ศาสตราจารย์ นายแพทย์สนอง อูนากูล
ทรรศนะเกี่ยวกับการตายแล้วเกิดใหม่
สัมภาษโดย : บรรยง บุญฤทธิ์
เมื่อเดินทางถึง “บ้านธรรมรักษา” ซึ่งเป็นบ้านเลขที่ 12/14 หมู่บ้านเสรีวิลล่า ถนนพัฒนาการตัดใหม่ ชายชราวัยหกสิบเศษ ท่วงทีทะมัดทะแมงเดินมาเปิดประตูรั้วบ้านต้อนรับพวกเราด้วยตัวท่านเอง ก่อนที่คนใช้ในบ้านจะเดินออกมาทันเสียอีก ผมและผู้ร่วมเดินทางไปยังบ้านหลังนี้ รู้สึกซาบซึ้งและประทับใจในความมีเมตตาจิตสูง และมีอัธยาศัยเป็นอันดี ไม่ถือเนื้อถือตัวเป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสของชายชราท่านนี้ยิ่งนัก ชายชราท่านนี้คือ ท่านศาสตราจารย์ นายแพทย์สนอง อูนากูล ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในด้านการอุทิศตนช่วยเหลือสังคมตลอดมา นอกจากเป็นอาจารย์แพทย์ที่มีลูกศิษย์ลูกหาทั้งประเทศแล้ว ท่านยังเป็นผู้นำสำคัญคนหนึ่ง ที่ชักจูงให้คนทั่วไปสนใจในพระพุทธศาสนา ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติด้วย
“เชิญ เชิญ...เอารถเข้าไปข้างในเลย” เสียงอันนุ่มนวลและดังกังวานของคุณหมอบอกกล่าวต้อนรับผู้สัมภาษณ์และคณะด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ต่อมาหลังจากพวกเราถอดรองเท้าแล้วก็ได้เดินตามคุณหมอเข้าไปตรงระเบียงบ้าน “เอาละ...เรามาคุยกันตรงนี้แหละ นี่ที่นั่งทำงานของผม เอ้า...มีอะไรว่ามา” คุณหมอขยับตัวนั่งลงบนโซฟาและกล่าวขึ้น หลังจากที่พวกเรานั่งลงเรียบร้อย
คุณหมอได้กรุณาอารัมภบทโดยเล่าให้พวกเราฟังถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ พระอาจารย์มหาถวัลย์ แห่งสำนักสงฆ์แก่งปันเต๊า อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ตลอดจนกระทั่งการเดินทางไปนมัสการ หลวงปู่ครูบาอาจารย์ในสาย พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศหลายรูป จนเป็นที่น่าประทับใจยิ่ง จากนั้นผู้สัมภาษณ์ก็เริ่มถามท่านว่า
บรรยง บุญฤทธิ์ : “คุณหมอครับ อยากจะเรียนถามคุณหมอว่า เท่าที่คุณหมอได้สัมผัสกับหลวงปู่ครูบาอาจารย์มาแล้วหลายรูป และเท่าที่คุณหมอได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับธรรมในแนวพระพุทธศาสนาตลอดมา คุณหมอมีความเชื่อว่าเรื่องกรรมนี้มีจริงไหมครับ”
