก็ตาม แต่ถ้าเราพูดถูกเธอก็จะพยักหน้า หรือถ้าเราพูดผิดไปจากที่เธอพยายามจะบอกเธอก็จะส่ายหน้า แม่ของเธอบอกว่าน้องจิ๋วชอบวาดรูปมานานแล้วตั้งแต่ช่วงเข้า ป.1 ใหม่ๆ

นักข่าวทราบเรื่องนำไปลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์

เรื่องราวอันน่าประหลาดใจของน้องจิ๋วนั้น ในช่วงแรกๆก็มีแต่คนในครอบครัวแล้วก็พวกเพื่อนๆของพ่อเท่านั้นที่ทราบ ต่อมามีคนที่ทำงาน สปจ.(สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัด)ลูกค้าที่มาซื้อพันธุ์ลูกปลา เห็นน้องจิ๋วเขียนภาษาจีนได้คล่องแคล่วและวาดรูปได้ดี ก็สอบถามพ่อแม่ของเธอก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องราวประหลาดๆของน้องจิ๋ว ซึ่งหลายคนที่ทราบต่างก็คิดว่าน้องจิ๋วน่าจะจำอดีตชาติได้ หรือเป็นคนจีนมาเกิด ลูกค้าที่ทำงาน สปจ.ได้ขออนุญาตนำเรื่องนี้ไปบอกกับนักข่าวเดลินิวส์ ทางพ่อแม่ของเธอก็ไม่ขัดข้อง แต่ปรากฏว่ามีนักข่าวของ นสพ.ไทยรัฐมาทำข่าวก่อน วันต่อมา นสพ.เดลินิวส์จึงเข้ามาทำข่าว ตอนแรกนักข่าวมาสัมภาษณ์และขอตรวจสอบข้อความที่น้องจิ๋วเขียนก่อน เมื่อนักข่าวนำตัวอักษรภาษาจีนไปให้ผู้รู้พิจารณาแล้ว ผู้รู้ลงความเห็นว่า ตัวอักษรจีนที่น้องจิ๋วเขียนนั้น ไม่ได้เป็นการเขียนมั่ว เป็นภาษาจีนจริง แต่บางคำอาจจะเป็นตัวอักษรโบราณ ทุกคำที่น้องจิ๋วเขียนส่วนใหญ่คำนั้นๆปกติจะต้องผสมกับคำอื่นจึงจะได้ความหมายครบถ้วน แต่น้องจิ๋วเขียนขึ้นมาโดดๆตัวเดียว หรือ 2 ตัว จึงทำให้บางคำสามารถแปลได้ แต่บางคำไม่ครบสมบูรณ์ แต่เป็นตัวอักษรจีนแน่นอน ลักษณะของการเขียนส่วนใหญ่ก็จะเขียนได้ถูกต้องตามหลักการเขียน เมื่อนักข่าวได้ข้อมูลพอสมควรจึงลงข่าวพาดหัวหน้าหนึ่ง ใน นสพ.รายวันเกือบทุกฉบับ

..............................................................................................................................

ข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ฉบับวันที่ 1 สิงหาคม 2541

พาดหัวตัวใหญ่สุดหน้าหนึ่งว่า : “ด.ญ.13 พลิกตำนาน ระลึกชาติ อ้างนางฟ้ามาเกิด”

เล่าเรื่องอดีตชาติเคยเป็นข้าใกล้ชิดเจ้าแม่กวนอิม ไทยแท้ๆ เรียน ป.2 เขียนจีนเป็นเล่มๆ

ตามพิสูจน์เด็กวัยแค่ 13 ปี ที่เป็นใบ้พูดไม่ได้ แต่หูฟังรู้เรื่องมาแต่กำเนิด เรียนหนังสือจบแค่ชั้น ป.2 แต่เขียนอ่านภาษาจีนได้คล่องแคล่วอย่างมหัศจรรย์ อ้างว่าเป็นเพราะกลับชาติมาเกิด อดีตชาติเคยเป็นคนรับใช้ชิดเจ้าแม่กวนอิม แต่ทำผิดกฎสวรรค์ เลยถูกสาบส่งมาเกิดเป็นมนุษย์ ผู้ชำนาญภาษาจีนตรวจอ่านดูข้อความที่เขียน เป็นเล่มๆแล้ว ส่วนใหญ่เขียนถึงเทพยดาฟ้าดินในสรวงทั้งสิ้น เชื่อว่ากลับชาติมาเกิดจริง

ยังพิสูจน์ความแปลกประหลาดไม่ได้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรแน่ และรู้ภาษาจีนจนอ่านออกเขียนได้ในคนวัยนี้ พ่อแม่เผยตอนคลอดตัวกระจิดริด ต้องเข้าเครื่องอบอยู่ถึง 2 เดือนแล้วดึงสายโยงยางทั้งช่วยหายใจและสายน้ำเกลือทิ้งหมด สุขภาพกลับสมบูรณ์ขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ เหลือเชื่อ หลังคลอดลูกคนนี้ ชีวิตที่ข้นแค้นแสนสาหัส ขนาดต้องกินข้าวซาวน้ำกับหัวผักกาด ก็มีฐานะดีขึ้น จากหลังมือเป็นหน้ามือทีเดียว

ผู้สื่อข่าว จ.อุทัยธานี รายงานว่า ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีเด็กหญิงประหลาดเป็นใบ้ แต่เขียนภาษาจีนได้ อยู่ที่บ้านเลขที่ 17/2 บ้านหนองตางู หมู่ 2 ต.ดอนขวาง อ.เมือง จ.อุทัยธานี

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 30 ก.ค. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงโดยไปยังบ้านดังกล่าว พบว่าเป็นบ้านของ นายสมควร อรุณศิริ อายุ 40 ปี นางประทุมวัน อรุณศิริ อายุ 39 ปี สองผัวเมียเป็นพ่อแม่ของ เด็กหญิงมหัศจรรย์ โดยทั้งสองแจ้งให้ทราบว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับลูกสาวคนหนึ่งของตน ในจำนวน 3 คน ที่ชื่อ ด.ญ.ทิพย์วรรณ์ อรุณศิริ อายุ 13 ปี

