พ.ต.อ.ชติ สัทธาพงศ์

พ.ต.อ.ชติ สัทธาพงศ์

อดีตชาติเป็นเทวดากลับมาเกิดเป็นมนุษย์

บุคคลระลึกชาติได้ คือ ข้อพิสูจน์ยืนยันเรื่องราวการเวียนว่ายตายเกิดได้ชัดเจนที่สุด ผู้ระลึกชาติได้เท่าที่ปรากฏเป็นส่วนมาก คือบุคคลที่ตายไปแล้วและกลับมาเกิดใหม่อีก หมายถึงตายจากความเป็นมนุษย์และกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก หรือบางคนจำได้ว่าชาติก่อนเกิดเป็นสัตว์ เป็นช้าง เป็นงู เมื่อมาเกิดชาตินี้มีโอกาสมาเกิดเป็นคนก็มี แต่สำหรับผู้ที่ระลึกชาติได้ว่าอดีตชาติเป็นเทวดาแล้วมาเกิดใหม่เป็นคนนั้นมีน้อยมาก

ผู้ที่ระลึกชาติเป็นเทวดาแล้วมาเกิดเป็นมนุษย์รายนี้ คือ พ.ต.อ.ชติ สัทธาพงศ์ ซึ่งเรื่องการระลึกชาติของท่าน ได้มีการเขียนบันทึกไว้เป็นหลักฐานด้วยตัวของท่านเอง ดังปรากฏเรื่องราวอยู่ในหนังสืออนุสรณ์ ในงานพระราชทานเพลิงศพท่าน พ.ต.อ ชติ สัทธาพงศ์ เองเมื่อ วันที่ 28 เมษายน 2535 โดยมีรายละเอียดดังนี้

ท่านจำได้ว่า สภาวะของการเป็นเทวดาของท่านนั้น ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นมานานเท่าใด มีรูปลักษณ์เช่นไร จำได้แต่เพียงว่าน่าจะมีสรีระรูปร่างเช่นเดียวกับมนุษย์ แต่เป็นกายทิพย์ ไม่รู้สึกหิว ไม่ต้องการอาหาร หรือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น จำได้แต่เพียงว่า มีอิริยาบถนอนอยู่บนแท่น แวดล้อมด้วยความว่างเปล่า คล้ายๆท้องฟ้า ลักษณะของแท่นไม่ใช่แท่นหินหรือแท่นไม้แต่บางใสคล้ายหมู่เมฆบางๆ เป็นแท่นนุ่มหยุ่นซึ่งนอนแล้วแสนสบาย และเป็นความสบายที่ไม่อาจอธิบายได้ ความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงกระทั่งจำได้ เป็นความรู้สึกฝังอยู่ในความทรงจำอย่างแม่นยำ ก็คือแท่นอันแสนสบายนั้นเกิดแข็งกระด้างขึ้นมาจนความสุขสบายหายไป ไม่อาจทนนอนอยู่ต่อไปได้ต้องเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนั่ง

พ.ต.อ.ชติ เล่าว่า เมื่อนั่งอยู่บนแท่น มองเห็นสภาพแวดล้อมรอบกายมีลักษณะเป็นท้องฟ้าสีครามกว้างไกล มองขึ้นไปมีแต่ฟ้าสีครามทั้งหมด ปรารถนาอยากได้เพื่อนมาเป็นคู่สนทนาด้วย แต่ไม่มีใครเลยนอกจากตัวเองแต่ผู้เดียว ครั้นมองต่ำลงไปเห็นแดนของเทวดากลุ่มใหญ่ชุมนุมกันอยู่ เทวดากลุ่มนั้นกำลังสนุกสนานรื่นเริงอย่างเต็มที่ พ.ต.อ.ชติ ขณะเป็นเทวดาผู้โดดเดี่ยว ต้องการจะไปรวมกลุ่มกับเทวดาที่เห็นอย่างที่สุด แต่ไปได้ไม่รู้จะไปได้อย่างไร คล้ายกับมีพลังลึกลับบังคับให้อยู่ ณ แท่นของตน ทันใดนั้นได้มีคำสั่งกึ่งบังคับบัญชามาว่า

“ถึงเวลาไปเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ท่านเทพ”

ความรู้สึกของ พ.ต.อ.ชติ เวลานั้นไม่อยากไปเกิดในโลกมนุษย์ จึงตอบไปว่า

“ข้าพเจ้าไม่อยากไปเกิดเป็นคน ขออยู่ที่นี่ดีกว่า”

“ต้องไป หมดเวลาแล้ว ต้องไปอยู่เมืองมนุษย์ ถึงเวลาจะต้องกลับมา จะไม่อยากกลับมาเสียอีก”

“ไม่จริงหรอก อย่าให้ข้าพเจ้าไปเลย”

พ.ต.อ.ชติ ยืนยันความตั้งใจ แต่เสียงนั้นสั่งย้ำว่า

“หมดเวลาแล้ว”

จากนั้นร่างของ พ.ต.อ.ชติ ก็ลอยเลื่อนออกจากแท่นที่อยู่ของตัวเองโดยไม่อาจขัดขืน ได้ลอยต่ำลงมาจนถึงแดนของเทวดาที่เห็น และพบว่าพื้นที่ของแดนนี้มีความสว่างไสวดูน่ารื่นรมย์เกินจะพรรณนา เทวดาที่จับกลุ่มกันอยู่มีกลุ่มละ 7-8 องค์บ้าง 2-3 องค์บ้าง ในกลุ่มมีเทพธิดารวมอยู่ด้วย แต่ละองค์พูดจาสนทนากันอย่างมีความสุข และสนุกสนานเพลิดเพลิน เทวดาและเทพธิดาเหล่านั้น อยู่ในที่โล่งแจ้งบ้าง อยู่ในวิมานบ้าง วิมานแต่ละหลังมีลักษณะคล้ายศาลา แต่มีความวิจิตรงดงามแพรวพราวมากกว่าหลายเท่า วิมานบางหลังมีเสียงขับร้องและเสียงดนตรีไพเราะเสนาะโสตดังแว่วตลอดเวลา

พ.ต.อ.ชติ อยากจะหยุดทักทายพูดคุยด้วยแต่ไม่สามารถทำได้ ที่น่าแปลกอีกอย่างหนึ่งก็คือ พ.ต.อ.ชติ ซึ่งขณะนั้นก็เป็นเทวดาด้วยกัน คล้ายกับว่าเทวดาและเทพธิดาทุกองค์มองไม่เห็นฉะนั้น

พ.ต.อ.ชติ ลอยเลื่อนไปเรื่อยๆ กระทั่งมีความรู้สึกหล่นวูบลงมาจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ คราวนี้มารู้สึกตัวว่าเป็นดวงวิญญาณมีลักษณะกลมๆ และมีรัศมีกระจายออกไปโดยรอบ ส่วนรูปร่างของเทวดาหายไป จุดที่ดวงวิญญาณมาลอยนิ่งอยู่นั้น อยู่เหนือสะพานผ่านฟ้าฯ ถนนราชดำเนิน สูงจากพื้นดินประมาณความสูงของตึกสองชั้น บรรยากาศโดยรอบสว่างแต่สงบสงัด จนทำให้รู้สึกว้าเหว่เปล่าเปลี่ยว และไม่รู้ว่าจะไปที่ใด ทันใดนั้นก็มีดวงวิญญาณอีกดวงหนึ่งลอยมาจากป้อมพระกาฬ แล้วมาหยุดนิ่งเคียงคู่กัน ดวงวิญญาณของ พ.ต.อ.ชติรู้สึกดีใจ หายว้าเหว่ที่มีเพื่อนร่วมทาง

