แผนที่ประกอบ : Kornayel,Thliby ; Lebanon
ผู้จำอดีตชาติได้รายนี้มีชื่อว่า นายอิหมัด เอลลาวอ เป็นชาวเลบานอน เผ่าดรุส(Druze) เกิดเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๐๑ ที่ตำบลคอร์นาเยล(Kornayel) บิดาชื่อ นายโมฮัมม็ด เอลลาวอ
สำหรับพวกชาวดรุสนี้ โดยหลักแล้วพวกเขาถูกจัดว่าเป็นนิกายหนึ่งในศาสนาอิสลาม ซึ่งแยกย่อยมาจากนิกายชีอะ(Shia)อีกทีหนึ่ง แต่สำหรับพวกดรุสเองบางครั้งพวกเขาก็คิดว่าพวกเขาเป็นอีกศาสนาหนึ่งต่างหาก เนื่องจากพวกเขาเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิด ซึ่งไม่ตรงกับคำสอนในศาสนาอิสลาม พวกดรุสมีอยู่ทั่วไปทั้งใน จอร์แดน ซีเรีย อิสราเอล เลบานอน หรือแม้แต่ในอเมริกาและที่อื่นๆนอกเหนือจากนี้แต่มีไม่มากนัก..(TK)
ดร.เอียน สตีเวนสัน ได้ไปสอบเรื่องนี้ถึง ๔ ครั้ง ไปครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๐๗ แล้วต่อมาก็ได้ไปติดตามสอบถามมาเป็นลำดับรวม ๔ ครั้ง ซึ่งเรื่องการสอบผู้จำอดีตชาติได้รายนี้ จะต้องสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นอันมาก ตอนไปครั้งแรก เด็กชายอิหมัด อายุได้ ๕ ขวบเศษ
เมื่อครั้งที่ เด็กชายอิหมัด อายุได้ประมาณขวบครึ่ง ถึง ๒ ขวบ เขาพูดถึงเรื่องในชาติก่อนของเขา และได้พูดถึงชื่อบุคคลเป็นอันมากที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาเมื่อชาติก่อน และเรื่องราวต่างๆนานา ตลอดจนทรัพย์สินสิ่งของที่เคยมี
บางทีเขาก็พูดออกมาลอยๆ ถึงชื่อผู้เกี่ยวข้องในชาติก่อน แล้วก็บอกว่าไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นเป็นยังไงบ้าง บางครั้งก็เพ้อออกมาตอนนอนหลับก็มี
เมื่อครั้งที่ ดร.สตีเวนสัน ไปสอบถามเรื่องนี้ ตอนนั้น เด็กชายอิหมัด อายุได้ ๕ ขวบเศษนั้น เขายังจำชาติก่อนได้อยู่ เด็กชายอิหมัด บอกว่าชาติก่อน เขาอยู่ที่ ตำบลตริบาย(Khriby,Thliby) เกิดในตระกูล โบฮำซี(Bouhamzy) เขามักจะรบเร้าให้บิดามารดาพาเขาไปที่ตำบลคริบาย ซึ่งอยู่ห่างจากตำบลคอร์นาเยล ประมาณ ๕๑ กิโลเมตร
บิดาของเด็กชายอิหมัด บอกกับ ดร.สตีเวนสัน ว่าเขาพยายามดุด่าไม่ให้ เด็กชายอิหมัดพูดถึงเรื่องชาติก่อน เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหล เด็กชายอิหมัดก็เลยไปเล่าให้ปู่กับย่าของเขาซึ่งอยู่บ้านเดียวกันฟังแทน
วันหนึ่งชาวบ้านตำบลคริบายได้มาที่ตำบลคอร์นาเยล และบังเอิญเดินผ่านหน้าบ้านของ เด็กชายอิหมัด ซึ่งตอนนั้นเด็กชายอิหมัดนั่งอยู่กับย่า เมื่อเด็กชายอิหมัดเห็นก็ร้องเรียกชื่อทักทายเหมือนคนเคยรู้จักกัน ตอนนั้นคนในครอบครัวเพียงแค่รู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
ตอนนั้นเด็กชายอิหมัดมักจะพูดถึงชื่อของบุคคลต่างๆที่อยู่ในตำบลคริบาย ซึ่งคนในครอบครัวไม่เคยรู้จัก ต่อมามีหญิงผู้หนึ่งมาจาก ตำบลมัชเซอร์ เอลจูฟ ซึ่งอยู่ใกล้กันกับตำบลคริบาย มาเยี่ยมบิดามารดาของอิหมัดที่ตำบลคอร์นาเยล บิดามารดาของอิหมัดได้บอกชื่อของคนที่ เด็กชายอิหมัด เคยพูดให้ฟัง ปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นรู้จัก และบอกว่าบุคคลที่ เด็กชายอิหมัด เอ่ยชื่อมานั้นมีอยู่จริง พวกเขาเหล่านั้นอยู่ที่ตำบลคริบาย ซึ่งบางคนก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่บางคนก็ตายไปแล้ว
ต่อมาเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๐๗ ก่อนที่ ดร.สตีเวนสัน จะเดินทางไปสอบเรื่องนี้ประมาณ ๓ เดือน ได้มีการเชื้อเชิญให้ชาวตำบลคอร์นาเยล ไปในงานศพของ นายซาอิด โบฮำซี ผู้มีชื่อแห่งตำบลคริบาย ซึ่งการเชื้อเชิญไปงานศพระหว่างตำบลใกล้เคียงกันนี้ เป็นประเพณีของชาวดรุสในเลบานอนที่ทำกัน
ผู้เป็นลุงของบิดา เด็กชายอิหมัด ซึ่งเป็นผู้มีชื่อของชาวตำบลคอร์นาเยล ตกลงจะไปงานนี้ และบิดาของ เด็กชายอิหมัด ก็อยากไปเที่ยวที่ตำบลคริบายด้วย จึงตกลงทั้งสองคนได้ไปในงานศพ ที่ตำบลคริบายนั้น
ที่งานศพในตำบลคริบายนั้น บิดาของเด็กชายอิหมัด รู้สึกแปลกใจมาก ที่มีผู้ออกชื่อบุคคลสองคนที่บิดาของ เด็กชายอิหมัด จำได้ว่าตรงกันกับชื่อที่ เด็กชายอิหมัด เคยพูดถึง
การจำอดีตชาติได้ของ เด็กชายอิหมัด เอลลาวอนี้ เขาไม่ได้บอกว่าชาติก่อนเขาชื่ออะไร แต่เขาได้พูดถึงชื่อของบุคคลอื่น ชื่อตระกูลของเขา และเรื่องราวต่างๆที่เคยเกิดขึ้นดังนี้
เขาบอกว่าชาติก่อน เขาเกิดในตระกูล มาหะหมุด โบฮำซี ที่ตำบลคริบาย เด็กชายอิหมัดมักกล่าวถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อว่า "ยามิล" อย่างชื่นชม ว่าเธองดงามนัก และบอกว่าเธอสวยกว่ามารดาของเขามาก และได้พูดถึงบุคคล ๒ คนอยู่เสมอซึ่งบิดาของ เด็กชายอิหมัด คิดเดาเอาเองว่าผู้หญิงที่เขาพูดถึงน่าจะเป็นภรรยาของเขาในชาติก่อน และบุคคลอีก ๒ คนที่เขาพูดถึงก็น่าจะเป็นบุตรของเขาในชาติก่อน
เด็กชายอิหมัด มักจะพูดถึงเรื่องรถยนต์บรรทุกของทับผู้ชายคนหนึ่ง และชายผู้นั้นถึงแก่ความตาย โดยเด็กชายอิหมัดไม่ได้บอกว่าชายผู้นั้นคือตัวเอง
