แผนที่ประกอบ : Chhatarpur,Katni ; Madhya Pradesh , India
สวารณลทา มิชรา เป็นบุตรสาวของ นายศรี มิชรา ผู้ช่วยศึกษานิเทศก์ ประจำจังหวัด ชหทารปูร์(Chhatarpur) แคว้นมัธยประเทศ(Madhya Pradesh) เธอ เกิดเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๔๙๑ ที่ตำบลชาลปูร์ จังหวัดติกัมการห์(Tikamgarh) แคว้นมัธยประเทศ เธอจำอดีตชาติได้ถึง ๒ ชาติ ว่าในชาติก่อนหน้าโน้นเธอชื่อว่า กมเลศ เป็นชาวเบงกอล(Bengal) เธอจำบทเพลงและท่าร่ายรำของชาวเบงกอลได้ และในชาติก่อนหน้านี้เธอมีชื่อว่า พิยา หิระลาลปาตัค เกิดที่จังหวัดกัตนี ในสกุลปาตัคมีบุตรชาย ๒ คน ชื่อมุรลี และนเรศ และต่อมาเมื่อสิ้นชาติก็มาเกิดใหม่อีกครั้งเป็น สวารณลทา ในชาติปัจจุบันนี้เอง
สำหรับเรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของ สวารณลทา หรือ เด็กหญิงสวารณลทา ในขณะนั้นเริ่มต้นขึ้น เมื่อตอนที่เธออายุได้ประมาณ ๓ ขวบกับ ๖ เดือน ตอนนั้นบิดามารดาของเธอซึ่งย้ายจากบ้านที่เธอเกิดมาอยู่ที่จังหวัดปันนะ มีธุระจะต้องเดินทางไป จังหวัดชาบาลปูร์ ซึ่งอยู่ห่างจากจังหวัดปันนะ ๒๗๒ กิโลเมตร และได้พาเด็กหญิงสวารณลทา ไปด้วย ซึ่งตอนขาไปก็ไม่มีเหตุผิดปกติใดๆ
แต่ตอนขากลับพวกเขาจะต้องผ่านจังหวัดกัตนี เมื่อขับรถมาถึงจังหวัดกัตนี เด็กหญิงสวารณลทา ก็บอกกับคนขับรถว่า “เลี้ยวไปบ้านของฉันสักหน่อยได้ไหม” แต่ตอนนั้นยังไม่มีใครสนใจคำพูดของเธอ ต่อมาพวกเขาได้หยุดรถพักดื่มน้ำชากันที่กัตนี เด็กหญิงสวารณลทา ก็พูดขึ้นมาอีกว่า “น้ำชาที่บ้านของฉันใกล้ๆนี้ อร่อยกว่า”
บิดาของเธอรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเธอพูดอย่างนั้น แต่ก็ไม่ติดใจเท่าใดนัก ต่อมาพวกเด็กๆพี่น้องของ เด็กหญิงสวารณลทา ได้เล่าให้ นายศรี มิสรา ผู้เป็นบิดาฟังว่า เด็กหญิงสวารณลทาเคยเล่าเรื่องในชาติก่อนให้พวกตนฟังว่า เมื่อชาติก่อนเธออยู่ที่จังหวัดกัตนี ในบ้านสกุลปาตัค และเธอยังได้รำและร้องเพลงแปลกๆให้พวกตนดู ซึ่งตอนนั้นพวกตนไม่รู้ว่าเธอร้องเพลงอะไร เพราะฟังไม่รู้เรื่อง
สำหรับท่ารำและเพลงที่ เด็กหญิงสวารณลทา ร้องนั้น แม้แต่บิดามารดาของเธอเอง ก็ไม่เคยเห็นหรือได้ยินได้ฟังมาก่อน เมื่อบิดามารดาสอบถามดู เด็กหญิงสวารณลทาก็เล่าให้ฟังเหมือนกับที่บอกกับพวกเด็กๆพี่น้องของเธอ
มีครั้งหนึ่งเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๑ ตอนนั้นเด็กหญิงสวารณลทาอายุได้ ๑๐ ขวบ มีภริยาของ ศาสตราจารย์อัคนี ชื่อ นางศริมาตี มาเที่ยวที่บ้านของเด็กหญิงสวารณลทา สตรีผู้นี้บ้านเดิมอยู่ที่จังหวัดกัตนี พอเด็กหญิงสวารณลทาเห็นก็แสดงออกว่าเธอเคยรู้จัก เธอบอกว่าเมื่อชาติก่อนนี้เธอเคยไปงานแต่งงานของนางศริมาตี ที่ตำบลติโลรา แล้วเกิดปวดท้องแล้วหาห้องน้ำไม่เจอ ทุลักทุเลมาก ซึ่งนางศริมาตี รับว่าเป็นความจริง นายศรี มิสรา จึงเชื่อว่าบุตรสาวของตนจำอดีตชาติได้จริง และได้เริ่มบันทึกเรื่องราวต่างๆไว้ตามที่บุตรของตนพูดและแสดงออกมา
เด็กหญิงสวารณลทา ได้พูดถึงความทรงจำในอดีตชาติให้ครอบครัวของเธอได้ฟังต่างช่วงเวลากันรวมความได้ว่า ในชาติก่อนหน้าโน้นเธอมีชื่อว่า กมเลศ เป็นชาวเบงกอล เธอจำบทเพลงและท่าร่ายรำของชาวเบงกอลได้ และในชาติก่อนหน้านี้เธอมีชื่อว่า พิยา เกิดที่จังหวัดกัตนี ในสกุลปาตัคมีบุตรชาย ๒ คน ชื่อ มุรลี และ นเรศ เมื่อครั้งที่เกิดที่จังหวัดกัตนีนั้น บิดาของเธอชื่อว่า นายศรี หิระลาลปาตัค (ชื่อนี้ เด็กหญิงสวารณลทา จำคลาดเคลื่อนไป เพราะชื่อของบิดาในชาติก่อนที่กัตนีนั้นคือ นายศรีชหิโกริ ลาลปาตัค ส่วนชื่อ ศรี หิระลาล ปาตัค นั้นคือ พี่ชายคนหัวปีของครอบครัวในชาติก่อน) บ้านของครอบครัวเธอที่ปาตัคนั้น ทาสีขาว มีห้องสี่ห้องที่ฉาบปูนขาวเสร็จเรียบร้อย นอกนั้นห้องอื่นไม่ได้ฉาบปูน ประตูทาสีดำ และหน้าต่างมีกรงเหล็กกั้น พื้นตอนหน้าบ้านประดับด้วยหิน (ดร.เอียน สตีเวนสัน ได้ไปสอบเรื่องนี้เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๔ ก็ปรากฏว่าเป็นความจริง ตรงตามที่ เด็กหญิงสวารณลทา บอก)
ที่บ้านของเธอเมื่อชาติก่อนนั้นมีรถยนต์ใช้ (ชาวอินเดียในเวลานั้นน้อยคนที่จะมีรถยนต์ใช้) หลังบ้านของเธอมีโรงเรียนสตรี มีทางรถไฟอยู่ใกล้เคียงพอมองเห็นจากบ้านได้ และยังมีโรงทำปูนขาวอยู่ใกล้ๆพอมองเห็นปล่องไฟได้ ซึ่งลักษณะของบ้านในชาติก่อนที่เธอบอกเล่ามานี้เอง ที่ทำให้ผู้ที่สนใจ คือ นายศรี มาเนรจี สืบหาบ้านในชาติก่อนของเด็กหญิงผู้นี้จนพบ และนำพาทั้งสองครอบครัวให้มาพบและพิสูจน์ความทรงจำในอดีตชาติของ เด็กหญิงสวารณลทา ในเวลาต่อมา
การพิสูจน์ของครอบครัวในอดีตชาติ
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๒ เมื่อ นายศรี มาเนรจี ซึ่งได้ยินได้ฟังเรื่องราวในอดีตชาติที่เด็กหญิงสวารณลทาพูดออกมา ก็มีความสนใจที่จะพิสูจน์ความจริง และได้ไปสืบหาบ้านในชาติก่อนตามที่ เด็กหญิงสวารณลทา เล่าให้ฟัง ก็ได้ไปพบกับครอบครัวสกุล ปาตัค ที่จังหวัดกัตนี ตรงตามที่เด็กหญิงสวารณลทาเคยพูดไว้ ปรากฏว่าสกุลนี้มีหญิงผู้หนึ่งชื่อพิยา เธอถึงแก่ความตายเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๒ เมื่อพบครอบครัวที่ เด็กหญิงสวารณลทา บอกว่าเป็นครอบครัวของเธอเมื่อชาติก่อนแล้ว นายศรี มาเนรจี ก็เล่าเรื่องที่ เด็กหญิงสวารณลทา พูดถึงอดีตชาติให้ครอบครัวปาตัคฟัง
และในฤดูแล้งปี พ.ศ.๒๕๐๒ นั้นเอง สกุลปาตัคทั้งฝ่ายครอบครัวของ พิยา เองและฝ่ายสามีของพิยาก็พากันเดินทางไปยังจังหวัดชหทารปูร์ ไปยังบ้านของ เด็กหญิงสวารณลทา เพื่อพิสูจน์ความจริง