จากนั้นวิญญาณทั้งสองดวงก็ลอยเลื่อนคู่กันจากสะพานผ่านฟ้าฯ ไปทางนางเลิ้งตามแนวถนนนครสวรรค์ ก่อนถึงสี่แยกนางเลิ้งเล็กน้อย สมัยนั้นมีลำคลองเล็กๆ จากข้างวัดโสมนัสฯ ไปทะลุคลองข้างวัดสระเกศฯ ทางขวามือมีสะพานไม้แคบๆ ขนาดคนสองคนหลีกกันได้ สะพานไม้นี้เลาะเลียบไปตามริมคลองและมีบ้านเรือนที่อยู่อาศัยปลูกสร้าง ติดกับสะพาน แต่อยู่ห่างๆ กัน ดวงวิญญาณที่มาจากป้อมพระกาฬ ลอยแยกไปทางสะพานไม้แล้วหายแว้บไป ดวงวิญญาณของ พ.ต.อ.ชติจะลอยตามไปบ้างแต่กระทำไม่ได้ ต้องลอยไปในทิศทางเดิม กระทั่งมาถึงตรงหน้าโรงหนังนางเลิ้ง (เฉลิมธานี) ก็หลุดลอยนิ่งอยู่

ดวงวิญญาณของ พ.ต.อ.ชติ รู้ขึ้นมาเองว่าลอยต่อไปจนถึงสนามม้านางเลิ้ง (ราชตฤณมัย) แล้วเลี้ยวซ้ายจะพบที่อยู่น่าอยู่มาก ดวงวิญญาณอยากจะไปแต่ไปไม่ได้ คงลอยนิ่งอยู่ที่เดิม กระทั่งวิญญาณคล้ายกับถูกพลังลึกลับบังคับให้ลอยไปทางโรงหนังนางเลิ้งทั้ง ๆ ที่ไม่อยากไป จากนั้นก็ไม่รู้สึกอะไรเลย มารู้สึกตัวอีกครั้งเหมือนอยู่ในถ้ำมืด มีความอึดอัดคับแคบไม่สบาย แต่บางช่วงก็หมดความรู้สึกไป (อยู่ในครรภ์มารดา) ตราบจนคลอดออกมาเป็นบุตรชายของ อำมาตย์พระสัทธาพงศ์พิรัชพากย์ (ต่วย สัทธาพงศ์)

เมื่อเจริญวัยพอรู้ความ ก็จดจำเรื่องราวในอดีตที่ท่านเป็นเทวดา และเปลี่ยนสภาวะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อย่างแม่นยำ การระลึกชาติได้ของ พ.ต.อ.ชติ สัทธาพงศ์ แสดงว่าเทวดานั้นมีจริง ๆ และเทวดาก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดเช่นเดียวกับมนุษย์เช่นกัน การเกิดเป็นเทวดาอาศัยกุศลผลบุญเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้มาเกิด และเทวดานั้นก็มีหลายชั้นหลายระดับ มีความสุขมากสุขน้อยแตกต่างกันออกไป เมื่อใดที่หมดอายุของการเกิดเป็นเทวดา เมื่อนั้นก็ต้องมาเกิดใหม่ จะเกิดเป็นอะไร? เกิดที่ไหน? เกิดในครอบครัวมีฐานะอย่างไร? ต้องแล้วแต่กฎแห่งกรรมผลักดันให้ไปเกิด เกิดในครอบครัวมีฐานะอย่างไร? ต้องแล้วแต่กฎแห่งกรรมผลักดันให้ไปเกิด

นอกจาก พ.ต.อ.ชติ สัทธาพงศ์ จะระลึกชาติได้ ท่านยังมีประสบการณ์เกี่ยวกับโอปปาติกะที่มาปรากฎกับตัวท่านหลายครั้ง ซึ่งจะขอนำมาบันทึกรวมกันไว้ ณ ที่นี้…….

เรื่องแรกเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2473 เวลานั้น พ.ต.อ.ชติ กำลังเริ่มเป็นหนุ่มยังไม่ได้เข้ารับราชการเป็นตำรวจ ได้ติดตามบิดา คือคุณพระสัทธาพงศ์ พิรัชพากย์ ไปอยู่จังหวัดขอนแก่น วันหนึ่งต้องเดินทางไปทำธุระที่ตำบลท่าพระนอกเขตตัวเมืองขอนแก่น สมัยนั้นการคมนาคมไม่สะดวกสบายเช่นปัจจุบัน ถนนหนทางยังไม่มี ไปไหนต้องเดินเท้าไปหรือใช้เกวียนเทียมวัว ภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นป่าไม้อุดมสมบูรณ์เต็มพื้นที่ การไปทำธุระของ พ.ต.อ.ชติในวันนั้นก็ต้องเดินเท้าตลอดทาง ใช้เวลาเดินไปกลับประมาณ 5 ชั่วโมง

เมื่อออกเดินจากที่พักไปได้ระยะหนึ่ง พ.ต.อ.ชติ ก็ตัดสินใจไปตามทางลัดซึ่งจะร่นระยะเวลาให้เร็วเข้า เส้นทางนี้ตัดข้ามป่าไปทะลุถึงทางรถไฟ ซึ่งยังสร้างไม่เสร็จ เป็นทางเดินของทางชาวบ้านที่เข้าไปหาของป่า จึงมีร่องรอยให้เดินไปได้โดยไม่หลงทาง พ.ต.อ.ชติ เดินตามทางลัดไปได้ครู่หนึ่ง ก็พบแอ่งน้ำใสสะอาดอยู่ห่างจากทางเดินพอสมควร แวดล้อมด้วยต้นไม้ไปไม้เขียวชอุ่มร่มรื่น ที่แอ่งน้ำนั้นมีหญิงสาวผู้หนึ่ง เปลือยกายทั้งตัวลงไปยืนอยู่ในแอ่งซึ่งน้ำลึกเพียงครึ่งแข้ง หญิงสาวผู้นั้นรูปร่างอวบท้วม ผิวขาวผ่อง กำลังใช้มือขวาวักน้ำใสขึ้นมาลูบตัวอย่างสบายอารมณ์

พ.ต.อ.ชติ กำลังรุ่นหนุ่มจึงหยุดมองดูเงียบๆ คิดว่าสักครู่หญิงสาวผู้นั้นคงจะเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง เพราะจากมุมมองที่หยุดยืนดู หญิงสาวยืนเบี่ยงด้านข้างให้ จึงมองไม่เห็นหน้าถนัด พ.ต.อ.ชติ ขณะนั้นแม้จะรู้สึกตื่นเต้นที่จู่ๆ มาพบหญิงสาวเปลือยกายอยู่กลางป่า ขณะเดียวกันก็เกิดความสงสัยผุดตามขึ้นมา เนื่องจากบริเวณนี้เป็นป่าเปลี่ยวไม่มีบ้านเรือนอยู่อาศัยของผู้คนแม้แต่หลังเดียว ดังนั้นจะเป็นชาวบ้านเข้ามาหาของป่ามาอาบน้ำย่อมเป็นไปไม่ได้ นอกจากจะเป็นหญิงสาวชาวบ้านเข้ามาหาของป่าแล้วเกิดร้อนรนทนไม่ไหวจึงลงไปอาบน้ำ ทว่าพ.ต.อ. ชติ มองหากองเสื้อผ้าซึ่งควรจะถอดกองไว้หรือพาดกับกิ่งไม้ไว้ใกล้ ๆ ไม่เห็นเอาเสียเลย