นายแพทย์สนอง : "ผมเชื่อครับ เชื่อแน่ๆเลยเชียว เรื่องอะไรต่างๆของมนุษย์ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องของกรรมทั้งนั้นแหละ กรรมในปัจจุบันนี้ก็ได้ไม่ต้องรอถึงกรรมในชาติหน้าหรอก แต่ผมเชื่อไปถึงชาติหน้าด้วย...ไม่มีปัญหาหรอก อย่างในชาติปัจจุบันนี้ หากเราทำดีคนก็รัก หากเราทำไม่ดีคนก็เกลียด อะไรทุกอย่างแหละ ทำอะไรไม่ดีมันก็ประสบผลไม่ดี เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น แหม ไม่มีปัญหาอะไรเลยเรื่องกรรมนี้ถือเป็นเบื้องต้นที่สุด ไม่ต้องเอ่ยถึงกรรมในชาติโน้นชาตินี้หรอก ยังมีต่อไปชาติหน้าเรื่อยๆอีก”
บรรยง บุญฤทธิ์ : “สรุปแล้วชาติอดีตของคนเรานั้นมีแน่ใช่ไหมครับ ?” ผู้สัมภาษณ์ถามต่อ
นายแพทย์สนอง : “มีแน่ มีแน่ แหม พระพุทธเจ้าท่านก็ได้ตรัสไว้ชัดเจนอย่างนี้แล้ว ใครจะไปเถียงได้ว่าไม่มี นอกจากคนไม่รู้เท่านั้น แล้วคนระลึกชาติก็พบว่ามีมากมายทั่วไป ทั้งในต่างประเทศและในประเทศ มีหนังสือบันทึกไว้ตั้งหลายเล่ม รู้กันจริงๆเลย เขาระลึกชาติได้เลยทำไมจะไม่มียังไง ยกตัวอย่างเช่น จากคำบอกเล่าของอาจารย์จันทา อดีตเจ้าอาวาสวัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ท่านได้เล่าเรื่องเด็กระลึกชาติไว้น่าสนใจมาก ท่านได้ไปหาเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสามขวบ พอไปถึงเด็กหญิงคนนั้นก็ชี้หน้าท่านว่า ไอ้แก่นี่เคยเป็นลูกของกู ท่านอาจารย์จันทาท่านตกใจเลย เพราะท่านแก่แล้ว จู่ๆมีเด็กมาชี้หน้าแถมบอกว่าเคยเป็นแม่ท่านมาก่อน ท่านงงไปหมด ต้องมาสัมภาษณ์สอบถามความเป็นมากันยกใหญ่ ก็ปรากฏว่าในอดีตชาติ เด็กหญิงคนนี้เป็นแม่ของท่านจริงๆ แต่ได้กลับมาเกิดใหม่เป็นลูกหลานของท่านในชาตินี้ การระลึกชาติโดยมากมักเกิดกับเด็กสองสามขวบ นานๆไปก็ชักลืมและจำอะไรไม่ได้”
บรรยง บุญฤทธิ์ : “เด็กที่ระลึกชาติที่ว่านี้เป็นเด็กอยู่ในวัดใช่ไหมครับ ?”
นายแพทย์สนอง : “ไม่ใช่เด็กอยู่ในวัด เป็นเด็กในหมู่บ้านอื่น มีคนไปเจอแล้วมาเล่าให้อาจารย์จันทาฟัง และบรรดาญาติพี่น้องของท่านก็ไปพิสูจน์มาแล้วทั้งนั้น ปรากฏว่ามาเกิดกับญาติสนิทกันนั่นเอง”
บรรยง บุญฤทธิ์ : “เป็นเด็กอยู่ในบ้านห่างไกลจากวัดมากไหมครับ ?”
นายแพทย์สนอง : “เห็นบอกว่าไม่ไกล ผมว่าจะไปดูด้วยตาก็ยังไม่ได้ไปสักที”
บรรยง บุญฤทธิ์ : “อันนี้เป็นรายใหม่ที่ค้นพบใช่ไหมครับ คุณหมอ ?”
นายแพทย์สนอง : “ก็คงเป็นรายใหม่ที่คนทั่วไปยังไม่ทราบนัก และยังไม่มีใครเอาไปลงหนังสือหรอก ที่จริง คุณประสิทธิ์ การุณยวนิช ท่านเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวระลึกชาติไว้เยอะทีเดียว ท่านไปติดตามเรื่องการระลึกชาติที่ไหน ผมก็มักจะบอกว่าพาผมไปด้วย...เป็นเพื่อนรักกันมากครับ”
บรรยง บุญฤทธิ์ : “สรุปแล้วแนวความคิดความเชื่อของคุณหมอก็คือ การเกิดใหม่นี่มีจริงใช่ไหมครับ ?”