เมื่อครอบครัว ญาติพี่น้อง และคนรู้จักทางฝ่ายอดีตชาติไปถึงที่บ้านของ เด็กหญิงสวารณลทา เมื่อ เด็กหญิงสวารณลทา ได้พบกับครอบครัว หมู่ญาติ และคนรู้จักของ พิยา เธอสามารถจำบุคคลพวกนั้นได้ เช่น พอเธอเห็น นายศรี หริประสาท ซึ่งเป็นน้องชายของพิยา เธอก็เรียกชื่อเขาว่า “บาบู” ซึ่งเป็นชื่อที่ พิยา ใช้เรียกน้องชายในชาติก่อน
นายศรี จินตามินี ปานเดช สามีของพิยาก็ไปพร้อมกับบุตรชายชื่อ ศรี มุรลี ปานเดช ซึ่งเป็นบุตรของ พิยา พอเด็กเห็นนายศรี จินตามินี สามีในชาติก่อน ก็บอกว่ารู้จักแล้วมีอาการเขินอายตามแบบผู้หญิงชาวฮินดู นายศรี จินตามินี เอารูปถ่ายของตนเป็นรูปหมู่ ถ่ายร่วมกับคน ๙ คน ถ่ายไว้เมื่อ ๔๐ ปีมาแล้ว ให้เด็กชี้ เด็กก็ชี้รูปของนายศรี จินตามินีได้ถูกต้อง
ฝ่าย นายมุรลี ซึ่งเป็นบุตรของ พิยา ก็หลอกเด็กหญิงสวารณลทาว่าเขาไม่ใช่บุตรของพิยาตลอดเวลา แต่เด็กหญิงสวารณลทาก็ยังยืนยันว่าเป็นบุตรของเธออยู่เช่นเดิม
นายมุรลี ได้พาเพื่อนผู้ชายไปด้วยคนหนึ่ง อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับนเรศบุตรอีกคนหนึ่งของพิยา แล้วหลอกเด็กหญิงสวารณลทา ว่านี่คือ นเรศ บุตรของพิยา แต่เด็กหญิงสวารณลทาก็ยืนยันว่าบุตรอีกคนหนึ่งของเธอไม่ใช่คนนี้ ต่อมาได้พบกับ นเรศ บุตรชายของ พิยา ตัวจริง แต่ นเรศ ก็หลอกว่าเขาไม่ใช่ นเรศ เขาชื่อโภละ แต่ เด็กหญิงสวารณลทา ไม่เชื่อ เธอยังคงยืนยันว่าเป็น นเรศ เช่นเดิม
เด็กหญิงสวารณลทา บอกว่าเมื่อครั้งโน้น นายศรี จินตามินี สามีของเธอได้เอาเงินจากหีบเก็บเงินของเธอไป ๑,๒๐๐ รูปี แต่นายศรีเถียงว่า เอาไปเพียง ๑,๐๐๐ รูปีเท่านั้น
นอกจากนี้เด็กหญิงสวารณลทายังจำ พี่น้อง สะใภ้ น้องของสามี สาวใช้ และคนเลี้ยงวัวในบ้านเมื่อชาติก่อนได้ ทั้งๆที่มีผู้หลอกว่าคนเลี้ยงวัวตายไปแล้วแต่ เด็กหญิงสวารณลทา ก็ยังยืนยันตามที่เธอบอกซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น
เด็กหญิงสวารณลทาทักเพื่อนบ้านของพิยาคนหนึ่งว่า “เมื่อก่อนไม่เห็นใส่แว่นตา” เด็กหญิงสวารณลทามองชายคนหนึ่งในกลุ่มคนที่มามุงดูว่า “ชายคนนี้ขายหมากพลู” ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น
เด็กหญิงสวารณลทาบอกว่าชาติก่อนเธอเคยใส่ฟันทอง พวกที่มุงดูก็ค้านว่า “ไม่จริง พิยา ฟันหลอ” แต่เด็กหญิงสวารณลทาก็ยังยืนยันว่าในชาติก่อนเธอใส่ฟันทอง เมื่อสอบถามญาติพี่น้องของ พิยา ก็ได้รับคำตอบว่าเป็นความจริง
เด็กยังจำชื่อหมอตำแยประจำตำบล ที่จังหวัดกัตนีได้ หมอตำแยผู้นี้ในตอนที่เด็กกล่าวถึง เธอเปลี่ยนชื่อใหม่แล้ว แต่เด็กออกชื่อซึ่งเป็นชื่อเดิม
ในคราวพบกันที่บ้านของ เด็กหญิงสวารณลทา นั้น นอกจากครอบครัวเดิมที่กัตนีเข้ามาในบ้านแล้ว ยังมีคนในจังหวัดกัตนี มาด้วยอีก ๙-๑๐ คน ซึ่งเด็กหญิงสวารณลทารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง ซึ่งในการทักทายกันนั้น ไม่มีการแนะนำตัวก่อนว่าใครเป็นใคร แต่เจ้าตัวผู้นั้นมักจะถามเด็กว่า ตัวเขาคือใครให้เด็กบอก บางคนเด็กตอบแล้วยังหลอกเด็กว่าไม่ใช่ แต่เด็กก็ยังยืนยันอย่างเดิม
จากการพิสูจน์ในครั้งนั้น ทำให้ครอบครัวญาติพี่น้อง สามี และบุตรของ พิยา เชื่อว่า เด็กหญิงสวารณลทา คือ พิยา มาเกิดใหม่จริงๆ
ต่อมาไม่นานทางฝ่ายครอบครัวของ เด็กหญิงสวารณลทา ก็พากันไปพิสูจน์ความจริงที่บ้านของครอบครัวปาตัค ที่จังหวัดกัตนี ซึ่ง เด็กหญิงสวารณลทา ได้ชี้ให้ดูห้องที่เธอเจ็บและตายได้ถูกต้อง และเธอยังบอกด้วยว่า ชาติก่อนนั้นเป็นโรคเจ็บคอ และได้ถึงแก่ความตายด้วยโรคเจ็บคอนี้ ตอนเจ็บหมอที่มารักษาเธอ ชื่อ นายแพทย์ภะพรต (เรื่องนี้ ดร.สตีเวนสันว่า สอบดูแล้ว พิยาถึงแก่ความตายด้วยโรคหัวใจ ไม่ใช่เจ็บคอ และเจ็บด้วยโรคหัวใจนี้อยู่หลายเดือน ซึ่งเด็กหญิงสวารณลทาจำคลาดเคลื่อนไป ดร.สตีเวนสันเล่าว่า สังเกตเห็นว่ามีหลายกรณีของผู้จำอดีตชาติได้ ที่มักจะเอาโรคประจำตัวของตนมาจำว่าตายด้วยโรคนั้น) สำหรับครอบครัว ปาตัค นั้น เป็นครอบครัวที่อยู่กันแบบทันสมัย พี่ชายคนหนึ่งของพิยากล่าวว่า เดิมเขาไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิด แต่ตอนนี้เขาเชื่อแล้ว
ดร.สตีเวนสัน เล่าว่า เมื่อท่านไปสอบเรื่องนี้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๒ บิดาของ เด็กหญิงสวารณลทา บอกว่าเมื่อเด็กหญิงสวารณลทาอยู่รว่มกับญาติพี่น้องในปัจจุบัน เด็กหญิงสวารณลทาก็เป็นเหมือนอย่างเด็กธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อไปอยู่จังหวัดกัตนี ไปรว่มอยู่กับญาติพี่น้องในชาติก่อน เด็กหญิงสวารณลทาจะทำตัวเหมือนเป็นพี่สาวคนโตของบ้าน แม้กับผู้ที่มีอายุมากกว่าเด็กก็ยังไม่ค่อยให้ความเคารพ เหมือนกับว่าตัวเธอเองมีอายุมากกว่าคนเหล่านั้น ดังนั้นญาติพี่น้องครอบครัวในชาติก่อนจึงเชื่อว่าเด็กหญิงสวารณลทาคือพิยามาเกิดใหม่อย่างแน่นอน
มีประเพณีของชาวฮินดูในวันสารทระฆี พวกพี่น้องให้ศีลให้พรและให้ของขวัญซึ่งกันและกัน เด็กหญิงสวารณลทาก็ไปร่วมกับพี่น้องในชาติก่อนอย่างสนิทสนมด้วย เมื่อ ดร.สตีเวนสันไปพบบุคคลพวกนั้นในปี พ.ศ.๒๕๐๔ พี่น้องของพิยาบ่นกันว่า ปีนั้นเด็กหญิงสวารณลทาไม่ได้มาร่วมพิธีในวันสารทระฆี พวกเขารู้สึกผิดหวังเละเสียใจมาก เพราะพวกเขารู้สึกว่าขาดพิยาไป ส่วนตัวของ เด็กหญิงสวารณลทา เอง เมื่อพบพวกปาตัคก็ดีใจน้ำตาไหล เมื่อจากมาก็คิดถึง อยากกลับไปพบอีก
สำหรับเรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของ เด็กหญิงสวารณลทา นี้ บิดามารดาของทั้งในชาติก่อนและในชาตินี้ แม้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็สนิทสนมถ้อยทีถ้อยอาศัย และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันด้วยดี และบิดามารดาของ เด็กหญิงสวารณลทา ก็ไม่รังเกียจทัดทาน ที่เด็กพูดถึงเรื่องในชาติก่อน ผิดกับรายอื่นๆส่วนใหญ่