ขณะที่ผู้สื่อข่าวไปพบนั้น ด.ญ.ทิพย์วรรณ์ หรือ น้องจิ๋ว อยู่ในชุดเสื้อสีชมพู นุ่งกางเกงขาสั้น เข้ามาทักทายผู้สื่อข่าวด้วยภาษาใบ้ ด้วยท่าทางที่ยินดีปรีดา พ่อแม่ของ ด.ญ.ทิพย์วรรณ์ ต้องกลายเป็นล่ามในการสอบถาม แม้ว่า ด.ญ.ทิพย์วรรณ์จะเป็นใบ้ แต่หูยังใช้การได้ ฟังเรื่องราวต่างๆพอรู้เรื่องและเข้าใจ เมื่อทราบความประสงค์ของการไปของผู้สื่อข่าว ด.ญ.ทิพย์วรรณ์ ได้ใช้ปากกาเคมีเขียนข้อความเป็นภาษาจีนบนแผ่นกระดาษแล้วอ่านให้ฟัง ซึ่งแปลออกมาได้ความว่า หนูชื่อ ด.ญ.ทิพย์วรรณ์ หรือ น้องจิ๋ว เบื้องบูรพา แต่ชาติปางก่อน เคยอยู่เป็นผู้รับใช้เจ้าแม่กวนอิมเบื้องบนสวรรค์ แล้วต้องคำสาปให้มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่ไม่ยอมบอกว่าทำผิดอะไร จากนั้นน้องจิ๋วได้เดินไปหยิบสมุดปกอ่อนขนาด 40 แผ่น ที่เขียนเป็นภาษาจีนไว้พร้อมกระดาษที่วาดรูปด้วยดินสอ เป็นรูปเจ้าแม่กวนอิม ในอิริยาบถต่างๆหลายรูปมาให้ดู และใช้เวลาเพียง 30 นาที ในการวาดรูปเจ้าแม่กวนอิมรูปใหม่ขึ้นมาอย่างสวยงามโชว์ผู้สื่อข่าวและพ่อแม่

นายสมควร และ นางประทุมวัน สองผัวเมียเปิดเผยว่า ตนมีลูกสาวด้วยกัน 3 คน คือ น.ส.พิรุณทิพย์ หรือ หนึ่ง อายุ 18 ปี กำลังเรียนชั้น ม.6 ร.ร.อุทัยธานี คนรองคือ ด.ญ.ทิพย์วรรณ์ หรือ น้องจิ๋ว และคนสุดท้องคือ ด.ญ.วรรณภา หรือ กบ อายุ 11 ปี กำลังเรียนชั้น ป.6 ร.ร.วัดหนองตางู สำหรับน้องจิ๋วเรียนได้แค่ ป.2 เนื่องจากมีปัญหาเป็นใบ้ แม้หูจะฟังรู้เรื่อง และไม่เคยเรียนภาษาจีนที่ไหนมาก่อนเลย อยู่ๆก็เขียนอ่านภาษาจีนได้เองอย่างอัศจรรย์ ก่อนหน้านี้ครอบครัวยากจน มีบ่อเลี้ยงปลาเพียง 2 บ่อ ต้องพบกับสภาพความยากลำบาก ถึงขนาดครอบครัวต้องกินข้าวซาวน้ำกับหัวผักกาด ต่อมาปี 2536 ชาวฮ่องกงที่มาแต่งงานกับน้องสาวได้ดูโหงวเฮ้งของตนกับภรรยาว่า ถ้าประกอบอาชีพให้เจริญรุ่งเรือง ให้ใช้ชื่อของ ด.ญ.ทิพย์วรรณ์ จะร่ำรวย จึงเปลี่ยนชื่อบ่อปลาเป็น “บ่อทิพย์วรรณ์” ทำให้กิจการดีขึ้นเรื่อยๆ จนมีบ่อปลาเพิ่มขึ้นเป็น 6 บ่อ ฐานะความเป็นอยู่จึงดีขึ้นตาม และยังสร้างบ่อเพาะลูกปลาไว้ขายด้วย ได้ส่งลูกเรียน มีรถเก๋ง มีบ้าน มีเงินจับจ่ายใช้สอยไม่เดือดร้อน คิดทำอะไรก็ประสบความสำเร็จทุกเรื่อง

ส่วนความเปลี่ยนแปลงในตัวของน้องจิ๋วนั้น ครอบครัวสังเกตเห็นความผิดปรกติ ที่ไม่ยอมให้พ่อแม่กอดหอมแก้ม พอมีงานประจำปีพาไปเที่ยว ไปพบภาพเจ้าแม่กวนอิม ก็รบเร้าให้พ่อแม่ซื้อให้ นำกลับมาไว้บนหัวนอน และบรรจงวาดภาพเจ้าแม่กวนอิมในอิริยาบทต่างๆ มีเพื่อนบ้านทราบข่าวพากันไปขอชมจำนวนมาก เมื่อคราวไปเยี่ยมตายายที่ จ.พิษณุโลก ลูกๆคนอื่นเข้าไปกราบตากราบยาย แต่น้องจิ๋วกลับส่งกระดาษเป็นข้อความภาษาจีน ด้วยถ้อยคำว่า “สวัสดีปีใหม่” ให้ตากับยาย จึงได้คอยจับตาดู เมื่อกลับมาบ้านพบว่า น้องจิ๋วเขียนภาษาจีนไว้เป็นเล่มๆ คนในบ้านแอบนำไปให้คนรู้ภาษาจีนช่วยอ่านแปล จึงทราบว่าน้องจิ๋วไม่ใช่ลูกธรรมดาของพ่อแม่เสียแล้ว

ผู้สื่อข่าวนำกระดาษที่น้องจิ๋วเขียนเป็นภาษาจีน ไปให้ นายสมบูรณ์ แก้วจงประสิทธิ์ อายุ 73 ปี หรือชื่อจีนว่า “เจ็งก่วนเลี๊ยก” ชาวจีนที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยตั้งแต่อายุ 22 ปีและมีความรู้ด้านภาษาจีนดีคนหนึ่ง ช่วยอ่านแปล นายสมบูรณ์แจ้งว่า หนังสือจีนที่เด็กผู้นี้เขียน เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว อักษรที่เขียนลักษณะหวัดไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่พอจับใจความได้ สรุปพออ่านได้ ว่า เขียนเกี่ยวกับเรื่องเทพยดาบนสรวงสวรรค์ ตามตำนานของจีน ซึ่งเท่าที่อ่านพงศาวดารจีนเกี่ยวกับเรื่องเทพยดาฟ้าดินทราบว่า ตำนานจีนเคยเขียนระบุว่า ผู้ที่ตายไปแล้วหากย้อนกลับมาเกิดใหม่ จะมีอยู่ 2 ลักษณะคือ 1.ไม่สามารถรับรู้เกี่ยวกับอดีตชาติได้เลย กับ 2.รับรู้ในเรื่องอดีตชาติ แต่ก็จำได้ไม่หมด จดจำได้ไม่นาน ก็จะเลือนหายไปจากความทรงจำในที่สุด

