กรณีของ ด.ญ.อุวัชนี ราฟฟาน
(Uvashnee Raffan)
ที่มาจาก : หนังสือ “ตายแล้วเกิดใหม่ คนระลึกชาติ” นที ลานโพธิ์ เล่ม 1 ว่า "ด.ญ.วัชนี รัตตัน"
: หนังสือ “Reincarnation true Stories of Past Lives” Roy Stemman
แก้ไขเรียบเรียงโดย : เว็บมาสเตอร์
เด็กที่ระลึกชาติได้รายนี้ เป็นเด็กหญิงชาวฮินดูอายุ 4 ขวบ ชื่อ เด็กหญิงอุวัชนี ราฟฟาน บิดาชื่อ นายจักดี ราฟฟาน มีอาชีพค้าขายวัสดุก่อสร้าง มารดาคือ นางราฟฟาน อายุ 30 ปี เด็กหญิงอุวัชนีเป็นลูกคนที่ 3 คนสุดท้อง ครอบครัวของเด็กหญิงอุวัชนีอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆกำลังพัฒนาในหมู่บ้านโลตัสวิลล์ (Lotusville) ประเทศแอฟริกาใต้
เริ่มแรกที่เด็กหญิงอุวัชนีเกิดความทรงจำ ระลึกย้อนหลังถึงชาติในอดีตได้ เกิดขึ้นในวันอาทิตย์หนึ่งของเดือนสิงหาคม พ.ศ.2514 วันนั้น นายจักดีผู้เป็นบิดาจะต้องขับรถบรรทุกนำทรายก่อสร้างไปส่งแถวถนนนิวกลาสโก (New Glasgow Rd.) พอดีเป็นวันอาทิตย์ลูกๆอยู่บ้านครบทุกคน นายจักดีจึงพาลูกไปนั่งรถเที่ยวเล่นด้วย การร่วมทางไปกับพ่อครั้งนี้ทำให้เด็กหญิงอุวัชนีไปพบเห็นบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งเป็นการกระตุ้นความทรงจำในอดีตชาติให้ผุดขึ้นมา
เมื่อเด็กหญิงอุวัชนีกลับมาถึงบ้าน เธอวิ่งกระหืดกระหอบมาหานางราฟฟาน ดึงส่าหรีของนางไว้ นัยน์ตาแดงก่ำ และมีน้ำตานองหน้า พลางพูดด้วยเสียงละล่ำละลักว่า
“แม่จ๋า หนูชื่อสุธิมา อยู่บ้านเขมลาที่นิวกลาสโก อยู่เชิงเขาชันๆ บ้านสีเขียวๆ ในบ้านมีไม้กระดานด้วยจ้ะแม่...”
นางราฟฟา ได้ยินลูกพูดเช่นนั้นและมีกิริยาผิดแปลกอย่างเห็นได้ชัด ก็รู้สึกแปลกใจ คิดว่าลูกสาวพูดจาเพ้อเจ้อไปตามประสาเด็กจึงดุว่าห้ามปราม แต่เด็กหญิงไม่ฟังคำแม่คงพูดต่อไปอีกถึงความทรงจำในอดีตชาติของเธอ โดยย้ำว่าเธออยู่บ้านที่เชิงเขาและเชิงเขานั้นสูงชันจนยานพาหนะขึ้นไปถึงบ้านไม่ได้
นางราฟฟานได้ยินประหลาดใจที่ได้ยินลูกสาววัยสี่ขวบพูดคำว่า “พาหนะ” เพราะเด็กวัยนี้จะพูดคำนี้ได้อย่างไร
คราวนี้นางราฟฟานสอบถามเด็กหญิงอุวัชนีอย่างจริงจัง แล้วนางก็ได้รับคำตอบอันน่าทึ่ง เช่น เมื่อชาติก่อนเด็กหญิงยืนยันว่าอยู่บ้านสีเขียว ภายในบ้านมีไม้กระดานปู ซึ่งเป็นไปได้ว่าลักษณะของบ้านเช่นนั้น คือบ้านที่ปลูกสร้างอย่างหยาบๆ ด้วยสังกะสีสีเขียวในถิ่นสลัมหรือคนยากจน อยู่อาศัยอย่างหนาแน่น
และเป็นไปได้อีกว่า ครอบครัวของเด็กหญิงอุวัชนีในชาติก่อนคงมีฐานะไม่ดีนัก เนื่องจากเธอบอกต่อไปอีกว่า ในชาติซึ่งเป็นสุธิมา ได้กินแต่แกงมันเทศกับโรตีเท่านั้น ที่หน้าบ้านมีบ่อน้ำและเลยถัดไปเป็นแม่น้ำ(ที่จริงเป็นลำธาร) และเด็กหญิงอุวัชนียังพูดอะไรอีกหลายอย่าง นางราฟฟานจึงเรียกนายจักดี ราฟฟาน สามีมาร่วมรับรู้รับฟังลูกสาวตัวน้อยๆบอกเล่าถึงเรื่องอดีตชาติอย่างตื่นเต้น
ความทรงจำข้ามภพข้ามชาติของเด็กหญิงอุวัชนี ไม่ผิดกับตะกอนซึ่งนอนนิ่งอยู่ก้นภาชนะ เมื่อภาชนะสั่นสะเทือนตะกอนจึงค่อยๆฟุ้งขึ้นมา และแรงกระทบที่ทำให้ความทรงจำฟุ้งขึ้นมา ก็คือการเดินทางไปส่งทรายกับนายจักดี ราฟฟาน ผู้เป็นพ่อเมื่อเวลาประมาณ 4 โมงเช้า
นายจักดี นึกย้อนไปในตอนที่ไปส่งทรายให้แก่บ้านหลังหนึ่งแถวถนนนิวกลาสโก บริเวณที่บ้านหลังดังกล่าวตั้งอยู่ เป็นเขตติดต่อกับชานเมืองเดอร์แบน(Durban) ขณะที่รถบรรทุกทรายไปถึงบ้าน มีผู้หญิงสูงอายุประมาณ 60 กว่าออกมาต้อนรับ เมื่อเด็กหญิงอุวัชนีเห็นหญิงสูงอายุคนดังกล่าว เธอก็เกิดปฏิกิริยาแปลกๆ คล้ายกับความทรงจำในอดีตชาติบางส่วนถูกกระตุ้นขึ้นมา
เมื่อนายจักดี ราฟฟาน มาร่วมฟังด้วย เด็กหญิงอุวัชนีก็เล่าต่ออีกว่า ที่แม่น้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน เธอเคยเอาเสื้อผ้าไปซักและตักน้ำมาใช้ นางรัตตันซักว่า ที่เด็กหญิงอุวัชนีกำลังพูดถึงนั้น หมายถึงในชาติก่อนใช่หรือไม่ ลูกสาววัย 4 ขวบกลับตอบว่า
“แม่ของเขมลา และเป็นแม่ของหนูด้วย”
“เขมลาเป็นใคร” นางราฟฟานซักต่อ
“เขมลาเป็นพี่ชายของสุธิมา..”
“ถ้าอย่างนั้นแม่ของเขมลา ก็คือยายแก่แม่ของหนูอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่ยายแก่...” เด็กหญิงอุวัชนีพูดอย่างไม่พอใจ “แม่ของเขมลาเป็นสุภาพสตรีสูงอายุ และหนูเป็นลูก”
นางราฟฟานถามต่อว่า “ตอนเด็กหญิงวัชนีเป็นสุธิมา อยู่กับแม่ของเขมลาอายุเท่าไหร่”
เด็กหญิงอุวัชนีตอบว่า “อายุเท่าอัยษา” อัยษาคือพี่สาวของอุวัชนี บุตรสาวคนโตของครอบครัว
อายุ 8 ขวบ
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับหนู เมื่อหนูอยู่บ้านของเขมลา แล้วทำไมไม่อยู่ต่อไปล่ะ” นางราฟฟานถาม
“หนูไม่สบายแล้วตาย” เด็กหญิงอุวัชนีตอบ
เมื่อนางราฟฟานซักต่อไปอีก เด็กหญิงอุวัชนีก็เล่าว่า เธอปวดท้องแล้วหลับไป แต่คนอื่นๆคิดว่าเธอตาย(ซึ่งตามข้อเท็จจริงในเวลาต่อมาระบุว่า สุธิมาเสียชีวิตเพราะเป็นโรคบิด ซึ่งชาวสลัมเป็นกันมาก)
ความทรงจำเรื่องราวในอดีตชาติของเด็กหญิงอุวัชนี มิได้พรั่งพรูเหมือนสายน้ำไหล หากความทรงจำนี้จะผุดขึ้นมาวันละเรื่องสองเรื่อง เป็นความจำได้หมายรู้ในเรื่องที่ประทับใจ เช่น เด็กหญิงอุวัชนีเล่าว่า แม่ของเขมลานุ่งกระโปรงยาวมีกระเป๋าใส่ของจนเต็ม และคลุมไหล่ด้วยส่าหรีสั้นๆ(ซึ่งก็เป็นความจริง)
นางและนายราฟฟาน ปรึกษากันว่า ไม่มีทางพิสูจน์ความจริงตามที่เด็กหญิงอุวัชนีกล่าวอ้างว่าเธอระลึกชาติได้เลย ถ้าไม่พาบุตรสาวตัวน้อยๆไปพบกับบุคคลที่เด็กหญิงอุวัชนีกล่าวถึง ดังนั้นในวันหนึ่งนายและนางราฟฟานจึงพาเด็กหญิงอุวัชนีไปยังบ้านหลังที่นายราฟฟานเคยมาส่งทราย เมื่อไปถึงบ้านหลังดังกล่าว ผู้ที่ออกมาต้อนรับเป็นหญิงชราอายุกว่า 70 ปี ซึ่งนายราฟฟานไม่เคยเห็นหน้า
นางและนายราฟฟานบอกแก่หญิงชราคนนั้นว่า อุวัชนีบุตรสาวของเธอยืนยันว่าเคยอยู่บ้านของเขมลา ไม่ทราบว่าบ้านของเขมลามีจริงหรือไม่ หญิงชราตอบว่า บ้านของเขมลามีจริง ส่วนตัวของหญิงชราเป็นย่าของเขมลา และเธอเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ หลังจากนายจักดีมาส่งทรายแล้ว จึงไม่ได้พบกัน ส่วนวันที่ นายจักดี ราฟฟาน มาส่งทราย มีแม่ของเขมลามาต้อนรับ และวันนี้แม่ของเขมลาไม่อยู่บ้าน จึงไม่ได้พบกัน
นางราฟฟาน ได้เล่าให้ย่าของเขมลาฟังถึงเรื่องที่เด็กหญิงอุวัชนีระลึกชาติได้และยืนยันว่าเธอชื่อ สุธิมา (Sidima) เคยอยู่ในครอบครัวของเขมลา หญิงชราบอกว่าไม่รู้จักคนชื่อสุธิมา แต่จะช่วยสอบถามคนอื่นๆให้ พร้อมกับบอกว่าจะติดต่อกับนางราฟฟานอีกครั้ง
หลังจากที่นายและนางราฟฟานพาเด็กหญิงอุวัชนีไปที่บ้านย่าของเขมลาแล้ว ก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับมาเป็นเวลานาน ทำให้นางราฟฟานรู้สึกไม่สบายใจเกรงว่าจะมีการเข้าใจกันผิด แต่แล้วฝ่ายญาติพี่น้องของย่าเขมลาก็ติดต่อกลับมา ขอให้พาเด็กหญิงอุวัชนีไปที่บ้านย่าอีกครั้งเพื่อพิสูจน์การระลึกชาติของเด็ก
เมื่อนายและนางราฟฟานพาเด็กหญิงอุวัชนีไปถึงบ้านย่าของเขมลา ก็พบว่ามีญาติพี่น้องของฝ่ายนั้นมารอคอยกันหลายคน มีคนซักถามลักษณะบ้านเก่าที่เด็กอ้างว่าเคยอยู่อาศัย เด็กก็ตอบถูกทุกอย่างโดยไม่ลังเลอ้ำอึ้ง นายจักดีหยิบเนื้อหวานให้เด็กหญิงชิ้นหนึ่งและบอกให้นำไปให้แม่ในชาติก่อนของเธอ โดยไม่บอกว่าเป็นใคร เด็กหญิงอุวัชนีถือชิ้นเนื้อเดินไปยังกลุ่มคนที่นั่งรวมกันอยู่ เมื่อมาถึงหญิงสูงอายุแม่ของเขมลา เธอก็ยื่นชิ้นเนื้อให้ แม่ของเขมลาถึงกับร้องไห้โฮ ดึงเด็กหญิงอุวัชนีไปกอดจูบ และเชื่อว่าเด็กหญิงอุวัชนีเคยเป็นลูกของเธอมาแล้วในชาติก่อน
ข้อสงสัยอีกข้อหนึ่งที่เด็กหญิงยืนยันว่า ตัวเธอมีชื่อว่า “สุธิมา” ในชาติก่อนนั้นและไม่มีใครรู้ ปรากฏว่าตามประเพณีของอินเดีย เมื่อเด็กแรกเกิดจะไปขอให้พระตั้งชื่อให้ พระได้ตั้งชื่อว่า “สุธิมา” แต่คนในบ้านจะรู้จักในชื่อ “อนิษตา” ซึ่งเป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้ง เหตุนี้เด็กหญิงอุวัชนีจึงเรียกชื่อตัวเองในชาติก่อนว่า “สุธิมา”
การพิสูจน์ว่าเด็กระลึกชาติ ได้ทำการทดสอบหลายอย่างและเด็กสามารถตอบได้ถูกต้อง กระทั่งเด็กเดินไปเห็นภาพของชายคนหนึ่งวางอยู่ เธอหยิบขึ้นมาดูแล้วบอกด้วยเสียงอันดังว่า
“หนูเจอรูปแล้ว”
“รูปอะไรจ๊ะวัชนี” นางราฟฟานถาม
“พ่อหนูอีกคนที่ตายไปแล้ว”
“เขาชื่ออะไรจ๊ะ”
“ภัค-วัน-ดีน” เด็กสะกดคำช้าๆ
ภัควันดีน เป็นบิดาของ อนิษตา หรือ สุธิมา ซึ่งถึงแก่กรรมไปเมื่อหลายปีก่อน และเด็กไม่เคยได้ยินได้ฟังใครพูดถึงมาก่อนเลย แต่เด็กก็สามารถเอ่ยชื่อได้ถูกต้องอย่างเหลือเชื่อ ระหว่างที่เด็กหญิงอุวัชนีจ้องมองรูปนายภัควันดีน เธอได้ยกรูปขึ้นจูบด้วยความรัก
การทดสอบพิสูจน์เด็กหญิงอุวัชนีระลึกชาติได้จริงหรือไม่ในวันนั้น ? ปรากฏว่าแม่ในชาติก่อน ต่างเชื่อว่าเด็กหญิงอุวัชนีคือ “อนิษตา” หรือ “สุธิมา” กลับชาติมาเกิดโดยไม่ลังเลสงสัยอย่างใดทั้งสิ้น
หลังจากวันนั้นแล้ว นางราฟฟานได้พาเด็กหญิงอุวัชนีไปเยี่ยมแม่ในอดีตชาติก่อนอีก เด็กหญิงอุวัชนีแสดงความจำได้ถึงเรื่องราวในชาติก่อนอีกหลายเรื่อง เช่น เธอถามถึงของเล่นที่อยู่บนตู้เสื้อผ้า มารดาชาติที่แล้วเพิ่งนึกได้ว่า เมื่ออนิษตาเสียชีวิตไปแล้ว ได้นำของเล่นแจกจ่ายให้เด็กๆข้างบ้านไปหมด เมื่อพาเด็กหญิงอุวัชนีไปเยี่ยมบ้านเก่าซึ่งถูกรื้อทิ้งไปแล้ว เด็กหญิงอุวัชนีจำชิงช้าที่เธอเคยมาเล่น จำได้ถึงลำธารที่เคยเอาเสื้อผ้ามาซักและตักน้ำไปใช้
“แม่รู้ไหม...หนูเสียดายเหลือเกินที่แม่ของหนูอีกคนต้องตายในไม่ช้านี้แล้ว”
หลังจากเด็กหญิงอุวัชนีพูดไม่นาน มารดาคนก่อนก็เสียชีวิตไปจริงๆ การระลึกชาติได้ของเด็กหญิงอุวัชนี ได้รับการตรวจสอบจากสมาคมค้นคว้าเรื่องการระลึกชาติ สาขาประจำแอฟริกาใต้มาแล้ว และได้นำรายละเอียดมามอบให้ ดร.เอียน สตีเวนสัน บันทึกไว้เป็นหลักฐาน