และที่น่าแปลกอีกอย่างก็คือ หญิงสาวผู้กำลังเปลือยกายยืนอยู่กลางแอ่งน้ำนั้นไม่ขยับเขยื้อนเปลี่ยนอิริยาบทแม้แต่นิดเดียว มือขวาที่วักน้ำขึ้นมาลูบเนื้อตัวก็วักอยู่ท่าเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ผิดกับกิริยาของหุ่นยนต์ พ.ต.อ.ชติยืนมองอยู่นานด้วยอยากเห็นหน้าหญิงสาวคนนั้น แต่จนแล้วจนรอดก็มองไม่เห็น

เสียเวลาแอบมองหญิงสาวในแอ่งน้ำไปไม่ใช่น้อย พ.ต.อ.ชติเป็นห่วงธุระที่จะต้องไปทำ จึงตัดสินใจเดินผละไปจากที่นั่น เดินทะลุป่าไปถึงทางรถไฟแล้วเดินตามทางรถไฟไปยังตำบลท่าพระ

หลังจากทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว พ.ต.อ.ชติก็เดินย้อนกลับมาตามทางเดิม เมื่อเดินมาถึงบริเวณที่พบแอ่งน้ำกลางป่าและมีหญิงสาวเปลือยกายลงไปวักน้ำลูบตัว ก็แทบไม่เชื่อสายตัวเอง เพราะบริเวณนั้นกลายเป็นพื้นดินแห้งผากไม่มีร่องรอยว่ามีน้ำแม้แต่หยดเดียว พ.ต.อ.ชติจำต้นไม้และภูมิประเทศรอบแอ่งน้ำนั้นได้แม่นยำ และต้นไม้พุ่มไม้ทุกอย่างก็อยู่ที่เดิมทั้งหมด เพียงแต่ความเขียวชอุ่มสดใสอันตรธานหายไปไม่เหลือเค้ารอย เพราะที่เห็นอยู่นั้นกลายเป็นพุ่มไม้ใบไม้ที่แห้งกรอบเหี่ยวเฉา มีสภาพตรงกันข้ามกับที่เห็นครั้งแรก

ไม่เพียงแต่จะตกตะลึงพรึงเพริดไปกับความเปลี่ยนแปลง ดุจหน้ามือเป็นหลังมือของภูมิประเทศเบื้องหน้า พ.ต.อ.ชติยังรู้สึกเหมือนมีใครกำลังจ้องมองตัวเองอยู่ทำให้ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ความกลัวก็เกิดขึ้นจนหนาวเยือกจับจิต รีบผละไปจากบริเวณนั้นทันที วิ่งครึ่งเดินครึ่งเพื่อพาตัวไปให้พ้นบริเวณดังกล่าวโดยเร็วที่สุด และเชื่อว่า หญิงสาวเปลือยกายให้เห็นคนนั้นคงเป็นนางไม้มาแสดงตนให้เห็น หรืออาจเป็นเพราะตัวเองมองเห็นข้ามมิติไปชั่วขณะ จึงได้เห็นสภาวะอันเหลือเชื่อเช่นนั้นก็ได้

พ.ต.อ.ชติ ได้กล่าวไว้ในบันทึกของท่านตอนหนึ่งว่า…….

“โลกที่เราอยู่นี้มันซ้อนกันอยู่ระหว่างกายเนื้อกับกายทิพย์ ทุกหนทุกแห่งมีกายทิพย์ร่วมอยู่ด้วย อย่านึกว่าเราอยู่ในห้องเพียงลำพังคนเดียว ทำอะไรไม่มีใครเห็น นึกอะไรอยู่ในใจ จะดีหรือชั่วก็ตาม ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น กายทิพย์เขารู้เขาเห็นเราอยู่ ผีหรือภูตมีทั้งให้คุณและให้โทษ”

ที่มาจาก : หนังสือ "ตายแล้วเกิดใหม่ คนระลึกชาติ" เล่ม 1

รวบรวมและเรียบเรียงโดย : นที ลานโพธิ์