รวมเรื่องราวการระลึกชาติได้ของพระพุทธเจ้า
๕๔๗ พระชาติ
ที่ปรากฏเรื่องราวบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก
(กำลังเรียบเรียงเพื่อ Upload ขึ้นหน้าเว็บเพจ)
บุพเพนิวาสานุสสติญาณ
พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงการระลึกชาติได้ของท่าน ดังปรากฏใน พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑ / ข้อที่ ๓ ความว่า
“เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ เรานั้นย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกชาติได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัลป์ เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้นเราได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพโน้นนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพโน้นนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เราย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอุเทส พร้อมทั้งอาการ ด้วยประการฉะนี้”
โคตมพุทธวงศ์ที่ ๒๕ ว่าด้วยพระประวัติพระโคตมพุทธเจ้า (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พุทธวงศ์ / ข้อที่ ๒๖)
[๒๖] บัดนี้ เราเป็นพระสัมพุทธเจ้านามว่า โคดม เจริญในศากยสกุลเราบำเพ็ญเพียรแล้ว ได้บรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม พรหมอาราธนา แล้ว ประกาศพระธรรมจักร ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์ ๑๘ โกฏิ ต่อแต่นั้น เมื่อเราแสดงธรรมในสมาคมมนุษย์และเทวดาธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๒ จะพึงกล่าวโดยคำนวณนับมิได้ ในคราวที่เรากล่าวสอนราหุลบุตรของเราบัดนี้ ณ ที่นี้แล ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ จะพึงกล่าวโดยคำนวณนับมิได้ เรามีการประชุมพระสาวกผู้แสวงหาคุณใหญ่ครั้งเดียว ภิกษุที่ประชุมกันมี ๑๒๕๐ รูป เราผู้ปราศจากมลทินรุ่งเรือนอยู่ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ เราให้สิ่งที่ปรารถนาทุกอย่างเหมือนแก้วมณีให้สิ่งที่ต้องการทั้งปวง ฉะนั้น เราประกาศจตุราริยสัจ เพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์ทั้งหลาย ผู้หวังผล ผู้แสวงหาธรรมเครื่องละความพอใจในภพ ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์สองแสน ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์โดยจะคณนานับมิได้
คำสั่งสอนของเราผู้เป็นศากยมุนี กว้างขวางเจริญแพร่หลายงอกงามดี บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว เป็นประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก ภิกษุหลายร้อยล้วนเป็นผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะมีจิตสงบระงับมั่นคงแวดล้อมเราอยู่ทุกเมื่อในกาลบัดนี้ ภิกษุเหล่าใด เป็นพระเสขะยังมิได้บรรลุอรหัต ละภพมนุษย์ไป ภิกษุเหล่านั้น วิญญูชนตำหนิ ชนทั้งหลายผู้ชอบใจ ทางพระอริยเจ้า ยินดีในธรรมทุกเมื่อ มีปัญญารุ่งเรือง ถึงจะยังท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร ก็จักตรัสรู้ได้ นครของเราชื่อกบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุทโธทนะเป็นโยมบิดาของเรา โยมมารดาบังเกิดเกล้าของเราเรียกพระนามว่า มายาเทวี เราครอบครองอาคารสถานอยู่ ๒๙ ปี มีปราสาทอันประเสริฐ ๓ ปราสาท ชื่อสุจันทะ โกกนุทะ และ โกญจะ มีสนมนารีกำนัลในแปดหมื่นสี่พันนาง ล้วนประดับประดาสวยงาม มเหสีของเรานามว่า ยโสธรา บุตรชายของเราชื่อว่าราหุล เราเห็นนิมิต ๔ ประการ จึงออกผนวชด้วยอัสวราชยาน
ได้บำเพ็ญเพียรประพฤติทุกกรกิริยาอยู่ ๖ ปี เราประกาศธรรมจักที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี เราเป็นพระสัมพุทธเจ้าชื่อว่าโคดม เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งปวง ภิกษุ ๒ รูป ชื่ออุปติสสะและโกลิตะ เป็นอัครสาวกของเรา ภิกษุชื่ออานนทะ เป็นอุปัฏฐาก อยู่ในสำนักของเรา ภิกษุณีชื่อเขมาและอุบลวรรณาเป็นอัครสาวิกา จิตตคฤหบดีและหัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวี เป็นอัครอุปัฏฐาก นันทมาดาและอุตราอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา เราบรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม ที่ควงไม้อัสสัตถพฤกษ์ เรามีรัศมีซ่านออกด้านละวาทุกเมื่อ สูงขึ้นไป ๑๖ ศอก บัดนี้ อายุของเราน้อย มี ๑๐๐ ปี ถึงเราจะดำรงอยู่เพียงนั้น ก็ช่วยให้หมู่ชนข้ามพ้นวัฏสงสารได้มากมาย
เราตั้งคบเพลิงคือธรรมไว้สำหรับให้คนภายหลังได้ตรัสรู้ อีกไม่นานเลย แม้เรากับสงฆ์สาวกก็จักนิพพาน ณ ที่นี้แลเพราะสิ้นอาหาร เหมือนไฟสิ้นเชื้อ ฉะนั้น เรามีร่างกายเป็นเครื่องทรงคุณ คือ เดชอันไม่มี เทียบเคียง ยศ กำลังและฤทธิ์เหล่านี้ วิจิตด้วยลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ มีรัศมี ๖ ประการ สว่างไสวไปทั่วทิศน้อยใหญ่ ดุจพระอาทิตย์ ทุกอย่างจักหายไปหมดสิ้น สังขารทั้งปวงว่างเปล่าหนอฉะนี้แล.
จบโคตมพุทธวงศ์ที่ ๒๕
พุทธปกิรณกกัณฑ์ ว่าด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พุทธวงศ์ / ข้อที่ ๒๗)
[๒๗] ในกัปอันประมาณมิได้แก่ภัทรกัปนี้ มีพระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกชั้นพิเศษ ๔ พระองค์ คือ พระตัณหังกรสัมพุทธเจ้า ๑ พระเมธังกรสัมพุทธเจ้า ๑ พระสรณังกรสัมพุทธเจ้า ๑ และพระทีปังกรสัมพุทธเจ้า ๑ ท่านเหล่านั้นเสด็จอุบัติในกัปเดียวกัน ต่อจากที่พระทีปังกรสัมพุทธเจ้า พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะพระองค์เดียวเสด็จอุบัติกัปหนึ่ง ทรงช่วยให้หมู่ชนข้ามพ้นวัฏสงสารได้มากมาย ระหว่างพระผู้มีพระภาคทีปังกร และพระโกณฑัญญะ บรมศาสดา เป็นอันตรกัป โดยจะคำนวณนับมิได้ ต่อจากพระโกณฑัญญะบรมศาสดา มีพระพุทธเจ้าพระนามว่ามังคละ แม้ระหว่างพระโกณฑัญญะและพระมังคละพุทธเจ้านั้น ก็เป็นอันตรกัป โดยจะคำนวณนับมิได้
พระพุทธเจ้าพระนามว่ามังคละ สุมนะ เรวตะ และโสภิตะ ผู้เป็นมุนี มีจักษุ มีพระรัศมีสว่างไสว แม้พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์นั้นก็เสด็จอุบัติขึ้นในกัปเดียว กันต่อจากพระโสภิตพุทธเจ้า มีพระมหามุนีพระนามว่าอโนมทัสสี แม้ระหว่างพระพุทธเจ้าพระนามว่าโสภิตะ และอโนมทัสสีนั้นก็เป็นอันตรกัป โดยจะคำนวณนับมิได้ พระพุทธเจ้าพระนามว่าอโนมทัสสี ปทุมะ และนารทะ ผู้เป็นมุนีกระทำที่สุดความมืด ก็เสด็จอุบัติขึ้นในกัปเดียว ต่อจากพระนารทสัมพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ เสด็จอุบัติในกัปหนึ่ง ทรงช่วยให้หมู่ชนข้ามพ้นวัฏสงสารได้มากมาย
แม้ระหว่างพระผู้มีพระภาคนารทะและพระปทุมุตรศาสดานั้น ก็เป็นอันตรกัป โดยจะคำนวณนับมิได้ในแสนกัป มีพระมหามุนีพระองค์เดียว คือพระปทุมุตระผู้รู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชา ในสามหมื่นกัปต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ มีพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือ พระสุเมธะและพระสุชาตะ ในพันแปดร้อยกัป (แต่กัปนี้) มีพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ คือ พระปิยทัสสี พระอัตถทัสสี และพระธรรมทัสสี ต่อจากพระสุชาตพุทธเจ้า พระสัมพุทธเจ้าผู้อุดมกว่าสัตว์ ผู้ไม่มีบุคคลเปรียบในโลก ๓ พระองค์นั้น เสด็จอุบัติในกัปเดียวกัน ในกัปที่ ๙๔ แต่ภัทรกัปนี้ มีพระมหามุนีพระองค์เดียว คือ พระสิทธัตถะ ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ยอดเยี่ยมโดยมีบุญสิริ ในกัปที่ ๙๒ แต่ภัทรกัปนี้ มีพระสัมพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือพระติสสะ และพระปุสสะ ผู้ไม่มีบุคคลเปรียบเสมอ
ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้มีพระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก ผู้มีพระกรุณาพระนามว่าวิปัสสี ทรงเปลื้องสัตว์ทั้งหลายจากเครื่องผูก ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ มีพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือพระสิขีและพระเวสสภู ผู้ไม่มีบุคคลเปรียบเสมอ ในภัทรกัปนี้ มีพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ คือ พระกุกกุสันธะ พระโกนาคมนะ และพระกัสสปะ บัดนี้เราเป็นพระสัมพุทธเจ้าและจักมีพระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้า แม้พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์นี้ ก็เป็นนักปราชญ์ อนุเคราะห์โลก บรรดาพระพุทธเจ้าผู้เป็นธรรมราชาเหล่านี้ พระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้าจักตรัสบอกมรรคานั้นแก่ผู้อื่นหลายโกฏิ แล้วจักเสด็จนิพพานพร้อมด้วยพระสาวกฉะนี้แล.
จบพุทธปกิรณกกัณฑ์
จริยาปิฎก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ จริยาปิฎก / ข้อที่ ๑-๓๖)
๑. การบำเพ็ญทานบารมี
อกิตติจริยาที่ ๑
ว่าด้วยจริยาวัตรของอกิตติดาบส
[๑] ในสี่อสงไขยแสนกัป ความประพฤติอันใดในระหว่างนี้ ความประพฤติทั้งหมดนั้น เป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณ เราจักเว้นความประพฤติในภพน้อยใหญ่ในกัปเสีย จักบอกความประพฤติในกัปนี้ จงฟังเรา ในกาลใด เราเป็นดาบสชื่ออกิตติ เข้าไปอาศัยอยู่ในป่าใหญ่อันว่างเปล่า สงัดเงียบปราศจากเสียงอื้ออึง ในกาลนั้น ด้วยเดชแห่งการประพฤติตบะของเรา สมเด็จอัมรินทร์ผู้ครองไตรทิพย์ ทรงร้อนพระทัย ทรงแปลงเพศเป็นพราหมณ์เข้ามาหาเราเพื่อภิกษา เราได้เห็นอินทพราหมณ์มายืนอยู่ใกล้ประตูบรรณศาลาของเรา จึงเอาใบหมากเม่าที่เรานำมาแต่ป่า อันไม่มีน้ำมัน ทั้งไม่เค็ม ให้หมดพร้อมกับภาชนะ ครั้นได้ให้หมากเม่าแก่อินทพราหมณ์นั้นแล้ว เราจึงคว่ำภาชนะ ละการแสวงหาใบหมากเม่าใหม่ เข้าไปยังบรรณศาลา แม้ในวันที่ ๒ แม้ในวันที่ ๓ อินทพราหมณ์ก็เข้ามายังสำนักของเรา เราไม่หวั่นไหว ไม่อาลัยในชีวิต ได้ให้หมดสิ้นเช่นวันก่อนเหมือนกัน ในสรีระของเราไม่มีความหมองศรีเพราะการอดอาหารนั้นเป็นปัจจัย เรายับยั้งอยู่ตลอดวันนั้นๆ ด้วยปีติ สุข และความยินดี (อันเกิดแต่ความยินดี) ถ้าเราพึงได้ทักขิเณยยบุคคลผู้ประเสริฐ แม้เดือนหนึ่งสองเดือนเราก็ไม่หวั่นไหว ไม่ท้อแท้ใจ พึงให้ทานอันอุดม เมื่อให้ทานแก่อินทพราหมณ์นั้น เราจะได้ปรารถนายศและลาภก็หามิได้ เราปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณ(เท่านั้น) จึงได้ประพฤติกรรมเหล่านั้น ฉะนี้.
จบอกิตติจริยาที่ ๑
สังขพราหมณจริยาที่ ๒
ว่าด้วยจริยาวัตรของสังขพราหมณ์
[๒] อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเราเป็นพราหมณ์มีนามว่าสังขะ ต้องการจะข้ามมหาสมุทรไปอาศัยปัฏฏนคามอยู่ ในกาลนั้น เราได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้รู้เอง ใครๆ ชนะไม่ได้ ซึ่งเดินสวนทางมาตามทางกันดารบนภาคพื้นอันแข็ง ร้อนจัด ครั้นเราเห็นท่านเดินสวนทางมา จึงคิดเนื้อความนี้ว่า บุญเขตนี้มาถึงแก่เราผู้เป็นสัตว์ที่ต้องการบุญเปรียบเหมือนบุรุษชาวนาเห็นนาอันเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ (เป็นที่น่ายินดีมาก) ไม่ปลูกพืชลงในนานั้น เขาชื่อว่าเป็นผู้ไม่ต้องการด้วยข้าวเปลือกฉันใดเราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้ต้องการบุญ เห็นเขตบุญอันประเสริฐสุดแล้ว ถ้าไม่ทำบุญ (สักการะ) เราก็ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ต้องการบุญ เปรียบเหมือนอำมาตย์ต้องการจะให้ชนชาวเมืองของพระราชายินดี แต่ไม่ให้ทรัพย์และข้าวเปลือกแก่เขา ก็ย่อมเสื่อมจากความยินดีฉันใด เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้ต้องการบุญ เห็นทักขิเณยยบุคคลอันไพบูลย์แล้ว ถ้าไม่ให้ทานในทักขิเณยยบุคคลนั้นก็จักเสื่อมจากบุญ ครั้นเราคิดอย่างนี้แล้วจึงถอดรองเท้า ไหว้เท้าของท่านแล้ว ได้ถวายร่มและรองเท้า เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นผู้ละเอียด เจริญ สุข ได้ร้อยเท่าพันทวี อนึ่ง เมื่อเราบำเพ็ญทานให้บริบูรณ์ ได้ถวายแก่ท่านนั้น อย่างนี้แล.