สำหรับน้องจิ๋วน่าจะอยู่ในลักษณะที่ 2 ที่พอจะระลึกชาติก่อนได้บ้าง จึงนำอักษรเก็บมาใช้ได้เป็นบางคำ แต่เนื่องจากอักษรภาษาจีนมีหลายแบบหลายภาษา เขียนคำแตกต่างกันไป จึงอาจแปลหรือให้ความหมายไม่ตรงกัน แต่เท่าที่สังเกตดูลายมือการเขียนภาษาจีนของน้องจิ๋ว น่าจะเป็นการเขียนจากผู้มีความรู้ภาษาจีนดีคนหนึ่ง

นางประทุมวัน มารดา ด.ญ.ทิพย์วรรณ์ เล่าถึงประวัติของ ด.ญ.ทิพย์วรรณ์หรือน้องจิ๋วมหัศจรรย์ เกิดวันเสาร์ที่ 5 ธ.ค. พ.ศ.2528 แต่เชื่อเรื่องโชคลาง จึงเปลี่ยนมาเป็นวันเดือนปีเกิดวันที่ 12 ธ.ค. 2528 เกิดที่ รพ.ชัยนาท น้ำหนักแรกเกิด น้ำหนักแค่ 1000 กรัม ต้องเข้าเครื่องอบนานถึง 2 เดือน ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ให้น้ำเกลือ หมดเงินค่ารักษากว่า 2 หมื่นบาท แพทย์บอกว่าเปอร์เซ็นต์รอดได้มีเพียง 1 ใน 10 เท่านั้น อยู่ๆมาน้องจิ๋วเกิดสลัดสายน้ำเกลือ สายช่วยหายใจ ออกหมด พยาบาลต้องมาอุ้มอยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่เป็นอะไร สุขภาพกลับดีขึ้น จึงเรียกพ่อแม่มารับลูกกลับ พ่อแม่เข้าใจว่าลูกเสียชีวิตแล้ว ชวนชาวบ้านเตรียมจัดงานศพลูก แต่กลับตาลปัตร เมื่อพบว่าลูกสาวกลับมีสุขภาพสมบูรณ์ขึ้น หมอที่ รพ.ชัยนาทตอนนั้นตั้งชื่อให้ว่า “จิ๋วมหัศจรรย์” เรียกกันติดปากมาแต่บัดนั้น

..............................................................................................................................

ข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ฉบับวันที่ 2 สิงหาคม 2541

ลงกรอบเล็กในหน้าหนึ่งว่า :

ไปพิสูจน์ “น้องจิ๋ว” ระลึกชาติ เด็กหญิงวัย 13 ปี ที่ระลึกชาติ ว่าเป็นคนรับใช้เจ้าแม่กวนอิม กลับชาติมาเกิด ได้รับความสนใจจากบุคคลหลายวงการ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโสต ศอ นาสิก ชี้ให้เห็นว่าถ้าเด็กเป็นใบ้ทั้งที่หูไม่หนวกแล้ว สามารถฟื้นฟูให้พูดได้ ให้รีบนำตัวมาตรวจร่างกายเพื่อรับการช่วยเหลือ ส่วนความชำนาญเรื่องภาษาจีน มีคนไปพิสูจน์แล้ว เขียนให้ดูต่อหน้า ยืนยันว่าเด็กใบ้มีความรู้เอง ไม่ใช่ไปจำแบบมาเขียน นอกจากนี้ทางวิทยสถานแห่งวัฒนธรรมตะวันออก ยังต้องการให้ไปฝึกหัดใช้พู่กัน เรียนภาษาจีนให้แตกฉาน เพื่อทำประโยชน์ในการถ่ายทอดให้แก่ผู้อื่น โดยให้เรียนฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวันเผยถึงการระลึกชาติมีจริง เป็นเรื่องของกรรม

10.00 น. วันที่ 31 ก.ค. นายกู่ค้วง แซ่เฮ้ง อายุ 71 ปี เลขานุการสมาคมพาณิชย์ โรงเรียนหมินเซิน อ.เมือง จ.อุทัยธานี กับนายหลิบเฮี้ยง แซ่เตียว อายุ 71 ปี ชาวจีน ที่เดินทางเข้ามาประกอบอาชีพในประเทศไทยตั้งแต่อายุ 19 ปี ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ 36/43 ตลาดหนองฉาง อ.หนองฉาง จ.อุทัยธานี เดินทางไปพิสูจน์ความเชี่ยวชาญการอ่าน การเขียนภาษาจีน ของ ด.ญ.ทิพย์วรรณ์ ที่บ้าน โดยมีประชาชนสนใจใคร่จะเห็นกับตาตนเอง เดินทางตามไปด้วยเป็นขบวนประมาณเกือบร้อยคน

น้องจิ๋ว ในชุดขาวยื่นกระดาษปากกาให้เขียน ต่อหน้าสักขีพยานที่ตามไปยืนมองด้วยสายตาไม่กระพริบ และได้เห็น ด.ญ.ทิพย์วรรณ์ เขียนคำว่า “โหงว” แปลว่า ห้า และคำว่า “เลียง” แปลว่า ข้างบน คำว่า “ฟุ่ย” แปลว่า เย็น คำว่า “ซา” แปลว่า สาม แล้วน้องจิ๋วได้พยายามสนทนาออกเสียงเป็นภาษาแต้จิ๋ว แต่เหมือนกับลิ้นแข็ง หรือมีปัญหาในช่องปาก จึงออกเสียงไม่ชัดเจน นายกู่ค้วง จึงทดสอบ เขียนภาษาจีนให้อ่าน ดูน้องจิ๋วอ่านได้เป็นบางตัว เสียงไม่ชัดเจนเช่นกัน หลังจากนั้นน้องจิ๋วได้เข้าไปหยิบสมุดที่เขียนภาษาจีนมายื่นให้แก่นายกู่ด้วงด้วย

