เรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของ เด็กชายนนทชัย ห้วยหงส์ทอง นี้เป็นเรื่องที่ปรากฏอยู่ในผลงานวิจัยของ รศ.ฟื้น ดอกบัว อดีตอาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร จังหวัดนครปฐม เรื่อง “แนวคิดเกี่ยวกับสังสารวัฏ : การเวียนว่ายตายเกิดในพระพุทธศาสนา” ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ของ รศ.ฟื้น ดอกบัว เองเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๔ เรียบเรียงโดย ธวัชชัย ขำชะยันจะ
เด็กชายนนทชัย ห้วยหงส์ทอง เป็นบุตรของ ผู้ใหญ่สุวรรณ กับ นางนกแก้ว ห้วยหงส์ทอง อยู่ที่ ต.หนองงูเหลือม อ.เมือง จ.นครปฐม เกิดเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๗ เขามีรอยแผลเป็นกว้างประมาณ ๔ เซนติเมตร บริเวณศีรษะด้านหลัง ติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิด ขณะที่ รศ.ฟื้น ดอกบัว ไปสัมภาษณ์เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๔ เขาอายุย่างเข้า ๗ ขวบ กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.๑ โรงเรียนวัดปลักไม้ลาย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม
เด็กชายนนทชัย จำอดีตชาติได้ว่า ในชาติก่อนเขามีชื่อว่า “อาทร" หรือ เด็กชายอาทร ณัฏพูลวัฒน์ บุตรชายของ นายสุชาติ และ นางจู ณัฏพูลวัฒน์ ที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน
เรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของ เด็กชายนนทชัย นี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อตอนเด็กๆคือเขามักจะร้องไห้แล้วบอกว่า จะไปหาพ่อหาแม่ ตอนนั้นพ่อแม่ของเขาก็รู้สึกสงสัยว่า พ่อแม่ก็อยู่นี่แล้ว แล้วเขาจะร้องหาพ่อแม่ที่ไหน จึงได้แต่ดุบ้าง ปลอบบ้าง ขู่บ้าง ตีบ้างเพื่อให้เขาหยุดร้อง บางครั้งเมื่อถูกตี เด็กชายนนทชัย ก็จะบอกว่า “ไม่อยู่แล้วบ้านนี้ ผมจะไปอยู่กับพ่อแม่ผม” ต่อมาเมื่อถูกถามว่าพ่อแม่ชื่ออะไรเขาก็บอกว่า “พ่อผมชื่อชาติ แม่ผมชื่อจู” เมื่อถูกถามว่าชื่ออะไรเขาก็จะบอกว่า “ผมชื่ออาทร” ตอนแรกๆนั้น พ่อกับแม่ของเขายังไม่ทราบว่าบุคคลที่ เด็กชายนนทชัย พูดถึงเหล่านี้เป็นใครแต่พอจะรู้ว่า เด็กชายนนทชัย น่าจะจำอดีตชาติได้และกำลังพูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติของเขาให้ฟัง
ต่อมาเมื่อ เด็กชายนนทชัย อายุได้ประมาณ ๓ ขวบเศษ วันหนึ่งเขาเห็นรถไถเขาก็พูดขึ้นมาว่า “รถแบบนี้แหละ ที่ทับผมตาย” ตอนนั้นความสงสัยของผู้เป็นพ่อแม่ก็มีมากขึ้นมาอีก มีคราวหนึ่ง เด็กชายนนทชัย ได้พบกับคนรู้จักของ เด็กชายอาทร ในชาติก่อน ก็ร้องเรียกชื่อทักทาย คนที่ถูกทักก็รู้สึกแปลกใจว่าเด็กที่ไหนมาเรียกชื่อไม่เคยพบหรือรู้จักมาก่อน ก็ถามว่า “หนูเป็นใคร ทำไมเรียกชื่อถูกล่ะ รู้จักกันหรือเปล่า” เด็กชายนนทชัยก็บอกว่า “จำไม่ได้หรือ ผมอาทรไง” ความชัดเจนเริ่มปรากฏ และมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เมื่อวันหนึ่งพ่อแม่ของเด็กชายนนทชัย พาเขาผ่านไปทางบ้านของ เด็กชายอาทร เมื่อเขาได้เห็น นางจู ณัฏพูลวัฒน์ แม่ของ เด็กชายอาทร ก็ร้องเรียกว่า “แม่” ถึงตอนนี้ ผู้ใหญ่สุวรรณ กับนางนกแก้ว พ่อแม่ของ เด็กชายอาทรก็ได้รู้ชัดเจนแล้วว่า ที่ผ่านมานั้น เด็กชายนนทชัย พูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติของเขา ที่เคยเกิดมาเป็น เด็กชายอาทร ณัฏพูลวัฒน์ บุตรชายของ นางจู และนายสุชาติ ณัฏพูลวัฒน์ ที่ประสบอุบัติเหตุขับรถไถตกลงไปในคลอง ทับตัวเองจนเสียชีวิต ที่สำคัญคือ รอยแผลเป็นที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิดของ เด็กชายนนทชัย ที่บริเวณศีรษะด้านหลัง นั้นมีลักษณะและตำแหน่งตรงกันกับ บาดแผลของ เด็กชายอาทร เมื่อคราวที่ประสบอุบัติเหตุถูกรถไถทับจนเสียชีวิต เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๐ ขณะอายุได้ ๑๑ ขวบ
เมื่อทราบแน่ชัดแล้วว่า เด็กชายนนทชัย คือ เด็กชายอาทร สืบชาติมาเกิดใหม่ เรื่องราวคำพูด การแสดงออก และพฤติกรรมที่ผ่านมาของเด็กชายอาทรก็ได้ถูกปะติดปะต่อจนเป็นเรื่องราวที่เข้ากันได้อย่างลงตัว เริ่มตั้งแต่รอยแผลเป็นที่เขานำติดตัวเขามาตั้งแต่แรกเกิด ที่ตรงกันกับร่องรอยบาดแผลของ เด็กชายอาทร เมื่อในอดีตชาติ
เหตุการณ์เมื่อตอนเด็กๆที่ เด็กชายนนทชัย มักจะร้องไห้แล้วบอกว่าจะไปหาพ่อหาแม่นั้น ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าเขาร้องหาพ่อแม่ในอดีตชาติของเขา เมื่อครั้งที่เกิดเป็น เด็กชายอาทร ณัฏพูลวัฒน์ ซึ่งก็คือ นายสุชาติ และ นางจู ณัฏพูลวัฒน์ นั่นเอง
และเขาบอกอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่า “ผมชื่ออาทร” และเที่ยวทักทายคนรู้จักและบอกชัดเจนว่า “จำไม่ได้หรือ ผมอาทรไง”
ตอนเด็กๆ เด็กชายนนทชัย แสดงอาการแปลกๆ คือบางครั้งพ่อแม่หรือพี่น้องมีอันจะต้องพาเด็กชายนนทชัยผ่านไปทางบริเวณลำคลองที่ เด็กชายอาทรประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เด็กชายนนทชัยจะร้องไห้ไม่ยอมผ่านทางนั้น นอกจากนี้เขายังกลัวรถไถและกลัวน้ำมากอีกด้วย ตอนแรกนั้นทุกคนไม่เข่าใจว่าเขาร้องไห้ทำไมเมื่อผ่านบริเวณนั้น และไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงกลัวรถไถและกลัวน้ำ แต่ตอนนี้ทุกคนเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใด
ตอนเด็กๆ เด็กชายนนทชัย มีท่าทางเป็นผู้ใหญ่เกินวัย เขามักจะไม่ชอบเล่นกับเด็กๆรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่จะชอบเล่นกับเด็กรุ่นใหญ่กว่า บางครั้งเขาก็บอกว่าเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว บวชได้แล้ว ซึ่งถ้านับอายุตอนที่ เด็กชายอาทร เสียชีวิตคืออายุ ๑๑ ปี บวกกับช่วงเวลาที่ยังไม่ได้สืบชาติมาเกิดอีก ๗ ปี และบวกกับช่วงอายุที่พูดถึงว่าเขาบวชได้แล้วคือตอนเขาอายุได้ประมาณ ๓ ขวบ รวมแล้วก็ประมาณ ๒๐-๒๑ ปี ซึ่งเป็นอายุที่บวชได้พอดี
