เรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของ นายคอลิส ชอทคิน จูเนียร์ และ การสืบชาติมาเกิดใหม่ของ นายวิคเตอร์ วินเซนต์ นี้เป็นเรื่องราวของรอยแผลเป็นจากอดีตชาติที่สามารถสืบทอดมาถึงอีกชาติหนึ่งได้ ด้วยความตั้งใจจงใจของนายวิคเตอร์เอง ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต
นายวิคเตอร์ วินเซนต์ เป็นชาวเผ่าทลิงกิต(Tlingit) เขาเสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๙ ที่เมืองอางกูน(Angoon) ขณะยังมีชีวิตอยู่ นายวิคเตอร์ มีความผูกพันรักใคร่กับหลานสาวซึ่งเป็นบุตรของน้องสาวที่ชื่อ นางคอลิส ชอทคิน ซีเนียร์ มาก และเขามักจะไปเยี่ยมเยียนและพักอยู่กับหลานคนนี้ที่เมืองชิตคา(Sitka) โดยเฉพาะช่วงประมาณ ๑ ปี ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตไม่นาน นายวิคเตอร์เคยพูดไว้ก่อนตายว่า ถ้าเขาตายไป เขาจะมาเกิดเป็นลูกชายของหลานคนนี้ และขอให้สังเกตดูว่ารอยแผลเป็นที่เขาจะนำติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิดที่ตัวของเด็ก เขาชี้ให้ดูรอยแผลเป็นที่หลังของเขา ซึ่งเป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากการผ่าตัด มีรอยเย็บปรากฏอยู่ และอีกที่หนึ่งคือแผลเป็นที่ข้างจมูกด้านขวา ปกติแล้ว นายวิคเตอร์ เป็นคนพูดติดอ่าง เขาบอกว่าเมื่อเขาเกิดมาในชาติใหม่เขาคงจะไม่ติดอ่างมากอย่างในชาตินี้
หลังจากที่ นายวิคเตอร์ วินเซนต์ เสียชีวิตไปได้ ๑๘ เดือน นางคอลิส ช้อทคิน ซีเนียร์ ก็ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งของเธอ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๐ เธอตั้งชื่อให้ว่า คอลิส ชอทคิน จูเนียร์ ตามชื่อของบิดา
ปรากฏว่าบุตรของเธอที่เกิดมานั้น มีรอยแผลเป็นสองแห่งคือ ที่หลัง และข้างจมูกด้านขวา เหมือนกับที่ นายวิคเตอร์ วินเซนต์ พูดไว้
เมื่อตอนที่ ดร.เอียน สตีเวนสัน ไปสอบเรื่องนี้ในปี พ.ศ.๒๕๐๕ นายคอลิส ชอทคิน จูเนียร์ อายุได้ ๑๕ ปี ตอนนั้นเขายังมีรอยแผลเป็นสีแดงที่ข้างจมูก และแผลเป็นที่หลังซึ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจน อยู่บริเวณใต้ไหล่ด้านขวาประมาณ ๘ นิ้ว ยาวประมาณ ๑ นิ้ว กว้างประมาณ ๑ ใน ๔ นิ้ว มีรอยเป็นจุดๆอยู่ ๔ แห่ง เห็นเป็นรอยตะเข็บรอยเย็บของหมอในการผ่าตัด
รอยแผลเป็นทั้งสองแห่งนี้ บรรดาญาติพี่น้องเห็นว่ามีติดตัวเขามาตั้งแต่แรกเกิด เมื่อ นายคอลิส ชอทคิน จูเนียร์ หรือ เด็กชายคอลิส ชอทคิน จูเนียร์ ในขณะนั้น อายุได้ ๑๓ เดือน เริ่มพูดได้ ญาติพี่น้องก็สอนให้เขาเรียกชื่อตัวเอง วันหนึ่งขณะที่แม่ของเขาสอนให้เรียกชื่อตัวเอง เด็กชายชอทคิน ก็พูดออกมาว่า “ไม่รู้หรือว่าฉันคือ คาโคดี้” คาโคดี้ เป็นชื่อของ นายวิคเตอร์ วินเซนต์ ตามภาษาพื้นเมืองของชาวอลาสก้า เด็กออกชื่อของตัวเองในชาติก่อนได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ
ตอน เด็กชายคอลิส ชอทคิน จูเนียร์ อายุได้ ๒ ขวบ แม่ของเขาพานั่งรถเข็นไปตามถนนในเมืองชิตคา เขามองเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกเลี้ยงของ นายวิคเตอร์ วินเซนต์ ก็เรียกเธอคนนั้นว่า “ซูซี่” ได้ถูกต้อง เขาแสดงอาการดีใจที่ได้พบกับลูกเลี้ยงของนายวิคเตอร์ โดยกระโดดโลดเต้นอยู่ในรถเข็นพร้อมกับพูดว่า “นั่นซูซี่ของฉัน” แต่ตอนนั้นนางชอทคินไม่ได้เข้าไปหาซูซี่ และเธอไม่เห็นซูซี่จนกระทั่งเด็กร้องทักขึ้นมาก่อน
ต่อมาภายหลัง เมื่อซูซี่มาเที่ยวหา นางชอทคิน เด็กชายชอทคิน จูเนียร์ ก็จะเรียกเธอว่า “ซูซี่ของฉัน ซูซี่ของฉัน” อยู่เสมอ
ต่อมา เด็กชายคอลิส ชอทคิน จูเนียร์ ได้พบกับนายวิลเลี่ยม บุตรชายของนายวิคเตอร์ วินเซนต์ ซึ่งมาธุระที่เมืองชิตคา และเดินอยู่ที่ถนน เด็กมองเห็นก่อนก็ร้องทักขึ้นว่า “นั่นวิลเลี่ยมลูกชายของฉัน”
เมื่อเขาอายุได้ ๓ ขวบ มารดาพาไปในงานสังคมของชาวเผ่าทลิงกิต เด็กชายชอทคิน จูเนียร์ มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในงานก็ร้องทักขึ้นมาว่า “นั่นโรส แม่เฒ่า” ผู้หญิงคนนั้นเป็นหญิงหม้าย เป็นภรรยาของ นายโคเตอร์ วินเซนต์ เธอชื่อว่า โรส แต่คนในครอบครัวของเธอมักจะเรียกเธอว่า “แม่เฒ่า” ซึ่งในครั้งนั้น เด็กชายชอทคิน จูเนียร์ ก็ร้องทักขึ้นก่อนที่นางชอทคินผู้เป็นแม่จะมองเห็นผู้หญิงคนนั้น
นอกจากนี้ เด็กชายชอทคิน จูเนียร์ ยังได้ร้องทักเพื่อนของ นายวิคเตอร์ วินเซนต์ ชื่อ นางอาลิส โรเบิต ซึ่งเธอเดินทางมาที่เมืองชิตคาและบังเอิญเดินผ่านหน้าบ้านของนางชอทคิน ขณะที่เด็กชายชอทคิน จูเนียร์ กำลังเล่นอยู่แถวนั้นพอดี เมื่อเด็กเห็นก็ร้องเรียกเธอตามชื่อเล่นของเธอ ได้ถูกต้อง นอกจากนี้ยังมีบุคคลอื่นๆอีก ๓-๔ คน ที่ เด็กชายชอทคิน จูเนียร์ ร้องทัก ซึ่งเดิมคนพวกนี้เคยเป็นเพื่อนหรือคนรู้จักของ นายวิคเตอร์มาก่อน และเขาจะร้องเรียกชื่อตามที่ นายวิคเตอร์เคยเรียกพวกเขาเหล่านั้นเมื่อตอนที่เขายังมีชีวิต ตอนนั้น เด็กชายชอทคิน อายุได้ประมาณ ๖ ขวบ
มีครั้งหนึ่ง เด็กชายชอทคิน ได้เล่าเรื่องของ นายวิคเตอร์ วินเซนต์ ที่ครั้งหนึ่งเคยไปหาปลา แล้วเครื่องเรือเกิดเสียตอนที่เรืออยู่ในช่องแคบแห่งหนึ่งซึ่งมีคลื่นลมจัด ตอนนั้นเขาได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่เป็นชุดของหน่วยกู้ภัยสีสันสะท้อนแสงที่เขาเป็นสมาชิกอยู่ เพื่อให้เรือลำอื่นสังเกตเห็นได้ถนัดตา แล้วลงเรือเล็กกรรเชียงไปหาเรือเดินทะเลลำใหญ่ ซึ่งบังเอิญผ่านมาตรงนั้น แล้วขอให้เรือลำใหญ่ส่งข่าวไปให้ทางบ้านทราบ ซึ่งเรื่องนี้ นางชอทคิน ผู้เป็นมารดาก็เคยรู้เรื่องนี้ เนื่องจากขณะยังมีชีวิต นายวิคเตอร์ เคยเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟัง แต่นางชอทคินไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ เด็กชายชอทคิน หรือสามีฟังเลย เป็นเรื่องที่ เด็กชายชอทคิน จูเนียร์ พูดออกมาจากความทรงจำเมื่อชาติก่อนของเขาเอง
มีครั้งหนึ่งนางชอทคิน ไปที่บ้านเก่าที่เธอเคยอยู่กับสามีสมัยที่ นายวิคเตอร์ยังมีชีวิตอยู่ พอไปถึง เด็กชายชอทคิน จูเนียร์ ก็ชี้ไปยังห้องๆหนึ่งบอกว่าห้องๆนี้เขา(นายวิคเตอร์)กับภรรยาเคยมานอน เมื่อคราวที่มาเที่ยวหานางชอทคินที่นี่ ซึ่งก็เป็นความจริง แต่ในตอนนั้นห้องที่ว่านี้ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก จนแทบจะไม่เหลือสภาพให้เห็นว่าเคยเป็นห้องนอนมาก่อน
นางชอทคิน ผู้เป็นมารดาสังเกตเห็นว่า เด็กชายชอทคิน มีลักษณะคล้ายกับ นายวิคเตอร์ หลายอย่าง เช่น เขาชอบหวีผมทรงเดียวกันกับนายวิคเตอร์ แต่เธอไม่ชอบและพยายามบอกให้เขาหวีทรงอื่น แต่เขาก็ไม่ฟังยังคงหวีผมแบบเดิม
ดังที่กล่าวมาแล้วว่า นายวิคเตอร์ เป็นคนพูดติดอ่างและเคยพูดกับ นางชอทคิน ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตว่า เมื่อเขาตายและได้เกิดมาเป็นบุตรของนางชอทคินแล้ว ขอให้ติดอ่างน้อยกว่านั้น ปรากฏว่าเมื่อตอนเด็กๆ เด็กชายชอทคิน จูเนียร์ พูดติดอ่างเหมือนกับนายวิคเตอร์ บิดามารดาของเขาพยายามแก้ไข จนกระทั่งมาหายจากอาการติดอ่างได้เมื่อตอนที่เขาอายุได้ ๑๐ ขวบ และตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่พูดติดอ่างอีกเลย
เมื่อยังมีชีวิตอยู่ นายวิคเตอร์ วินเซนต์ เป็นคนที่เคร่งครัดในศาสนามาก และเป็นสมาชิกอาสาสมัครในหน่วยกู้ภัย ซึ่ง เด็กชายชอทคิน จูเนียร์ ก็เป็นคนศรัทธาในศาสนามาก ถึงกับออกปากบอกมารดาขอเข้าเรียนในโรงเรียนศาสนา
นายวิคเตอร์ ชอบน้ำ ชอบเรือ และอยากอยู่ใกล้น้ำมากกว่าอยู่บนที่ดอน ซ่อมเครื่องยนต์เก่ง ซึ่งเด็กชายชอทคิน ก็ชอบน้ำ เคยบอกกับมารดาว่าอยากไปเที่ยวล่องเรือ พอโตขึ้นมาหน่อย เขาสามารถขับเรือยนต์ได้โดยไม่ต้องมีใครสอน และแก้เครื่องยนต์ได้เก่ง มีครั้งหนึ่งเครื่องยนต์ของบิดาเกิดเสีย บิดาแก้ไม่สำเร็จ เด็กชายชอทคิน ก็สามารถช่วยบิดาซ่อมเครื่องยนต์ได้
สำหรับรอยแผลเป็นที่ข้างจมูกของ เด็กชายชอทคิน นั้น ดร.สตีเวนสัน ผู้สอบเรื่องนี้ ได้รับหลักฐานจากทางโรงพยาบาลว่า นายวิคเตอร์ เคยเข้ารับการผ่าตัดที่ข้างจมูก เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๑ เนื่องจากท่อน้ำตาที่มาลงทางจมูกอักเสบ
ส่วนรอยแผลเป็นที่หลังนั้น ดร.สตีเวนสัน ได้ติดต่อขอหลักฐานจากจากทางโรงพยาบาล ปรากฏว่า นายวิคเตอร์ เคยเข้ารับการรักษา อาการป่วยเป็นวัณโรคที่ปอดข้างขวา ไม่มีบันทึกแพทย์ว่ามีการผ่าตัด แต่อาจมีการเจาะหลังเพื่อถ่ายน้ำในปอดออกก็เป็นได้