นายกู่ค้วง รู้สึกตะลึง ไม่เชื่อว่าเด็กหญิงอายุ 13 ปี ไม่เคยเรียนภาษาจีน จะเขียนภาษาจีนได้ดีถึงขนาดนี้ ถึงแม้จะไม่ชัดเจนเป็นบางตัว อักษรก็สามารถจับใจความได้ และจากการดูสมุดที่เขียนไว้ ลายมือสละสลวยทั้งเล่ม สรุปได้ว่าเป็นเด็กที่มีความรู้ภาษาจีน แต่ยังสงสัยอยู่บ้าง ว่าเด็กคนนี้ไปนำคำภาษาจีนจากไหนมาเขียน เพราะบางคำ ลักษณะไปทางเกาหลี ส่วนเรื่องที่มีข่าวว่าน้องจิ๋วเป็นเด็กรับใช้ของเจ้าแม่กวนอิมกลับชาติมาเกิดนั้น นายยกู่ด้วงให้ความเห็นว่า เรื่องของเทพเจ้าเป็นของมองไม่เห็น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อและมีความเป็นไปได้ เท่าที่ตนศึกษาจากพงศาวดารจีนมาหลายเล่ม

ส่วน นายหลิบเฮี้ยง แซ่เตียว ซึ่งได้ดูภาษาจีนของน้องจิ๋วแล้ว ก็กล่าวว่า หนังสือจีนที่น้องจิ๋วเขียนมาให้อ่าน เชื่อว่าเป็นลายมือของคนมีความรู้ ไม่ใช่จดจำมาเขียนอย่างแน่นอน เพราะการเขียนเป็นเล่มสมุดส่วนใหญ่คำไม่ซ้ำกัน แม้ว่าบางคำจะไม่ได้ความหมาย แต่ก็พอจับใจความได้ อย่างเช่นคำว่า “กิมลี้” ที่แปลว่า ทองคำ คำว่า “กาง” แปลว่า อยู่กลาง และคำว่า “ต่าย” แปลว่า ใหญ่ เป็นต้น ถ้าหากว่าเด็กคนนี้พูดได้เหมือนปรกติ ก็จะรู้ว่าไปนำอักษรที่เขียนนี้มาจากที่ใด

นพ.พรเพชร นันทวุฒิพันธ์ หัวหน้ากลุ่มงานโสต ศอ นาสิก รพ.อุทัยธานี ให้ความเห็นว่า น่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท ระบบสมองมากกว่า เพราะการที่เด็กเกิดก่อนกำหนด มีน้ำหนักเพียง 1000 กรัม เชื่อว่าจะต้องมีปัญหาทางด้านสมองตามมาแน่นอน ยินดีรักษาฟรี ส่วนที่เกี่ยวกับความมหัศจรรย์หรือความเชื่อ ไม่ขอแสดงความคิดเห็น

นายปรีดี เกษมทรัพย์ อธิการบดีวิทยสถานแห่งวัฒนธรรมตะวันออก คิดว่าโลกลึกลับเกินสามัญสำนึกของคนเรา เกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ใช่เรื่องงมงาย สมัยที่ตนอายุ 30 ปีเศษ ก็มีความคิดเหมือนกับคนสมัยใหม่ในขณะนี้ ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อไปศึกษาอยู่ในประเทศเยอรมันนี ได้เรียนรู้ชีวิตการเวียนว่ายตายเกิด ทำให้เห็นว่า ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติบางอย่าง ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ เชื่อว่าเป็นไปได้

หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี(พระราชสุทธิญาณมงคล) ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับ ด.ญ.ทิพย์วรรณ์ หรือ น้องจิ๋ว ว่าตามความเห็นแล้วไม่ขอยืนยันว่าเป็นการระลึกชาติได้ เพราะยังไม่เคยพบเห็น ด.ญ.ทิพย์วรรณ์มาก่อนเลย จึงยืนยันไม่ได้ อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อเคยมีเพื่อนคนหนึ่ง เขียนหนังสือได้หลายภาษา ทั้งที่ยังไม่ได้เรียน และเล่าเรื่องอดีตชาติได้ เพื่อคนนี้ชื่อ ดร.กิจ จำนามสกุลไม่ได้ ขณะนี้อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น

..............................................................................................................................

ข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ฉบับวันที่ 3 สิงหาคม 2541

“น้องจิ๋ว” ระลึกชาติ เจอเพื่อน ฮือฮาอีกแล้ว สาวใหญ่ชาวไต้หวันโผล่เยี่ยม “น้องจิ๋ว” หนูน้อยใบ้ ระลึกชาติ ต่างฝ่ายต่างกอดกันกลมด้วยความดีใจ เหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน แถมสนทนากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยทั้งภาษามือ และภาษาจีน หญิงไต้หวันยัน ภาษาที่น้องจิ๋วเขียน ส่วนใหญ่ถูกต้อง เป็นภาษาจีนแผ่นดินใหญ่ผนวกไต้หวัน พอนำมาผสมกันเลยทำให้จับใจความยาก พ่อแม่เผยสุดตื้นตันที่มีคนยื่นมือช่วยลูกสาว ตั้งความหวังอยากให้หายเป็นปรกติพูดได้เหมือนเด็กทั่วไป

10.30 น. วันที่ 1 ส.ค. ได้มีหญิงชาวไต้หวันอายุประมาณ 50 ปี พร้อมเพื่อนคนไทย นั่งรถแวนมิตซูบิชิสีบรอนซ์ทองทะเบียนกาญจนบุรี แต่งกายนุ่งกระโปรงอัดจีบสีน้ำเงิน สวมเสื้อคอดอกบัวสีขาว มีผ้าพาดบ่าสไบเฉียง

เมื่อทั้งสองพบหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างโผเข้ากอดกัน เหมือนกับเคยรู้จักกันมาก่อน พร้อมกับหอมแก้มกัน ทำเอานางประทุมวันมารดาของน้องจิ๋วที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ถึงกับยืนซึมน้ำตาคลอเบ้า ด้วยความตื้นตัน ทั้งๆที่ไม่มีใครเคยพบเจอกันมาก่อน

น้องจิ๋ว เขียนอักษรจีนคำว่า “ฮั่วไท้” แปลว่า โชคดี และ “เผิงเหย่ว” แปลว่า เรามาเป็นเพื่อนกัน และเขียนในเชิงเป็นคำถาม ถามหญิงชาวไต้หวันที่มาเยี่ยมว่า “คุณชื่ออะไร พอจะพูดคุยกับเรารู้เรื่องหรือไม่ “ ซึ่งหญิงคนดังกล่าวได้แต่ยิ้มด้วยความชอบใจ และบอกหนูน้อยว่า ให้ลองทายชื่อของตนเองดู ทำเอาน้องจิ๋วอ้ำอึ้งไปพักหนึ่ง หญิงไต้หวันจึงแกล้งถามว่า “ชื่อ สุภาพร ใช่ไหม” น้องจิ๋วส่ายหน้าว่าไม่ใช่ และได้เขียนตอบว่า “แซ่ก๊วน” หญิงชาวไต้หวันก็ยอมรับว่าใช่

