เทวฤทธิ์ กันหา

ด.ช.เทวฤทธิ์ กันหา จำอดีตชาติได้

พ่อใหญ่สุ่ม หาญสุริ ขณะนี้อายุ ๗๓ ปี อยู่ที่บ้านโคกพันโปง หมู่ที่ ๔ ต.บ้านเป็ด อ.เมืองฯ จ.ขอนแก่น มีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก คือ คุณยายเหรียญ ซึ่งขณะนี้ ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว เมื่อปลายปี ๒๕๔๑ นี้เอง มีบุตร ๖ คน คนที่ ๕ ชื่อ สุริยน หาญสุริ เมื่อปี ๒๕๐๙ อายุ ๑๑ ปีพอดี กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.๓

พ่อใหญ่สุ่ม เล่าให้ฟังว่า ในปี ๒๕๐๙ นั้น ที่บ้านเป็ดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านโคกพันโปง ได้มีงานบุญต้องรับผ้าป่าจากกรุงเทพฯ มาทอดที่วัดบ้านเป็ดมีมหรสพการละเล่นหลายอย่าง จัดงานขึ้นบริเวณลานบึงกี่ที่หน้าวัดนั้นเอง

ในตอนเย็นวันนั้น มีการชกมวยการกุศลขึ้นมาด้วย ผู้คนพากันหลั่งไหลมาเพื่อจะเข้าดูมวย ในขณะที่ผู้คนกำลังพากันซื้อตั๋วเข้าดูมวยอยู่นั้น อันธพาลประจำหมู่บ้านจำนวนหนึ่ง ได้พากันมาเบ่งหวังเข้าชมมวยฟรี แต่ก็ได้รับการทัดทานจากผู้เก็บตั๋วว่า ให้กลับไปซื้อตั๋วก่อนค่อยเข้า ได้แม้เจ้าหน้าที่รักษาประตูจะพูดจาอย่างไร พวกอันธพาลเหล่านั้น ก็ไม่ยอมเชื่อฟัง เขาจึงบอกว่า “รอผมอยู่ตรงนี้ ให้ผมไปพูด กับหัวหน้าผู้จัดการมวยก่อนนะ” แล้วเจ้าหน้าที่คนนั้นก็เดินหายเข้าไป ในบริเวณเวทีมวยที่ล้อมผ้าเอาไว้

ไม่นานก็ได้พาเอาผู้จัดรายการมวยออกมาพร้อมกัน ผู้จัดรายการมวยคนนี้พ่อใหญ่สุ่มเล่าว่าเขาคือหัวหน้าผู้คุมคิวรถ บขส. ขอนแก่น ในสมัยนั้นนักเลงน้อยใหญ่เรียกเขาว่าพี่เลยทีเดียวเมื่อมาพบ กับพวกอันธพาล ผู้จัดรายการมวยก็ได้พูดจาหว่านล้อมต่างๆนานาว่า “พวกผมซึ่งเป็นคนในเมืองขอนแก่น ไม่ใช่คนในหมู่บ้านนี้ มาจัดรายการมวยในครั้งนี้นั้น เงินทุกบาททุกสตางค์ก็ไม่ขอเอาเลย นอกจากจ่ายค่าตัวนักมวยแล้วที่เหลือก็ยกให้ทางวัดหมด ซึ่งวัดนี้ก็เป็นวัดบ้านของพวกคุณเอง พวกคุณน่าจะช่วยกันนะ อย่าทำตัวเป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีงามให้คนอื่นเขารู้เห็นเลย” ผู้จัดรายการมวยพูดกัน กับอันธพาลเป็นเวลานานพอสมควร แต่ด้วยฤทธิ์สุราที่พวกอันธพาลพากันกินมา ต่างก็มึนเมามาทุกคน แม้จะพูดจาหว่านล้อมด้วย เหตุผลอย่างไร ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ พวกอันธพาลมีแต่จะดึงดันเข้าดูมวยฟรีเสียให้ได้