บิดามารดาของเด็กชายอิหมัดกล่าวว่า เมื่ออิหมัดพอเริ่มเดินได้ เขาก็ร้องขึ้นมาด้วยความดีใจว่า “ดูซิ ผมเดินได้” มีอยู่วันหนึ่ง เด็กชายอิหมัดถามมารดาว่ามารดาเคยให้หมอผ่าตัดให้เขาเดินได้หรือเปล่า
บิดามารดาของอิหมัด เข้าใจว่าชาติก่อนอิหมัดคงถูกรถทับขาจนเดินไม่ได้ แล้วก็ถึงแก่ความตาย ในส่วนของ ยามิล นั้น อิหมัดพูดถึงเสมอว่าเป็นหญิงที่สวยนัก และพอเริ่มพูดได้คำแรกที่อิหมัดพูดออกมาคือคำว่า “ยามิล” เขาพูดออกมาอย่างชัดเจน
เด็กชายอิหมัดเล่าว่าเขาเคยซื้อผ้าสีแดงให้เธอ อิหมัดมักเปรียบเทียบความงามของ ยามิล กับมารดาของเขาว่า ยามิลสวยกว่ามารดามาก และเปรียบเรื่องเสื้อผ้าของ ยามิล กับเสื้อผ้าของมารดาด้วย
วันหนึ่งอิหมัดได้บอกมารดาให้นอนในท่าเดียวกับที่ ยามิลนอน บิดามารดาของอิหมัดได้แจ้งเรื่องนี้ให้ ดร.เอียน สตีเวนสัน เพื่อเป็นข้อมูลให้ ดร.สตีเวนสันไปพิสูจน์ ชาติก่อนของ อิหมัด
ดร.สตีเวนสัน ได้ไปสอบเรื่องนี้ที่ตำบลคริบาย ซึ่งเป็นตำบลที่ เด็กชายอิหมัด พูดถึง และได้ไปสอบถามเรื่องรถทับคนตาย ก็ได้ความจากบุคคล ๒ คนในตำบลนั้น คือ นายกาซิม มาหะหมุด เอลลักซา และ นายกาลิล ลาเตฟ ซึ่งพวกเขาบอกกับ ดร.สตีเวนสันว่า ก่อนนี้มีบุคคลผู้หนึ่งชื่อว่า นายซาอิด โบฮำซี ชาวตำบลคริบายถูกรถทับตาย เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๔๘๖ ซึ่งเชื่อว่านายซาอิดคนนี้เองที่มาเกิดใหม่เป็น เด็กชายอิหมัด ส่วนผู้หญิงที่ชื่อ ยามิล ก็เคยมีอยู่ที่ตำบลคริบายแห่งนี้
ดร.สตีเวนสัน ได้พา เด็กชายอิหมัด และบิดา ไปยังตำบลคริบาย เด็กชายอิหมัดได้ชี้ไปที่บ้านที่ ซาอิด เคยอยู่ได้ถูกต้อง ดร.สตีเวนสันได้สอบถามถึงชื่อของบุคคลต่างๆที่ เด็กชายอิหมัดพูดถึง ซึ่งทุกคนมีตัวตนอยู่จริงๆ ในตำบลคริยานี้ และส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลที่อยู่ในตระกูล โบฮำซี เมื่อเด็กชายอิหมัดไปถึงบ้านในอดีตชาติก็แสดงความเอียงอาย และแสดงความยินดี ที่ได้พบคนในตระกูล โบฮำซี
เด็กชายอิหมัด ได้พูดถึงลักษณะบ้านในชาติก่อนของเขาไว้ ซึ่งก็ปรากฏว่ามีลักษณะตรงกัน เช่น มีประตูบ้านที่เกือบเป็นวงกลม เป็นต้น
ในเรื่องที่รถยนต์ทับคนตายก็ปรากฏว่าตรงกันคือ นายซาอิด โบฮำซี ถูกรถทับตายจริง เป็นรถยนต์บรรทุกของ ตรงตามที่เด็กชายอิหมัดพูดถึง รถยนต์บรรทุกคันนั้นได้ทับที่ลำตัวและขาของซาอิด เขาถูกพาส่งโรงพยาบาล และได้รับการผ่าตัด แต่ก็ถึงแก่ความตายตรงตามที่อิหมัดพูดไว้
ส่วนหญิงที่ชื่อ ยามิล นั้นปรากฏว่าเป็นหญิงรูปงามจริง แต่เป็นภรรยาลับๆของ อิบราฮิม โบฮำซี ลูกพี่ลูกน้องของซาอิด ซึ่งตอนนั้นเป็นที่ซุบซิบกล่าวขวัญกันในตำบลนั้นถึงความสัมพันธ์ของทั้งสอง ต่อมา ยามิล มีสามีแล้วย้ายไปอยู่ตำบลอื่น
เมื่อ ดร.สตีเวนสัน พาเด็กชายอิหมัดไปยังตำบลคริบาย อิหมัดไม่ได้พูดว่าอยากพบ ยามิลเลย แต่อิหมัดชี้ไปยังบ้านของ ยามิล ได้ถูกต้อง
อิบราฮิม โบฮำซี เป็นลูกพี่ลูกน้องของซาอิด ทั้งสองรักใคร่กันมาก เพราะตามที่อิหมัดพูดถึงเรื่องของ นายอิบราฮิม ก็จริงตามที่สอบถามได้จากมารดาของ อิบราฮิม ตัวของอิบราฮิมเองนั้น ถึงแก่ความตายด้วยวัณโรค เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๒ ก่อน อิหมัดเกิด ๙ ปี
มีข้อน่าสังเกตคือ บิดามารดาของอิหมัดกล่าวว่า ตั้งแต่ยังเป็นเด็กทารก อิหมัดมีความหวาดกลัวรถยนต์บรรทุกมาก ตั้งแต่ยังพูดไม่ได้ พอเด็กชายอิหมัดเห็นรถบรรทุกเข้า ก็เป็นต้องวิ่งหนีไปหลบซ่อนตัวทีเดียว เป็นอยู่อย่างนี้จนเขาอายุได้ ๔-๕ ขวบ จึงได้หายกลัว
เมื่อตอนเดินได้ เด็กชายอิหมัด พูดออกมาว่า “ดูซิ ผมเดินได้แล้ว” ก็ตรงกับที่นายซาอิดถูกรถบรรทุกทับที่ลำตัวและขาหัก มีการผ่าตัดหน้าท้อง แล้วคนเจ็บก็ถึงแก่ความตาย หลังจากการผ่าตัด ๒-๓ ชั่วโมง เด็กชายอิหมัด เคยถามมารดาว่า “แม่เคยให้ผ่าตัดผมจนเดินได้หรือเปล่า”
ตามที่ ดร.สตีเวนสัน สอบถามได้ ปรากฏว่าอิหมัดชอบเรื่องยิงปืน ล่าสัตว์ ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เขาเคยพูดว่า อิบราฮิม(ลูกพี่ลูกน้องของซาอิด)มีทั้งปืนสั้นและปืนยาวและเขายังรู้ด้วยว่าอิบราฮิมเก็บปืนไว้ที่ไหน ซึ่งก็ถูกต้องตามนั้น
เมื่อเด็กชายอิหมัดไปถึงบ้านในชาติก่อน ที่ตำบลคริบาย ได้เห็นนกกระทาที่บ้านนั้นก็ชอบนักหนา ซึ่งก็ตรงกับนิสัยเดิมของเขาที่ชอบยิงนก เพราะชาวตำบลนั้นชอบยิงนกกระทากัน
บิดาของอิหมัดเล่าว่า เมื่อตอนที่อิหมัดยังเล็กอยู่ ถ้าใครบอกว่าเป็นเด็กเขาจะเคืองนัก เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๗ ขณะที่อิหมัดอายุได้ ๖ ขวบ เขามีงานให้เด็กๆเต้นรำกัน อิหมัดไม่พอใจที่ต้องไปร่วมเต้นรำกับเด็กอายุคราวเดียวกัน เขาขอบิดามารดาไปเต้นกับเด็กรุ่นใหญ่ หรือเวลาเล่นกับเด็กๆด้วยกัน เขาจะต้องเป็นหัวหน้า หรือเป็นใหญ่กว่าเด็กอื่นๆ
ปู่ของอิหมัดเล่าว่า เมื่อตอนอิหมัดอายุได้ ๒ ขวบ เขาชอบดื่มน้ำชาแก่ และชอบดื่มกาแฟอย่างผู้ใหญ่
นี่คือเรื่องราวการจำอดีตชาติได้ และการสืบเนื่องของอุปนิสัยของชาติก่อนๆ ซึ่งปรากฏ ณ ประเทศเลบานอน