นายแพทย์สนอง : “ก็ใช่นะซี ผมว่ามีจริง...โธ่ ไม่จริงได้ยังไง เรารู้ได้จากตัวอย่างต่างๆ เยอะแยะ แต่เราต้องเข้าให้ถึงนะ ไม่ว่าใครทุกคนจะไปเกิด ใครทุกคนจะไปติดต่อกันได้ จากตัวอย่างการระลึกชาติที่เรารู้เราเห็นนี่เพียงตัวอย่างเดียวนะ ที่จริงเขามีตัวอย่างหลายร้อยรายเลยทีเดียว พระที่ท่านเล่าให้ฟังท่านจะมาโกหกเราทำไม ท่านเล่าให้ฟังเอง อาจารย์จันทาท่านยังเล่าว่า เมื่อเด็กที่ระลึกชาติว่าเคยเป็นแม่ของท่าน บอกว่าบ้านเดิมอยู่อยู่ที่ไหน และได้พาไปยังบ้านเดิม ก็ปรากฏว่าเข้าห้องนั้นห้องนี้และมีของเก่าๆเก็บไว้ บอกทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกต้องหมด แถมยังบอกว่าสิ่งของนั้นเก็บไว้ที่นี่ และสิ่งนี้เก็บไว้ที่ตรงนั้น ของพวกแกที่ยังเป็นเด็กก็ยังเก็บไว้ให้นี่ไง พวกเองชอบอะไร รักอะไร สมัยเด็กข้ารู้หมด...ไม่มีปัญหาหรอกครับเรื่องการระลึกชาติ ผมว่าคนทั่วไปก็ยอมรับกันว่า การตายแล้วเกิดใหม่มีจริง พระพุทธเจ้าท่านก็เคยตรัสไว้ว่า ท่านเคยเกิดมาแล้วหลายชาติ เรื่องนี้หากเราเข้าไม่ถึงก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ ชอบพิสูจน์เสมอ ผมไม่เชื่อใครง่ายๆ ก่อนนี้มีอาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแพร่ง จังหวัดลำพูน อืม...ชื่ออะไรล่ะ ผมจำไม่ได้ ท่านได้มรณะไปนานแล้ว ท่านเข้านิโรธสมาบัตินานเจ็ดวัน ครั้นผมได้ทราบข่าวก็คิดจะไปแสดงความยินดีกับท่าน วันที่ท่านจะออกจากนิโรธสมาบัติ มีคนบอกว่าท่านอยู่ได้เจ็ดวันโดยไม่ต้องฉันอาหารและน้ำ หรืออะไรเลย ผมไม่เชื่อเลย บอกว่า...เอ ถ้าอย่างนั้นผิดหลักแล้ว ผมบอกว่าผมนี่เป็นครูแพทย์ สอนแพทย์มานาน คนเราไม่หายใจสามนาทีตาย ไม่ดื่มน้ำสามวันตาย นี่ท่านบอกว่าเจ็ดวันไม่ฉันอะไรเลย เอ๊ะ ผมว่านี่ถ้าจะต้องแก้ตำรากันแล้ว ครั้นผมเดินทางไปถึงตลกมากเลย ปรากฏว่าได้เจอพวกหมอนั่งรออยู่ร่วมสิบคน นี่ละ ผมถึงเชื่อว่าพวกหมอสนใจในเรื่องธรรมะธัมโมมาก ที่รู้จักกันทั่วไปก็มี หมออวย หมอโรจน์ หมอเหวง หมออุดม เยอะแยะ หมอชวดี หรือหมออมรา ที่เขียนเรื่องทางนี้ไว้เยอะแยะเลย”
บรรยง บุญฤทธิ์ : “คุณหมอครับ ก็เป็นที่น่าคิดอยู่ว่า ถ้ามีการเกิดใหม่ คนเราก็ต้องเกิดใหม่ทุกคน ใช่ไหมครับ ? “
นายแพทย์สนอง : “ก็ใช่นะซี นอกจากพระอรหันต์เท่านั้นที่ท่านไม่เกิด เพราะท่านหมดกิเลส ท่านเข้าสู่นิพพานแล้ว”
บรรยง บุญฤทธิ์ : “ในกรณีที่มาเกิดใหม่ ที่เกิดมาเป็นสัตว์ เป็นพืช เนื่องจากอะไรครับ ?”
นายแพทย์สนอง : “กรรมเก่านั่นแหละติดมาด้วย แน่นอนทีเดียว หากเราทำสิ่งใดไว้ จะได้รับผลตอยแทนเสมอ เช่น หากเราไปโดนเขาฆ่า ก็พบว่าชาติก่อนไปฆ่าเขา แม้แต่ท่านโมคคัลลานะ สาวกของพระพุทธเจ้าท่านยังต้องรับกรรมที่ทำไว้ในอดีต พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่า เป็นเรื่องกรรมเก่าทั้งสิ้น ผู้ที่ยังไม่ได้รับผลก็เนื่องจาก มันยังตามมาไม่ถึง”
บรรยง บุญฤทธิ์ : “อีกประเด็นหนึ่งครับคุณหมอ อย่างเรื่องเด็กอัจฉริยะครับ ถ้าพิจารณาในแง่จิตวิทยาแล้วเป็นไปได้อย่างไรครับ ?”