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวได้สอบถามหญิงชาวไต้หวันคนดังกล่าว แต่เจ้าตัวไม่ยอมเปิดเผยชื่อจริง บอกเพียงแต่ว่าตนเองเดินทางมาแสวงบุญในเมืองไทย และอยู่มานานหลายปี จนพอรู้ภาษาไทย ขณะทำการปฏิบัติธรรมได้เห็นข่าวของน้องจิ๋วทางหน้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ รู้สึกผูกพัน จึงเดินทางมาพบเพื่อนที่ จ.อุทัยธานี ให้พามาที่บ้านน้องจิ๋วในวันนี้ โดยจากการสังเกตและได้สนทนากัน ถึงแม้ว่าจะไม่ชัดเจนนัก แต่ก็พอจับใจความได้ว่า

น้องจิ๋ว อดีตชาติก่อนที่จะเกิดเป็นมนุษย์ มีชื่อว่า “อินต้าฮู้” ซึ่งเป็นชื่อของหมอจีนโบราณ ส่วนภาษาที่น้องจิ๋วนำมาให้ดูและที่เขียน ส่วนใหญ่ถูกต้อง มีความหมายชัดแจ้ง ภาษาที่ใช้เป็นภาษาจีนแผ่นดินใหญ่ผนวกกับไต้หวัน แต่ภาษาทั้งสองนี้ไม่เหมือนกัน เมื่อนำมาผสมกันจึงอ่านจับใจความได้ยาก

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อไปว่า หลังจากหญิงไต้หวันได้สนทนากับน้องจิ๋ว พอสมควรแล้ว น้องจิ๋ว ได้พาคณะของผู้มาเยี่ยมเข้าไปดูในห้องนอน ซึ่งในที่นั้นมีภาพของเทพเจ้า 3 องค์ ที่อยู่ในระดับสูงสุดเรียกว่า “อนุตร” ที่หิ้งบูชามีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมตั้งอยู่ น้องจิ๋วได้สวดด้วยคำภาษาจีน พร้อมกับชวนเพื่อนสมาชิกชาวไต้หวันร่วมสวดมนต์ด้วย โดยภายหลังจบสิ้นคำสวด น้องจิ๋วได้เข้าสวมกอดพร้อมขอหอมแก้มหญิงแซ่ก๊วนอีกครั้ง ก่อนที่คณะผู้มาเยี่ยมจะขอตัวกลับ ทำเอาน้องจิ๋วมีอาการอาลัยอาวรณ์ไม่น้อย แต่ก็ต้องตัดใจลา โดยทั้งสองประสานมือคารวะกันแบบจีน แล้วเอ่ยว่า “ไจ้เจี๊ยน” แปลว่า ลาก่อน และ “เซียะๆ” หมายถึง ขอบคุณ

นางประทุมวัน กล่าวว่า ครอบครัวตนรู้สึกตื้นตันใจมาก ที่มีผู้ปรารถนาดีต่อลูกสาวมากมาย ซึ่งต้องขอขอบคุณไทยรัฐ ที่ได้เสนอข่าวทำให้ลูกสาวตน มีโอกาสได้รับการรักษาให้หายเป็นปรกติ พูดได้เหมือนคนอื่น

..............................................................................................................................

ข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ฉบับวันที่ 4 สิงหาคม 2541

น้องจิ๋ว เขียนได้ภาษาจีน อาจเป็นลิ้นไก่สั้น นำมาออกทีวีพิสูจน์

“น้องจิ๋ว” เด็กใบ้วัย 13 ที่เขียนภาษาจีนได้เป็นเล่มๆ ทั้งๆที่ไม่ได้เรียนจากที่ไหนมาก่อน รายการตี 10 ช่อง 3 วิทวัส สุนทรวิเนตร์ นำมาให้ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาจีนและเรื่องราวตำนาน ของเจ้าแม่กวนอิม พิสูจน์อย่างจะจะ

ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาจีนซักถามโต้ตอบกันอยู่นานจนพบว่า “น้องจิ๋ว” อยู่ในขั้นเด็กอัจฉริยะ ที่วัยแค่นี้สามารถเขียนและพูดจีนได้ แถมยังพบว่า “น้องจิ๋ว” ไม่ได้เป็นใบ้จริง เพียงแต่ลิ้นไก่สั้น ตอบออกเสียงเบามาก ครูที่เคยสอนเผย น้องจิ๋วกินแต่อาหารผักไม่เคยแตะต้องเนื้อสัตว์

12.00 น. วันที่ 2 ส.ค. 2541 นายสมควร นางปทุมวัน ได้พา ด.ญ.ทิพย์วรรณ์(น้องจิ๋ว) มาพบกับ นายวิทวัส สุนทรวิเนตร์ ที่ได้เชิญมาพิสูจน์ข้อเท็จจริง และอัดเทปรายการ ตีสิบ ที่บริเวณชั้น 6 ห้างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า โดยมีชาวไทยจีนและผู้นับถือเจ้าแม่กวนอิมสนใจเข้าร่วมรายการ หลายร้อยคน เพื่อต้องการพิสูจน์ความจริงว่าเป็นไปได้แค่ไหนอย่างไร ข้อเท็จจริงพิสูจน์ได้แค่ไหน โดยทาง นายวิทวัส สุนทรวิเนตร์ เจ้าของรายการได้เชิญ ศาสตราจารย์ เจริญ วรรธนะสิน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาจีนและเรื่องราวของเจ้าแม่กวนอิม มาเป็นพิธีกรร่วมกับ นายวิทวัส เพื่อเป็นผู้พิสูจน์ด้วย

ด.ญ.ทิพย์วรรณ์ อรุณศิริ บอกว่าตนเป็นคนรับใช้เจ้าแม่กวนอิม แต่มีหน้าที่ระดับต่ำ อยู่ใต้แทบเท้าของเจ้าแม่กวนอิม เมื่อลองให้เขียนภาษาจีนว่าตนเป็นใคร มาอย่างไร ให้น้องจิ๋วเขียน น้องจิ๋วก็เขียนชื่อลงในกระดาษเป็นคำๆ ศ.เจริญ อ่านออกเป็นบางตัว บางตัวอ่านไม่ออก พร้อมกับให้ผู้ชมรายการคนหนึ่งชื่อ นางเพชรรัตน์ จุติธรรมรัตน์ อายุ 45 ปี ผู้เชี่ยวชาญภาษาจีน ร่วมแปลคำที่น้องจิ๋วเขียนด้วย