จบสังขพราหมณจริยาที่ ๒
กุรุธรรมจริยาที่ ๓
ว่าด้วยพระจริยาวัตรของพระเจ้าธนญชัย
[๓] อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเราเป็นพระราชามีนามว่าธนญชัย อยู่ในอินทปัตถบุรีอันอุดม ประกอบด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ในกาลนั้น พวกพราหมณ์ชาวกาลิงครัฐ ได้มาหาเรา ขอพระยาคชสารทรง อันประกอบด้วยมงคลหัตถี กะเราว่าชนบทฝนไม่ตกเลย เกิดทุพภิกขภัย อดอยากอาหารมาก ขอพระองค์จงทรงพระราชทานพระยาคชสารตัวประเสริฐมีสีกายเขียวชื่ออัญชนะเถิด เราคิดว่าการห้ามยาจกทั้งหลายที่มาถึงแล้ว ไม่สมควรแก่เราเลย กุศลสมาทานของเราอย่าทำลายเสียเลย เราจักให้คชสารตัวประเสริฐ เราได้รับงวงพระยาคชสาร วางลงบนมือพราหมณ์ แล้วจึงหลั่งน้ำในเต้าทองลงบนมือได้ให้พระยาคชสารแก่พราหมณ์ เมื่อเราได้ให้พระยาคชสารแล้ว พวกอำมาตย์ได้กล่าวดังนี้ว่า เหตุไรหนอพระองค์จึงพระราชทานพระยาคชสารตัวประเสริฐ อันประกอบด้วยธัญญลักษณ์ สมบูรณ์ด้วยมงคล ชนะในสงครามอันสูงสุด แก่ยาจกเมื่อพระองค์ทรงพระราชทานคชสารแล้ว พระองค์จักเสวยราชสมบัติได้อย่างไร [เราได้ตอบว่า] แม้ราชสมบัติทั้งหมดเราก็พึงให้ ถึงสรีระของตน เราก็พึงให้ เพราะสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเราฉะนั้น เราจึงได้ให้พระยาคชสาร ดังนี้แล.
จบกุรุธรรมจริยาที่ ๓
มหาสุทัสนจริยาที่ ๔
ว่าด้วยพระจริยาวัตรของพระมหาสุทัสนจักรพรรดิ
[๔] ในเมื่อเราเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงพระนามว่ามหาสุทัสนะ มีพลานุภาพมาก ได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน เสวยราชสมบัติในพระนครกุสาวดี ในกาลนั้น เราได้สั่งให้ประกาศทุกๆ วัน วันละ ๓ ครั้ง ว่าใครอยากปรารถนาอะไร เราจะให้ทรัพย์อะไรแก่ใคร ใครหิว ใครกระหาย ใครต้องการดอกไม้ ใครต้องการเครื่องลูบไล้ ใครขาดแคลนผ้าสีต่างๆ ก็จงมาถือเอาไปนุ่งห่ม ใครต้องการร่มไปในหนทางก็จงมารับเอาไป ใครต้องการรองเท้าอันอ่อนงาม ก็จงมารับเอาไป เราให้ประกาศดังนี้ทั้งเวลาเย็น ทั้งเวลาเช้า ทุกวัน ทานนั้นมิใช่เรา ตกแต่งไว้ในที่ ๑๐ แห่ง หรือมิใช่ ๑๐๐ แห่งเราตกแต่งทรัพย์ไว้สำหรับยาจกในที่หลายร้อยแห่ง วณิพกจะมาในเวลากลางวันก็ตาม หรือในเวลากลางคืนก็ตามก็ได้โภคะตามความปรารถนา พอเต็มมือกลับไป เราได้ให้มหาทานเห็นปานนี้จนตราบเท่าสิ้นชีวิต เราได้ให้ทรัพย์ที่น่าเกลียดก็หามิได้ และเราไม่มีการสั่งสมก็หามิได้ เปรียบเหมือนคนไข้กระสับกระส่าย เพื่อจะพ้นจากโรค ต้องการให้หมอพอใจด้วยทรัพย์จึงหายจากโรคได้ ฉันใด เราก็ฉันนั้น รู้อยู่ (ว่าทานบริจาคเป็นอุบายเครื่องเปลื้องตนและสัตว์โลกทั้งสิ้น ให้พ้นจากโลก คือสังขารทุกข์ทั้งสิ้นได้) จึงบำเพ็ญทานให้บริบูรณ์โดยไม่มีเศษเหลือ เพื่อยังใจที่บกพร่องให้เต็มเราจึงให้ทานแก่วณิพกเรามิได้อาลัย มิได้หวังอะไร ได้ให้ทานเพื่อบรรลุสัมโพธิญาณ ฉะนี้แล.
จบมหาสุทัสนจริยาที่ ๔
มหาโควินทจริยาที่ ๕
ว่าด้วยจริยาวัตรของโควินทพราหมณ์
[๕] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพราหมณ์นามว่ามหาโควินท์เป็นปุโรหิตของพระราชา ๗ พระองค์ อันนรชนและเทวดาบูชา ในกาลนั้น เครื่องบรรณาการอันใดในราชอาณาจักรทั้ง ๗ ได้มีแล้วแก่เรา เราได้ให้มหาทานร้อยล้านแสนโกฏิเปรียบด้วยสาครด้วยบรรณาการนั้น เราจะเกลียดทรัพย์และข้าวเปลือกก็หามิได้ และเราจะไม่มีการสั่งสมก็หามิได้ แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา ฉะนั้น เราจึงให้ทานอย่างประเสริฐ ฉะนี้แล.
จบมหาโควินทจริยาที่ ๕
เนมิราชจริยา ที่ ๖
ว่าด้วยพระจริยาวัตรของพระเจ้าเนมิราช
[๖] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นมหาราชาพระนามว่าเนมิเป็นบัณฑิต ต้องการกุศลอยู่ในพระนครมิถิลาอันอุดมในกาลนั้น เราได้สร้างศาลา ๔ แห่ง อันมีหน้ามุขหลังละสี่ๆ เรายังทานให้เป็นไปในศาลานั้นแก่ เนื้อ นก และนรชนเป็นต้น ยังมหาทาน คือ เครื่องนุ่งห่ม ที่นอน และโภชนะ คือ ข้าว และน้ำ ให้เป็นไปแล้วไม่ขาดสาย เปรียบเหมือนเสวก เข้าไปหานายเพราะเหตุแห่งทรัพย์ย่อมแสวงหานายที่พึงให้ยินดีได้ ด้วยกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมฉันใด เราก็ฉันนั้น จักแสวงหาพระสัพพัญญุตญาณในภพทั้งปวง จึงยังสัตว์ทั้งหลายให้อิ่มหนำด้วยทาน แล้วปรารถนาโพธิญาณอันอุดม ฉะนี้แล.
จบเนมิราชจริยาที่ ๖
จันทกุมารจริยาที่ ๗
ว่าด้วยพระจริยาวัตรของพระจันทกุมาร
[๗] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นโอรสของพระเจ้าเอกราชมีนามว่าจันทกุมาร อยู่ในพระนครปุบผวดี ในกาลนั้นเราพ้นจากการบูชายัญแล้ว ออกไปจากที่บวงสรวงนั้นยังความสังเวชให้เกิดขึ้น แล้วยังมหาทานให้เป็นไป เราไม่ให้ทานแก่ทักขิเณยยบุคคลแล้วย่อมไม่ดื่มน้ำ ไม่เคี้ยวของเคี้ยว และไม่บริโภคโภชนะ ๕-๖ ราตรีบ้าง เปรียบเหมือนพ่อค้า รวบรวมสินค้าไว้แล้ว ในที่ใดจะมีลาภมาก(ได้กำไรมาก) ก็นำสินค้าไปในที่นั้น ฉันใดแม้อาหารของตนที่เราให้แล้วแก่คนอื่น มีกำลังมาก (มากมาย) ฉันนั้น (สิ่งของที่เราให้ผู้อื่น มีกำลังมากกว่าสิ่งของที่ตนใช้เอง ฉันนั้น) เพราะฉะนั้น ทานที่เราให้ผู้อื่นจักเป็นส่วนร้อย เรารู้อำนาจประโยชน์นี้ จึงให้ทานในภพน้อยภพใหญ่ เราไม่ถอยกลับ (ไม่ท้อถอย) จากการให้ทานเพื่อบรรลุสัมโพธิญาณ ฉะนี้แล.
จบจันทกุมารจริยาที่ ๗
สีวีราชจริยาที่ ๘
ว่าด้วยพระจริยาวัตรของพระเจ้าสีวีราช
[๘] ในกาลเมื่อเราเป็นกษัตริย์พระนามว่าสีวี อยู่ในพระนครอันมีนามว่าอริฏฐะ เรานั่งอยู่ในปราสาทอันประเสริฐ ได้ดำริอย่างนี้ว่า ทานที่มนุษย์พึงให้อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เราไม่ได้ให้แล้วไม่มี แม้ผู้ใดพึงขอจักษุกะเรา เราก็พึงให้ไม่หวั่นใจเลย ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าทวยเทพทรงทราบความดำริของเราแล้ว ประทับนั่งในเทพบริษัท ได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่าพระเจ้าสีวีผู้มีฤทธิ์มาก ประทับนั่งในปราสาทอันประเสริฐ พระองค์ทรงดำริถึงทานต่างๆ ไม่ทรงเห็นสิ่งที่ยังมิได้ ให้ข้อนั้นจะเป็นจริงหรือไม่หนอ ผิฉะนั้น เราจักทดลองพระองค์ดู ท่านทั้งหลายพึงคอยอยู่สักครู่หนึ่ง เพียงเรารู้น้ำใจของพระเจ้าสีรีเท่านั้น ท้าวสักกะจึงทรงแปลงเพศเป็นคนตาบอด มีกายสั่น ศีรษะหงอก หนังหย่อน กระสับกระส่าย เพราะชรา เข้าไปเฝ้าพระราชา ในกาลนั้น อินทพราหมณ์นั้น ประคองพระพาหาเบื้องซ้ายขวา ประนมกรอัญชลีเหนือเศียรได้กล่าวคำนี้ว่า ข้าแต่พระมหาราชาผู้ทรงธรรม ทรงปกครองรัฐให้เจริญ ข้าพระองค์จะขอกะพระองค์ เกียรติคุณคือความยินดีในทานของพระองค์ ขจรไปในเทวดาและมนุษย์หน่วยตาแม้ทั้งสองของข้าพระองค์บอดเสียแล้ว ขอจงพระราชทานพระเนตรข้างหนึ่งแก่ข้าพระองค์เถิด แม้พระองค์จักทรงยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยพระเนตรข้างหนึ่ง เราได้ฟังคำของพราหมณ์นั้นแล้ว ทั้งดีใจและสลดใจประคองอัญชลี มีปีติและปราโมทย์ ได้กล่าวคำนี้ว่า เราคิดแล้วลงจากปราสาทมาถึงที่นี้บัดนี้เอง ท่านรู้จิตของเราแล้ว มาขอนัยน์ตา โอ ความปรารถนาของเราสำเร็จแล้ว ความดำริของเราบริบูรณ์แล้ว วันนี้ เราจักให้ทานอันประเสริฐ ซึ่งเราไม่เคยให้ แก่ยาจก มานี่แน่ะหมอสิวิกะ จงขมีขมันอย่าชักช้า อย่าครั่นคร้าม จงควักนัยน์ตาแม้ทั้งสองข้างออกให้แก่วณิพกนี้เดี๋ยวนี้ หมอสิวิกะนั้นเราเตือนแล้ว เชื่อฟังคำของเรา ได้ควักนัยน์ตาทั้งสองออกให้แก่ยาจกทันที เมื่อเราจะให้ก็ดี กำลังให้ก็ดี ให้แล้วก็ดี จิตของเราไม่เป็นอย่างอื่น เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณนั้นเอง จักษุทั้งสองเราจะเกลียดชังก็หามิได้ แม้ตนเราก็มิได้เกลียดชัง แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา ฉะนั้น เราจึงได้ให้จักษุ ฉะนี้แล.
จบสีวีราชจริยาที่ ๘
เวสสันตรจริยาที่ ๙
ว่าด้วยพระจริยาวัตรของพระเวสสันดร
[๙] นางกษัตริย์พระนามว่าผุสสดีพระชนนีของเรา พระนางเป็นมเหสีของท้าวสักกะ ในชาติที่ล่วงมาแล้ว ท้าวสักกะจอมเทพทรงเห็นว่าพระนางจะสิ้นอายุ จึงตรัสดังนี้ว่า เราจะให้พร ๑๐ ประการแก่เธอ นางผู้เจริญ จะปรารถนาพรอันใด พอท้าวสักกะตรัสอย่างนี้เท่านั้น พระเทวีนั้นได้ทูลท้าวสักกะ ดังนี้ว่า หม่อมฉันมีความผิดอะไรหรือ หรือพระองค์เกลียดหม่อมฉันเพราะเหตุใด จึงจะให้หม่อมฉันเคลื่อนจากสถานอันรื่นรมย์เหมือนลมพัดให้ต้นไม้หวั่นไหว ฉะนั้นเมื่อพระนางผุสสดีตรัสอย่างนี้ ท้าวสักกะนั้นได้ตรัสกะพระนางดังนี้อีกว่า เธอไม่ได้ทำความชั่วเลย และจะไม่เป็นที่รักของเราก็หามิได้ แต่อายุของเธอมีประมาณเท่านี้เอง เวลานี้เป็นเวลาที่เธอจักต้องจุติ เธอจงรับเอาพร ๑๐ ประการอันประเสริฐสุด ที่ฉันให้เถิด พระนางผุสสดีนั้น มีพระทัยยินดี ร่าเริงเบิกบานพระทัย ทรงรับเอาพร ๑๐ ประการ ซึ่งเป็นพรอันท้าวสักกะพระราชทานทรงทำเราไว้ในภายในพระนางผุสสดีนั้น จุติจากดาวดึงส์นั้นแล้ว มาบังเกิดในตระกูลกษัตริย์ ได้สมาคมกับพระเจ้ากรุงสญชัย (เป็นมเหสีของพระเจ้ากรุงสญชัย) ในพระนครเชตุดร ในกาลเมื่อเราลงสู่พระครรภ์ของพระนางผุสสดี พระมารดาที่รัก ด้วยเดชของเรา
พระมารดาของเราเป็นผู้ยินดีในทานทุกเมื่อ ทรงให้ทานแก่คนยากจน คนป่วยไข้ (กระสับกระส่าย) คนแก่ ยาจก คนเดินทาง สมณพราหมณ์คนสิ้นเนื้อประดาตัว คนไม่มีอะไรเลย พระนางผุสสดีทรงพระครรภ์ครบ ๑๐ เดือน เมื่อพระเจ้าสญชัยทรงทำประทักษิณพระนคร พระนางก็ประสูติเรา ณ ท่ามกลางถนนของพวกคนค้าขาย นามของเราจึงไม่เนื่องข้างฝ่ายพระมารดา และไม่เกิดเนื่องข้างฝ่ายพระบิดา เพราะเราเกิดที่ถนนของคนค้าขายนี้ ฉะนั้น เราจึงมีชื่อว่าเวสสันดร
ในกาลเมื่อเราเป็นทารกอายุ ๘ ปีแต่กำเนิด ในกาลนั้น เรานั่งอยู่ในปราสาท คิดเพื่อจะให้ทานว่า เราพึงให้หทัย จักษุ แม้เนื้อและเลือด เราพึงให้ทานทั้งกาย ถ้าใครได้ยินแล้ว พึงขอกะเรา เมื่อเราคิดถึงความเป็นจริง จิตของเราไม่หวั่นไหว ไม่หดหู่ ในขณะนั้น แผ่นดินเขาสิเนรุราชและป่าหิมพานต์ได้หวั่นไหว ในเดือนเต็มวันอุโบสถที่ ๑๕ ทุกกึ่งเดือน เราขึ้นคอมงคลหัตถีปัจจัยนาค เข้าไปยังศาลาเพื่อจะให้ทานพราหมณ์ทั้งหลายชาวกาลิงครัฐ ได้มาหาเราได้ขอพระยาคชสารทรง อันประกอบด้วยมงคลหัตถีกะเราว่า ชนบทฝนไม่ตก เกิดทุพภิกขภัย อดอยากมากมาย ขอพระองค์ทรงโปรดพระราชทานยาคชสารตัวประเสริฐ เผือกผ่อง อันเป็นช้างมงคลอุดม พราหมณ์ทั้งหลายขอสิ่งใดกะเรา เราย่อมให้สิ่งนั้นไม่หวั่นไหวเลย เราไม่ซ่อนเร้นของที่มีอยู่ ใจของเรายินดีในทาน เมื่อยาจกมาถึงแล้วการห้าม(การไม่ให้) ไม่สมควรแก่เรา กุศลสมาทานของเราอย่าทำลายเสีย เราจักให้คชสารตัวประเสริฐ เราได้จับงวงพระยาคชสารวางลงบนมือพราหมณ์แล้วจึงหลั่งน้ำเต้าทองลงบนมือ ได้ให้พระยาคชสารแก่พราหมณ์
เมื่อเราให้พระยามงคลคชสารอันอุดม เผือกผ่อง อีก แม้ในกาลนั้น แผ่นดินเขาสิเนรุราช และป่าหิมพานต์ก็ได้หวั่นไหว เพราะเราให้พระยาคชสารนั้น ชาวพระนครสีพีพากันโกรธเคือง มาประชุมกันแล้ว ขับไล่เราจากแว่นแคว้นของตนว่า จงไปยังภูเขาวงกต เมื่อชาวพระนครเหล่านั้นขับไล่ จิตของเราไม่หวั่นไหว ไม่หดหู่ เราได้ขอพรอย่างหนึ่ง เพื่อจะยังมหาทานให้เป็นไป เมื่อเราขอแล้ว ชาวพระนครสีพีทั้งหมด ได้ให้พรอย่างหนึ่งแก่เรา เราจึงให้เอากลองคู่หนึ่งไปตีประกาศว่าเราจะให้มหาทาน ครั้นเมื่อเราให้ทานอยู่ในโรงทานนั้น เสียงดังกึกก้องอึงมี่ย่อมเป็นไปว่า ชาวพระนครสีพีขับไล่พระเวสสันดรนี้เพราะให้ทาน พระองค์จะยังให้ทานอีกเล่า เราได้ให้ช้าง ม้า รถ ทาสี ทาส แม่โค ทรัพย์ครั้นให้มหาทานแล้ว ก็ออกจากพระนครไปในกาลนั้น
ครั้นเราออกจากพระนครแล้ว กลับผินหน้ามาเหลียวดู แม้ในกาลนั้น แผ่นดินเขาสิเนรุราชและป่าหิมพานต์ ก็หวั่นไหว เราให้ม้าสินธพ ๔ ตัว และรถ แล้วยืนอยู่ที่ทางใหญ่ ๔ แยก ผู้เดียวไม่มีเพื่อนสอง ได้กล่าวกะพระนางมัทรีเทวีดังนี้ว่า ดูกรแม่มัทรี เธอจงอุ้มกัณหากุมารีเถิด เพราะเธอเป็นน้องคงเบากว่า พี่จะอุ้มพ่อชาลี เพราะเขาเป็นพี่คงจะหนัก พระนางมัทรีทรงอุ้มแม่กัณหาผู้อ่อนนุ่ม ดังดอกปทุมและบัวขาว เราได้อุ้มพ่อชาลีหน่อกษัตริย์ เปรียบดังแท่งทองคำชนทั้ง ๔ เป็นกษัตริย์สุขุมาลชาติเกิดในสกุลสูง ได้เสด็จดำเนินไปตามทางอันขรุขระและราบเรียบ ไปยังเขาวงกต มนุษย์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เดินตามมาในหนทางก็ดี สวนทางมาก็ดี เราทั้งหลายได้ไต่ถามเขาถึงหนทางว่า เขาวงกตอยู่ที่ไหน เขาเห็นเราทั้งหลาย ณ ที่นั้นแล้ว ได้เปล่งเสียงอันประกอบด้วยกรุณาว่า กษัตริย์เหล่านี้คงจะต้องได้เสวยทุกข์อย่างยิ่ง เพราะเขาวงกตยังไกล ถ้าพระกุมารทั้งหลายเห็นต้นไม้อันมีผลในป่าใหญ่ พระกุมารกุมารีก็จะทรงกรรแสง เพราะเหตุแห่งผลไม้เหล่านั้น ต้นไม้ทั้งหลายอันสูงใหญ่ไพศาล เห็นพระกุมารกุมารีทรงกรรแสง ก็โน้มยอดลงมาหาพระกุมารและพระกุมารีเอง นางมัทรีผู้ทรงความงามทั่วสรรพางค์ ทรงเห็นความอัศจรรย์นี้อันไม่เคยมีมา น่าขนลุกขนพอง จึงยังสาธุการให้เป็นไปว่า ความอัศจรรย์อันไม่เคยมีในโลก บังเกิดขนชูชันหนอ หมู่ไม้น้อมยอดลงมาเอง ด้วยเดชแห่งพระเวสสันดร เทวดาทั้งหลายได้ย่นทางให้ ด้วยความเอ็นดูพระกุมารกุมารี
ในวันที่เราออกจากพระนครสีพีนั้นเอง เราทั้ง ๔ ได้ไปถึงเจตรัฐ ในกาลนั้น พระราชา (เจ้า) หกหมื่นองค์อยู่ในพระนครมาตุละ ต่างก็ประนมกรอัญชลีพากันร้องไห้มาหา เราเจรจาปราศรัยกับโอรสของพระเจ้าเจตราชเหล่านี้อยู่ ณ ที่นั้น ให้โอรสของพระเจ้าเจตราชเหล่านั้นกลับที่ประตูนั้นแล้ว ได้ไปยังเขาวงกต ท้าวสักกะจอมเทวดา ตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรผู้มีฤทธิ์มาก แล้วรับสั่งให้ไปเนรมิตบรรณศาลาอย่างสวยงาม น่ารื่นรมย์ สำหรับเป็นอาศรม เราทั้ง ๔ คน มาถึงป่าใหญ่อันเงียบเสียงอื้ออึง ไม่เกลื่อนกล่นด้วยฝูงชนอยู่ในบรรณศาลานั้น ณ เชิงเขา ในกาลนั้นเขา พระนางมัทรีเทวี พ่อชาลีและแม่กัณหาทั้งสอง บรรเทาความเศร้าโศกของกันและกันอยู่ในอาศรม เรารักษาเด็กทั้งสองอยู่ในอาศรม อันไม่ว่างเปล่า พระนางมัทรีนำผลไม้มาเลี้ยงคนทั้งสาม เมื่อเราอยู่ในป่าใหญ่ ชูชกพราหมณ์เดินเข้ามาหาเรา ได้ขอบุตรทั้งสองของเรา คือ พ่อชาลีและแม่กัณหาชินา เพราะได้เห็นยาจกเข้ามาหา ความร่าเริงเกิดขึ้นแก่เรา ในกาลนั้น เราได้พาบุตรทั้งสองมาให้แก่พราหมณ์ เมื่อเราสละบุตรทั้งสองของตนให้แก่ชูชก พราหมณ์ในกาลใด แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน เขาสิเนรุราช และป่าหิมพานต์ ก็หวั่นไหว
ท้าวสักกะทรงแปลงเพศเป็นพราหมณ์เสด็จลงจากเทวโลก มาขอนางมัทรีผู้มีศีลมีจริยาวัตรอันงาม กะเราอีก เรามีความดำริแห่งใจอันเลื่อมใส จับพระหัตถ์พระนางมัทรี ยังฝ่ามือให้เต็มด้วยน้ำ ได้ให้พระนางมัทรีแก่พราหมณ์นั้น เมื่อเราให้พระนางมัทรี หมู่เทวดาในอากาศเบิกบาน (พลอยยินดี) แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน เขาสิเนรุราช และป่าหิมพานต์ ก็หวั่นไหว เราสละพ่อชาลีแม่กัณหาชินาผู้ธิดา และพระนางมัทรีเทวีผู้มีจริยาวัตรอันงาม ไม่คิดถึงเลย เพราะเหตุแห่งโพธิญาณนั่นเอง เราจะเกลียดบุตรทั้งสองหามิได้ จะเกลียดพระนางมัทรีก็หามิได้ แต่สัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา ฉะนั้นเราให้บุตรและภรรยาผู้เป็นที่รัก
อีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระมารดาและพระบิดาเสด็จมาพร้อมกัน ณ ป่าใหญ่ ทรงกรรแสงสะอึกสะอื้นน่าสงสาร ตรัสถามถึงสุขทุกข์กันอยู่ เราได้เข้าเฝ้าพระมารดาและพระบิดาทั้งสองผู้เป็นที่เคารพด้วยหิริและโอตตัปปะ แม้ในกาลนั้น แผ่นดินเขาสิเนรุราช และป่าหิมพานต์ ก็หวั่นไหวอีกครั้งหนึ่งเรากับบรรดาพระญาติของเราออกจากป่าใหญ่ จักเข้าสู่พระนครเชตุดร อันเป็นนครน่ารื่นรมย์ แก้ว ๗ ประการตกลงแล้ว มหาเมฆยังฝนให้ตก (มหาเมฆยังฝนแก้ว ๗ ประการให้ตกลง) แม้ในกาลนั้นแผ่นดิน เขาสิเนรุราชและป่าหิมพานต์ ก็หวั่นไหว แม้แผ่นดินนี้ไม่มีจิตใจไม่รู้สุขและทุกข์ก็หวั่นไหวถึง ๗ ครั้ง เพราะกำลังแห่งทานของเรา ฉะนี้แล.
จบเวสสันตรจริยาที่ ๙
สสปัณฑิตจริยาที่ ๑๐
ว่าด้วยจริยาวัตรของสสบัณฑิต
[๑๐] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นกระต่ายเที่ยวอยู่ในป่า มีหญ้า ใบไม้ ผักและผลไม้เป็นภักษา เว้นจากการเบียดเบียนผู้อื่น ในกาลนั้น ลิง สุนัขจิ้งจอก ลูกนาค และเราเป็นสหายอยู่ร่วมกันมาพบกันทั้งเวลาเย็นเวลาเช้า เราสั่งสอนสหายเหล่านั้นในกุศลธรรมและอกุศลธรรมว่าท่านทั้งหลาย จงเว้นบาปกรรมเสีย จงตั้งอยู่ในกรรมอันงาม เราเห็นพระจันทร์เต็มดวงในวันอุโบสถ จึงบอกแก่สหายเหล่านั้นว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถ ท่านทั้งหลายจงตระเตรียมทานทั้งหลายเพื่อให้แก่ทักขิไณยยบุคคล ครั้นให้ทานแก่ทักขิไณยยบุคคลแล้ว จงรักษาอุโบสถ สหายเหล่านั้นรับคำของเราว่า สาธุ แล้วได้ตระเตรียมทานต่างๆ ตามสติกำลัง แล้วแสวงหาทักขิไณยยบุคคล เรานอนคิดถึงทานอันสมควรแก่ทักขิไณยยบุคคลว่า ถ้าเราพึงได้ทักขิไณยยบุคคล เราจักให้อะไรเป็นทาน งา ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ข้าวสาร และเปรียง ของเราไม่มี เราเลี้ยงชีวิตด้วยหญ้า ถ้าทักขิไณยยบุคคลมาสักท่านหนึ่ง เพื่อขอในสำนักของเรา เราพึงให้ตนของตน ทักขิไณยยบุคคลจักไม่ไปเปล่า
ท้าวสักกะทรงทราบความดำริของเราแล้ว แปลงเพศเป็นพราหมณ์เสด็จเข้ามายังสำนักของเรา เพื่อทรงทดลองทานของเรา เราเห็นพราหมณ์นั้นแล้วก็ยินดี ได้กล่าวคำนี้ว่าท่านมาถึงในสำนักของเรา เพราะเหตุแห่งอาหารเป็นการดีแล วันนี้เราจักให้ทานอันประเสริฐที่ใครๆ ไม่เคยให้แก่ท่าน ท่านผู้ประกอบด้วยศีลคุณ การเบียดเบียนผู้อื่นไม่ควรแก่ท่าน ท่านจงไปนำเอาไม้ต่างๆ มาก่อไฟขึ้น เราจักปิ้งตัวของเรา ท่านจักได้กินเนื้อที่สุกพราหมณ์รับคำแล้ว มีใจร่าเริง นำเอาไม้ต่างๆมาได้ทำเชิงตะกอนใหญ่ ทำเป็นห้องอันเต็มด้วยถ่านเพลิงก่อไฟโพลงขึ้น ณ ที่นั้นทันทีเหมือนไฟนั้นเป็นกองใหญ่ฉะนั้น เราสลัดตัวอันมีธุลีแล้ว เข้าไปนั่งอยู่ข้างหนึ่งในเมื่อกองไม้อันไฟติดทั่วแล้ว เป็นควันตระลบอยู่ ในกาลนั้น เราโดดลงในท่ามกลางระหว่างเปลวไฟ น้ำเย็นอันผู้ใดผู้หนึ่งดำลงแล้ว ย่อมระงับความกระวนกระวายและความร้อน ย่อมให้ความยินดีและปีติ ฉันใดในกาลเมื่อเราเข้าไปยังไฟที่ลุกโพลง ก็ฉันนั้นเหมือนกันความกระวนกระวายทั้งปวงย่อมระงับ ดังดำลงในน้ำเย็นฉะนั้น เราได้ให้แล้วซึ่งกายทั้งสิ้น โดยไม่เหลือ คือ ขน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก และชิ้นเนื้อหทัยแก่พราหมณ์ ฉะนี้แล.
จบสสปัณฑิตจริยาที่ ๑๐
......................................................................................................................................................
รวมจริยาที่มีในวรรณนี้ คือ
อกิตติดาบส สังขพราหมณ์ พระเจ้าธนญชัยกุรุราช พระเจ้ามหาสุทัสนจักรพรรดิราช มหาโควินทพราหมณ์ พระเจ้าเนมิราช จันทกุมารพระเจ้าสีวิราช เวสสันดร และสสบัณฑิตผู้ให้ทานอันประเสริฐในกาลนั้น เป็นเรานี้เอง ทานเหล่านี้เป็นบริวารแห่งทาน เป็นทานบารมี เราได้ให้ชีวิตเป็นทานแก่ยาจกจึงยังบารมีนี้ให้เต็มได้ เราเห็นยาจกเข้ามาเพื่อขอแล้ว ได้สละตนของตนให้ ความเสมอด้วยทานของเราไม่มี นี้เป็นทานบารมีของเรา ฉะนี้แล.
จบการบำเพ็ญทานบารมีที่ ๑
......................................................................................................................................................
สีลวนาคจริยาที่ ๑
ว่าด้วยจริยาวัตรของพระยาช้างสีลวนาค
[๑๑] ในกาลเมื่อเราเป็นกุญชรเลี้ยงมารดาอยู่ในป่าหิมพานต์ ในกาลนั้น ในพื้นแผ่นดินนี้ ไม่มีอะไรที่จะเสมอด้วยศีลคุณของเรา พรานป่าพบเราในป่าใหญ่แล้ว ได้กราบทูลแด่พระราชาว่า ข้าแต่พระราชาผู้ใหญ่ ช้างมงคลอันสมควรเป็นพระที่นั่งทรง มีอยู่ในป่าใหญ่ อันการจับช้างนั้นไม่ต้องขุดคู แม้การปักเสาตลุงและการขุดหลุมลวง ก็ไม่ต้องในขณะที่จับเข้าที่งวงเท่านั้น ช้างนั้นก็จะมา ณ ที่นี้เองพระเจ้าข้า ฝ่ายพระราชาได้ทรงฟังคำของพรานป่านั้นแล้วทรงดีพระทัย ทรงส่งไปซึ่งควาญช้างซึ่งเป็นอาจารย์ผู้ฉลาดศึกษาดีแล้ว ควาญช้างนั้นไปแล้ว ได้พบช้างกำลังถอนเง่าบัวอยู่ในสระบัวหลวง เพื่อต้องการเลี้ยงมารดาควาญช้างรู้ศีลคุณของเรา พิจารณาดูลักษณะแล้วกล่าวว่า มานี่แน่ะลูกแล้วได้จับเข้าที่งวงของเรา ในกาลนั้น กำลังของเราที่มีอยู่ในกายตามปรกติอันใด วันนี้กำลังของเรานั้นเสมอเหมือนกับกำลังของช้างหลายพัน ถ้าเราโกรธแก่ควาญช้างเหล่านั้นผู้เข้ามาใกล้เพื่อจับเราเราพึงสามารถจะเหยียบย่ำเขาเหล่านั้นได้ แม้ตลอดราชสมบัติของมนุษย์แต่ถึงแม้เราจะถูกเขาใส่ไว้ในเสาตลุงเราก็ไม่ทำจิตโกรธเคือง เพื่อรักษาศีล เพื่อบำเพ็ญบารมีให้บริบูรณ์ ถ้าเขาเหล่านั้นพึงทำลายเราที่เสาตลุงนี้ด้วยขวานและหอกซัด เราก็จะไม่โกรธเขาเหล่านั้นเลยเพราะเรากลัวศีลของเราจะขาด ฉะนี้แล.
จบสีลวนาคจริยาที่ ๑
ภูริทัตตจริยาที่ ๒
ว่าด้วยจริยาวัตรของภูริทัตตนาคราช
[๑๒] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพระยานาคชื่อภูริทัต มีฤทธิ์มาก เราไปยังเทวโลกพร้อมกับท้าววิรูปักข์มหาราช ในเทวโลกนั้น เราได้เห็นทวยเทพผู้สมบูรณ์ด้วยความสุขโดยส่วนเดียว จึงสมาทานศีลวัตร เพื่อต้องการจะไปยังสวรรค์นั้น เราชำระร่างกาย บริโภคอาหารพอเป็นเครื่องเลี้ยงอาชีพแล้ว อธิษฐานอุโบสถมีองค์ ๔ ประการว่าผู้ใดพึงทำกิจด้วยผิวหนังก็ดี ด้วยเนื้อก็ดี ด้วยเอ็นก็ดี ด้วยกระดูกก็ดี ขอผู้นั้นจงนำเอาอวัยวะที่เราให้นี้ไปเถิด แล้วนอนอยู่บนยอดจอมปลวก พราหมณ์อาลัมพาน อันบุคคลผู้ไม่รู้อุปการะที่บุคคลอื่นทำแล้ว บอกแล้ว ได้จับเราใส่ไว้ในตะกร้า ให้เราเล่นในที่นั้นๆ แม้เมื่อพราหมณ์อาลัมพานใส่เราไว้ในตะกร้า แม้เมื่อบีบเราด้วยฝ่ามือ เราก็ไม่โกรธเพราะเรากลัวศีลของเราจะขาด การที่เราบริจาคชีวิตของตนเป็นของเบาแม้กว่าหญ้า การล่วงศีลของเราเป็นเหมือนดังว่าแผ่นดิน เราพึงสละชีวิตของเราสิ้นร้อยชาติเนืองๆ เราไม่พึงทำลายศีลแม้เพราะเหตุแห่งทวีปทั้ง ๔ ถึงแม้เราจะถูกพราหมณ์อาลัมพานใส่ไว้ในตะกร้าเราก็มิได้ทำจิตให้โกรธเคือง เพื่อรักษาศีลเพื่อบำเพ็ญศีลบารมีให้เต็ม ฉะนี้แล.
จบภูริทัตตจริยาที่ ๒
จัมเปยยกจริยาที่ ๓
ว่าด้วยจริยาวัตรของจัมเปยยกนาคราช
[๑๓] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพระยานาคชื่อจัมเปยยกะมีฤทธิ์มาก แม้ในกาลนั้น เราเป็นผู้ประพฤติธรรมเพียบพร้อมด้วยศีลวัตร หมองูได้จับเราผู้ประพฤติธรรม รักษาอุโบสถให้เล่นรำอยู่ที่ใกล้ประตูพระราชวัง หมองูนั้นคิดเอาสีเช่นใด คือ สีเขียว สีเหลือง หรือแดง เราย่อมเปลี่ยนไปตามจิตของเขา แปลงกายให้เหมือนที่เขาคิดเราได้ทำน้ำให้เป็นบกบ้าง ได้ทำบกให้เป็นน้ำ ถ้าแหละเราโกรธเคืองต่อหมองูนั้น ก็พึงทำเขาให้เป็นเถ้าโดยฉับพลัน ถ้าเราจักเป็นไปตามอำนาจจิตเราก็จักเสื่อมจากศีล เมื่อเราเสื่อมจากศีลประโยชน์อันสูงสุดจะไม่สำเร็จ กายของเรานี้จงแตกไป จงกระจัดกระจายอยู่ ณ ที่นี้ เหมือนแกลบกระจัดกระจายอยู่ก็ตามเถิด เราจะไม่ทำลายศีล ฉะนี้แล.
จบจัมเปยยกจริยาที่ ๓
จูฬโพธิจริยาที่ ๔
ว่าด้วยจริยาวัตรของจูฬโพธิปริพาชก
[๑๔] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นปริพาชกชื่อจูฬโพธิ มีศีลงามเราเห็นภพโดยเป็นสิ่งน่ากลัว จึงออกบวชเป็นดาบส นางพราหมณีผู้มีผิวพรรณดังทองคำ ซึ่งเป็นภรรยาของเราแม้นางก็มิได้อาลัยในวัฏฏะ ออกบวชเป็นตาปสินี เราทั้งสองไม่มีความอาลัย ตัดพวกพ้องขาด ไม่ห่วงใยในตระกูลและหมู่ญาติเที่ยวไปยังบ้านและนิคม มาถึงยังพระนครพาราณสี เราทั้งสองอยู่ ณ ที่นั้น มีปัญญาไม่เกี่ยวข้องในตระกูลและคณะ เราทั้งสองอยู่ในพระราชอุทยานอันไม่เกลื่อนกล่น สงัดเสียงพระราชาเสด็จทอดพระเนตรพระราชอุทยานได้ทอดพระเนตรเห็นนางพราหมณี จึงเสด็จเข้ามาหาเราแล้วตรัสถามว่า นางพราหมณีคนนี้เป็นอะไรกับท่าน เป็นภริยาของใครเมื่อพระราชาตรัสถามอย่างนี้เราได้ทูลแก่พระองค์ดังนี้ว่า นางพราหมณีนี้มิใช่ภริยาของอาตภาพ เป็นผู้ประพฤติธรรมร่วมกันเป็นผู้มีคำสอนร่วมกัน พระราชาทรงกำหนัดหนักหน่วงในนางพราหมณีนั้นจึงรับสั่งให้พวกราชบุรุษจับ ทรงบีบคั้นด้วยกำลังสั่งให้นำเข้าไปยังภายในพระนคร เมื่อภริยาเก่าของเราเกิดร่วมกันมีคำสอนร่วมกัน ถูกฉุดคร่าไป ความโกรธพึงเกิดแก่เรา เราระลึกถึงศีลวัตรได้พร้อมกับความโกรธที่เกิดขึ้น เราข่มความโกรธได้ ณ ที่นั้นเอง ไม่ให้มันเจริญขึ้นไปอีก ถ้าใครๆพึงเอาหอกอันคมกริบแทงนางพราหมณีนั้น เราก็ไม่พึงทำลายศีลของเราเลย เพราะเหตุแห่งโพธิญาณเท่านั้นเราจักเกลียดนางพราหมณีนั้นก็หามิได้ และเราจะไม่มีกำลังก็หามิได้ เพราะพระสัมพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา ฉะนั้นเราจึงรักษาศีลไว้ ฉะนี้แล.
จบจูฬโพธิจริยาที่ ๔
มหิสราชจริยาที่ ๕
ว่าด้วยจริยาวัตรของพระยากระบือ
[๑๕] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นกระบือ เที่ยวอยู่ในป่าใหญ่มีกายอ้วนพี มีกำลังมากใหญ่โต ดูหน้ากลัวพิลึก ประเทศไรๆ ในป่าใหญ่นี้อันเป็นที่อยู่ของฝูงกระบือ มีอยู่ที่เงื้อมเขาก็ดี ที่ซอกห้วยธารเขาก็ดี ที่โคนไม้ก็ดีที่ใกล้บึงก็ดี เราเที่ยวไปในที่นั้นๆ เมื่อเราเที่ยวไปในป่าใหญ่ ได้เห็นสถานที่อันเจริญเราจึงเข้าไปสู่ที่นั้น แล้วยืนพักอยู่และนอนอยู่ ครั้งนั้น ลิงป่าผู้ลามก หลุกหลิก ลอกแลกมา ณ ที่นั้น ถ่ายอุจจาระปัสสาวะรดเราที่คอที่หน้าผาก ที่คิ้ว ย่อมเบียดเบียนเราวันหนึ่งครั้งหนึ่ง วันที่ ๒ วันที่ ๓ แม้วันที่ ๔ ก็วันละครั้ง เราจึงเป็นผู้อันลิงนั้นเบียดเบียนตลอดกาลทั้งปวง เทวดาเห็นเราถูกลิงเบียดเบียน ได้กล่าวกะเราดังนี้ว่า ท่านจงยังลิงลามกตัวนี้ให้ฉิบหายตายโหงเสีย ด้วยเขาและกีบเถิด เมื่อเทวดากล่าวอย่างนี้ในครั้งนั้นแล้ว เราได้ตอบเทวดานั้นว่าเหตุไร ท่านจะให้เราเปื้อนซากศพอันลามกไม่เจริญเล่า ถ้าเราพึงโกรธต่อลิงนั้น เราก็พึงเป็นผู้เลวกว่ามัน ศีลของเราก็จะพึงแตก และวิญญูชนทั้งหลายก็จะพึงติเตียนเรา เราเป็นผู้บริสุทธิ์ ตายเสียยังประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ ที่น่าละอายอีกอย่างไรเราจักเบียดเบียนผู้อื่นแม้เพราะเหตุแห่งชีวิตบุคคลผู้มีปัญญา อดกลั้นคำดูหมิ่นในเพราะของคนเลวคนปานกลางและคนชั้นสูง ย่อมได้อย่างนี้ตามใจปรารถนา ฉะนี้แล.
จบมหิสราชจริยาที่
รุรุมิคจริยาที่ ๖
ว่าด้วยจริยาวัตรของพระยาเนื้อ
[๑๖] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพระยาเนื้อชื่อรุรุ มีขนสีเหลืองคล้ายหลอมทองคำ ประกอบด้วยศีลอันบริสุทธิ์ยิ่ง เราเข้าไปอาศัยอยู่ ณ ประเทศน่ารื่นรมย์ เป็นรัมณียสถาน สงัดเงียบปราศจากมนุษย์ เป็นที่ยินดีแห่งใจ ใกล้ฝั่งคงคา ครั้งนั้น บุรุษถูกเจ้าหนี้ทวงถาม จึงโดดลงในแม่น้ำ ในกระแสน้ำข้างเหนือ ด้วยคิดว่า เราจะเป็นหรือตายก็ตามที เขาถูกกระแสน้ำพัดไปในแม่น้ำใหญ่ ตลอดคืนตลอดวัน ร้องไห้คร่ำครวญควรจะสงสาร ลอยไปในท่ามกลางคงคา เราฟังเสียงของเขาผู้ร้องไห้คร่ำครวญควรจะสงสารแล้ว ไปยืนอยู่ที่ฝั่งคงคาได้ถามว่า ท่านเป็นคนเช่นไร เขาอันเราถามแล้ว ได้แจ้งเหตุของตนในกาลนั้นว่า เราเป็นผู้ถูกเจ้าหนี้ทำให้สะดุ้งกลัว จึงแล่นมายังมหานทีนี้เราทำความกรุณาแก่เขา สละชีวิตของเราให้ว่ายน้ำไปนำเขามาในเวลากลางคืน ข้างแรมเรารู้กาลว่า เขาหายเหน็ดเหนื่อยล้าแล้วได้กล่าวกะเขาดังนี้ว่า เราจะขอพรกะท่านสักข้อหนึ่ง คือ ท่านอย่าบอกเราแก่ใครๆ เขาไปยังพระนครแล้ว พระราชาตรัสถาม จึงกราบทูลเพราะต้องการทรัพย์ เขาได้พาพระราชาเข้ามายังที่อยู่ของเรา เรากราบทูลเหตุการณ์ทุกอย่างแด่พระราชา พระราชาทรงสดับคำของเราแล้วทรงสอดลูกศรจะยิงบุรุษนั้น ตรัสว่า เราจักฆ่าคนลามกผู้ประทุษร้ายมิตรเสียในที่นี้แหละ เราตามรักษาคนประทุษร้ายมิตรนั้น ได้มอบตนของเราถวายว่า ข้าแต่มหาราชา ขอได้ทรงโปรดก่อนเถิดพระเจ้าข้า ข้าพระบาทจะกระทำตามพระราชประสงค์ของพระราชา เราตามรักษาศีลของเรา ไม่ใช่เราตามรักษาชีวิตของเราเพราะในกาลนั้น เราเป็นผู้มีศีลเพราะเหตุแห่งโพธิญาณนั่นเอง ฉะนี้แล.
จบรุรุมิคจริยาที่ ๖
มาตังคจริยาที่ ๗
ว่าด้วยจริยาวัตรของมาตังคชฏิล
[๑๗] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นชฏิล มีความเพียรอันแรงกล้า มีนามชื่อว่ามาตังคะ เป็นผู้มีศีล มีจิตมั่นคงดี เราและพราหมณ์คนหนึ่งอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคา เราอยู่ข้างเหนือ พราหมณ์อยู่ข้างใต้ พราหมณ์เที่ยวไปตามริมฝั่ง ได้เห็นอาศรมของเราข้างเหนือน้ำบริภาษเราในที่นั้น แล้วแช่งให้เราศีรษะแตกถ้าเราพึงโกรธต่อพราหมณ์นั้น ถ้าเราไม่คุ้มครองศีล เราแลดูพราหมณ์นั้นแล้ว พึงทำให้เป็นดังเถ้าได้ ครั้งนั้นพราหมณ์นั้นโกรธเคืองมีใจประทุษร้าย แช่งเรามุ่งหมายจะให้ศีรษะแตก คำแช่งนั้นจะตกลงบนศีรษะของเขาเอง เราช่วยเปลื้องเขาให้พ้นโดยควร เราตามรักษาศีลของเรา มิใช่เรารักษาชีวิตของเราเพราะในกาลนั้น เราเป็นผู้มีศีลเพราะเหตุแห่งโพธิญาณนั่นเองฉะนี้แล.
จบมาตังคจริยาที่ ๗
ธรรมเทวปุตตจริยาที่ ๘
ว่าด้วยจริยาวัตรของธรรมเทพบุตร
[๑๘] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นเทพบุตรชื่อว่าธัมโม มีอานุภาพมาก มีฤทธิ์มาก บริวารมากเป็นผู้อนุเคราะห์แก่โลกทั้งปวง เราชักชวนให้มหาชนสมาทานกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ เที่ยวไปยังบ้านและนิคม มีมิตรสหาย มีบริวารชน ในกาลนั้น เทพบุตรลามก เป็นผู้ตระหนี่ แสดงอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ แม้เทพบุตรนั้น ก็เที่ยวไปในแผ่นดินนี้ มีมิตรสหาย มีบริวารชน เราทั้งสอง คือ ธรรมวาทีเทพบุตรและอธรรมวาทีเทพบุตร เป็นข้าศึกแก่กัน เราทั้งสองนั่งรถสวนทางกันมา ชนรถของกันและกันที่แอกรถ การทะเลาะวิวาทอันพึงกลัวย่อมเป็นไปแก่เทพบุตรทั้งสองผู้ประกอบด้วยกัลยาณธรรมและบาปธรรม มหาสงครามปรากฏแล้ว เพื่อต้องการจะให้กันและกันหลีกทาง ถ้าเราพึงโกรธเคืองอธรรมเทพบุตรนั้น ถ้าเราพึงทำลายตบะคุณเราพึงทำอธรรมเทพบุตรนั้นพร้อมทั้งบริวารให้เป็นดุจธุลีได้แต่เพื่อจะรักษาศีลไว้ เราจึงระงับความปรารถนาแห่งใจเสียพร้อมทั้งบริษัท ได้หลีกทางให้แก่อธรรมวาทีเทพบุตร พร้อมกับเมื่อเราหลีกจากทาง ทำการระงับจิตได้ แผ่นดินได้ให้ช่องแก่อธรรมเทพบุตรในขณะนั้น ฉะนี้แล.
จบธรรมเทวปุตตจริยาที่ ๘
ชยทิสจริยาที่ ๙
ว่าด้วยพระจริยาวัตรของพระเจ้าชยทิส
[๑๙] พระราชาทรงพระนามว่าชัยทิศ ทรงประกอบด้วยศีลคุณเสวยสมบัติในพระนครอันประเสริฐชื่อกัปปิลาเป็นนครอุดมในปัญจาลรัฐ เราเป็นโอรสของพระราชาพระองค์นั้น มีธรรมอันสดับแล้ว มีศีลงาม มีพระนามว่าอลีนสัตตกุมารมีคุณสงเคราะห์บริวารชนทุกเมื่อ บิดาของเราเสด็จไปประพาศเนื้อ ได้ทรงพบพระยาโปริสารท พระยาโปริสาทนั้นได้จับพระบิดาของเราแล้วกล่าวว่า ท่านเป็นอาหารของเราอย่าดิ้นรน พระบิดาของเราทรงสดับคำของพระยาโปริสาทนั้น ทรงกลัวสะดุ้งหวาดหวั่น พระองค์มีพระเพลาแข็งกระด้างเพราะทอดพระเนตรเห็นพระยาโปริสาท พระยาโปริสาทรับเอาเนื้อแล้วปล่อยไปโดยบังคับให้กลับมาอีก พระราชบิดา พระราชทานทรัพย์แก่พราหมณ์ แล้วตรัสเรียกเรามาว่าพ่อลูกชาย จงปกครองราชสมบัติ อย่าประมาทปกครองนครนี้ พระยาโปริสาทบังคับเราให้เรากลับไปอีก เราถวายบังคมพระมารดาพระบิดาแล้ว ตกแต่งร่างกายสพายธนูเหน็บ พระแสงขรรค์ ออกไปหาพระยาโปริสาท(เราคิดว่า) พระยาโปริสาทเห็นมีมือถืออาวุธ บางทีจักสะดุ้งกลัว แต่เพราะเมื่อเราทำความสะดุ้งกลัวแก่พระยาโปริสาท ศีลของเราจะเศร้าหมอง เพราะเรากลัวศีลจะขาดจึงไม่นำสิ่งที่น่าเกลียด (อาวุธ) เข้าไปใกล้พระยาโปริสาทนั้น เรามีเมตตาจิต กล่าวคำเป็นประโยชน์ ได้กล่าวคำนี้ว่า ท่านจงเอาแก่นไม้มาก่อไฟให้เป็นกองใหญ่ เราจะโดดเข้าไฟท่านผู้เป็นพระปิตุจฉาทราบเวลาว่าเราสุกดีแล้วจงกินเถิด เราไม่ได้รักษาชีวิตของเราเพราะเหตุแห่งพระบิดาผู้ทรงศีล เราได้ให้พระยาโปริสาทผู้ฆ่าสัตว์เป็นปรกติทุกเมื่อนั้นบวชแล้ว ฉะนี้แล.
จบชยทิสจริยาที่ ๙
สังขปาลจริยาที่ ๑๐
ว่าด้วยจริยาวัตรของสังขปาลนาคราช
[๒๐] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพระยานาคชื่อสังขปาละมีฤทธิ์มาก มีเขี้ยวเป็นอาวุธ มีพิษแรงกล้า มีลิ้นสองแฉกเป็นใหญ่กว่านาคทั้งหลาย เราอธิษฐานอุโบสถมีองค์ ๔ ประการว่า ผู้ใดมีกิจด้วยผิวหนังก็ดี เนื้อก็ดี เอ็นก็ดี กระดูกก็ดี ของเราผู้นั้นจงนำเอาอวัยวะที่เราให้แล้วนี้ไปเถิด แล้วสำเร็จการอยู่ ณ สถานที่ใกล้ทางใหญ่สี่แยก อันเกลื่อนกล่นด้วยหมู่ชนต่างๆ พวกบุตรของนายพรานเป็นคนดุร้าย หยาบช้า ไม่มีกรุณา ได้เห็นเราแล้วมีมือถือไม้พลองตะบองสั้นกรูกันเข้ามาหาเรา ณ ที่นั้น พวกบุตรนายพรานเอาหอกแทงเราที่จมูกที่หาง ที่กระดูกสันหลัง แล้วเอาหวายร้อยหามเราไป ถ้าเราปรารถนาก็พึงยังมหาปฐพีอันมีสมุทรสาครเป็นที่สุด พร้อมทั้งป่าทั้งภูเขาให้ไหม้ด้วยลมจมูกในที่นั้นๆ แต่เราไม่โกรธเคืองพวกนายพรานแม้จะแทงด้วยหลาว แม้จะทุบตีด้วยหอก นี้เป็นศีลบารมีของเราฉะนี้แล.
จบสังขปาลจริยาที่ ๑๐
๒. การบำเพ็ญเนกขัมมบารมี
ยุธัญชยจริยาที่ ๑
ว่าด้วยพระจริยาวัตรของยุธัญชยกุมาร
[๒๑] ในกาลเมื่อเราเป็นพระราชโอรส (ของพระเจ้าสัพพทัตตราช) นามว่ายุธัญชัย มีบริวารยศหาประมาณมิได้ สลดใจเพราะได้เห็นหยาดน้ำค้างอันเหือดแห้งเพราะแสงพระอาทิตย์ เราทำความเป็นอนิจจังนั้นแลให้เป็นปุเรจาริก พอกพูนความสังเวช เราถวายบังคมพระมารดาและพระบิดาแล้ว ทูลขอบรรพชา มหาชนพร้อมทั้งชาวนิคมทั้งชาวจังหวัด ประนมอัญชลีอ้อนวอนเรา พระบิดาตรัสว่า วันนี้ เจ้าจงปกครองแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลเถิด ลูก เมื่อมหาชนพร้อมทั้งพระราชบิดา นางสนม ชาวนิคม และชาวแว่นแคว้น ร้องไห้ร่ำไร ควรสงสาร เราไม่ห่วงใยสละไปแล้วเราสละราชสมบัติในแผ่นดินหมู่ญาติ บริวารชน และยศศักดิ์ทั้งสิ้นได้ไม่คิดถึงเลย เพราะเหตุแห่งโพธิญาณ เราจะเกลียดพระมารดาพระบิดาก็หามิได้ เราจะเกลียดยศศักดิ์อันยิ่งใหญ่ก็หามิได้ แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา ฉะนั้น เราจึงสละราชสมบัติ ฉะนี้แล.
จบยุธัญชยจริยาที่ ๑
โสมนัสสจริยาที่ ๒
ว่าด้วยพระจริยาวัตรของโสมนัสสกุมาร
[๒๒] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพระราชบุตรสุดที่รัก เป็นที่ปรารถนาของพระมารดาพระบิดาปรากฏนามว่าโสมนัส อยู่ในอินทปัตถนครอันอุดม เป็นผู้มีศีล สมบูรณ์ด้วยคุณธรรม มีปฏิภาณอันเฉียบแหลม เคารพนบนอบต่อบุคคลผู้เจริญมีหิริ และฉลาดในสังคหธรรม ครั้งนั้น มีดาบสโกงผู้หนึ่ง เป็นที่โปรดปราน ของพระราชาพระองค์นั้น ดาบสนั้นปลูกต้นผลไม้ ดอกไม้และผัก เก็บขายเลี้ยงชีวิต เราได้เห็นดาบสโกงนั้น เหมือนกองแกลบอันไม่มีข้าวสาร เหมือนไม้เป็นโพลงข้างใน เหมือนต้นกล้วยหาแก่นมิได้ ดาบสโกงผู้นี้ไม่มีธรรมของสัตบุรุษ ปราศจากความเป็นสมณะ ละหิริและธรรมขาว เพราะเหตุแห่งการเลี้ยงชีวิตปัจจันตชนบทกำเริบขึ้น เพราะโจรอันเที่ยวอยู่ในดง
พระราชบิดาของเราเมื่อจะเสด็จไปปราบความกำเริบนั้น ตรัสสั่งเราว่า พ่ออย่าประมาทในชฎิลผู้มีความเพียรอันแรงกล้านะ ลูก พ่อจะอนุวัตรตามความปรารถนา ด้วยว่าชฎิลนั้น เป็นผู้ให้ความสำเร็จความปรารถนาทั้งปวงเราไปสู่ที่บำรุงชฎิลนั้นแล้ว ได้กล่าวดังนี้ว่า ดูกรคฤหบดี ท่านสบายดีดอกหรือ หรือว่าท่านจะให้นำเอาอะไรมา เหตุนั้น ดาบสโกงนั้นอาศัยมานะจึงโกรธเรา ว่าเราจะให้พระราชาฆ่าท่านเสียในวันนี้ หรือจะให้ขับไล่เสียจากแว่นแคว้น พระราชาทรงปราบปัจจันตชนบทสงบแล้ว ได้ตรัสถามชฎิลโกงว่า พระผู้เป็นเจ้าสบายดีหรือสักการะสัมมานะยังเป็นไปแก่พระผู้เป็นเจ้าหรือชฏิลโกงนั้น กราบทูลแด่พระราชา เหมือนว่าพระราชกุมารให้ฉิบหายพระเจ้าแผ่นดินทรงสดับคำของชฎิลโกงนั้นทรงบังคับว่าจงตัดศีรษะเสียในที่นี้นั่นแหละ จงสับฟันบั่นออกเป็น ๔ ท่อน ทิ้งไว้ในท่ามกลางถนนให้คนเห็นว่า นั่นเป็นผลของคนเบียดเบียนชฎิล
พวกโจรฆาตก็ใจดุร้ายไม่มีกรุณาเหล่านั้น เพราะรับสั่งบังคับ เมื่อรับนั่งอยู่บนตักของพระมารดา ก็ฉุดคร่านำเราไป เราได้กล่าวแก่เขาเหล่านั้น ซึ่งกำลังผูดมัดอย่างมั่นคงอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงพาเราไปเฝ้าพระราชาโดยเร็ว ราชกิจของเรามีอยู่ เขาเหล่านั้นเป็นคนลามกและเสพคนลามก พาเราไปเฝ้าพระราชา เราไปเฝ้าพระราชาแล้วทูลให้ทรงเข้าพระทัย และนำมาสู่อำนาจของเราพระบิดาขมาเรา ณ ที่นั้นแล้ว ได้พระราชทานราชสมบัติอันใหญ่หลวงแก่เรา เรานั้นทำลายความมืดมัวเมาแล้ว ออกบวชเป็นบรรพชิตเราจะเกลียดราชสมบัติ อันใหญ่หลวงก็หามิได้จะเกลียดกามโภคสมบัติก็หามิได้ แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา ฉะนั้นเราจึง สละราชสมบัติเสีย ฉะนี้แล.
จบโสมนัสสจริยาที่ ๒
อโยฆรจริยาที่ ๓
ว่าด้วยพระจริยาวัตรของอโยฆรกุมาร
[๒๓] อีกเรื่องหนึ่งในกาลเมื่อเราเป็นพระราชโอรสของพระเจ้ากาสีเจริญวัยในเรือนเหล็ก มีนามชื่อว่าอโยฆระ พระบิดาตรัสว่าเจ้าได้ความทุกข์ตั้งแต่เกิดมา เขาเลี้ยงไว้ในที่แคบลูกเอ๋ย วันนี้จงปกครองแผ่นดินทั้งสิ้น พร้อมทั้งแว่นแคว้น พร้อมทั้งชาวนิคมและบริวารชนนี้เถิด เราถวายบังคมจอมกษัตริย์แล้วประคองอัญชลี ได้ทูลดังนี้ว่า บรรดาสัตว์ในแผ่นดินบางพวกต่ำช้า บางพวกอุกฤษฏ์ บางพวกปานกลางสัตว์ทั้งหมดนั้นไม่มีอารักขา เจริญอยู่ในเรือนของตนพร้อมด้วยหมู่ญาติ การเลี้ยงดูข้าพระบาทในที่อันคับแคบนี้ไม่มีใครเหมือนในโลกข้าพระบาทเติบโตอยู่ในเรือนเหล็ก เหมือนพระจันทร์พระอาทิตย์ไม่มีรัศมี ข้าพระบาทประสูติจากพระครรภ์พระมารดาอันเต็มไปด้วยซากศพเน่าแล้ว ยังถูกใส่ (ขัง) ไว้ในเรือนเหล็ก ซึ่งมีทุกข์ร้ายกว่านั้นอีก ข้าพระบาทได้รับความทุกข์ร้ายอย่างยิ่งเช่นนี้แล้ว ถ้ายังยินดีในราชสมบัติ ก็จะเป็นผู้เลวทราม กว่าคนเลวทรามไปข้าพระบาทเป็นผู้เหนื่อยหน่ายในกาย ไม่ต้องการด้วยราชสมบัติ ข้าพระบาทจะแสวงหาธรรมเครื่องดับ ซึ่งเป็นที่ที่มัจจุราชพึงย่ำยีข้าพระบาทไม่ได้ เราคิดอย่างนี้แล้ว เมื่อมหาชนร้องไห้คร่ำครวญอยู่ ได้ตัดเครื่องผูกเสียแล้วเข้าไปยังป่าใหญ่ เหมือนช้าง ฉะนั้น เราจะเกลียดพระมารดาพระบิดาก็หาไม่ จะเกลียดยศศักดิ์อันใหญ่หลวงก็หามิได้ แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา ฉะนั้น เราจึงสละราชสมบัติ ฉะนี้แล.
จบอโยฆรจริยาที่ ๓
ภิงสจริยาที่ ๔
ว่าด้วยจริยาวัตรของภิงสพราหมณ์
[๒๔] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราอยู่ในพระนครกาสีอันประเสริฐสุดน้องหญิงชาย ๗ คน เกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาลเราเป็นพี่ใหญ่ของน้องหญิงชายเหล่านั้นประกอบด้วยหิริและธรรมขาว เราเห็นภพโดยความเป็นภัย จึงยินดีอย่างยิ่งในเนกขัมมะ พวกสหายร่วมใจของเรา ที่มารดาและบิดาส่งมาแล้วเชื้อเชิญเราด้วยกามทั้งหลายว่า เชิญท่านดำรงค์สกุลเถิด คำใดที่สหายเหล่านั้นกล่าวแล้วเป็นเครื่องนำสุขมาให้ในธรรมของคฤหัสถ์ คำเหล่านั้นเป็นเหมือนคำหยาบเสมอด้วยผาลอันร้อน ได้มีแก่เรา ในกาลนั้น สหายเหล่านั้นได้ถามเราผู้ห้ามอยู่ถึงความปรารถนาของเราว่า ท่านปรารถนาอะไรเล่าเพื่อน ถ้าท่านไม่บริโภคกาม เราผู้ใคร่ประโยชน์แก่ตนได้กล่าวแก่สหายผู้แสวงหาประโยชน์เหล่านั้นว่า เราไม่ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ เรายินดีอย่างยิ่งในเนกขัมมะสหายเหล่านั้นฟังคำเราแล้ว ได้บอกแก่มารดาและบิดา มารดาและบิดาได้กล่าวอย่างนี้ว่า แม้ว่าเราทั้งสองจะบวช พ่อเรา มารดาบิดาทั้งสอง และน้องหญิงชายทั้ง ๗ ของเราสละทิ้งทรัพย์นับไม่ถ้วน เข้าไปยังป่าใหญ่ ฉะนี้แล.
จบภิงสจริยา ๔
โสณนันทปัณฑิตจริยาที่ ๕
ว่าด้วยจริยาวัตรของโสณนันทบัณฑิต
[๒๕] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเกิดในตระกูลมหาศาลอันประเสริฐสุดอยู่ในพระนครพรหมวัทธนะ ในกาลนั้น เราเห็นสัตว์โลกเป็นผู้ถูกความมืดครอบงำ จิตของเราเบื่อหน่ายจากภพ เหมือนช้างถูกสับด้วยขอ สลดใจ ฉะนั้น เราเห็นความลามกต่างๆ อย่างนี้ จึงคิดอย่างนี้ในกาลนั้นว่าเมื่อไร เราจึงจะออกไปจากเรือนแล้วเข้าป่าได้ แม้ในกาลนั้น พวกญาติก็เชื้อเชิญเราด้วยกามโภคะทั้งหลาย เราได้บอกความพอใจแม้แก่เขาเหล่านั้นว่า อย่าเชื้อเชิญเราด้วยสิ่งเหล่านั้นเลย น้องชายของเราเป็นบัณฑิตชื่อว่านันทะ แม้เขาก็ศึกษาตามเราชอบใจบรรพชา แม้ในกาลนั้น เราคือโสณบัณฑิต นันทบัณฑิต และมารดาบิดาทั้งสองของเราก็ละทิ้งโภคสมบัติทั้งหลายแล้วเข้าป่าใหญ่ ฉะนี้แล.
จบโสณนันทปัณฑิตจริยาที่ ๕
มูคผักขจริยาที่ ๖
ว่าด้วยพระจริยาวัตรของมูคผักขกุมาร
[๒๖] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพระราชโอรสของพระเจ้ากาสี ชนทั้งหลายเรียกเราโดยชื่อว่ามูคผักขกุมารบ้าง เตมิยกุมารบ้าง ในกาลนั้น พระสนมนางในหมื่นหกพัน ไม่มีพระราชโอรส โดยวันคืนล่วงไปๆ เราบังเกิดผู้เดียว พระบิดารับสั่งให้ตั้งเศวตฉัตรให้เลี้ยงดูเราผู้เป็นบุตรสุดที่รัก อันได้ด้วยยากเป็นอภิชาตบุตร ทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรือง บนที่นอน ในกาลนั้น เรานอนอยู่บนที่นอนอันอ่อนนุ่ม ตื่นขึ้นแล้วได้เห็นเศวตฉัตรอันเป็นเหตุให้เราไปสู่นรก ความสะดุ้งหวาดกลัวเกิดขึ้นแล้วแก่เรา พร้อมกับได้เห็นฉัตร เราถึงความวินิจฉัยว่า เมื่อไรหนอ เราจึงจะเปลื้องธุลีนี้ได้ เทพธิดาผู้เป็นสาโลหิตของเรามาก่อน ผู้ใคร่ประโยชน์ต่อเรา นางเห็นเราผู้ประกอบไปด้วยทุกข์ จึงแนะนำให้เราประกอบในเหตุ ๓ ประการว่า ท่านจงอย่าแสดงความเป็นบัณฑิต จงแสดงความเป็นคนโง่แก่ชนทั้งปวง ชนทั้งหมดนั้นก็จะดูหมิ่นท่าน ประโยชน์จักมีแก่ท่านด้วยอาการอย่างนี้
เมื่อเทพธิดากล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้กล่าวดังนี้ว่าดูก่อนนางเทพธิดา ข้าพเจ้าจะทำตามคำที่ท่านกล่าวกะเราฉะนั้น ท่านเป็นผู้ปรารถนาประโยชน์ เป็นผู้ใคร่ความเกื้อกูลแก่ข้าพเจ้า แม่เทพธิดา ครั้นเราได้ฟังคำของเทพธิดานั้นแล้ว เหมือนดังได้พบฝั่งในสาคร ร่าเริงดีใจ ได้อธิษฐานองค์ ๓ ประการ คือ เราเป็นคนใบ้ เป็นคนหูหนวก เป็นคนง่อยเปลี้ยเว้นจากคติ เราอธิษฐานองค์ ๓ ประการนี้อยู่ ๑๖ ปี ครั้งนั้น เสนาบดีเป็นต้นตรวจดูมือเท้า ลิ้นและช่องหูของเราแล้ว เห็นความไม่บกพร่องของเรา ติเตียนว่าเป็นคนกาฬกิณี ทีนั้นชาวชนบท เสนาบดี และปุโรหิตทั้งปวงร่วมใจกันทั้งหมด พลอยดีใจการที่รับสั่งให้นำไปทิ้ง เรานั้นได้ฟังความประสงค์ของเสนาบดีเป็นต้นนั้นแล้ว ร่าเริงดีใจว่า เราประพฤติตบะมาเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นจะสำเร็จแก่เรา
ราชบุรุษทั้งหลายอาบน้ำให้เรา ไล้ทาด้วยของหอม สวมราชมงกุฏราชาภิเษกแล้ว มีฉัตรที่บุคคลถือไว้ให้ทำประทักษิณพระนครดำรงเศวตฉัตรอยู่ ๗ วัน พอดวงอาทิตย์ขึ้นนายสารถีอุ้มเราขึ้นรถ เข้าไปยังป่า นายสารถีหยุดรถไว้ ณ โอกาสหนึ่งปล่อยรถเทียมม้าพอพ้นมือ ก็ขุดหลุมเพื่อจะฝังเราเสียในแผ่นดิน พระมหากษัตริย์ทรงคุกคามการอธิษฐาน ที่เราอธิษฐานไว้ด้วยเหตุต่างๆ แต่เราก็ไม่ทำลายการอธิษฐานนั้น เพราะเหตุแห่งโพธิญาณนั่นเอง เราจะเกลียดพระมารดาพระบิดาก็หามิได้ เราจะเกลียดตนเองก็หามิได้ แต่พระสัญพัญญุตญาณ เป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้นแหละ เราจึงอธิษฐานองค์ ๓ ประการนี้ เราอธิษฐานองค์ ๓ ประการนี้อยู่ ๑๖ ปี ผู้เสมอด้วยอธิษฐานของเราไม่มี นี่เป็นอธิษฐานบารมีของเรา ฉะนี้แล.
จบมูคผักขจริยาที่ ๖
กปิลราชจริยาที่ ๗
ว่าด้วยจริยาวัตรของพระยาวานร
[๒๗] ในกาลเมื่อเราเป็นพระยาวานร อยู่ ณ ซอกเขาใกล้ฝั่งแม่น้ำ ในกาลนั้น เราถูกจระเข้เบียดเบียนไปไม่ได้ เรายืนอยู่ ณ โอกาสใด โดดจากฝั่งนี้ไปยังฝั่งโน้น จระเข้มันเป็นสัตว์ดุร้าย แสดงความน่ากลัวอยู่ ณ โอกาสนั้น จระเข้นั้นกล่าวกะเราว่า มาเถิด แม้เรากล่าวกะจระเข้นั้นว่า จะมาเราโดดลงเหยียบศีรษะจระเข้นั้นแล้ว โดดไปยืนอยู่ที่ฝั่งโน้น เรามิได้ทำตามคำของจระเข้ที่กล่าวหลอกลวงนั้นหามิได้ผู้เสมอด้วยคำสัตย์ของเราไม่มี นี้เป็นสัจจบารมีของเรา ฉะนี้แล.
จบกปิลราชจริยาที่ ๗
สัจจสวหยปัณฑิตจริยาที่ ๘
ว่าด้วยจริยาวัตรของสัจจดาบส
[๒๘] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นดาบสปรากฏ นามว่าสัจจะ เรารักษาสัตว์โลกไว้ด้วยคำสัจ ได้ทำหมู่ชนให้สามัคคีกัน ฉะนี้แล.
จบสัจจสวหยปัณฑิตจริยาที่ ๘
วัฏฏกโปตกจริยาที่ ๙
ว่าด้วยจริยาวัตรของลูกนกคุ้ม
[๒๙] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นลูกนกคุ้ม ขนยังไม่งอก ยังอ่อน เป็นดังชิ้นเนื้อ อยู่ในรัง ในมคธชนบท ในกาลนั้น มารดาเอาจะงอยปากคาบเหยื่อมาเลี้ยงเรา เราเป็นอยู่ด้วยผัสสะของมารดา กำลังกายของเรายังไม่มี ในฤดูร้อนทุกๆ ปี มีไฟป่าไหม้ลุกลามมา ไฟไหม้ป่าเป็นทางดำลุกลามมาใกล้เรา ไฟไหม้ป่าลุกลามใหญ่หลวง เสียงสนั่นอื้ออึง ไฟไหม้ลุกลามมาโดยลำดับ เข้ามาใกล้จวนจะถึงเรา มารดาบิดาของเราสะดุ้งใจหวาดหวั่น เพราะกลัวไฟที่ไหม้มาโดยเร็ว จึงทิ้งเราไว้ในรังหนีเอาตัวรอดไปได้ เราเหยียดเท้า กางปีกออกรู้ว่า กำลังกายของเราไม่มี เรานั้นไปไม่ได้อยู่ในรังนั่นเอง จึงคิดอย่างนี้ในกาลนั้นว่า เมื่อก่อนเราสะดุ้งหวาดหวั่น พึงเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในระหว่างปีกของมารดาบิดา บัดนี้ มารดาบิดาทิ้งเราหนีไปเสียแล้ว วันนี้ เราจะทำอย่างไรศีลคุณ ความสัตย์ พระสัพพัญญูพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยความสัตย์เอ็นดูกรุณามีอยู่ในโลก ด้วยความสัตย์นั้นเราจักกระทำ สัจจกิริยาอันสูงสุดเราคำนึงถึงกำลังพระธรรมระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้พิชิตมารอันมีในก่อน ได้กระทำสัจจกิริยา แสดงกำลังความสัตย์ว่า ปีกของเรามีอยู่ แต่ไม่มีขนเท้าของเรามีอยู่ แต่ยังเดินไม่ได้ มารดาบิดาก็พากันบินออกไปแล้วแน่ะไฟ จงกลับไป (จงดับเสีย) พร้อมกับเมื่อเรากระทำสัจจกิริยา ไฟที่ลุกรุ่งโรจน์ใหญ่หลวงเว้นไว้ ๑๖ กรีส ไฟดับ ณ ที่นั้นเหมือนจุ่มลงในน้ำ ผู้เสมอด้วยความสัตย์ของเราไม่มี นี้เป็นสัจจบารมีของเรา ฉะนี้แล.
จบวัฏฏกโปตกจริยาที่ ๙
มัจฉราชจริยาที่ ๑๐
ว่าด้วยจริยาวัตรของพระยาปลา
[๓๐] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพระยาปลาอยู่ในสระใหญ่น้ำในสระแห้งขอด เพราะแสงพระอาทิตย์ในฤดูร้อน ที่นั้นกา แร้ง นกกระสา นกตะกรุมและเหยี่ยว มาคอยจับปลากินทั้งกลางวันกลางคืน ในกาลนั้น เราคิดอย่างนี้ว่า เรากับหมู่ญาติถูกบีบคั้น จะพึงเปลื้องหมู่ญาติให้พ้นจากทุกข์ได้ด้วยอุบายอะไรหนอ เราคิดแล้ว ได้เห็นความสัตย์อันเป็นอรรถเป็นธรรมว่า เป็นที่พึ่งของหมู่ญาติได้ เราตั้งอยู่ในความสัตย์แล้ว จะเปลื้องความพินาศใหญ่ของหมู่ญาตินั้นได้เรานึกถึงธรรมของสัตบุรุษ คิดถึงการไม่เบียดเบียนสัตว์ อันยั่งยืนเที่ยงแท้ในโลก ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งได้ แล้วได้กระทำสัจจกิริยาว่า ตั้งแต่เราระลึกตนได้ ตั้งแต่เรารู้ความมาจนถึงบัดนี้ เราไม่รู้สึกว่าแกล้งเบียดเบียนสัตว์แม้ตัวหนึ่งให้ได้รับความลำบากเลยด้วยสัจจวาจานี้ ขอเมฆจงยังฝนให้ตกห่าใหญ่ แน่ะเมฆ ท่านจงเปล่งสายฟ้าคำรามให้ฝนตกจงทำขุมทรัพย์ของกาให้พินาศไป ท่านจงยังกาให้เดือดร้อนด้วยความโศก จงปลดเปลื้องฝูงปลาจากความโศกพร้อมกับเมื่อเราทำสัจจกิริยา เมฆส่งเสียงสนั่นครั่นครื้น ยังฝนให้ตกครู่เดียว ก็เต็มเปี่ยมทั้งที่ดอนและที่ลุ่ม ครั้นเราทำความเพียรอย่างสูงสุด อันเป็นความสัตย์อย่างประเสริฐเห็นปานนี้แล้ว อาศัยกำลังอานุภาพความสัตย์ จึงยังให้ฝนตกห่าใหญ่ผู้เสมอด้วยความสัตย์ของเราไม่มี นี้เป็นสัจจบารมีของเราฉะนี้แล.
จบมัจฉราชจริยาที่ ๑๐
กัณหทีปายนจริยาที่ ๑๑
ว่าด้วยจริยาวัตรของกัณหทีปายนะดาบส
[๓๑] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นฤาษีชื่อว่ากัณหทีปายนะ เราไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ยิ่งกว่า ๕๐ ปี ใครๆ จะรู้ใจที่ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ของเรานั้นหามิได้ แม้เราก็ไม่บอกแก่ใครๆ ว่า ความไม่ยินดีมีในใจของเรา สหายเพื่อนพรหมจรรย์ของเรา ชื่อมัณฑัพยะเป็นฤาษีมีอานุภาพมากประกอบด้วยบุรพกรรม(กรรมเก่าให้ผล) ถูกเสียบหลาวทั้งเป็น เราทำการพยาบาลมัณฑัพยะดาบสนั่นให้หายโรค แล้วได้อำลามาสู่บรรณศาลาอันเป็นอาศรมของเราเองพราหมณ์ผู้เป็นสหายของเรา ได้พาภริยาและบุตร ต่างถือสักการะสำหรับต้อนรับแขก รวมสามคนมาหาเรา เรานั่งเจรจาปราศรัยกับสหายและภรรยาของเขาอยู่ในอาศรมของตน เด็กโยนลูกข่างเล่นอยู่ ทำงูเห่าให้โกรธแล้ว ทีนั้น เด็กนั้นเอามือควานหาลูกข่างไปตามปล่องจอมปลวก ควานไปถูกเอาศีรษะงูเข้าพอมือไปถูกศีรษะของมัน งูก็โกรธ อาศัยกำลังพิษ เคืองจนเหลือจะอดกลั้นได้กัดเด็กทันทีพร้อมกับถูกงูกัด เด็กล้มลงที่พื้นดิน ด้วยกำลังพิษกล้า เหตุนั้นเราเป็นผู้ได้รับทุกข์หรือว่าเรามีความรักจึงเป็นทุกข์ เราได้ปลอบมารดาบิดาของทารกนั้น ผู้มีทุกข์เศร้าโศก ให้สว่างแล้ว ได้ทำสัจจกิริยาอันประเสริฐสุดก่อนว่า เราผู้ต้องการบุญ ได้ประพฤติพรหมจรรย์ มีจิตเลื่อมใสอยู่ ๗ วันเท่านั้น ต่อแต่นั้นมา การประพฤติของเราไม่เลื่อมใส ๕๐ ปีเศษ เราไม่ปรารถนาจะประพฤติเสียเลย ด้วยความสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่เด็กนี้เถิด พิษจงระงับ ยัญญทัตตกุมารจงเป็นอยู่พร้อมกับเมื่อเราทำสัจจกิริยา มาณพหวั่นไหวด้วยกำลังพิษได้ฟื้นกายหายโรค ลุกขึ้นได้ ผู้เสมอด้วยความสัตย์ของเราไม่มี นี้เป็นสัจจบารมีของเรา ฉะนี้แล.
จบกัณหทีปายนจริยาที่ ๑๑
สุตโสมจริยาที่ ๑๒
ว่าด้วยพระจริยาวัตรของพระเจ้าสุตโสม
[๓๒] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระนามว่าสุตโสมถูกพระเจ้าโปริสาทจับไปได้ ระลึกถึงคำผลัดเพี้ยนไว้กะพราหมณ์ พระยาโปริสาทเอาเชือกร้อยฝ่ามือกษัตริย์ ๑๐๑ ไว้แล้ว ทำกษัตริย์เหล่านั้นให้ได้รับความลำบาก นำเราไปด้วยเพื่อต้องการทำพลีกรรมพระยาโปริสาทได้ถามเราว่าท่านปรารถนาจะให้ปล่อยหรือ เราจักทำตามชอบใจของท่าน ถ้าท่านจะกลับมาสู่สำนักเรา เรารับคำพระยาโปริสาทนั้นว่าจะกล่าวใย ถึงการมาของเรา แล้วเข้าไปยังพระนครอันรื่นรมย์มอบราชสมบัติแล้วในกาลนั้น เพราะเราระลึกถึงธรรมของสัตบุรุษ เป็นของเก่า อันพระพุทธเจ้า เป็นต้นเสพแล้วให้ทรัพย์แก่พราหมณ์แล้ว จึงเข้าไปหาพระยาโปริสาท ในการมาในสำนักพระยาโปริสาทนั้น เราไม่มีความสงสัยว่าจักฆ่าหรือไม่ เราตามรักษาสัจจวาจายอมสละชีวิตเข้าไปหาพระยาโปริสาท ผู้เสมอด้วยความสัตย์ของเราไม่มี นี้เป็นสัจจบารมีของเรา ฉะนี้แล.
จบสุตโสมจริยาที่ ๑๒
สุวรรณสามจริยาที่ ๑๓
ว่าด้วยพระจริยาวัตรของสุวรรณสามดาบส
[๓๓] ในกาลเมื่อเราเป็นดาบส อันท้าวสักกะเชื้อเชิญมาอยู่ในป่า เรากับราชสีห์แลเสือโคร่งในป่าใหญ่ ต่างน้อมเมตตาเข้าหากัน (เราเข้าใกล้ราชสีห์และเสือโคร่งในป่าใหญ่ได้ด้วยเมตตา) เราแวดล้อมด้วยราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี กระบือ กวางดาวและหมูอยู่ในป่าใหญ่ สัตว์อะไรๆ มิได้สะดุ้งกลัวเรา แม้เรามิได้กลัวสัตว์อะไรๆ เพราะเรากำลังเมตตาค้ำจุน จึงยินดีอยู่ในป่าในกาลนั้นฉะนี้แล.
จบสุวรรณสามจริยาที่ ๑๓
เอกราชจริยาที่ ๑๔
ว่าด้วยพระจริยาวัตรของพระเจ้าเอกราช
[๓๔] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพระราชา ปรากฏพระนามว่าเอกราช ในกาลนั้น เราอธิษฐานศีลอันบริสุทธิ์ยิ่งปกครองแผ่นดินใหญ่สมาทานกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการประพฤติโดยไม่มีเศษ สงเคราะห์มหาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาทในประโยชน์โลกนี้และโลกหน้า ด้วยอาการอย่างนี้ พระเจ้าโกศลพระนามว่าทัพพเสนะ ยกกองทัพมาชิงเอาพระนครเราได้ ทรงทำข้าราชการ ชาวนิคม พร้อมด้วยทหาร ชาวชนบทให้อยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ทั้งหมดแล้ว ตรัสสั่งให้ฝังเราเสียในหลุม เราเห็นพระเจ้าทัพพเสนะกับหมู่อำมาตย์ ชิงเอาราชสมบัติอันมั่งคั่งภายในพระนครของเรา เหมือนบุตรสุดที่รัก ฉะนั้น ผู้เสมอด้วยเมตตาของเราไม่มีนี้เป็นเมตตาบารมีของเรา ฉะนี้แล.
จบเอกราชจริยาที่ ๑๕
มหาโลมหังสจริยาที่ ๑๕
ว่าด้วยจริยาวัตรของมหาโลมหังสบัณฑิต
[๓๕] เรานอนอยู่ในป่าช้า เอาซากศพอันมีแต่กระดูกทำเป็นหมอนหนุนเด็กชาวบ้านพวกหนึ่ง พากันเข้าไปทำความหยาบช้าร้ายกาจนานัปการอีกพวกหนึ่งร่าเริงดีใจ พากันนำเอาของหอม ดอกไม้ อาหาร และเครื่องบรรณาการต่างๆ เป็นอันมากมาให้เรา พวกใดนำทุกข์มาให้เราและพวกใดให้สุขแก่เรา เราเป็นผู้มีจิตเสมอแก่เขาทั้งหมดไม่มีความเอ็นดู ไม่มีความโกรธ เราเป็นผู้วางเฉยในสุขและทุกข์ ในยศและความเสื่อมยศ เป็นผู้มีใจเสมอในสิ่งทั้งปวง นี้เป็นอุเบกขาบารมีของเรา ฉะนี้แล.
จบมหาโลมหังสจริยาที่ ๑๕
......................................................................................................................................................
รวมจริยาที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ยุธัญชยจริยา ๒. โสมนัสสจริยา ๓. อโยฆรจริยา ๔. ภิงสจริยา ๕. โสณนันทปัณฑิตจริยา ๖. มูคผักขจริยา ๗. กปีลราชจริยา ๘. สัจจสวหยปัณฑิตจริยา ๙. วัฏฏกโปตกจริยา ๑๐. มัจฉราชจริยา ๑๑. กัณหทีปายนจริยา ๑๒. สุตโสมจริยา ๑๓. สุวรรณสามจริยา ๑๔. เอกราชจริยา ๑๕. มหาโลมหังสจริยา
เป็นอุเบกขาบารมีดังนี้
พระผู้มีพระภาคผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ตรัสแล้ว เราได้เสวยทุกข์และสมบัติมากมายหลายอย่าง ในภพน้อยภพใหญ่ ตามนัยที่กล่าวแล้วอย่างนี้ แล้วจึงได้บรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด เราได้ให้ทานอันควรให้ บำเพ็ญศีลโดยหาเศษมิได้ถึงเนกขัมมบารมีแล้ว จึงบรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุดเราสอบถามบัณฑิตทั้งหลายทำความเพียรอย่างอุกฤษฏ์อย่างถึงขันติบารมีแล้วจึงบรรลุโพธิญาณอันสูงสุด เรากระทำอธิษฐานอย่างมั่น ตามรักษาสัจจวาจา ถึงเมตตาบารมีแล้ว จึงบรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด เราเป็นผู้มีจิตเสมอในลาภและความเสื่อมลาภ ในยศและความเสื่อมยศ ในความนับถือและการดูหมิ่นทั้งปวงแล้ว จึงบรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด ท่านทั้งหลายจงเห็นความเกียจคร้านโดยความเป็นภัย และเห็นการปรารภความเพียรโดยเป็นทางเกษมแล้วจงปรารภความเพียรเถิด นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงเห็นความวิวาทโดยความเป็นภัย และเห็นความไม่วิวาทโดยเป็นทางเกษมแล้วจงกล่าววาจาอ่อนหวานอันสมัครสมานกันเถิด นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงเห็นความประมาทโดยความเป็นภัย และเห็นความไม่ประมาทโดยเป็นทางเกษม แล้วจงเจริญมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการเถิด นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายฯ
ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเมื่อจะทรงยกย่องบุรพจรรยาของพระองค์ จึงได้ตรัสธรรมบรรยายชื่อพุทธาปทานีย์ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบจริยาปิฎก
......................................................................................................................................................
สโมธานกถา
สรุปการบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ
[๓๖] การบำเพ็ญบารมีอันเป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณเหล่านี้ จัดเป็นบารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ ปรมัตถบารมี ๑๐ คือการบำเพ็ญทานในภพที่ตถาคตเป็นพระเจ้าสิวิราชผู้ประเสริฐเป็นทานบารมี ในภพที่เราเป็น เวสสันดร และเป็น เวลามพราหมณ์ เป็นทานอุปบารมี ในภพที่เราเป็น อกิติดาบส อดอาหารนั้น เป็นทานอุปบารมี ในภพที่เราเป็น พระยาไก่ป่า สีลวนาค และพระยากระต่าย เป็นทานปรมัตถบารมีในภพที่เราเป็น พระยาวานร ช้างฉัททันต์ และ ช้างเลี้ยงมารดา เป็นศีลบารมี พระผู้มีพระภาคผู้แสวงหาคุณยิ่งใหญ่ตรัสไว้ดังนี้ การรักษาศีลในภพที่เราเป็น จัมเปยยกนาคราช และ ภูริทัตตนาคราช เป็นศีลอุปบารมี ในภพที่เราเป็น สังขปาลบัณฑิต เป็นศีลปรมัตถบารมี ในภพที่เราเป็น ยุธัญชยกุมาร มหาโควินทพราหมณ์ คนเลี้ยงช้าง อโยฆรราชโอรสภัลลาติ สุวรรณสาม มฆเทวะ และ เนมิราช บารมีเหล่านี้เป็นอุปบารมี ในภพที่เราเป็น มโหสถ ผู้เป็นทรัพย์ของรัฐ กุลฑลตัณฑิละ และ นกกระทา บารมีเหล่านี้เป็นปัญญาอุปบารมี ในภพที่เราเป็น วิธูรบัณฑิต และ สุริยพราหมณ์มาตังคะ ผู้เป็นศิษย์เก่าของอาจารย์บารมีทั้ง ๒ ครั้งนี้ เป็นปัญญาบารมี ในภพที่เราเป็น พระราชาผู้มีศีล มีความเพียร เป็นผู้ก่อให้เกิด สัตตุภัสตชาดก บารมีนี้แลเป็นปัญญาปรมัตถบารมี ในภพที่เราเป็น พระราชาผู้มีความเพียรบากบั่น เป็นวิริยปรมัตถบารมี ในภพที่เราเป็น พระยาวานร ผู้มีครุธรรม๕ ประการ เป็นวิริยบารมี ในภพที่เราเป็น ธรรมปาลกุมาร เป็นขันติบารมี ในภพที่เราเป็น ธรรมิกเทพบุตร ทำสงครามกับอธรรมิกเทพบุตร เรียกว่าขันติอุปบารมี ในภพที่เราเป็น ขันติวาทีดาบส แสวงหาพุทธภูมิด้วยการบำเพ็ญขันติบารมี ได้ทำกรรมที่ทำได้ยากเป็นอันมาก นี้เป็นขันติปรมัตถบารมี ในภพที่เราเป็น สสบัณฑิต นกคุ่ม ซึ่งประกาศคุณสัจจะ ยังไฟให้ดับด้วยสัจจะ นี้เป็นสัจจบารมีในภพที่เราเป็น ปลา อยู่ในน้ำ ได้ทำสัจจะอย่างสูงยังฝนให้ตกใหญ่นี้เป็นสัจจบารมีของเรา ในภพที่เราเป็น สุปารบัณฑิต ผู้เป็นนักปราชญ์ยังเรือให้ข้ามสมุทรจนถึงฝั่ง เป็น กัณหทีปายนดาบส ระงับยาพิษได้ด้วยสัจจะ และเป็น วานร ข้ามกระแสแม่น้ำคงคาได้ด้วยสัจจะนี้เป็นสัจจอุปบารมีของเรา ในภพที่เราเป็น สุตโสมราชา รักษาสัจจะอย่างสูง ช่วยปล่อยกษัตริย์ ๑๐๑ นี้เป็นสัจจปรมัตถบารมี อะไรที่จะเป็นความพอใจไปกว่าอธิษฐาน นี้เป็นอธิษฐานบารมี ในภพที่เราเป็น มาตังฏิล และ ช้างมาตังคะ นี้เป็นอธิษฐานอุปบารมี ในภพที่เราเป็น มูคผักขกุมาร เป็นอธิษฐานปรมัตถบารมี ในภพที่เป็น มหากัณหฤาษี และ พระเจ้าโสธนะ และบารมีสองอย่าง คือในภพที่เราเป็น พระเจ้าพรหมทัตต์ และ คัณฑิติณฑกะ ที่กล่าวแล้วเป็นเมตตาบารมี ในภพที่เราเป็น โสณนันทบัณฑิต ผู้ทำความรัก บารมีเหล่านั้นเป็นเมตตาอุปบารมี เมตตาบารมีในภพที่เราเป็น พระเจ้าเอกราช เป็นบารมีไม่มีของผู้อื่นเหมือน นี้เป็นเมตตาปรมัตถบารมีในภพที่เราเป็นนกแขกเต้าสองครั้ง เป็นอุเบกขาบารมี ในภพที่เราเป็น โลมหังสบัณฑิต เป็นอุเบกขาปรมัตถบารมี บารมีของเรา ๑๐ ประการนี้ เป็นส่วนแห่งโพธิญาณอันเลิศ บารมียิ่งกว่า ๑๐ ไม่มี หย่อนกว่า ๑๐ ก็ไม่มี เราบำเพ็ญบารมีทุกอย่างไม่ยิ่งไม่หย่อน เป็นบารมี ๑๐ ประการฉะนี้แล.
จบสโมธานกถา
จบจริยาปิฎก
...........................................................................................................................................
พุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติ (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๒ / ข้อที่ ๓๙๒)
ว่าด้วยบุพจริยาของพระองค์เอง
[๓๙๒] พระผู้มีพระภาคผู้เป็นนายกของโลก แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เป็นอันมากประทับนั่งอยู่ที่พื้นหินอันเป็นรัมณียสถานโชติช่วงด้วยแก้วต่างๆ ในละแวกป่าอันมีกลิ่นหอมต่างๆ ใกล้สระอโนดาต ตรัสชี้แจงบุรพกรรมทั้งหลายของพระองค์ ณ ที่นั้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังกรรมที่เราทำแล้วของเรา
- เราเห็นภิกษุผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่งแล้วได้ถวายผ้าเก่า เราปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ในกาลนั้น ผลแห่งกรรม คือการถวายผ้าเก่า ย่อมอำนวยผลให้เป็นพระพุทธเจ้า
- ในกาลก่อน เราเป็น นายโคบาล ต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่นมัว จึงห้ามมัน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ (แม้) เราจะกระหายน้ำ ก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามความปรารถนา
- ในชาติอื่นในกาลก่อน เราเป็น นักเลงชื่อปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อว่าสุรภี ผู้ไม่ประทุษร้าย (ตอบ) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นเราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัสหลายพันปีเป็นอันมาก ด้วยผลกรรมอันเหลือนั้น
- ในภพหลังสุดนี้ เราจึงได้คำกล่าวตู่เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา เพราะการกล่าวตู่พระเถระนามว่านันทะ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึงท่องเที่ยวอยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานานถึงหมื่นปี
- ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ได้การกล่าวตู่เป็นอันมาก ด้วยผลกรรมที่เหลือนั้น นางจิญจมานวิกามากับหมู่ชน ได้กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่เป็นจริง
- เมื่อก่อน เราเป็นพราหมณ์ชื่อ สุตวา อันชนทั้งหลายสักการบูชา สอนมนต์ให้กับมาณพประมาณ ๕๐๐ คนในป่าใหญ่ ก็เราได้เห็นฤาษีผู้น่ากลัว ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มากมาในสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษีผู้ไม่ประทุษร้าย โดยได้บอกกะพวกศิษย์ของเราว่า ฤาษีพวกนี้มักบริโภคกาม แม้เมื่อเราบอก (เท่านั้น) พวกมาณพก็เชื่อฟัง ครั้งนั้น มาณพทั้งปวง เที่ยวไปภิกษาในสกุลๆ พากันบอกแก่มหาชนว่า ฤาษีพวกนี้มักบริโภคกาม ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ เหล่านี้ ได้คำกล่าวตู่ทั้งหมด เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา
- ในกาลก่อน เราได้ฆ่าพี่น้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับใส่ลงในซอกเขา และบด (ทับ) ด้วยหิน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหินก้อนหินกลิ้งลงมากระทบนิ้วแม่เท้าของเราจนห้อเลือด
- ในกาลก่อนเราเป็น เด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ใส่ไฟเผา(ดัก) ไว้ทั่วหนทาง ด้วยวิบากกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระเทวทัตจึงชักชวนนายขมังธนู ผู้ฆ่าคนตายมาก เพื่อให้ฆ่าเรา
- ในกาลก่อน เราเป็น นายควาญช้าง ได้ไสช้างให้จับมัดพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้อุดมมุนีแม้กำลังเที่ยวบิณฑบาต ด้วยวิบากกรรมนั้น ช้างนาฬาคิรีอันดุร้าย วิ่งแล่นเข้าไปในคอก (ท้อง) เขา (วงกต) เบื้องหน้าผู้ประเสริฐ
- ในกาลก่อน เราเป็น นายทหารราบ(เป็นแม่ทัพ) ฆ่าบุรุษเป็นอันมากด้วยหอก ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราถูกไฟไหม้อย่างเผ็ดร้อนอยู่ในนรก ด้วยผลอันเหลือแห่งกรรมนั้น บัดนี้ ไฟนั้นยังมาไหม้ผิวหนังที่เท้าของเราทั้งสิ้น (อีก) เพราะว่ากรรมยังไม่พินาศไป
- ในกาลก่อนเราเป็น เด็ก(ลูก)ของชาวประมง อยู่ในบ้านเกวัฏฏคาม เห็นคนทั้งหลายฆ่าปลาแล้วเกิดความโสมนัส ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะ(ปวดศีรษะ) ได้มีแล้วแก่เรา
- ในเมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายถูกเบียดเบียน พระเจ้าวิฏฏุภะฆ่าแล้ว เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลาย ในศาสนาของพระพุทธเจ้านามว่าผุสสะ ว่าท่านทั้งหลายจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง แต่อย่ากินข้าวสาลีเลย ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราอันพราหมณ์นิมนต์แล้ว อยู่ในเมืองเวรัญชา บริโภคข้าวแดงตลอด ๓ เดือน
- ในกาลนั้น เมื่อนักมวยกำลังชกกัน เราได้ห้ามบุตรนักมวยปล้ำ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่หลัง(ปวดหลัง) ได้มีแล้วแก่เรา
- เมื่อก่อนเราเป็น หมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาให้เศรษฐีบุตร(ตาย) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น โรคปักขันทิกาพาธจึงมีแก่เรา
- เราชื่อว่า โชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราได้ประพฤติกรรมที่ทำได้ยากมาก(ทุกกรกิริยา) ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้น จึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่เราก็มิได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ เราอันบุรพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางที่ผิด (บัดนี้) เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่คับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน พระชินเจ้าทรงบรรลุกำลังแห่งอภิญญาทั้งปวงแล้ว ทรงพยากรณ์โดยทรงหวังประโยชน์แก่ภิกษุสงฆ์ ที่สระใหญ่อโนดาต ด้วยประการฉะนี้แล.
ทราบว่า พระผู้มีพระภาคได้ทรงภาษิตธรรมบรรยายพุทธาปทานชื่อ ปุพพกรรมปิโลติ อันเป็นบุพจารีตของพระองค์ ด้วยประการฉะนี้แล.
มหานิบาตชาดก
พระเจ้าสิบชาติ
จาก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๒.
๑.
๒.
๓.
๔.
๕.
๖.
๗.
๘.
๙.
๑๐.
เตมิยชาดก
มหาชนกชาดก
สุวรรณสามชาดก
เนมิราชชาดก
มโหสถชาดก
ภูริทัตชาดก
จันทกุมาร
มหานารทกัสสปชาดก
วิธุรชาดก
มหาเวสสันตรชาดก
จาก
จาก
จาก
จาก
จาก
จาก
จาก
จาก
จาก
จาก
หมวดแนะนำ ชาดก
จาก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ และ ๒๘
พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ และ ๒๐ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ และ ๒.
ว่าด้วย ทูเรนิทาน อวิทูเรนิทาน สันติเกนิทาน
คนพวกหนึ่งกล่าวฐานะอันหนึ่งว่า ไม่ผิด นักเดาทั้งหลายกล่าวฐานะอันนั้นว่า เป็นที่สอง คนมีปัญญา รู้ฐานะและมิใช่ฐานะนั้นแล้ว ควรถือเอาฐานะที่ไม่ผิดไว้.
ชนทั้งหลายผู้ไม่เกียจคร้าน ขุดภาคพื้นที่ทางทราย ได้พบน้ำในทางนั้น ณ ที่ราบ ฉันใด มุนีผู้ประกอบด้วยความเพียรและกำลัง เป็นผู้ไม่เกียจคร้าน พึงได้ความสงบใจ ฉันนั้น.
ถ้าท่านพลาดโสดาปัตติมรรค คือ ความแน่นอนแห่งสัทธรรม ในศาสนานี้ ท่านจะต้องเดือดร้อนใจ ในภายหลัง สิ้นกาลนาน ดุจพาณิช ชื่อ เสรีวะ ผู้นี้ ฉะนั้น.
คนมีปัญญาเฉลียวฉลาด ย่อมตั้งตนไว้ด้วยต้นทุนแม้น้อย ดุจคนก่อไฟน้อยๆ ให้เป็นกองใหญ่ ฉะนั้น.
ข้าวสารทะนานหนึ่งมีราคา เท่าไร พระนครพาราณสี ทั้งภายในภายนอกมีราคา เท่าไร ข้าวสารทะนานเดียวมีค่าเท่าม้า ๕๐๐ เทียว หรือ?
๑. เตมียชาดก : พระเตมีย์ พระไตรปิฎก / อรรถกถา
๒. มังสชาดก : วาทะธรรมของพรานป่า พระไตรปิฎก / อรรถกถา
๓. นันทิวิสาลชาดก : โคเจ้าปัญญา พระไตรปิฎก / อรรถกถา
๔. คนธารชาดก : พระคันธาระฤๅษี พระไตรปิฎก / อรรถกถา
๕. ทุรานชาดก : หญิงผู้ประพฤตินอกใจสามี พระไตรปิฎก / อรรถกถา
๖. ติปัลลัตมิคชาดก : แม่เนื้อเจ้าปัญญา พระไตรปิฎก / อรรถกถา
๗. ติตติรชาดก : สหายธรรม พระไตรปิฎก / อรรถกถา
๘. มกสชาดก : เค็กฆ่ายุง พระไตรปิฎก / อรรถกถา
๙. จัมสาฏกชาดก : นักบวชจัมมสาฎกะ พระไตรปิฎก / อรรถกถา
๑๐. วิคติจฉชาดก : ฤๅษีนักโต้วาที พระไตรปิฎก / อรรถกถา
๑๑. สูกรชาดก : สูกรท้าสูราชสีห์ พระไตรปิฎก / อรรถกถา
๑๒. วานรินทชาดก : ลิงเจ้าปัญญา พระไตรปิฎก / อรรถกถา
๑๓. ชมพูขาทกชาดก : กาและสุนัขจิ้งจอก พระไตรปิฎก / อรรถกถา
๑๔. มทุลักขณชาดก : ฤๅษีกำหนัดกาม พระไตรปิฎก / อรรถกถา
๑๕. วัฏฏชาดก : นกคุมโพธิสัตว์ พระไตรปิฎก / อรรถกถา
๑๖. เวทัพพชาดก : อาจารย์ขมังเวทย์ พระไตรปิฎก / อรรถกถา
๑๗. ตจสารชาดก : เด็กต่อสู้คดีจนพ้นผิด พระไตรปิฎก / อรรถกถา
๑๘. ปลาสชาดก : ชายเข็ญใจกับเทวดา พระไตรปิฎก / อรรถกถา
๑๙. เภริวาสชาดก : ช่างตีกลองกับบุตรซาย
๒๐. วัณณุปถชาดก : ความเพียรของพ่อค้า
๒๑. สีลานิสังสชาดก : อุบาสกกับช่างตัดผม
๒๒. นามสิทธิชาดก : นายปาปกะ (นายบาป)
๒๓. สุปัตตชาดก : กายอมสละชีวิต
๒๔. กัจฉปชาดก : เต่าตายเพราะปาก
๒๕. เกสวชาดก : กัปปกุมาร
๒๖. พกชาดก : นกกระยางเจ้าเล่ห์
๒๗. ทัฬหธรรมชาดก : ช้างแก่แต่มีธรรม
๒๘. วาตัคคสินธวชาดก : ม้ามีศักดิ์ศรี
๒๙. พรมหาฉัตตชาดก : ฉัตตฤๅษียึดอำนาจ
๓๐. ถุสชาดก : พระเจ้าพรหมทัตหลงผิด
๓๑. ปัพพชิตวิเหฐกชาดก : ท้าวสักกะสดุดีบัณฑิต
๓๒. สมุททชาดก : กากับน้ำในทะเล
๓๓. ทุพภิยมักกฎชาดก : พราหมณ์กับลิงอันธพาล
๓๔. วัฏฎกชาดก : กาผอมนกกระจาบอ้วน
๓๕. ปุฏภัตตชาดก : พระโอรสกลับใจ
๓๖. สังขธมนชาดก : คนเป่าสังข์