เหล่านี้คือคำพูดและพฤติกรรมประหลาดๆที่ผ่านมาของ เด็กชายนนทชัย ที่เพิ่งจะได้รับคำตอบ ต่อมาได้มีการพา เด็กชายนนทชัย ไปพบกับครอบครัวในอดีตชาติ เมื่อได้เห็นพี่ของเด็กชายอาทร เด็กชายนนทชัยก็เรียกว่า “พี่” แต่เมื่อเห็นน้องของเด็กชายอาทร ซึ่งตอนนั้นอายุมากกว่า เขาถึง ๑๕ ปีก็จำได้แต่เรียกชื่อเฉยๆไม่ยอมเรียกพี่ตามที่ควรจะเรียก และคนอื่นๆที่อายุน้อยกว่าหรือรุ่นราวคราวเดียวกันกับ เด็กชายอาทร แต่อายุมากกว่าตัวเองก็จะเรียกชื่อเฉยๆ ไม่เรียกว่าพี่เช่นกัน พ่อแม่ในชาติก่อนได้มีการพิสูจน์ โดยการให้ เด็กชายนนทชัย ชี้รูปถ่ายของ เด็กชายอาทรซึ่งถ่ายรูปหมู่รวมกับคนอื่นๆ เด็กชายนนทชัยก็ชี้ได้ถูกต้อง เมื่อไปโรงเรียนมีรูปหมู่นักเรียนเขาก็สามารถชี้รูปของ เด็กชายอาทรได้ถูกต้องเช่นกัน
เด็กชายอาทร ณัฏพูลวัฒน์ (คนที่ ๒ จากขวา)
นอกจากนี้ เด็กชายนนทชัย ยังเรียนเก่งสติปัญญาดี และมีนิสัยเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ไม่ยอมคนเหมือนกันกับ เด็กชายอาทร และด้วยความที่มีนิสัยเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ นี่เองที่ทำให้ เด็กชายอาทร ชอบทำอะไรตามใจชอบ กอรปกับมีความชอบทางด้านเครื่องยนต์ จึงได้แอบหัดขับรถไถ และวันหนึ่งก็แอบขับรถไถไปตกคลองทับตัวเองจนเสียชีวิตในที่สุด
เรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของ เด็กชายนนทชัย ห้วยหงษ์ทอง นี้มีข้อมูลไม่มากนัก เนื่องจากครอบครัวของเขารู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้และกลัวว่าถ้าเขาพูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติบ่อยๆ จะทำให้ เกิดการเจ็บป่วย หรือ อายุสั้น ทุกคนจึงพยายามห้ามไม่ให้ เด็กชายนนทชัย พูดถึงเรื่องราวชีวิตในอดีตชาติอีก นับตั้งแต่ที่เขาอายุได้ประมาณ ๓ ขวบเศษแล้ว โดยเอาผลไม้อุดปากบ้าง ดุเอาบ้าง ตีเอาบ้าง ทุกครั้งที่เขาพูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติ ซึ่งก็ได้ผล เพราะเมื่อตอนที่ ท่าน รศ.ฟื้น ดอกบัว ไปสัมภาษณ์นั้น เขาลืมเรื่องราวในอดีตชาติไปมากแล้ว
แต่ก็ยังคงผูกพันสนิทสนมกับครอบครัวพ่อแม่พี่น้องในอดีตชาติ อยู่เหมือนเดิม กล่าวคือ หลังจากที่ เด็กชายนนทชัย ได้พบกับครอบครัวพี่น้องในอดีตชาติแล้ว เขาก็ไปมาหาสู่กับครอบครัวในอดีตชาติอยู่เสมอ เขามีความสนิทสนมคุ้นเคยกับพ่อแม่และพี่น้องในอดีตชาติมาก โดยเฉพาะน้องชายคนสุดท้องในอดีตชาติ จะสนิทกันมากเป็นพิเศษ บางครั้งเมื่อเกิดขัดใจกับพ่อแม่ในปัจจุบัน ก็มักจะหนีไปอยู่ที่บ้านของพ่อแม่ในอดีตชาติ ซึ่งทั้งสองครอบครัวก็ไปมาหาสู่สนิทสนมกัน เพราะ เด็กชายนนทชัย เป็นเหตุ