ผู้จัดรายการมวยเห็นว่าพูดกันไม่รู้เรื่อง ชักเดือดดาลเลยเอามือไปกอดคอหัวหน้าอันธพาล แล้วพูดว่า “ไปกับผมก่อนนะ” แล้วพาออกห่างจากบริเวณที่มีผู้คนพลุกพล่านนั้นไป เมื่อเห็นว่าปลอดจากผู้คนพอสมควรแล้ว เขาก็ได้สอดมืออีกข้างหนึ่งลงไปที่เอว ชักปืนสั้นที่เหน็บเอาไว้ออกมา จ่อที่หัวของหัวหน้าอันธพาลทันทีกะจะยิงหัวให้ตายไปเลยแต่หัวหน้าอันธพาลมองเห็นปืนเสียก่อน เลยก้มหัวลง ขณะนั้นเองผู้จัดการมวย ได้เหนี่ยวไกปืนพอดี เสียงดังเปรี้ยง! ลูกปืนเลยเฉียดไป ลูกปืนพลาดเป้าหมาย มันก็วิ่งไปตามวิถีกระสุนของมัน ขณะนั้นลูกชายของผม ด.ช.สุริยน หรือ ชื่อเล่นว่า “เจ๋ง” กำลังจะเดินไปซื้อตั๋วเพื่อดูมวยในมือ ก็กำลังถือถุงน้ำแข็ง ซึ่งเขาซื้อติดมือมาด้วย เดินผ่านเข้าทางลูกปืนวิ่งมาพอดี

พ่อใหญ่สุ่มเล่าต่อไปว่า ผู้คนก็พอสมควรตรงที่ลูกชายของผมเดินไปนั่น แต่ลูกปืนไม่ถูกใครเลยสักคน แต่ดันมาถูกตรงรูจมูกลูกชายของผมพอดี ถึงกับล้มทั้งยืน กระสุนเข้าไปตุงอยู่ที่บริเวณท้ายทอย และเขาก็เสียชีวิตในทันที งานบุญวันนั้นได้กลายเป็นงานบาปไป ผู้คนต่างหายสนุกสนาน งานนั้นกร่อยไปเลยทีเดียว ตอนนั้นผมกำลังทำงานอยู่ที่บ้าน มีคนวิ่งมาบอกว่า “ไอ้เจ๋งถูกยิงตายแล้ว” พอได้ยินแค่นั้นผมรีบวิ่งไปดู เห็นลูกชายนอนตายแล้ว ก็รู้สึกเศร้าสลดใจมาก ไม่นานนักเจ้าหน้าที่ก็มาพิสูจน์ศพ แล้วก็มอบศพให้มาจัดการตามประเพณี ส่วนผู้ที่ยิง ก็ไม่หนีไปไหนเขามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ ได้ถูกจับไปขังเอาไว้ที่โรงพักเมืองขอนแก่น เขามอบตัวเพราะไม่มีเจตนาฆ่าเด็ก เขาสงสารเด็ก เขาพูดกับตำรวจว่า "ผมยอมรับผิดครับ"

เมื่อพ่อใหญ่สุ่มจัดการงานศพของลูกชายเสร็จแล้วก็ไปที่โรงพัก พอพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ พ่อใหญ่สุ่มผู้มีใจอารีย์ ก็บอกกับเจ้าหน้าที่เขาว่า “คนยิงลูกชายผมอยู่ไหน ช่วยนำมาพบผมหน่อย” เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไปตามมาจากที่คุมขัง พอพ่อใหญ่สุ่ม ได้พบกับคนยิงลูกชาย เขาก็ยกมือไหว้แล้วก็พูดว่า “พ่อครับ ผมขอโทษคุณพ่อด้วย ผมไม่เจตนาจะยิงเด็กเลย ผมขอโทษครับ” เขาพูดด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง พ่อใหญ่สุ่มยกมือไหว้ตอบเขาแล้วพูดว่า “เอาเถอะสบายใจได้ ผมขออโหสิกรรมให้ เพราะหากผมจะเอาเรื่องคุณ บาปกรรมมันก็จะไม่สิ้นสุด พระท่านว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ถึงผมจะเอาคุณติดคุกติดตะรางไป ๑๐ ปี ๒๐ ปี ลูกชายของผมก็ไม่สามารถจะกลับฟื้นคืนชีพมาได้หรอก เสียเวลาทำมาหากินคุณเปล่าๆ เอาอย่างนี้...ผมขอค่าทำศพลูกผมสัก ๕,๐๐๐ บาท แล้วผมจะให้ตำรวจปล่อยตัวคุณไป”

เรื่องที่คิดว่ามันจะยากในความรู้สึกของผู้ที่ยิงเด็กตายก็กลับง่ายขึ้น เพราะพ่อใหญ่สุ่มผู้มีใจเป็นพระพรหมคนนี้ คนที่ยิงเด็กตายก็พูดตกลงกันทันที และก็ได้มอบเงินจำนวน ๕,๐๐๐ บาทถ้วนให้พ่อใหญ่สุ่มไป เจ้าหน้าที่เห็นว่าเมื่อเจ้าทุกข์ไม่เอาเรื่อง ก็ปล่อยตัวผู้ต้องหาไป แล้วเรื่องก็เงียบหายไป

จะกล่าวถึงอีกครอบครัวหนึ่ง ซึ่งอยู่ที่บ้านเป็ดนั่นเอง มีหัวหน้าครอบครัวชื่อว่า นายอาวุธ กันหา และ นางพิศมัย กันหา เป็นภรรยา มีบุตรที่เกิดด้วย กัน ๒ คน ผู้พี่เป็นหญิงชื่อ น้ำฝน กันหา เป็นสาวสวยงามมาก ส่วนคนน้องเป็นชายชื่อ เทวฤทธิ์ กันหา มีชื่อเล่นว่า “ชาย” คล้ายคนปัญญาอ่อน พูดจาไม่ค่อยชัดเจน ตอนที่เกิดมาได้ประมาณ ๔-๕ ปีพอเดินได้ พ่อแม่ได้พาไปนาด้วย จะต้องเดินผ่านบริเวณลานบึงกี่นี้ แต่ทุกครั้งที่ ด.ช.เทวฤทธิ์ เดินผ่านที่ตรงนี้ เขาจะพูด กับแม่กับพ่อกับพี่สาวอยู่เสมอว่า “ชายกลัวตรงนี้ ชายกลัว ชายไม่อยากมา อย่าให้ชายมาเลย” ฉะนั้นพอพ่อแม่พี่สาวจะชวนไปนา ชายก็จะพูดเช่นนี้อยู่เสมอว่า “ชายกลัว ชายกลัวตรงนี้” (ลานบึงกี่ ที่บ้านเป็ดนี้จะมีบึงใหญ่ เหนือบึงขึ้นไปจะมีลานใหญ่กว้างมาก เนื้อที่ตรงนี้ประมาณ ๔-๕ ไร่ ชาวบ้านชอบจัดงานบุญงานประเพณีต่างๆที่ตรงนี้) พ่อกับแม่ ก็จะพูดปลอบใจชายอยู่เสมอว่า “ไม่ต้องกลัว กลัวอะไร ไม่เห็นน่ากลัวอะไรเลย” ผู้เป็นพ่อแม่พูดจาปลอบโยนลูกอยู่เสมอ ชาย ก็มักจะตอบว่า “ชายกลัว เพราะชายถูกเขายิงตายอยู่ตรงนี้” ผู้เป็นพ่อแม่ก็คิดว่าลูกคนนี้พูดเพ้อเจ้อไร้สาระ ก็ไม่เอาใจใส่ เพราะเห็นว่าลูกเกิดมาไม่สมประกอบ พูดไปอย่างนั้นๆเอง

เมื่อเวลาอยู่ว่างๆ ชายมักจะเล่าเรื่องในอดีตชาติให้กับญาติๆฟัง ว่าชาติก่อนเขาเกิด กับคนบ้านโคกพันโปง เกิดกับ พ่อชื่อสุ่ม แม่ชื่อเหรียญ มีพี่น้องร่วมกัน ๖ คน เขาเป็นคนที่ ๕ ตัวเขาตายตอนอายุ ๑๑ ปี ตายเพราะถูกยิงตายที่ลานบึงกี่ ตรงที่บอกว่ากลัวนั้น ด.ช.เทวฤทธิ์มักจะเล่าเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ

ในปี ๒๕๔๑ อายุของเขา ก็ ๑๓ ปีแล้ว เขายังพูดเรื่องนี้อยู่อีก ผู้เป็นป้าก็เลยพูดกัน กับน้องสาวซึ่งเป็นแม่เด็กคนนี้ว่า “เอ..ที่เจ้าชายมันพูดมาน่ะ หรือว่ามันจะเป็นเรื่องจริง พวกเราไปสืบดูก่อนนะว่า คนที่ชายมันอ้างว่า พ่อแม่ในอดีตชาติของมัน ชื่อสุ่มกับเหรียญ อะไรนี่ มีจริงหรือเปล่า” เมื่อพี่น้องชวนกันแล้ว ก็พากันแต่งตัวขี่มอเตอร์ไซด์ซ้อนกันไปที่บ้านโคกพันโปง ซึ่งก็อยู่ไม่ห่างกันเลย แค่ ๑ กม.เท่านั้น ไม่นานก็มาถึงแล้วก็เที่ยวถามหาว่า “รู้จักคนชื่อพ่อสุ่มแม่เหรียญไหม” ผู้ที่ถูกถามก็ตอบว่า ”รู้จักบ้านอยู่ตรงหอกระจายข่าวนั้นล่ะ” เมื่อรู้แน่ชัด ก็ขี่มอเตอร์ไซค์ตามที่คนบอกทันที แล้วมาจอดที่ตรงหน้าบ้านของพ่อใหญ่สุ่ม “บ้านนี้บ้านของ พ่อสุ่มใช่ไหมครับ” พ่อสุ่มตอนนั้นอยู่บ้านพอดี เพราะภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากกำลังนอนป่วยอยู่ “ใช่ มีอะไรหรือ” “ฉันนะมานี้เพราะหลานของฉันมันบ่นบอกว่า ในอดีตชาติของมันมีพ่อชื่อว่าสุ่ม มีแม่ชื่อว่าเหรียญ มันบอกมาหลายปีแล้วแต่ไม่เชื่อมัน เดี๋ยวนี้มันอายุ ๑๓ ปีแล้ว มันยังบอกยังบ่นอยากมาหาพ่อแม่เก่า ของมันเลยมาสืบดูให้มัน” แล้วเรื่องราวต่างๆของ ด.ช.เทวฤทธิ์ และเรื่องของ ด.ช.เจ๋ง ก็ได้ถูกเปิดเผยออกมาจากทั้งสองฝ่าย

เมื่อพูดกันจนกระทั่งรู้เรื่องดีแล้วก็ลากลับกัน ก่อนจากพ่อสุ่มและแม่เหรียญ ได้สั่งกำชับว่า ให้พาเขามาพบด้วยเพราะอยากเห็นตัวจริงของเขา

ในวันต่อมา รถมอเตอร์ไซค์ก็ได้บรรทุกคน ๓ คน คือ ป้าผม แม่พิศมัย และ ด.ช.เทวฤทธิ์ ผู้อ้างตัวว่าเป็นลูกของพ่อใหญ่สุ่มกับแม่เหรียญในอดีต ก็ซ้อนท้ายรถมอร์เตอร์ไซค์กันมา มุ่งหน้าสู่บ้านโคกพันโปง ไม่นานรถก็พาทั้ง ๓ คนมาถึงที่บ้านพ่อใหญ่สุ่ม รถยังไม่ทันจอด ด.ช.เทวฤทธิ์ ก็บอกว่า “จอด...จอด ถึงบ้านแล้ว” ทั้งๆที่ไม่มีคนบอกเขา พอรถจอดทั้งสามคนก็ลงจากรถ ป้าผมก็เลยเรียกหาพ่อใหญ่สุ่มว่า “พ่อ...พ่อ...ฉันพาลูก ของพ่อมาแล้ว”พอพ่อสุ่มได้ยินก็เดินออกจากบ้านมา พอพ่อลูกพบกัน ชาย ก็โผเข้าไปกอดผู้เป็นพ่อในอดีตชาติ ปากก็พร่ำว่า “พ่อ...พ่อ...ชายมาหาพ่อแล้ว ชายคิดถึงพ่อมาก” ผู้ใหญ่สุ่มเมื่อโดนผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นลูกมาสวมกอด ก็ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตกเลยทีเดียวพอ ได้สติพ่อใหญ่สุ่มก็พูดว่า “เป็นลูกพ่อจริงๆหรือ” “จริงครับพ่อ” พ่อใหญ่สุ่มขณะนี้อยู่ในวัยชราแล้ว พอได้ฟังแค่นั้นถึงกับน้ำตาคลอไปเลย แล้วพูดกับลูกว่า “นั้นล่ะใคร” พลางชี้มือไปที่ชายคนหนึ่ง ซึ่งกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ ชายก็ตอบว่า “นั้นคือพี่ชายของผม” และพอดีนายเพ็ง ซึ่งเป็นลูกชายคนที่ ๖ ของพ่อใหญ่สุ่มเดินเข้ามาในบ้านพอดี จึงถามชายว่า “นั้นละใคร”“คนนี้น้องชายของผมเอง” แล้ว ก็พาชายไปหายายเหรียญ ซึ่งขณะนั้นกำลังนอนป่วยอยู่ พลางถามว่า “นี่ใคร” ชายพอพบแม่ ก็พูดว่า “แม่...แม่...แม่เป็นอะไรนะ ชายคิดถึงแม่ ชายอยากมาหาแม่หาพ่อนานแล้ว แต่พ่อแม่ทางนั้นไม่พาชายมาหาสักที ชายได้แต่บ่นคิดถึงพ่อแม่อยู่เสมอ แต่ทุกคนก็บอกว่าชายพูดเล่น” ยายเหรียญได้ฟัง ก็ยื่นมือมาหา ด.ช.เทวฤทธิ์ พลางพูดด้วย เสียงสั่นเครือว่า “ลูกเอ๋ย...แม่ ก็คิดถึงลูกเหมือนกัน ลูกทำไมไม่มาเกิด กับแม่ละลูก ถ้าลูกเป็นลูก ของ แม่จริง” “ผมจำทางมาไม่ได้ครับแม่ พอผมโดนยิงผมก็เจ็บปวดมาก จำทางมาบ้านไม่ ได้ ผมเลยไปเกิดกับคนบ้านเป็ดครับแม่”

เมื่อทุกคนหายสงสัยกันหมดแล้ว พ่อใหญ่สุ่ม ก็เลยบอกลูกๆทุกๆคนให้พากันเอาฝ้ายมาผูกรับขวัญ พี่ทุกคนต่างพากันทึ่งในคำพูด ของชายผู้เป็นคนคล้ายๆคนพิการหรือคนปัญญาอ่อนคนนี้ แต่จำเหตุการณ์ต่างๆได้หมด แล้วทุกอย่างก็จบลงด้วยดี พ่อแม่ พี่ๆ น้องๆ ได้พบหน้ากันต่างดีใจ ต่างซาบซึ้ง ต่างปลาบปลื้ม คิดไม่ถึงว่าคนตายไปแล้วจะมาเกิดใหม่ได้จริง

ท่านที่อ่านเรื่องนี้จบลง ท่านล่ะเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นจริงไหม สำหรับกระผมผู้เขียนเชื่อสนิทเลย เพราะกระผมเชื่อในคำสอนของ พระพุทธเจ้าว่า วัฏสงสาร คือการเวียนว่ายตายเกิด เป็นทุกข์อย่างยิ่ง ใครๆไม่ควรประมาทเลย เพราะหากพลาดพลั้งทำบาปกรรมลงไป จะต้องชดใช้หนี้กรรมนั้นนานแสนนาน

ก่อนจาก กระผมขออ้างเอาคำสอนของพ่อท่านที่เคยพร่ำสอนลูกๆ อยู่เสมอว่าคนเราเกิดมาเป็นคน ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ ได้เกิดมา ได้ร่างของคนมาแล้ว จงหมั่นทำแต่กรรมดี สั่งสมแต่กรรมดี จงหลีกเว้นกายวาจาใจให้ห่างจากกรรมชั่ว เมื่อเราทำแต่กรรมดี อนาคตจะเป็นสิ่งกำหนด ให้เราได้พบได้เห็นแต่สิ่งดีๆในชีวิต ไม่ว่าชาตินี้หรือ ชาติหน้าหรือชาติไหนๆ

ก่อแก่น

( สำอางค์ ป้องนาม )

ป.ล. หากใครอยากพิสูจน์เรื่องนี้ ก็มาพบ กับกระผม สำอางค์ ป้องนาม บ้านโคกพันโปง หมู่ ๔ ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น หรือ จะโทรถามที่ ๐๔๓-๓๔๕๐๕๙ ผมยินดีต้อนรับ พาไปพบ กับบุคคลเหล่านี้ ได้ทุกวัน

ที่มา : สารอโศก อันดับ ๒๓๑ หน้า ๙๐ ธ.ค.๔๓