นายแพทย์สนอง : “เอ...ผมไม่แน่ใจ แต่ผมว่าคนเรามีความสามารถแตกต่างกัน ผมว่าคงเป็นไปได้ คนเราเกิดมาฉลาด โง่ผิดกัน ไอ้ที่ฉลาดก็คือประเภทยอดเยี่ยมไปเลย ครั้นกลับมาเกิดในชาติใหม่ทันที ก็สามารถนำความรู้อันเปรื่องปราดนั้นมาใช้ได้ แต่ทั้งนี้ผมก็เชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องกรรมเก่าด้วยนะ ผมว่าน่าจะเป็นแบบเดียวกับการระลึกชาตินั่นแหละ แต่ถ้าหากพูดตามหลักทฤษฎีสรีรวิทยาแล้ว เด็กอัจฉริยะอายุเพียวสองสามขวบที่ไม่ผ่านกระบวนการเรียนรู้ตามหลักพัฒนาการตามวัยแล้ว ไม่น่าเป็นไปได้ ผมว่าเป็นเรื่องกรรมเก่าสั่งสมไว้มากกว่า”
บรรยง บุญฤทธิ์ : “หากไอคิวสูงอย่างเดียว ก็ไม่ผ่านการเรียนรู้นี่ครับคุณหมอ”
นายแพทย์สนอง : “นั่นซิ นั่นซิ...ผมว่ามันอาจเป็นการนำเอาความรู้ชาติที่แล้ว มาใช้ขณะเกิดใหม่ทันทีมากกว่า”
บรรยง บุญฤทธิ์ : “ทางวิทยาศาสตร์น่าจะพิสูจน์เรื่องดังกล่าวนี้ให้เด่นชัดนะครับ ?”
นายแพทย์สนอง : “แหม...ผมว่ามันยากนะ เราก็พยายามศึกษาค้นคว้ากันอยู่ แต่มันเป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งมากทีเดียว เมื่อไม่รู้หรือเข้าไม่ถึง จะเอะอะว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไปเลยมันก็ใช่ที่ ต้องฟังหูไว้หูนะ”
บรรยง บุญฤทธิ์ : “เอ..คุณหมอครับผมยังแคลงใจอยู่ว่า หากเรื่องตายแล้วเกิดใหม่กับการระลึกชาติไม่มีจริงแล้ว พระพุทธเจ้าจะบัญญัติเรื่องกรรมหรือเรื่องเวียนว่ายตายเกิดไว้ทำไม ตัวท่านเองยังได้ตรัสไว้ว่า ท่านเกิดมาแล้วไม่รู้กี่ร้อยต่อกี่ร้อยชาติ”
นายแพทย์สนอง : “อันนี้แน่นอน ตามหนังสือธรรมะหรือพระธรรมเทศนา จากครูบาอาจารย์ทั่วไปก็ยังได้กล่าวไว้เด่นชัด แม้แต่อาจารย์จันทาเอง ซึ่งท่านมาเทศน์ที่บ้านนี้ ฟังท่านเล่าแล้วแทบไม่น่าเชื่อเลยคุณ ท่านระลึกชาติได้นะ ท่านจำได้กี่สิบชาติท่านบอกหมด ท่านเล่าว่าเมื่อชาติก่อนเคยเป็นสัตว์มาแล้วหลายชนิด เช่น เป็นปลา เป็นงู เป็นลิง เป็นชะนี ลองไปคุยกับท่านดูซิ ท่านพูดต่อหน้าอาจารย์บุญเพ็ง และอาจารย์น้อยวัดถ้ำกลองเพลเลย พวกเราฟังกันแล้วยังหัวเราะ ท่านบอกว่าท่านเคยเกิดเป็นแต่สัตว์ พอมาถึงชาตินี้มีวาสนาสูงจึงได้มาเกิดเป็นคน”
บรรยง บุญฤทธิ์ : “คุณหมอครับ ถ้าหากพุทธศาสนิกชนทั่วไปได้มองเห็นและตระหนักถึงเรื่องกรรม หรือเชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง เท่านี้แหละครับ คนเราก็คงจะไม่กล้าทำบาปหรือทำชั่ว หรือคิดทำลายซึ่งกันและกันจริงไหมครับ”
นายแพทย์สนอง : “นั่นซิ ผมถึงว่าเราจะต้องเข้าให้ถึงธรรม รู้จักเสียสละ ทำบุญ ทำกุศล อย่างตอนนี้ผมว่าเราน่าจะได้ทำทานในเรื่องอริยทรัพย์กันบ้าง เป็นบุญหรือเป็นทรัพย์ที่เราจะได้ต่อไปทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ชาตินี้เราก็ได้อยู่แล้ว คือทำให้เราเป็นสุขสบายใจ หลังจากที่ได้บริจาคทรัพย์ทำบุญแล้ว พ่อผมซึ่งเป็นพ่อค้าเคยสอนไว้เสมอว่า ควรทำบุญทำทานด้วยการบริจาคทรัพย์มากบ้างน้อยบ้าง ตามกำลังศรัทธา แล้วผลที่จะได้รับมันจะงอกขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำเท่าไหร่ยิ่งทำให้เรารับมากขึ้น สรุปแล้วการทำบุญทำทานนี้มีหลักอยู่ว่า ถ้าเรามีน้อยก็ทำน้อย อย่าไปคิดว่าต้องทำมาก ทำตามกำลังที่เรามีนั่นแหละ เมื่อใจเป็นกุศลเราก็ได้บุญแล้ว เดี๋ยวนี้ผมตั้งนิธิไว้เรียกว่า นิธิ นิจภัตปัจจัย เพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือสำนักสงฆ์แก่งปันเต๊า ของอาจารย์มหาถวัลย์ ที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ มีคนมาร่วมทำบุญเยอะแยะเลย บางคนบอกว่าไม่มีเงินพอ ขอทำบุญแค่ร้อยบาท แต่ด้วยความเต็มใจ ผมก็เลยบอกว่าดีใจยิ่งกว่าคนอื่นทำบุญเป็นหมื่นบาทโดยไม่เต็มอกเต็มใจเสียอีก ทั้งๆที่รวยเป็นแสนๆล้านๆ นิธิที่ผมกับญาตมิตรร่วมทำนี้ ก็เพื่อสมทบทุนฝากไว้เอาดอกเบี้ย ส่งไปถวายเป็นค่าภัตตาหาร เลี้ยงดูพระเถระที่ไปเยี่ยมเยียนสำนักสงฆ์นี้อยู่เสมอ เดี๋ยวนี้คุณเชื่อไหม นิธิดังกล่าวนี้มีคนร่วมทำบุญได้ถึงสองแสนกว่าแล้ว นับตั้งแต่ผมดำเนินการตั้งแต่ปี 2521 ส่งไปถวายไว้เดือนละสองพันกว่าบาท ก็คิดว่าจะได้ช่วยวัดนี้ตลอดไป”
ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว เป็นทรรศนะบางประการของท่าน ศาสตราจารย์ นายแพทย์สนอง อูนากูล ซึ่งผู้เขียนคิดว่าคงจะทำให้ท่านผู้อ่านได้ข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวได้มากพอสมควร
ที่มาจาก : หนังสือ “ศาสตร์ลับระลึกชาติ และตายแล้วไปไหน”
อัตชีวประวัติ
ศาสตราจารย์ นายแพทย์สนอง อูนากูล เป็นคนชลบุรี ท่านเกิดเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2463 ที่อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี
- สำเร็จมัธยมปีที่ 8 จากโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย พระนคร เมื่อปี 2479
- สำเร็จแพทย์ศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ เมื่อปี 2485
- เป็นแพทย์ประจำนครหลวงเพชรบูรณ์ เมื่อปี 2486
- เข้าร่วมปฏิบัติการในขบวนการเสรีไทย เมื่อปี 2488
- ได้รับแพทย์ศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ เมื่อปี 2494
- ได้รับประกาศนียบัตร “OAKS RIDGE INSTITUTE OF NUCLEAR STUDY” จากสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2499
- เป็นอนุกรรมการในสาขาวิเคราะห์วิจัยอาหาร สถาบันโภชนาการแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2502 เป็นต้นมา
- เป็นกรรมการฝ่ายวิชาการ ของสถาบันมะเร็ง ตั้งแต่ปี 2503 เป็นต้นมา
- เป็นหัวหน้าแผนกชีวเคมีคนแรก ของมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ เมื่อปี 2508
- เป็นผู้ร่วมผลักดันให้มีการก่อตั้งสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยขึ้น เมื่อปี 2508
- เป็นหัวหน้าภาควิชาชีวเคมีคนแรก ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อปี 2512 (หลังได้รับพระราชทานชื่อใหม่ จากมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ เป็น มหาวิทยาลัยมหิดล และศิริราชพยาบาลได้เปลี่ยนชื่อเป็นคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เมื่อปี 2512)
- ท่านเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ และต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งแต่ปี 2486 จนถึง 2519 มีลูกศิษย์เป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงอยู่ทั่วประเทศ และท่านยังอุทิศตนช่วยเหลืองานสภาสงเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตลอดมา