โรมี ครีส

กรณีของ โรมี ครีส ชาวอเมริกัน

เด็กหญิงผู้จำอดีตชาติได้ว่าเคยเป็นผู้ชายมาก่อน

โรมี ครีส เป็นชาวอเมริกัน เธอจำอดีตชาติได้ว่า ในชาติก่อนเธอเคยเกิดเป็นผู้ชาย ชื่อ โจ วิลเลี่ยมส์ เป็นสามีของ ชีลลา และมีลูกด้วยกัน 3 คน เมื่อตอนเด็กๆเธอมักบอกกับพ่อแม่ของเธอว่า “หนูอยากกลับบ้าน” และได้พูดถึงความทรงจำในอดีตชาติว่า ชาติก่อนเธอ(โจ วิลเลี่ยมส์)เสียชีวิตเนื่องจากเธอประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ล้มคว่ำ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกที่ โรมี มักจะแสดงอาการหวาดกลัวรถจักรยานยนต์มาก

เรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของ โรมี ครีส นี้ได้รับการสอบสวนเรื่องราวความจริงโดย ดร.เฮเมนดรา บาเนอร์จี (Dr.H.N.Banerjee) แห่งมหาวิทยาลัยราชฐาน ประเทศอินเดีย พร้อมด้วย มากิต ภรรยาของเขาและนักข่าวจากนิตยสาร สวีดิช อัลเลอร์ ได้เดินทางไปพิสูจน์ความจริง โดยได้เดินทางไปยังบ้านพักของ โรมี เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2524 ซึ่งตอนนั้นโรมีอายุประมาณ 3-4 ขวบ

เมื่อพวกเขาเดินทางไปถึงก็ได้สอบถามสัมภาษณ์ เด็กหญิงโรมี ครีส เกี่ยวกับเรื่องราวความทรงจำเมื่อในอดีตชาติ ซึ่งเธอบอกว่า “ในอดีตหนูเป็นผู้ชาย เรียนหนังสือที่เมืองชาร์ลซิตี้ หนูอยู่ในบ้านที่ก่ออิฐสีแดง หนูได้แต่งงานกับผู้หญิงที่ชื่อว่า ชีลลา เรามีลูกด้วยกันสามคน ตอนนั้นพวกเราไม่ได้อยู่ในเมืองชาร์ลซิตี้แล้ว แม่ในชาติก่อนของหนูมีแผลเป็นที่ขา(เธอชี้ให้ดูตำแหน่งบาดแผลนั้นด้วย) แม่หนูชื่อลูซ วิลเลี่ยมส์ หนูไม่ได้เห็นแม่มานานแล้ว ท่านน่าจะยังมีชีวิตอยู่ ตอนที่หนูอยู่ที่บ้านนั้น ครั้งหนึ่งเกิดไฟไหม้ ซึ่งหนูนี่แหละเป็นตัวการ โชคดีที่แม่เอาน้ำมาดับได้ทัน แต่แม่ก็ได้รับบาดเจ็บที่ขาขวาและที่มือ”

บอนนี่ ครีส มารดาของ โรมี รู้สึกแปลกใจกับคำพูดของลูกสาวมาก ตอนแรกๆที่ โรมี เริ่มพูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติ และบอกว่า “หนูอยากกลับบ้าน” เธอคิดว่า โรมี พูดเพ้อฝันไปเอง หรือเป็นโรคจิตมากกว่า แต่ถึงตอนนี้เธอเองก็อยากพิสูจน์ความจริงเหมือนกัน

หลังจากวันนั้นก็ได้มีการนัดหมายกัน เพื่อที่จะเดินทางไปพิสูจน์ความจริงที่เมืองชาร์ลซิตี้ รัฐเวอร์จิเนีย ที่โรมีบอกว่าเธอเคยอยู่เมื่อในอดีตชาติ โดยมี ดร.บาเนอร์จี นักข่าวจากนิตยสาร สวีดิช อัลเลอร์ ดร.เก๊ก สเตท และนายแบร์รี่ ครีส บิดาของ โรมี ร่วมไปด้วย

ดร.เฮเมนดรา บาเนอร์จี (Dr.H.N.Banerjee)

เมืองชาร์ลซิตี้(Sharles city , Virginia America) อยู่ห่างจากเมืองที่โรมีอยู่ประมาณ 140 ไมล์หรือประมาณ 225 กิโลเมตร เป็นเมืองเล็กๆ มีประชากรประมาณ 8000 คนเท่านั้น วันนั้นระหว่างเดินทาง หนูน้อยโรมีมีอาการตื่นเต้นสนุกสนานไม่ยอมนอนหลับพักผ่อนเลย และดูเหมือนเธอจะยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเมื่อใกล้จะถึงเมืองชาร์ลซิตี้ ระหว่างทางก่อนจะถึงเมืองชาร์ลซิตี้ โรมีบอกกับทุกคนในรถว่า “เราต้องซื้อดอกไม้ไปด้วยนะคะ คุณแม่วิลเลี่ยมส์ท่านชอบดอกไม้สีน้ำเงินมาก แล้วพอเราไปถึงบ้านคุณแม่วิลเลี่ยมส์ ทุกคนจะเห็นว่าประตูหน้าและประตูข้างบ้านปิดตายไว้ด้วย คอยดูนะ”

เมื่อคณะพิสูจน์มาถึงเมืองชาร์ลซิตี้ หนูน้อยโรมี ก็มีอาการรังเรไม่แน่ใจ อาจเป็นเพราะสภาพบ้านเมืองเปลี่ยนแปลจากแต่ก่อนมาก มีโบสถ์และบังกะโลปลูกเรียงรายเต็มไปหมด ดังนั้นพวกเขาจึงได้ปรึกษากันและได้ไปค้นหารายชื่อบุคคลที่โรมีเคยพูดถึงโดยเฉพาะ นางลูซ วิลเลี่ยมส์ แม่ในอดีตชาติของเธอ ในสมุดโทรศัพท์ท้องถิ่น ในที่สุดก็พบที่อยู่ของ นางลูซ วิลเลี่ยมส์ จริงๆ นับว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้นระทึกใจ พวกเขารีบเดินทางไปตามที่อยู่นั้นซึ่งอยู่ชานเมืองชาร์ลซิตี้ทันที

เมื่อไปถึงสิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือ บ้านหลังนั้นไม่ได้สร้างด้วยอิฐแดงเหมือนอย่างที่โรมีบอก แต่เป็นบ้านบังกะโลสีขาว เมื่อรถจอดสนิทโรมีรีบกระโดดลงจากรถด้วยความดีใจ แล้วจูงมือ ดร.บาเนอร์จีไปยังหน้าประตูบ้าน แต่มองเห็นป้ายติดไว้หน้าบ้านว่า “โปรดใช้ประตูด้านหลัง” พวกเขาจึงเดินอ้อมไปด้านหลังบ้าน และกดกริ่งเรียกคนในบ้าน ตอนแรกก็ไม่มีเสียงตอบรับเหมือนกับว่าจะไม่มีใครอยู่ในบ้าน แต่ขณะที่พวกเขากำลังจะเดินออกมาก็มีเสียงคนเปิดประตู พวกเขาเห็นหญิงชราคนหนึ่งออกมาเปิดประตู ตอนนั้นทุกคนสังเกตเห็นว่าหญิงชราคนนั้นมีรอยแผลเป็นที่มือขวาซึ่งสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ทุกคนคิดว่าหญิงชราคนนั้นคงจะเป็น นางลูซ วิลเลี่ยมส์ แม่ในอดีตชาติที่โรมีเคยบอกว่ามีแผลเป็นที่มือข้างขวา เมื่อสอบถามจึงทราบว่าเป็นความจริง หญิงชราคนนั้นคือนางลูซ วิลเลี่ยมส์ แต่ยังไม่ทันได้คุยอะไรกันมาก นางวิลเลี่ยมส์ ก็รีบขอตัวเพราะจำเป็นต้องไปพบแพทย์ตามที่นัดไว้ก่อน แล้วเธอก็ปิดประตูบ้าน ตอนนั้นโรมีถึงกับร้องไห้โฮทีเดียว

อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา คณะพิสูจน์ก็ได้กลับมาที่บ้านของ นางวิลเลี่ยมส์อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้พวกเขาแจ้งวัตถุประสงค์ที่มาพบและได้รับอนุญาตให้เข้าไปในบ้านได้ เป็นที่น่าแปลกใจที่หลังจากได้พบกับนางวิลเลี่ยมส์ได้ไม่กี่นาที หนูน้อยโรมีก็แสดงความสนิทสนมคุ้นเคยกับนางวิลเลี่ยมส์อย่างรวดเร็ว คุณยายวิลเลี่ยมส์ได้สวมกอดหนูน้อยโรมี ที่เอาแต่ร้องไห้และหอมแก้มด้วยความเอ็นดู จากนั้นโรมีก็ได้นำช่อดอกไม้สีน้ำเงินมาให้กับนางวิลเลี่ยมส์ สร้างความประหลาดใจให้กับนางวิลเลี่ยมส์มาก ซึ่งเธอถึงกับอุทานว่า “เอ๊ะ รู้ได้อย่างไรว่าฉันชอบดอกไม้สีนี้” จากนั้นนางวิลเลี่ยมส์ก็ได้มีการพิสูจน์สอบถามโรมีเกี่ยวกับญาติคนใกล้ชิดและสิ่งของต่างๆภายในบ้านของ นายโจ วิลเลี่ยมส์ ก็ปรากฏว่าโรมีรู้จักญาติ คนสนิท และบอกถึงที่มาเรื่องราวของสิ่งของภายในบ้านได้ถูกต้อง

คณะพิสูจน์ได้สอบถามนางวิลเลี่ยมส์เกี่ยวกับบ้านอิฐสีแดงที่โรมีพูดถึง นางวิลเลี่ยมส์เล่าให้ฟังว่า เดิมที่บ้านหลังที่เธออยู่นี้สร้างด้วยอิฐสีแดงจริง แต่นั่นมันเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว บ้านหลังเดิมนั้นได้ถูกพายุพัดจนพังเสียหายอย่างหนัก ตอนนั้น โจ วิลเลี่ยมส์ ลูกชายของเธอและญาติๆได้ช่วยกันสร้างบ้านใหม่ก็คือบ้านบังกะโลสีขาวหลังนี้ขึ้นมาแทน และในช่วงฤดูหนาวส่วนใหญ่เธอมักจะปิดประตูหน้าบ้านไว้ตลอด ใช้เพียงประตูหลังอย่างเดียว

หลังจากสอบถามกันอยู่ครู่หนึ่ง นางวิลเลี่ยมส์ก็เดินไปยังห้องที่อยู่ติดกัน โดยมีโรมีวิ่งตามไปด้วย จากนั้นนางวิลเลี่ยมส์ก็จูงมือหนูน้อยโรมีออกมาจากห้องพร้อมกับอัลบั้มรูปเล่มหนึ่ง พอมาถึงโต๊ะที่นั่งกันอยู่ หนูน้อยโรมีก็บอกกับทุกคนว่าเธอขออธิบายรูปถ่ายในอัลบั้มนี้เอง ตอนนั้นทุกคนต่างก็รู้สึกประหลาดใจไปตามๆกัน เธอได้เปิดอัลบั้มเล่มนั้นแล้วก็ชี้ที่ภาพถ่ายและพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “นี่ไงรูปของหนู(เธอชี้ไปที่รูปถ่ายของ นายโจ วิลเลี่ยมส์) นี่คือวชีลลาภรรยาของหนู แล้วก็พวกเด็กๆที่มาร่วมในงานวันคริสต์มาส ก่อนที่หนูและชีลลาจะประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต” นางวิลเลี่ยมส์ได้ยินดังนั้นก็อุทานขึ้นมาอย่างประหลาดใจว่า “เอ๊ะ แปลกจัง หนูคนนี้จำภาพนี้ได้อย่างไร” หนูน้อยโรมีก็บอกว่า “หนูคือ โจ มาเกิดใหม่ “

นอกจากนี้โรมียังเล่าถึงเรื่องที่เขาแต่งงานกับ นางชีลลา เรื่องลูกๆของ นายโจ วิลเลี่ยมส์ ลำดับญาติมิตรและพูดถึงเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆในอดีตที่เกี่ยวข้องกับ นายโจ วิลเลี่ยมส์ ได้อย่างถูกต้อง ที่สำคัญคือ โรมีได้เล่าถึงเหตุการณ์ขณะที่ นายโจและนางชิลลา สามีภรรยาที่ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตอย่างละเอียด เหมือนกับเธอได้ประสบกับอุบัติเหตุในครั้งนั้นด้วยตัวของเธอเองจริงๆ นายโจ วิลเลี่ยมส์และภรรยาเสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ.2518 ก่อนที่โรมีจะเกิด 2 ปี และยังมีเรื่องที่บ้านเคยถูกไฟไหม้แล้วทำให้นางวิลเลี่ยมส์ได้รับบาดเจ็บและมีรอยแผลเป็นที่แขนข้างขวาและที่ขา ซึ่งนางวิลเลี่ยมส์ก็รับรองว่าเป็นความจริง

ทั้งหมดนี้คือหลักฐานสำคัญ ที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนต่อหน้าพยานหลายคน ว่าหนูน้อยโรมีจำอดีตชาติได้จริง เรื่องราวดังกล่าวได้ถูกบันทึกไว้และกลายเป็นเรื่องที่ชาวอเมริกันพูดถึงและวิพากษ์วิจารณ์กันจนถึงทุกวันนี้

Sharles city , Virginia ; America