เมื่อแปลออกมา คำที่ระบุว่า “กิมพ้า เทียนซื่อ” ศ.เจริญบอกว่า เป็นชื่อพาหนะหรือเป็นตำแหน่งรับใช้ของเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งไม่ได้ระบุว่าเป็นอะไรแน่ชัด

ผู้ร่วมรายการที่ทราบประวัติความเป็นมาของเจ้าแม่กวนอิม จึงได้เปิดเผยว่า ตำแหน่ง “กิมพ้า เทียนซื่อ” นี้จะมีสัตว์สำคัญ 3 ชนิด คือ มังกร เต่า และปลา เป็นพาหนะของเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งเจ้าแม่ยังมีสัตว์อีกหลายชนิดคอยรับใช้ เช่น มีนกคอยรับใช้ดูแลประคำของเจ้าแม่กวนอิม ระหว่างนั้นมีผู้ร่วมรายการเขียนชื่อภาษาจีนอีกหลายคำให้ น้องจิ๋วอ่านให้ฟัง ปรากฏว่าน้องจิ๋วสามารถอ่านออกเสียงได้ แต่เบามาก

นายวิทวัส ให้วาดรูปเจ้าแม่กวนอิมให้ดู น้องจิ๋ววาดรูปเจ้าแม่กวนอิมยืนบนหลังมังกรให้ดูทันที สร้างความทึ่งและความแปลกใจให้แก่ผู้จัดรายการและผู้ร่วมรายการจำนวนมาก พร้อมกันนี้ยังได้เขียนภาษาจีนอีกหลายคำให้อ่านอีกด้วย ศ.เจริญ บอก อัจฉริยะ รายการจะออกอากาศ วันพุธที่ 5 ส.ค. 2541

นางกัลยา แซ่เล็ก อายุ 50 ปี อาชีพค้าขาย อยู่บ้านเลขที่ 33 ถนนพัฒนาการ เขตประเวศน์ กทม.กล่าวว่า ตนได้อ่านตามข่าวแล้วเชื่อว่า น้องจิ๋วเป็นผู้รับใช้เจ้าแม่กวนอิมจริง และอดีตชาติคงเป็นเทพ ตัวอักษรที่น้องจิ๋วเขียนทางหน้าหนังสือพิมพ์ เป็นอักษรที่เทพใช้กันในหมู่เทพ พวกเทพเท่านั้นที่จะสื่อความหมายเข้าใจกันได้ดี ตนอยากมาสัมผัสเนื้อตัวเพื่อเป็นศิริมงคล และได้ฝากหยกเจ้าแม่กวนอิมไว้ให้น้องจิ๋ว

นายสะอาด อบชาย อายุ 62 ปี อยู่บ้านเลขที่ 76 หมู่ 3 ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี ข้าราชการบำนาญ อดีตครูสอนโรงเรียนบ้านหนองตางู ที่เคยสอนน้องจิ๋วเปิดเผยว่า

สมัยที่น้องจิ๋วเป็นลูกศิษย์ มีความสนิทสนมกับตนเป็นพิเศษ เพราะเห็นว่าเป็นเด็กที่พูดไม่ได้ ตนเป็นผู้นำไปทานอาหารกลางวันของโรงเรียน ซึ่งน้องจิ๋วจะชอบกินอาหารรสไม่จัด ที่น่าสังเกตคือ ไม่ยอมทานเนื้อเลย กินแต่อาหารผักอย่างเดียว สมัยเรียนชั้น ป.2 น้องจิ๋วสนใจการร่ายรำ จนได้รับคัดเลือกจากโรงเรียน ให้ไปรำอวยพรวันเกษียณอายุราชการของตน ที่น่าทึ่งคือ น้องจิ๋วจะมีความจำดีเลิศ ฝึกง่าย ส่วนเรื่องเกี่ยวกับภาษาจีนนั้นตนไม่ทราบ เพราะไม่เคยเห็นเขียน ขนาดภาษาไทยยังเรียนรู้แค่ งูๆ ปลาๆ น้องจิ๋วเขียนภาษาจีนได้อย่างไร ส่วนการระลึกชาติหรือการกลับชาติมาเกิดนั้น นายสะอาด ไม่ออกความคิดเห็น

..............................................................................................................................

ข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ฉบับวันที่ 5 สิงหาคม 2541

“พ่อแม่ยินดี รพ.ยันฮีช่วยรักษา” น้องจิ๋วอัจฉริยะให้พูดได้ พระเจ้าอาวาสที่อยู่ใกล้บ้านว่า เป็นเรื่องเหลวไหลถ้าไม่มีการเรียนจะรู้ได้อย่างไร สงสัยจะมีคนแอบสอนให้เขียนภาษาจีนมากกว่า

ให้หมอตรวจ เขียนคำว่า ”ไต๋” แปลว่า ใหญ่ “จุ้ย” แปลว่า น้ำ “เทียน” แปลว่า ฟ้า “เลียง” แปลว่า ข้างบน นพ.พรเพชร ผู้เชี่ยวชาญและ นพ.อรุณ แต่สิงห์ตรง ผอ.รพ.อุทัยธานี พออ่านได้ แต่พอเขียนหลายๆคำ นพ.ทั้งสองอ่านไม่ออก เพราะไม่ใช่ภาษาจีนกลางที่เคยรู้ แนะนำให้ไปฝึกพูดกับ พญ.สุนันทา พลปัดพี หน.หน่วยการตรวจการได้ยินและฝึกพูด รพ.ศิริราช ตอนนี้เด็กพูดเป็นคำๆได้ แต่พูดเป็นประโยคไม่ได้ ไม่ได้ลิ้นไก่สั้น เพียงแต่อวัยวะในช่องปาก มีการผสมอักษรไม่ดี การออกเสียงเปล่า คำพูดออกมาจากสายเสียงจะต้องมีสัมพันธ์กับอวัยวะภายใน ต้องใช้ผนังคอ ลิ้น ลิ้นไก่ให้มากขึ้น

ผู้สื่อข่าวไปพบกับ พระมหานิพนธ์(มหาฟู) สุภธมฺโม เจ้าอาวาสวัดธรรมโสภิต อ.เมือง จ.อุทัยธานี ซึ่งให้ความเห็นว่า ครอบครัวนี้ พ่อเป็นคนเจ้าอารมณ์ แม่เป็นคนทรงเจ้า ไม่เชื่อ น่าจะเป็นเรื่องเหลวไหลกุกันขึ้นมา การระลึกชาติได้นั้น จะมีเพียงแต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ทรงสำเร็จ “ปุพเพนิวาสานุสติญาณ” หรือญาณเป็นเครื่องระลึกในชาติก่อน เพราะฉะนั้น ถ้าหากมีผู้อุตริมาอวดอ้างว่าระลึกชาติได้ ก็อย่าไปเชื่อเลย ยิ่งเจ้าแม่กวนอิม ท่านเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ก็มักจะเป็นที่นิยมชมชอบ ถูกนำมาเป็นเครื่องมือหากินมากกว่า คนฉลาดเขาไม่เชื่อกัน โดยหลักความจริงแล้ว ถ้าไม่เรียน จะรู้ได้อย่างไร เด็กคนนี้อาจถูกใครสอนภาษาจีน แล้วมีความจำแม่นมากกว่า

นายเฉลิมชัย ทรงสุข ที่ปรึกษา รพ.ยันฮี ถ.จรัญสนิทวงศ์ รับรักษาฟรี ไม่ว่าจะเป็นการรักษา จนกระทั่งผ่าตัด พ่อแม่น้องจิ๋วตอบรับ

..............................................................................................................................

นี่คือเรื่องราวของ “น้องจิ๋วมหัศจรรย์” ที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐและหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เมื่อประมาณ 12 ปีที่แล้ว ซึ่งสรุปปิดท้ายที่ความคิดเห็นของ ท่าน พระมหานิพนธ์ สุภธมฺโม หรือ “มหาฟู” เจ้าอาวาสวัดธรรมโสภิต อ.เมือง จ.อุทัยธานี ที่ไม่เชื่อเรื่องนี้ เพราะว่า พ่อของน้องจิ๋วเป็นคนเจ้าอารมณ์ แม่เป็นคนทรงเจ้า จึงไม่น่าเชื่อถือ และไม่เชื่อว่า การอ่านเขียนภาษาจีนของน้องจิ๋วนั้น เป็นความทรงจำจากอดีตชาติ แต่คิดว่าน่าจะมีคนแอบสอนให้และเคยเรียนรู้มาก่อน จึงสามารถอ่านออกเขียนได้ และไม่เชื่อว่าน้องจิ๋วจะระลึกชาติได้ โดยบอกว่าการระลึกชาติได้นั้น จะมีก็เพียงแต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ทรงสำเร็จ “ปุพเพนิวาสานุสติญาณ” หรือญาณเป็นเครื่องระลึกในชาติก่อน เพราะฉะนั้น ถ้าหากมีผู้อุตริมาอวดอ้างว่าระลึกชาติได้ ก็อย่าไปเชื่อเลย....

ผู้เขียนเคยสอบถามเกี่ยวกับท่าน “พระมหาฟู” หรือ พระมหานิพนธ์ หรือต่อมา(2548)คือ พระครูอุทัยปริยัติโสภณ จาก นายสมควร อรุณศิริ พ่อของน้องจิ๋ว ปรากฏว่าท่านพระมหาฟูกับครอบครัวของพ่อน้องจิ๋ว เคยมีความขัดแย้งกันมาก่อน เรื่องที่ดินของวัดหนองตางู

เป็นกรณีของที่ดินที่มีผู้ศรัทธาถวายให้กับวัดหนองตางูมาเกือบร้อยปีแล้ว แต่ทางวัดยังไม่ได้โอนเป็นทรัพย์สินของวัด ต่อมา นายท้าย ซึ่งเป็นมัคนายกวัดหนองตางู ได้ขอโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวจากเจ้าอาวาส มาโอนเป็นชื่อของตัวเอง และต่อมามีท่านพระมหาฟู มาดำเนินการต่อเพื่อจะโอนที่วัดดังกล่าวมาเป็นของตัวเอง จนกระทั่ง หลวงตาเภา ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าของ นายสมควร นายสมควร และชาวบ้านหนองตางู ได้รวมตัวกันเดินทางไปประท้วงขอที่ดินวัดคืนจากพระมหาฟู ที่บ้านของสารวัตรใหญ่ สภอ.เมือง จังหวัดอุทัยธานี มาแล้ว นายสมควรบอกว่าตอนนี้ นายท้ายตกลงจะโอนกลับมาเป็นของวัดหนองตางูแล้ว กำลังดำเนินการอยู่ แต่พระมหาฟูขอเงินที่ท่านได้ดำเนินการโอนที่ดินแปลงนี้ จำนวน 17,000 บาทคืน จนมีชาวบ้านกับพรรคพวกของพระมหาฟู มีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน ตอนนี้คดีความอยู่ที่ศาลอาญา จังหวัดอุทัยธานี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ พระมหาฟู จะพูดให้สัมภาษณ์ถึงครอบครัวของ นายสมควร กับนักข่าวแบบนั้น

ส่วนกรณีที่ พระมหาฟู ท่านบอกว่า การระลึกชาติได้นั้น จะมีเพียงแต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ทรงสำเร็จ “ปุพเพนิวาสานุสติญาณ” หรือญาณเป็นเครื่องระลึกในชาติก่อน

อันนี้คงจะไม่เป็นความจริง เพราะนอกจาก สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังมีภิกษุ ภิกษุณี และพระอรหันต์ ที่ได้ "ปุพเพนิวาสานุสติญาณ" สามารถระลึกชาติได้อีกหลายหมื่นรูป(ในพระไตรปิฎก โดยเฉพาะ เล่มที่ 33 ทั้งเล่ม) มีพระเกจิอาจารย์หรือผู้ปฏิบัติสมาธิจิต ในประเทศไทย ที่สามารถระลึกชาติได้เป็นอันมาก และยังมีกรณีของเด็กที่จำอดีตชาติได้ เท่าที่มีการรวบรวมข้อมูลศึกษาวิจัยทั่วโลกพบแล้วอีกกว่า 5,000 ราย และคาดว่าจะมีในทุกท้องถิ่น ทุกชาติ ทุกศาสนา เพียงแต่บางท้องถิ่น บางชาติ บางศาสนา ไม่เชื่อ ไม่ได้สังเกต หรือไม่รู้วิธีสังเกต เท่านั้นเอง

กรณีของเด็กที่สามารถพูดหรือรู้ภาษาที่ไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อนได้

สำหรับกรณีของการที่เด็กเกิดมาแล้ว สามารถอ่านเขียนภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาของคนในครอบครัว ไม่ใช่ภาษาท้องถิ่น ไม่เคยได้รับรู้ หรือเรียนรู้ภาษานั้นๆมาก่อน ในทางวิชาการ ดร.เอียน สตีเวนสัน ผู้ศึกษาวิจัยกรณีของการกลับชาติมาเกิด ท่านเรียกว่าปรากฏการณ์ “Xenoglossy” คือ การรู้ภาษาหนึ่งหรือหลายภาษาได้เอง โดยที่ไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อน ซึ่งพบในกรณีของเด็กที่จำอดีตชาติได้ และในกรณีของการสะกดจิตย้อนอดีตชาติหลายกรณี เช่น

กรณีของ Mishra Swarnlatta เด็กหญิงในอินเดีย ที่ปกติครอบครัวของเธอและชาวบ้านในถิ่นนั้นพูดภาษาฮินดี แต่เธอสามารถร้องเพลงภาษาเบงกอล ที่อยู่ทางภาคเหนือของอินเดียได้ โดยที่ไม่เคยได้รับรู้หรือเรียนรู้มาก่อน ซึ่งภาษาเบงกอลที่เธอร้องออกมานั้น ศาสตราจารย์ พี พอล(Professor P. Pal) แห่งวิทยาลัยอิตาชูนา ในเบงกอลตะวันตก ได้พิสูจน์แล้ว ยืนยันว่าเป็นภาษาเบงกอลจริง เป็นกรณีหนึ่งในหลายกรณี ของการที่เด็กรู้และพูดภาษาอื่นได้ทั้งๆที่ไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อน ซึ่งอยู่ในผลงานการศึกษาวิจัย การกลับชาติมาเกิดใหม่ ของ ดร.เอียน สตีเวนสัน

หรือกรณีของ บงกช พรมศิลป์ ที่ อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ ที่จำอดีตชาติได้ว่าเป็นลูกของครอบครัวชาวภาคอีสาน ที่ถูกฆ่าตาย มาเกิดใหม่ พูดภาษาอีสานได้ ทั้งที่คนในครอบครัวไม่มีใครพูดภาษาอีสาน เป็นต้น

สำหรับกรณีของน้องจิ๋วมหัศจรรย์นี้ นับว่ามีข้อมูลที่น่าสนใจอยู่หลายประการ ที่ควรค่าแก่การบันทึกไว้เพื่อการศึกษาค้นคว้าหาความจริงในอนาคตต่อไป ถึงแม้ว่าในทางวิชาการจะถือว่าเป็นกรณีศึกษาที่ไม่สามารถไปพิสูจน์อดีตชาติได้ เพราะนักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถไปสวรรค์หรือไปพบกับเจ้าแม่กวนอิมได้

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ในทางวิชาการจะยังไม่สามารถพิสูจน์ภพภูมิสวรรค์ได้ แต่เรื่องราวอันน่าอัศจรรย์เหล่านี้ ก็ยังคงปรากฏให้หลายๆคนได้ประจักษ์อยู่เนืองๆ และยังคงย้ำเตือนบรรดานักวิทยาศาสตร์หัวโบราณทั้งหลาย ที่คิดว่าถ้าไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้แล้ว ตัวเองจะเป็นนักวิทยาศาสตร์กว่า ว่าอย่าได้ด่วนสรุปว่า มันไม่มีอยู่จริง

เพียงแต่ท่านต้องยอมรับความจริง ตามที่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ในปัจจุบันนี้ค้นพบว่า "จิตหรือวิญญาณ" ของคนเรานั้น ไม่ได้สิ้นสุดลงที่ความตาย หรือไม่ได้สิ้นสุดที่ร่างกายและสมองหยุดทำงานโดยสิ้นเชิง สภาวะชีวิตหลังความตาย และสภาวะอื่นๆที่เราไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยสัมผัสทั้ง 5 ของปุถุชนคนธรรมดา อันได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น และร่างกาย ได้นั้นมีอยู่ ไม่ใช่เรื่องงมงาย และไม่ใช่สิ่งเหนือธรรมชาติอย่างที่เข้าใจกัน แต่มันเป็นธรรมชาติที่มีอยู่จริง เพียงแต่เรายังไม่สามารถรู้และเข้าถึงมันได้ง่ายๆ เท่านั้นเอง

หากท่านมีคำถามว่า แล้วจะรู้ และจะพิสูจน์ได้อย่างไร ? ก็ต้องตอบว่า ทุกคนสามารถรับรู้ได้ และสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง โดยการฝึกใช้สัมผัสที่ 6 ที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์เราทุกคน นั่นคือ "จิต" ของคนเรานั่นเอง ถ้าหากว่าเราสามารถฝึกจิตของเราให้สงบเป็นสมาธิมีพลังควรแก่การงานได้ เราก็สามารถน้อมจิตไปเพื่อรู้ และเพื่อพิสูจน์ความจริง ที่ไม่มีเครื่องมือชั่งตวงวัดทางวิทยาศาสตร์ใดๆ สามารถพิสูจน์ในสิ่งที่ยังค้างคาในใจของมนุษย์ทุกผู้ทุกคนนี้ได้ เมื่อท่านได้พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้ว ท่านก็จะหมดความสงสัย และจะได้ก้าวเดินต่อไปในทางที่ถูก ที่ควรกันเสียที

อัพเดทข้อมูลล่าสุดของน้องจิ๋วมหัศจรรย์ !!

เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2553

เมื่อ 12 ปีที่แล้ว น้องจิ๋วได้เขียนบันทึกบอกเล่าเรื่องราวภาษาจีนปริศนาของเธอ ไว้ในสมุดเล่มหนาจำนวนมากกว่า 10 เล่ม หรือกว่า 300 หน้า ทั้งๆที่น้องจิ๋วเรียนหนังสือแค่ชั้นประถมปีที่ 2 เท่านั้น เธอยังอ่านหนังสือไม่ออกและเขียนหนังสือยังไม่เป็นประโยค (เธอเขียนได้เพียงแค่ชื่อของตัวเองเท่านั้น) แถมเธอยังไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้เหมือนกับเด็กๆทั่วไป แต่เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่เธอสามารถฟังภาษาจีนและเขียนอักษรภาษาจีน ซึ่งมีตัวอักษรจีนจำนวนมากที่เธอเขียนได้อย่างถูกต้องตามหลักการเขียนภาษาจีนและมีตัวอักษรหลายตัวเป็นตัวอักษรจีนที่สามารถแปลความหมายได้ ในขณะที่เธอยังไม่สามารถเขียนหรือพูดภาษาไทยเป็นประโยคได้ด้วยซ้ำไป

เรียบเรียงโดย เว็บมาสเตอร์ : ธวัชชัย ขำชะยันจะ